Film Retro: A Time for Slasher! เปิดกรุหนังเชือด
สารภาพประการหนึ่งเลยนะครับว่ากระผมชอบดูหนัวแนวไล่ฆ่าทำนองนี้พอสมควร โอ้ ไม่ได้แปลว่าชอบจนอินแล้วอยากจะไปประทุษร้ายคนอื่นหรอกครับ แต่ชอบเพราะมันเป็นหนังดูง่าย เอาสนุกสะใจ ตื่นเต้นเป็นพอ สาระไม่ต้องหวังให้มากมาย เหมือนเราแวะเวียนเข้าบ้านผีสิงน่ะครับ ทำให้เลือดสูบฉีดตื่นเต้นเล็กน้อยชั่วครั้งคราว พอจบแล้วก็จบกัน แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่ได้มีผมคนเดียวในโลกแน่ๆ ที่สนุกกับการดูหนังแนวนี้ ไม่งั้นหนังแนว Slasher Film คงไม่สามารถอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงวันนี้หรอก
เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าครับว่าอะไรทำให้เสน่ห์หนังไล่เชือดไม่ยอมตายไปซักที อมตะพอๆ กับพวกบ้าที่ฆ่ายังไงก็ยังหน้าด้านคืนชีพกลับมาล่าคนนั่นแหละครับ
อะไรคือ Slasher Film
หนังแนวเชือดไล่ฆ่าคนนั้นมีศัพท์เฉพาะว่า Slasher Film แปลได้ตรงตัวคือ หนังว่าด้วยนักเชือด ซึ่งก็ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า Bodycount Films (หมายถึงหนังอุดมศพน่ะครับ โดนเชือดเยอะนี่หน่า) หรือ Dead Teenager Movies (หนังวัยรุ่นสิ้นชีพ เพราะส่วนมากเหยื่อในเรื่องหนีไม่พ้นวัยนี้แหละครับ)
หากจะบอกเล่ากันถึงองค์ประกอบหนังเชือดชั้นดีแล้วล่ะก็ จะต้องมีบทที่ซับซ้อนพอประมาณ ให้คนดูตามทันแต่ก็ไม่ง่ายจนเกินเหตุเหมือนดูถูกผู้ชม เดินเรื่องก็เป็นไปอย่างมีชั้นเชิง ฆาตกรไม่ตายยากเกินเหตุและควรจะฉลาดเก่งกาจ วางแผนสังหารได้อย่างเหนือชั้น ขณะเดียวกันพระเอกนางเอกก็ต้องฉลาดตามมันทัน อันจะทำให้หนังมีความเข้มข้นลุ้นตื่นเต้นขึ้นอีกมาก ส่วนฉากการฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมมากมาย ขอเพียงสร้างบรรยากาศเงามืดได้น่าผวาก็เพียงพอแล้ว
อะไรคือต้นฉบับแห่งหนังเชือด
แม้ว่าในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดจะมีแนวสยองขวัญมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าว่ากันถึงแนวฆ่ากันโดยมีฆาตกรลงมือเชือดชาวบ้านแบบเรียงตัว จุดเริ่มต้นของคนทำหนังกลับได้แรงบันดาลใจจากนิยายฆาตกรรมสืบสวนระดับตำนานของ Agatha Christie โดยเฉพาะเรื่อง And Then There Were None หรือ Ten Little Indians ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1939 (ชื่อไทยบ้านเราก็มีหลากนามครับ ที่จำกันได้เยอะหน่อยก็คือ ฆาตกรรมยกเกาะ หรือ ตุ๊กตาอาถรรพ์) ที่มีเนื้อหาว่าด้วยคนสิบคนถูกเชิญยังเกาะแห่งหนึ่ง ก่อนจะถูกสังหารทีละคนๆ สูตรสำเร็จหนังเชือดทั้งหลายก็ได้นิยายเรื่องนี้แหละครับมาปูทางให้ ไม่ว่าจะเรื่องพื้นที่ปิดตาย การฆ่าแบบมีเรื่องจิตวิทยามาเจือปน การตามหาความจริงและฆาตกรที่แอบซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขา
