|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ว่าด้วยเรื่องข้าวญี่ปุ่น
กันยายน พ.ศ.2548
มีโอกาสตามกลุ่มเยาวชนไทยที่มาศึกษาเรื่องการกระจายสินค้าทางการเกษตร ไปทัศนศึกษายังหมู่บ้านซาโตมิ จ.อิบารากิ ทีแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับสถานที่ วาดภาพว่าหมู่บ้านแบบญี่ปุ่นไว้ว่าคงไม่ได้มีผืนนาสวยงามให้ได้ดูเท่าไร คงมีแต่บ้านคนแล้วก็ที่ดินรกร้าง ไม่ได้นึกถึงภาพชนบทที่สวยงามอ่ะ บอกตรงๆ ก็แหมอยู่ไม่ได้ไกลจากโตเกียวสักเท่าไรเลย เดินทางโดยรถยนต์ก็ประมาณ 3 ชั่วโมงเอง
แต่บรรยากาศทิวทัศน์นั้นงดงามมาก เป็นธรรมชาติจริงๆ อย่างน้อยๆ เด็กกรุงเทพอย่างเราก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นภาพท้องนาในฤดูเก็บเกี่ยวที่สวยงามอย่างนี้เท่าไรนัก แล้วยิ่งมาเห็นในญี่ปุ่นประเทศยักษ์ฺใหญ่ด้านเทคโนโลยีแล้วเนี่ย ยิ่งไม่นึุกไม่ฝันเลย
อิ อิ เขียนมาแบบนี้คงอยากดูรูปล่ะสิ อุ อุ ไม่มีหรอกค่ะ โดยเฉพาะที่ที่เราว่าสวยๆ น่ะ เป็นภาพระหว่างทางไปที่พักกันก็อยู่บนรถน่ะค่ะถ่ายออกมาไม่สวยก็เลยไม่ได้ถ่ายมา
รูปที่อยู่บนซ้ายเนี่ย เป็นรูปข้างๆที่พัก เนื่องจากฤดูหนาวจะหนาวมากจึงมีการเก็บฟืนและเตรียมตากแห้งเพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในหน้าหนาว เคยได้ยินมาว่าไม้ทำฝืนเนี่ยมีเหลือเฟือในประเทศญี่ปุ่น เพราะเขาไม่ค่อยใช้กันและที่ญี่ปุ่นนิยมตัดไม้ในบริเวณที่มีไม้ทึบหนาแน่นมากๆ ตัดแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นแหละค่ะ ไม่ได้เอาไปทำประโยชน์อะไรปล่อยให้มันเน่าผุพังไปตามธรรมชาติ เหตุที่ตัดก็เพราะต้องการกำจัดไม้ที่ขึ้นหนาทึบเกินไปทำให้ป่าโดยทั่วไปรับแดดได้ไม่ทั่วถึงเรียกว่ากำจัดส่วนน้อยเพื่อความอยู่รอดของป่าใหญ่ว่างั้นเถอะ
รูปบนขวาก็อยู่ใกล้ๆ ที่พักเหมือนกัน เป็นรูปนาข้าวหลังการเก็บเกี่ยว เกษตรกรญี่ปุ่นจะเอาข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วมาตากให้แห้งแล้วนำมาฟาดเอาเมล็ดข้าวออกเพื่อนำไปขายต่อไป เห็นภาพเขาตากข้าวแล้วสวยแปลกตาดี แล้วมันก็ธรรมช้าด ธรรมชาติ ชอบมากเลยค่ะ อากาศวันนั้นก็เย็นสบายมากๆ ประมาณสิบกว่าองศา
เกษตรกรญี่ปุ่นเท่าที่ทราบจะไม่ค่อยมีเกษตรกรเต็มตัวเท่าไรนัก จะทำการเกษตรเป็นอาชีพเสริมและมีอาชีพอื่นเป็นหลัก ที่ญี่ปุ่นก็เหมือนบ้านเราค่ะ อาชีพเกษตรกรนั้นไม่ใช่อาชีพที่ทำรายได้มากอีกทั้งยังเป็นงานที่ลำบาก แม้ที่นี่จะมีควายเหล็กมาช่วยอำนวยความสะดวกมากกว่าบ้านเราแต่เขาก็ยังถือว่าเ็ป็นงานที่ยากลำบาก โดยทั่วไปแล้วข้าวก็ยังเป็นพืชหลักที่นิยมปลูกกันเพราะอย่างที่รู้อยู่ว่าเขาก็กินข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับชาวไทยเรานั่นเอง แต่พันธ์ข้าวที่ปลูกต่างกัน