ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ

เห็นทีต้องคุยเรื่องของรัสเซียและสตาลินยุคสงครามครั้งนี้ในแนว"ดรามา"มั่งจะดีกว่า..
    ขอเรียนให้ทราบตรงนี้ก่อนว่า..ดิฉันมักใช้คำว่า"รัสเซีย"มาโดยตลอดของการขยายความสู่กันฟังในครั้งนี้ เพราะมีสาเหตุค่ะ
    คือว่า การอ่านเรื่องราวต่างๆนั้นสะสมมานาน จากหนังสือสารพัด และ ผู้เขียนส่วนใหญ่มักใช้คำว่ารัสเซียทั้งนั้น
    เนื่องจาก เรียกตามบุคคลสำคัญในยุคนั้นน่ะค่ะ อย่างเชอร์ชิลล์ และ
    รูสเวลต์ ก็เรียกว่า รัสเซีย หรือ กองทัพรัสเซีย
    แม้แต่ตัวสตาลินเอง.ใน.ยามที่สนทนาหรือเขียนสาสน์โต้ตอบกับฝ่ายสพม. ก็มักใช้แทนตัวด้วยคำว่า " we Russians"

    เอาเป็นว่า ขอย้อนขึ้นไปตั้งแต่ครั้งที่เยอรมันใช้แผนปฎิบัติการ Barbarossa อันเป็นชื่อโค้ด และนั่นไม่ใช่แผนเดียว ยังมีอีกมากมาย  ขอไล่ให้ฟังเพื่อรื้อฟื้นความจำ  
    แผน Orient  เพื่อใช้ในการที่จะบุกเข้าอิหร่าน, ซีเรีย, อัฟกานิสถาน และ อินเดีย
    แผน Tannenbaum เพื่อใช้บุกที่ สวิตเซอแลนด์
    แผน Silberfuchs เพื่อใช้บุกที่ สวีเดน
    แผน Felix-Isabella เพื่อใช้บุกที่ สเปน และ โปตุเกส
    แผน Ikarus เพื่อใช้บุกที่ ไอซแลนด์
    แผน Sea Lion เพื่อใช้ในการบุกที่ บริเตน..
    ส่วนแผนที่จะบุกอเมริกา  วางแผนงานเอาไว้แล้ว..แต่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ..
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ฮิตเล่อร์เชื่อว่า สิ่งแรกที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
    นั่นก็คือ การเข้าครอบครองรัสเซียให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน แล้ว อเมริกาก็เหมือนหมูในอวย..
    คิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า ความเป็นมหาอำนาจของฮิตเล่อร์
    จะไปไหนเสีย ในเมื่อรัสเซียมีเดินแดนมากมายใหญ่จนเป็นหนึ่งทวีปของพื้นที่โลก  ประชาชนอีกนับจำนวนร้อยล้าน ไหนจะยังทรัพยากรที่สมบูรณ์
    ตอน ที่แผน Barbarossa ได้เริ่มดำเนินการปฏิบัตินั้น..สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลกอย่างชนิด ที่ลืมหายใจ ต่างก็เฝ้ารอคอยฟังผลที่จะออกมา
    ว่า ศึกครั้งนี้ ฮิตเล่อร์ผู้อหังการ์จะออกมาเป็น"หัว หรือ "ก้อย"
    ผลน่ะ เราๆก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จากบันทึกข้อความ จากภาพยนตร์ที่แข่งกันสร้างออกมา..จากหนังสือประวัติศาสตร์สงครามในเชิงวิเคราะห์
    แต่.. อยากจะมาเล่าเรื่องเบื้องหลังที่สนุกๆ..ที่เชื่อว่า หลายคนอาจจะยังไม่ทราบมาก่อน..อันเกี่ยวกับ สตาลิน และ ลูกน้องที่รักชาติของเขา
    ว่าแตกต่างกันกับ ฮิตเล่อร์กับเหล่าขุนพล และกลุ่มนาซีของเขา อย่างไร..




            ควันแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพิ่งจะจางหายไปหมาดๆ เวลาห่างไปเพียงแค่ยี่สิบปี ควันนั้นก็กลับมากรุ่นขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้
            มีลางบอกเหตุมาไกลๆ แต่ในยามนั้นคนกลับคิดว่า ไอ้บ้าที่ไหนวะ..มาเขียนหนังสือเพ้อเจ้ออยู่ได้ !!
            ไอ้ บ้านั่นก็คือ ฮิตเล่อร์ หนังสือเพ้อเจ้อเล่มนั้น ก็คือ Mein Kampf อันเป็นชีวประวัติการต่อสู้ และ ข้อมูลทฤษฏีของการหลุดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
            รวมไปถึง การมีชัยชนะเหนือคนอื่น โดยเฉพาะ ยิว และ คอมมิวนิสต์ ที่ต้องมีมาตรการจัดการขั้นเด็ดขาด..
            หนังสือเล่มนี้ ออกตีพิมพ์ในราว 1920's...................แต่หามีใครสนใจไม่