จากนั้นก็มีการทำหนังลักษณะตามรอย And Then There Were None ออกมาอีกหลายเรื่อง แต่โดยมากเรื่องเหล่านั้นมักจะถูกจัดเข้าพวกหนังฆาตกรรมสืบสวน (Suspense Thriller) เพราะเนื้อความจะพุ่งเป้าไปที่การหาตัวฆาตกรมากกว่าจะเน้นความอำมหิตและความน่าสะพรึงกลัว
จนกระทั่งการมาของหนังเรื่อง Psycho (1960) ซึ่งนักดูหนังยกตำแหน่งให้เป็นหนังเจ้าตำนานสำหรับภาพยนตร์แนวเชือดทั้งมวล (The Mother of all Slasher Films) แทบไม่ต้องแนะนำคนกำกับเลยนะครับ เขาคือ Alfred Hitchcock ราชาหนังเขย่าขวัญ ที่จัดการดัดขนบหนังฆาตกรรมเสียใหม่ โดยไม่เน้นไปที่การสืบสวน แต่มาโฟกัสที่พฤติกรรมโหดของฆาตกรแทน เพิ่มบรรยากาศความน่าสะพรึงลงไป ตามด้วยฉากฆ่าที่ถือว่าโหดอย่างยิ่งสำหรับยุคนั้น (ได้แก่ฉากคลาสสิก ฆ่ากันใต้ฝักบัวนั่นไงครับ)
ลีลาการเล่าเรื่องก็สร้างทั้งความอกสั้นขวัญแขวนให้ผู้ชม ซึ่งหมัดเด็ดของหนังก็คือการทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดผวา เพราะแต่ละฉากแต่ละตอนที่เกิดการฆ่า มันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และเกิดขึ้นได้จริงไม่ว่าจะกับใคร เจ้าฆาตกรก็ไม่ใช่ผีสางเหนือธรรมชาติ มันคือคนด้วยกันนี่แหละ อีแบบนี้ก็อดกลืนน้ำลายเอื้อกไม่ได้ตอนดู อีกทั้งเรื่องราวยังซับซ้อน มีการพลิกผันพลิกปมจนคนดูสัมผัสได้ถึงพลังของเรื่องราว Psycho เลยได้รับการยกย่องให้เป็นหนังติดอันดับยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลอีกเรื่อง
มีนักดูหนังบางส่วนจัดแบ่งหนังเรื่องนี้ว่าเป็นแนวฆาตกรรมกึ่งจิตวิทยามากกว่าจะเป็นหนังแนวเชือด เพราะเนื้อความตามที่หนังต้องการสื่อจริงๆ มันว่าด้วยอาการทางจิตที่ส่งผลต่อพฤติกรรมคน ไม่เหมือนหนังเชือดในยุคหลังๆ ที่ฆ่ากันโดยไม่มีเหตุผลเท่าไร ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ยอมรับกันว่าถ้าพูดถึงหนังแนวฆ่าที่เป็นต้นแบบ ทำให้คนทำหนังสยองเจ้าอื่นเดินตามกันในเวลาต่อมา ก็ได้แก่เรื่องนี้นี่แหละ
ใครสนใจอ่านรีวิวของ Psycho คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
ถัดจากนั้นมา ก็มีหนังคล้ายๆ กับ Psycho ต่อคิวเดินตามมาอีกหลายเรื่อง โดยมีการจับเอาสไตล์ที่ Psycho กรุยทางไว้ ได้แก่การเล่าเรื่องที่ชวนผวา ตัวฆาตกรต้องมีความผิดปกติบางอย่าง เหตุต้องเกิดในที่ห่างไกลไร้คนช่วยเหลือ และฉากฆ่าก็ต้องจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งหนังที่เดินตามรอยแล้วดังสนั่นก็มีจะแนะนำดังต่อไปนี้ครับ
The Texas Chain Saw Massacre (1974) สิงหาสับ
นี่คือภาพยนตร์โหดสยอง ที่ว่ากันว่าคนดูพากันอาเจียนเป็นลมคาโรงมาแล้วตอนออกฉาย เนื้อหานั้นก็ว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่น 5 คนเดินทางผ่านไปยังย่านเท็กซัส เพื่อจะไปเที่ยวเฮ้วตามประสา แต่แล้วพวกเขากลับมีเหตุให้ต้องขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น ก็เดินไปเจอบ้านหลังหนึ่ง ที่เหมือนจะเป็นโรงงานฆ่าสัตว์ร้าง... แต่ปัญหาคือ มัน ไม่ร้าง! คงไม่ต้องว่าต่อนะครับว่าพวกเขาจะเจอกับอะไร