เมืองไทยของเรานิยมปลูกข้าวพันธ์อินดิก้า(Indica) ที่นิยมปลูกกันในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย อินเดีย ฟิลิปปินส์ ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้นนิยมปลูกข้าวพันธุ์จาโปนิก้า (Japonica) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือข้าวไทยเรานั้นมีเมล็ดเรียวยาว ส่วนของญี่ปุ่นนั้นมีเมล็ดป้อมสั้น เวลาหุงข้าวไทยจะร่วนและไม่แฉะมากนัก คนไทยเราจึงกินข้าวโดยใช้ตะเกียบไม่ได้ต้องใช้ช้อนในการทานข้าว ในขณะที่ข้าวญี่ปุ่นจะเหนียวติดกันและแฉะเล็กน้อย คนญี่ปุ่นจึงใช้ตะเกียบคีบข้าวทานได้ไม่ยากลำบากนัก
ในปีค.ศ.1994 ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาผลิตข้าวไปเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ได้ข่าวว่ารัฐบาลไทยบริจาคข้าวให้ญี่ปุ่นโดยไม่คิดมูลค่าใดๆ ซึ่งการนี้คนญี่ปุ่นเองก็ประทับใจในความมีน้ำใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ดิฉันไปทำงานที่ไหนที่เกี่ยวกับเรื่องการเกษตรล่ะก็ คนญี่ปุ่นพูดถึงและซาบซึ้งกันอยู่มาก แล้วก็ขอบคุณคนไทยและประเทศไทยเป็นการใหญ่ ก็ถือโอกาสนี้ฝากบอกมายังทุกคนแล้วกันนะคะ แต่เนื่องจากพันธุ์ข้าวไทยไม่เป็นที่นิยมกินกันไม่คุ้นเคยและไม่เข้ากับอาหารญี่ปุ่น อีกทั้งวิธีการหุงข้าวก็แตกต่างกันอีกด้วย คือ คนญี่ปุ่นจะซาวข้าวหลายครั้ง โดยจะซาวจนน้ำข้าวใสแจ๋ว แล้วก็กดบดขยี้เมล็ดข้าวไปด้วย โอ้ย ตอนเห็นทีแรกเดี้ยนจะเป็นลม ต้องบอกเขาว่าพอได้แล้วมั้ง เดี๋ยววิตามินในข้าวหายหมดนะ ตามที่เรารู้กัน เพราะข้าวไทยเรียวยาวถ้าซาวแบบญี่ปุ่นเนี่ยเมล็ดข้าวคงหักไม่น่ากินแน่ๆ พอซาวจนน้ำใสแล้วก็จะแช่น้ำทิ้งไว้ก่อนประมาณครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่าจึงกดปุ่มหม้อหุงข้าวได้ ด้วยความแตกต่างกันประการฉะนี้ เมื่อข้าวไทยเข้ามาญี่ปุ่นในช่วงนั้นจึงไม่เป็นที่นิยม แถมเขายังบอกว่าข้าวไทยไม่อร่อย (อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเราส่งข้าวเกรดไหนมาให้เขาอ่ะนะ) ร่วนเกินไปกินไม่ถนัด เป็นอันว่าแทนที่จะเป็นผลดีกับเกษตรกรไทยกลับเป็นผลเสียไปซะนี่ ก็ทำไมไม่รู้จักสำรวจหาข้อมูลก่อนล่ะว่าวัฒนธรรมการกินข้าวญี่ปุ่นเขาเป็นอย่างไร สักแต่ว่าเป็นประเทศที่ผลิตข้าวอันดับหนึ่งของโลก ยิ่งเป็นอันดับหนึ่งยิ่งสมควรรู้เรื่องราวของข้าวประเทศต่างๆด้วย ไม่ใช้ดูแต่ในประเทศตัวเอง ประหนึ่งกบในกระลา อันนี้ถือเป็นการติเพื่อก่อนะคะ อย่าคิดมาก ด้วยรักจึงบอกให้