            ในฤดูร้อน ของปี 1939 ฝ่ายต่างประเทศของอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย เริ่มมองเห็นเค้าลางๆแล้วว่า ไอ้หมอนี่ มันเอาแน่ซะละมัง..
            และ กำลังเริ่มติดต่อเจรจากันอย่างเร่งด่วน..แต่...ฮิตเล่อร์รีบชิ่งไปเว็นสัญญา สงบศึกกับรัสเซีย ในทำนองว่า ต่างคนต่างอยู่นะเว้ยเฮ้ย..
            เพราะ ตอนนั้น กองทัพเยอรมันได้เข้าไปบุกในโปแลนด์ เมืองชายแดนของรัสเซียแบบชนิดจ่อคอหอย..
            ทางรัสเซียก็ส่งแม่ทัพ Semyon Kirvoshein มาเฝ้าแนวชายแดนมิให้เยอรมันถือโอกาสบ้าจี้ ทำไขสือ เดินเตลิดเปิดเปิงเข้ามา..
            (แม่ทัพ เซเมียน คือหนึ่งในวีรบุรุษสุดห้าว จากสงครามกับญี่ปุ่น ที่แมนจูเลีย)
            และ แม่ทัพทางฝ่ายเยอรมัน ที่ต้องระวังตัวตรง ไม่ให้ล่วงล้ำเขตแดนคือ แม่ทัพ คูเดอเรียน นายพลคนโปรดของฮิตเล่อร์นั่นเอง..
            การ เดินทางของแม่ทัพคูเดอเรียน ที่ต้องเข้าตรงเส้นทางฝั่งตะวันออกเพื่อที่จะล้อมโปแลนด์ให้เป็นวงกลมนั้น ต้องหมายถึงต้องเดินทัพชิดเส้นชายแดนรัสเซีย
            ที่กองทัพของ แม่ทัพ เซเมียน ได้จอดรถถังขวางเป็นแนวยาวอยู่แล้ว..ในฐานะที่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน (เพราะเซ็นสัญญาไว้)
            แม่ทัพคูเดอเรียน จึงขอให้ ทางรัสเซียเคลื่อนย้ายรถถังออกนอกเส้นทางหน่อย..
            แม่ทัพ เซเมียน ตอบมาอย่างหน้าตาเฉยว่า..
            "แม๊..เสียใจจริงๆท่านนายพลขอรับ คือว่า ทางเราน้ำมันหมดเกลี้ยงพอดี..!!

     Semyon Kirvoshein   

ความเป็นทหารรัสเซียนั้น พื้นฐานฝึกหัดกันมาให้รักชาติ รักแผ่นดิน รักคอมราด (ไม่ต้องรักผู้นำก็ได้) จากใบปลิว ข้อความที่กรอกหูทุกเช้าเย็นในช่วงของเงาสงครามที่กำลังจะคืบคลานมา
            นั่นคิอ ข้อความย้อมใจ เช่น ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้..หรือ ถ้าจะตาย เราต้องตายอย่างนักรบ และต้องสามารถรักษาชีวิตของคนอื่นๆ
            และ เราจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาเหยียบแผ่นดินของเราได้..
            ฉะนั้น ขอให้รู้เถอะว่า ในสงครามครั้งนั้น รัสเซียได้มีวีรบุรุษเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเด็ก และ คนชรา..
            อย่าง ใครต่อใครที่คิดว่า การพลีชีพเพื่อชาติสไตล์ คามิกาเซ่ ของญี่ปุ่นนั้น แน่หนักหนา ..ขอโทษทีค่ะ อันนี้ลอกมาจากรัสเซียเด๊ะๆ เพราะ ทางรัสเซียได้เกิดวีรบุรุษเช่นนี้ขึ้นก่อนใครๆ
            นั่นคือ เรืออากาศเอก นิโคไล กัสเทลโล ในการเริ่มต้นของสงครามเพียงไม่กี่วัน..ที่เครื่องถูกยิงจนลุกใหม้ ไม่มีทางรอด..เขาดำดิ่งลงไประเบิดตัวเองในฐานทัพของเยอรมัน
            ตายกันเป็นร้อยๆศพ..
            และ..Alexander Matrosov ทหารเกณฑ์ที่มีอายุเพียง 19 ปี ที่หน่วยของเขาเข้าโจมตีข้าศึก ที่มีกำลังเหนือกว่า เขาโยนตัวเองเป็นระเบิดพลีชีพในป้อมของข้าศึก
            เพื่อให้คอมราดได้มีโอกาสบุกล้ำหน้าเข้ามา..
            เมื่อ ตอนหลังสงครามหมาด..ท่านแม่ทัพ ไอเซ่นฮาวร์ ได้มีโอกาสไปเยือนรัสเซัย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับก็คือ ท่านแม่ทัพ ซูคอฟ (ขวัญใจคนเขียนมั้ง?)
            ไอเซ่นฮาวร์ ได้บอกกับ ซูคอฟว่า ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนนายร้อยจากเวสต์ป๊อยท์ จะขอบันทึกเรื่องราวของยุทธภูมิการสู้รบใน มอสควา, สตาลินกราด,
            เคิรสค์,และ เบอร์ลิน เพื่อให้นักเรียนรุ่นต่อๆไปในอนาคตได้ศึกษาและนำมาเป็นแนวทางต่อไป..
            แม่ทัพซูคอฟตอบว่า..เรียนกันแล้ว..จะเข้าใจเร้ออ...พวกท่าน(อเมริกัน)มักสั่ง สอนให้ประชาชนยึดถือว่า..เสรีภาพนั้นอยู่เหนือสิ่งใด ใครจะทำอะไรก็ได้ จะพูดอะไรก็ได้
            แต่พวกเรา รัสเชี่ยน..เรายึดมั่นสั่งสอนลูกหลานและประชาชนตั้งแต่เกิดว่า..รัสเชียนทุกผู้ต้องยอมตายเพื่อชาติได้ทุกเวลา..
            แค่นี้ ก็เล่นเอา ท่านไอค์ ของเรา สะอึกไปหลายวัน..