นี่ถือเป็นหนังสยองเฉพาะกลุ่ม (Cult Horror) เพราะมันโหดครับ คนทั่วไปพากันยี้ได้ง่ายๆ ที่ชอบก็ต้องเป็นคอจริงๆ เพราะมันฆ่ากันสมจริงเกินไป ไหนจะอาวุธที่ใช้ฆ่า ซึ่งก็คือเลื่อยยักษ์คมกริบอีก ดูแล้วหมดหวังมากๆ ครับ ผมเองสมัยดูรอบแรกก็อึ้งเหมือนกัน หนังอะไรเนี่ยกดดันสิ้นดี แต่ถ้าถามว่าชอบไหมก็ให้สามดาวไปนอนกอดได้สบายๆ ครับ หนังเข้าเด็ดจริงๆ
Result: แจ้งเกิดผู้กำกับ Tobe Hooper และก่อให้เกิดตอนต่ออีก 3 ตอน ก่อนจะมีคนเอาไปรีเมคใหม่อีกสองภาค และทำให้คนพากันสงสัยว่านี่คือเรื่องจริงหรือไม่ เพราะหนังโฆษณาว่าสร้างจากเรื่องจริง (ซึ่งถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าสร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจแบบผิวๆ จากเรื่องจริงของ เอ็ด กีน ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนแล้วสตั้ฟฟ์ไว้!) และเหนืออื่นใด คือหนังได้วางมาตรฐานสำคัญของหนังเชือดว่าต้องมี ฆาตกรชูโรงประจำเรื่อง เป็นเครื่องสร้างความหลอนให้คนดู
ใครสนใจอ่านรีวิวของ The Texas Chain Saw Massacre คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
Black Christmas (1974) ปฏิบัติการเดือดล่าซานต้า
เหตุเกิดในคืนวันคริสต์มาส ณ. หอพักแห่งหนึ่ง แทนที่เหล่านักศึกษาสาวจะได้สนุกสนาน แต่กลับมีคนเดินทางมาเพื่อฆ่าและเก็บพวกเธอทีละคนๆ มันคือใคร และมันต้องการอะไร!
นี่ก็ถือเป็นต้นแบบของหนังแนวเชือดตามบ้านที่มีคนเดินตามอีกเพียบในเวลาต่อมา ซึ่งก็บอกได้ว่าสนุกตื่นเต้นเอาเรื่องครับ บรรยากาศมืดๆ สยองใช้ได้ จะว่าไปหนังยังเป็นเรื่องแรกๆ ที่ใช้ความมืด ซอกหลืบตามมุมห้องให้เกิดประโยชน์ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าฆาตกรมันจะซ่อนอยู่ที่ไหนและมันโผล่มาได้ทุกเมื่อ สร้างความอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องให้คนดูได้เป็นอย่างดี แล้วยังกำหนดเหตุให้เกิดในบ้าน ซึ่งผู้ชมขวัญอ่อนพากันจิตตกเป็นแถบๆ เพราะมันดูเป็นไปได้และใกล้ตัวอย่างแรง และที่ลืมไม่ได้คือ หนังมีดาราวัยรุ่นสาวๆ มากมายเต็มจอ เลยถือได้ว่าเป็นหนังที่ครบสูตรเบื้องต้นของแนวเชือด อันได้แก่ สาวเยอะ เชือดแยะ ความมืดเพียบ และเหตุเกิดในที่แคบ
Result: ตัวหนังไม่มีภาคต่อ (แต่มีคนเอามีรีเมคในปี 2006 และผลคือเจ๊ง) แต่มีอิทธิพลต่อมากับ Halloween และ ยังกำหนดอีกหนึ่งสูตรสำเร็จให้หนังเชือดว่า เหตุสยองมักเกิดในคืนวันหยุดหรือเทศกาล
ใครสนใจอ่านรีวิวของ Black Christmas คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
Halloween (1978) ฮัลโลวีนเลือด
หนังเชือดระดับตำนานที่ใครๆ ต่างยกนิ้วให้ว่ายอดเยี่ยมรองลงมาจาก Psycho (ผมก็ยกนิ้วด้วยอีกคน) กับเรื่องราวของไมเคิล ไมเยอร์ส เด็กโรคจิตที่ลงมือแทงพี่สาวตัวเองจนถึงแก่ความตายเมื่อหลายสิบปีก่อน บัดนี้เมื่อวันฮาโลวีนมาถึง เขาได้หนีออกจากที่คุมขัง เพื่อกลับมาเล่นเกมโหดอีกครั้ง!