ซึ่งเราก็น่าจะได้บทเรียนและประสบการณ์อีกทั้งเสียงตอบรับจากผู้บริโภคญี่ปุ่่นอยู่แล้วเรื่องข้าวไทย แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลไทยจึุงพยายามจะยัดเยียดนำข้าวไทยเข้ามาขายในญี่ปุ่นให้ได้ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าวัฒนธรรมการกินข้าวของไทยและญี่ปุ่นต่างกัน ถึงแม้ว่าระยะหลังมานี้อาหารไทยจะเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่เขาก็จะทานข้าวไทยกับอาหารไทยเ่ท่านั้นหรือไม่ก็นำมาทำข้าวผัด (ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าใครเขาจะมาทำข้าวผัดกินกันทุกวันซะเมื่อไร) ไม่นิยมนำมารับประทานกับอาหารญี่ปุ่น
อีกทั้งข้าวญี่ปุ่นเองก็มีเหลือล้นอยู่มาก เหตุเพราะข้าวเป็นที่พืชที่ีให้ราคาดีเกษตรกรจึงนิยมปลูกกันโดยทั่วไป ทว่า ผู้บริโภคญี่ปุ่นมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น วัยรุ่นไม่ค่อยนิยมกินข้าว หันไปกินขนมปัง (โดยเฉพาะอาหารเช้า) สปาเกตตี้ เป็นต้น จนกระทั่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชอย่างอื่นทดแทนการปลูกข้าว แต่เกษตรกรก็ยังไม่ค่อยนิยมปลูกพืชผักอย่างอื่นกันเท่าไรนัก เพราะจะหันไปปลูกผักก็คงสู้ราคากับผักนำเข้าจากจีนไม่ได้
ภาพบนเป็นภาพตู้สีข้าวอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามชานเมืองหรือต่างจังหวัด ในโตเกียวหรือในเมืองใหญ่ๆ อาจหาดูยากหน่อย วิธีใช้ก็ไม่ยากเลยก่อนอื่นก็ ①หยอดเหรียญ ②ใส่ข้าวที่ต้องการสี ③กดปุ่มเลือกว่าต้องการให้เครื่องสีข้าวให้ขาวขนาดไหน ④แล้วข้าวที่ต้องการก็จะออกมา
ปล. ได้เจอพี่คนไทยที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ด้วยค่ะ เธอขับรถมาซื้อของแถวนี้พอดี ได้ยินเสียงเหมือนภาษาไทยพี่เขาเลยหยุดรถแอบฟัง พอดีน้องๆกลุ่มเราเข้าไปจิ๊จ๊ะลูกพี่เขาที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถ เลยได้มีโอกาสคุยกับเขา เขาบอกว่าอยู่มานานสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยกลับไปเมืองไทยเลยสักครั้ง อยู่ที่นี่ก็ทำนาทำสวนเหมือนเมืองไทยแต่สะดวกสบายในเรื่องเครื่องทุ่นแรงมากกว่า แต่ยังไงก็ยังรักและอยากกลับไปเมืองไทย
เฮ่อ หวังว่าพี่เขาคงไม่ได้มาญี่ปุ่นแบบสาวประเทศเพื่อนบ้านเรานะ คือเคยได้ยินมาว่าชาวนาญี่ปุ่นเนี่ยไม่ค่อยมีสาวๆ มาแต่งงานเป็นคู่ตุนาหงันด้วย จึงต้องไปหาเจ้าสาวต่างแดนมาแต่งด้วย แล้วก็มีสาวๆ ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่แหละที่ยกทีมมาแต่งด้วยเยอะเลย
Create Date : 31 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 4 สิงหาคม 2549 9:10:23 น. |
|
5 comments
|
Counter : 5486 Pageviews. |
|
|
|
โดย: iamname (iamname ) วันที่: 2 สิงหาคม 2549 เวลา:6:54:09 น. |
|
|
|
โดย: Qooma วันที่: 2 สิงหาคม 2549 เวลา:7:57:42 น. |
|
|
|
โดย: peeko วันที่: 2 สิงหาคม 2549 เวลา:23:50:37 น. |
|
|
|
โดย: biggg วันที่: 3 สิงหาคม 2549 เวลา:22:26:58 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมบล็อคเราน๊า