            (*** อเมริกาเพิ่งจะมามีคำขวัญประเภทให้รักชาติ ก็ตอนที่ 1960's ประธานาธิบดีเคนเนดี้ เข้าสาบานตน ที่เขาประกาศพร้อมน้ำตาว่า..Ask not what your country can do for you but what can you do for your country)    

Alexander Matrosov    





            ตอนก่อนสงคราม หลังจากที่ฮิตเล่อร์ลงนามในสัญญาเป็นเกลอกับรัสเซียนั้น การซื้อขายแลกเปลี่ยน เรื่องการออกงานโชว์อาวุธ ระหว่างประเทศต่างๆนั้น
            จัด ขึ้นประจำ..เป้าหมาย คือ หนึ่ง...เพื่อเป็นการประกาศแสนยานุภาพแบบกลายๆ ว่า ข้าแน่นะเฟ้ยย...สอง..คือ เพื่อการค้าหาเงินเข้าประเทศ..
            Alexander Yakovlev (อเล๊กซานเดอร์ ยาคอบเลฟ ซึ่งต่อไปในนี้จะเขียนว่า ยาโก้...) คือวิศวเจ้าพ่อผู้ริเริ่มสร้างสรรออกแบบ เครื่องบินต่อสู้ Yak-1,Yak-3
            ตั้งแต่ก่อนสงครามในปี 1934-36 ยาโก้ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมงานแสดงอาวุธต่างๆเสมอ เช่น งานแสดงแสนยานุภาพทางอากาศของอังกฤษ ฝรั่งเศส
            และของเยอรมันในต้นปี 1939 นี่เอง
            ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อกลับมารายงานให้กับทางรัฐบาลทราบการเคลื่อนไหว..
            ยาโก้ บินไปดูงานที่อิตาลี ด้วยเครื่องบินสี่เครื่องยนตร์ TB-3 ของรัสเซีย ที่ออกแบบโดย Andrei Tupolev ในยุคนั้น เครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียถือว่า
            มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าใครๆ จนการดูงานเครื่องบินของอิตาเลียนที่ผลิตโดยบริษัทเฟี๊ยต ไม่เข้าข่าย ไม่น่าประทับใจ สำหรับวิศวะมือหนึ่งอย่างยาโก้
            รวมทั้งของบริษัท Caproni ที่พาไปเยี่ยมชมโรงงานทำเครื่องบิน ก็เช่นกัน ยาโก้ได้ตรวจสอบสภาพและดูจากโครงสร้างแล้ว สามารถฟันธงสรุปไปได้เลยว่า
            ก๊อปชาวบ้านเขามาทั้งนั้น..
            ส่วนมุสโสลินี ก็โวน้ำลายฟุ้ง..ว่า เครื่องบินที่ว่ามานี่ ส่งไปรบที่
            อาฟริกา..โอ๊ยย..มีประสิทธิภาพเหลือเชื่อ..!!
            ส่วน ยาโก้..ได้ฟังเข้า ถึงกับส่ายหน้า ในความขี้ฝอยของมุสโสลินี เพราะ กะอีแค่จะไปรบกับเอธิโอเปียเนี่ยนะ เมิงต้องใช้เครื่องบินรุ่นใหม่เอี่ยม น่าสมเพชซะเจงเจง..!!