เหตุผลที่ทำให้ Halloween ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมก็เนื่องจาก ความกลมกล่อมลงตัวอย่างยิ่งในเรื่องราว ลีลาจังหวะมุมกล้องที่ถ่ายทำแล้วสร้างอารมณ์ผวาให้คนดูได้ตลอด (โดยเฉพาะมุมกล้องแบบแทนสายตาฆาตกร) กับการปรากฏตัวแต่ละครั้งของไมเคิลที่แผ่รัศมีความโหด น่ากลัวออกมาทะลุจอเลยทีเดียว
คนดูส่วนมาก บอกดูที่โรงไม่น่ากลัวเท่าดูที่บ้าน เพราะดูในบ้านแล้วหลอนมาก ต้องหันไปมองด้านหลังตลอดกลัวตัวบ้าจะโผล่มา ซึ่งดีกรี จังหวะการเล่าเรื่อง การถ่ายภาพและดนตรีประกอบ (ที่หนังไทยเอามาใช้บ่อยมาก) ต้องเรียกว่าเหนือชั้นกว่า Black Christmas หลายขุม แม้จะเดินตามรอยเรื่องนั้นมา แต่ก็สามารถทำได้ดียิ่งกว่า จับใจจับขวัญคนดูได้อยู่หมัดกว่ากันเยอะ
Result: ดันชื่อผู้กำกับ John Carpenter จนดังไปยืนอยู่แถวหน้าของคนทำหนังสยองอยู่พักใหญ่ๆ และมีตอนต่อตามมาอีก 7 ตอน ตามด้วยฉบับรีเมคที่ได้รับทรัพย์ไปเยอะ คนชมมาก ครองตำแหน่งหนังเชือดสยองที่ดูคุ้มค่า ได้อารมณ์ จนหลายคนไม่กล้าดูคนเดียว
ใครสนใจอ่านรีวิวของ Halloween คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
Friday the 13th (1980) ศุกร์ 13 ฝันหวาน
แม้จะถูกครหาว่าสร้างออกมาตามรอย Halloween อย่างไร้แรงบันดาลใจใดๆ (นอกจากเรื่องเงิน) แต่ขอโทษครับ นี่กลายเป็นหนังสยองแนวเชือดที่สร้างตอนต่อกันออกมามากที่สุด และชื่อของเจ้าฆาตกรต่อเนื่องจอมโหด เจสัน วอร์ฮีส์ เป็นที่รู้จักและติดหูยิ่งกว่าฆาตกรปีศาจตัวไหนๆ
ส่วนจุดเริ่มของเรื่องก็คือ เจสันนั้นเป็นเด็กอัปลักษณ์ที่มีแม่เป็นคนดูแลแคมป์คริสตัล เลค เขาเลยได้มาเดินเล่นป้วนเปี้ยนอยู่แถวทะเลสาบนั่นแหละ แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุส่งผลให้เจสันจมน้ำไป... หลายปีต่อมาหลังจากเกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่แคมป์คริสตัล เลค เจ้าของก็เห็นว่าเรื่องซาแล้ว จึงวางแผนเปิดใหม่โดยว่าจ้างวัยรุ่นหนุ่มสาวให้ไปช่วยปรับปรุงเตรียมเปิดแคมป์นี่อีกครั้ง... และพวกเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นศพ จากฝีมือของใครสักคนที่ต้องการฆ่า ฆ่า และฆ่า... หรือว่ามันคือเจสัน!
จริงที่ความตื่นเต้น ชั้นเชิงความหยดหยองจะสู้ Halloween ไม่ได้ อีกทั้งสารพัดสิ่งยังลอกมาแทบทั้งดุ้น ไม่ว่าจะมุมกล้องแทนสายตาฆาตกร (ประเภทแอบมองเหยื่อหรือมองจากนอกบ้าน) ความมืดตามหลืบมุม แค่เปลี่ยนจากในเมืองมาเป็นกลางป่าเท่านั้น แต่ในฐานะคอหนังสยองก็ขอบอกครับว่า ดูได้เพลินและตื่นเต้นไม่ใช่เล่น ศุกร์ 13 อาจไม่ได้มีความยอดเยี่ยมจนขึ้นหิ้ง แต่หนังก็จับเอาไฮไลท์หลักๆ ที่หนังเชือดควรมีมาใส่ไว้แบบครบถ้วน แบบนี้คุณภาพอาจไม่ได้มากมาย แต่ความบันเทิงแบบหนังสยอง มีเต็มๆ
Result: บอกแล้วไงครับ หนังจับเอาไฮไลท์ที่ควรมีในหนังเชือดมาเอาใจคนดูแบบครบ มีหนุ่มหล่อสาวสวย อีกทั้งโลเกชั่นในป่าเขาก็กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างของหนังชุดศุกร์ 13 เพราะอย่างน้อยระหว่างดู หนังก็ทำให้เราหายใจไม่ทั่วท้องได้ ยามที่มีตัวละครใดก็ตามต้องเดินเข้าป่า หรือไปไหนมาไหนคนเดียว ว่ากันว่าเด็กฝรั่งดูหนังชุดนี้แล้วขยาดการไปแคมป์อยู่พักหนึ่งครับ... ส่วนตอนต่อก็ล่อเข้าไป 9 ตอน ซ้ำยังมีตอนแยกไปตีกับพี่นิ้วเขมือบอีก ล่าสุดก็มีเวอร์ชั่นรีเมคมาอีกด้วย
ใครสนใจอ่านรีวิวของ Friday the 13th คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
A Nightmare on Elm Street (1984) นิ้วเขมือบ
มาหลังเขาเพื่อน แต่ถ้าว่ากันถึงดีกรีความสร้างสรรค์สดใหม่ ต้องยกให้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ (Robert Englund) ฆาตกรปีศาจที่ฆ่าคนในฝัน แล้วคนผู้นั้นจะต้องตายจริงๆ แม้เรื่องจะดูเหลือเชื่อไปบ้าง แต่ Wes Craven ผู้ให้กำเนิดพี่เฟรดดี้ สามารถสร้างเรื่องออกมาได้อย่างน่าขนลุกและน่าเชื่อถือสุดขีด อีกทั้งยังเป็นหนังสยองที่รุกคนดูจนไร้ทางหนี เพราะเตียงนอนถือเป็นสถานที่อันแสนสุขและอบอุ่น ปลอดภัยมีไว้พักผ่อนโดยเฉพาะ แต่ Craven ได้ทำลายเขตแห่งความปลอดภัยนี้โดยสิ้นเชิง ตัวหนังเองก็ออกมาเลือดเลอะเทอะ คนตายมากมาย หนีก็ไม่ได้ ฆาตกรฆ่าไม่ตาย ลองว่าครบรสถึงเครื่องขนาดนี้ ไม่ฮิตก็แปลกแล้วนะครับ
Result: เบ็ดเสร็จ ทำออกมา 7 ภาคกับตอนแยกไปตีกับพี่เจสันอีกหนึ่ง ตามด้วยการรีเมคอีกหนึ่งคำรบ และทำให้เด็กๆ มากมายไม่กล้าหลับเพราะกลัวฝันร้าย กลัวไม่ได้ตื่นอีก และเหนืออื่นใด กลัวเจอพี่เฟรดดี้!
ใครสนใจอ่านรีวิวของ A Nightmare on Elm Street คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ
สารพัดหนังเชือดสยองรุ่นหัวหอกพวกนี้ก่อให้เกิดสูตรสำเร็จที่จะมักต้องประกอบด้วย
1. ฆาตกรโรคจิตที่ถ้าไม่หน้าอัปลักษณ์ก็จะสวมหน้ากากมาสร้างความพรั่นพรึงให้กับเหยื่อก่อนเชือดแบบโหด ไม่มีหน้ากากไม่ว่า แต่อย่างน้อยต้องมีหัวครับกับมือด้วยไม่งั้นถืออาวุธไม่ได้
2. ลีลาการฆ่าก็มักจะเดินมาเชือดครับ มาช้าๆ ใจเย็น แต่ดักหน้าเหยื่อได้ทันทุกที ขนาดคนจะโดนฆ่าสวมวิญญาณนักวิ่งโอลิมปิกก็ยังไม่สามารถหนีมันไม่พ้น ไม่รู้มันใช้ประตูไปไหนก็ได้ของโดราเอมอนรึไง ไปได้หมด
3.เจ้าฆาตกรยังต้องฉลาดเกินคนรู้หมดว่าเหยื่อทำอะไรที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยื่อที่กำลังทำอะไรต่อมิอะไรกันอยู่ ฆาตกรจะแม่นยำในการกะจังหวะฆ่าเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นมันต้องฆ่าเหยื่อมากกว่าหนึ่ง
4. ใครกล้ามามีเซ็กซ์ในหนังของพี่แก ถ้าไม่ขึ้นชื่อเป็นพระเอกหรือนางเอกมีโทษสถานเดียว คือ ตาย!
5. เหยื่อมักเป็นคนอายุราว 16 35 ปี เกินกว่านี้มักรอด เจ้าฆาตกรมักไปโผล่ยังที่ซึ่งวัยรุ่นอยู่กันเยอะ พวกโรงเรียนหรือแคมป์ แต่บ้านพักคนชราไม่ค่อยไปครับ (แสดงว่าแถวบางแคค่อนข้างปลอดภัย)
6. เจ้าฆาตกรบ้านี่ต้องตายยาก ใช้อะไรฆ่ามันไม่ตาย วิธีเดียวที่จะสยบมันได้คือไม่ไปดูหนังเรื่องนั้น (พอมันเจ๊งจะได้เลิกสร้าง รับรองมันตายสนิท) และอาวุธที่ใช้ต้องสร้างความขนหัวลุกได้ พวกมีด เลื่อย อะไรก็ได้ที่โหดๆ (ก็เคยเห็นแกถือไอติมไล่จิ้มใครไหมล่ะครับ เน้อะ)
ทำไมมันถึงฮิต?
ถ้ามองแบบเผินๆ ที่มันฮิตก็เนื่องจากคนดูชอบรู้เรื่องน่ากลัวๆ เสมอล่ะครับ เรื่องตื่นเต้นชวนขนลุกแบบนี้จ่ายเงินนิดหน่อยไปแลกประสบการณ์เฉียดตายก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่ต้องไปโดนไล่เชือดเองอีกด้วย
แต่หากมองให้ลึกก็อยากชวนสังเกตนะครับ หนังฆ่าเชือดสับมักมีที่มาจากเมืองมะกัน ซึ่งบ้านเมืองเขานี่มีตำนานสยองอยู่แทบทุกเมือง (Urban Legends) บางทีก็เล่าว่าหากออกนอกบ้านไปชิงสุกก่อนห่ามจะมีฆาตกรมือตะขอไล่ฆ่าอะไรเช่นนี้ ซึ่งมันก็เป็นกุศโลบายกันไม่ให้เด็กๆ ออกไปทำอะไรห่ามๆ นอกบ้าน เพราะมันอันตรายครับ เหมือนบ้านเราก็มีการขู่เด็กว่าเล่นซ่อนหาตอนค่ำแล้วผีจะลักไป ส่วนหนึ่งก็มาจากไม่อยากให้ไปเล่นซ่อนหาตอนดึกๆ เพราะมันไม่ปลอดภัยนั่นเอง
แต่เด็กอเมริกันๆ ที่โดนขู่ ส่วนมากจะฝังใจนะครับ อีกทั้งฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer) ก็มีอยู่จริงในอเมริกา เช่น ฆาตกรจักรราศี (ดูเพิ่มเติมจากหนัง Zodiac นะครับ) หรือ ฆาตกรโหดที่แม่น้ำกรีนริเวอร์ ซึ่งพวกนี้ก่อคดีไว้แล้วตำรวจก็จับไม่ได้ด้วย
ทีนี้พอวัยรุ่นเจอทั้งตำนานทั้งขู่หลอกๆ ปนเข้ากับข่าวจริงๆ ทำให้พวกเขามักจะตื่นเต้นและผูกพัน (แบบหลอนๆ) กับเรื่องราวฆาตกรโหด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับที่พอมีหนังแบบนี้โผล่มาทีไร วัยรุ่นนี่แหละจะตามไปดูกันเยอะ เพราะเรื่องพวกนี้มันฝังหัวมาแต่ไหนแต่ไรไงครับ บ้านเราก็อาจไม่เข้าใจ ว่าไอ้หนังเชือดแบบนี้เมืองนอกบอกกันนักหนาว่าน่ากลัวๆ แต่พอเราดูก็ไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหนเลย นั่นก็เพราะพื้นเพชีวิตและการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมมันต่างกันน่ะครับ บ้านเราไม่ได้สอนให้กลัวฆาตกรต่อเนื่อง (และบ้านเราก็แทบไม่มีด้วย) แต่บ้านเขาเจอขู่ด้วย เจอของจริงด้วย เลยทำให้หนังแนวเชือดได้รับความสนใจจนปัจจุบัน เข้าใจนะครับ เจตนาหลักที่คนทำน่ะไม่ได้ให้เราดูหรอก เขาตั้งใจหลอกตังค์จากวัยรุ่นเมืองมะกันต่างหาก
จริงๆ อยากร่ายยาวกว่านี้นะครับ เพราะตำนานที่มาการสร้างหนังชุดสยองแต่ละเรื่องก็มีที่น่าสนใจเยอะ แต่เอาไว้มีโอกาสหนังพวกนั้นมีภาคต่อหรือมีคนรีเมก ผมค่อยเอาตำนานสยองมาเล่าเป็นชุดๆ เลยดีกว่า (ที่แน่ๆ Friday the 13th ผมก็จองพื้นที่ล่วงหน้าในการ Retro ไว้เลยครับ ฉายเมื่อไร เล่าแน่ๆ)
ส่วนตอนนี้รู้จักหนังเชือดกันพอหอมปากหอมคอนะครับ แต่อย่างไรก็ดี ดูแล้วคิดให้ดีนะครับ การกระทำโหดเหี้ยมขนาดต้องฆ่าแกงนั้นไม่ใช่อะไรที่น่าข้องแวะเลยแม้แต่น้อย พ่อแม่ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานเข้าไปดูหนังแบบนี้กรุณาชี้แจงสอนให้พวกเขาเข้าใจอะไรควรไม่ควรด้วยนะครับ
ดูหนังสยองน่ะเพื่อให้ตระหนักว่าการฆ่าทำร้ายกันเป็นสิ่งน่ากลัวที่ไม่ควรกระทำ สอนลูกหลานแบบนี้ดีกว่าครับ
Create Date : 06 พฤษภาคม 2554 |
|
3 comments |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 10:41:11 น. |
Counter : 4322 Pageviews. |
|
|
|
แรกๆผมไม่ค่อยชอบดฟุหนังแบบนี้เท่าไหร่นะครับ ดูแล้วมันรู้สึกเถื่อนจิต ไงไม่รู้
แต่ฟังพี่เล่าแล้ว ผมอยากไปหาระดับคลาสสิค แบบ physo halloween ดู
จัง