 Alexander Yakovlev    "ยาโก้"

Andrei Tupolev  



            ต่อมาก็งานแอร์โชว์ ของอังกฤษ ที่จัดขึ้นที่ ท่าอากาศยาน Hendon นอกกรุงลอนดอน งานนี้จัดขึ้นมาอย่างมโหฬารอลังการ์ มีการเปิดงานด้วยการบินโชว์ของเครื่องบินแบบต่างๆ  ตั้งแต่รุ่นโบราณครั้ง เครื่องบินปีกสองชั้นของ Wright brothers จนถึง Monoplane ที่ออกแบบโดย Louis Bleriot (นายหลุยส์ เบลอเรียต คนนี้ คือ นักออกแบบสร้างเครื่องบินที่สามารถบินข้ามช่องแคบอังกฤษได้เป็นคนแรกในปี 1909)
            สำหรับ ยาโก้ แล้วเครื่องบินพวกนี้ดูเหมือนกับ ชั้นวางหนังสือ และ ว่าว มากกว่าที่จะเป็นเครื่องบิน..ที่บินได้
            หลังจากการโชว์เครื่องบินรุ่นไดโนเสาร์ผ่านไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวการแสดงเครื่องบิน(สงคราม) แบบใหม่ๆ..ซึ่งการแสดงครั้งนี้ เครื่องบินดังกล่าวหลายลำได้มีการผูกริบบิ้นเป็นหางยาวเฟื้อย
            และขึ้นไปบินผาดโผนแบบกายกรรมบนท้องฟ้า ซึ่งมีการบินฉวัดเฉวียนผ่านกันไปมา โดยที่ ไม่มีการกระทบริบบิ้นให้ฉีกขาดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว..
            ยาโก้...ถึงกับจดลงในบันทึกด้วยความประทับใจ
            ในวันต่อมา..เขาได้กลับไปยังท่าอากาศยานนั่นอีก โดยการที่ได้รับเชิญจาก บริษัทสร้างเครื่องบิน De Havilland ครั้งนี้ การไปเยี่ยมชมคือธุรกิจล้วนๆ..
            เพราะ ทางบริษัทได้จัดให้มีการแสดง อาวุธติดตั้งในเครื่องบินแบบต่างๆ เครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินประจันบาน นานาชนิด
            ยา โก้ สนใจในเครื่องบินแบบใหม่ สองเครื่องยนต์ Monospar คือ Hurricane ที่สร้างโดยบริษัท Hawker และ Spitfire เครื่องรุ่นใหม่เอี่ยมของกองทัพอากาศอังกฤษ
            (เครื่องสองชนิดนี้แหละ ที่สยบลุฟท์วัฟฟ์ของเกอริงอย่างราบคาบ ใน Battle of Britain 1940)

            ปีที่ยาโก้ได้ไปเยี่ยมชมนั้นคือ ปี 1936 ซึ่งเครื่องบินรุ่นใหม่นั้น เอามาตั้งให้ดูเฉยๆ แบบห่างๆเพราะมีเชือกกั้น และไม่มีการให้คำอธิบายใดๆ เนื่องจากว่า นี่คือความลับขั้นสุดยอดของกองทัพ
            (แล้วมาอวดหาวิมานอะไร เน๊อะ?)
            ผุ้ออกแบบสร้างเครื่อง สปิตไฟร์ คือ นาย Reginald Mitchell ซึ่ง ยาโก้พยายามขอเข้าพบเพื่อสรรเสริญในความสามารถ หากแต่ ในยามนั้น นายมิตเชลกำลังป่วยหนัก จึงไม่ได้มีโอกาสได้พบกัน
            จากนั้นเขาก็ไปเยี่ยมชมการสร้างเครื่องบินที่ฝรั่งเศส ที่โรงงาน Renault-Caudron ที่เขาได้กลับมาบันทึกไว้ว่า
            " ไม่มีอะไรน่าประทับใจ เพราะมีเครื่องบินหลากหลายเหมือนกับของเล่นเด็ก ผู้ออกแบบพยายามประกวดในเรื่องของความสวยงามมากกว่าเครื่องบินที่จะมาใช้สู้ รบ
            (และก็จริงๆด้วย..ในยามที่เยอรมันบุกฝรั่งเศสในปี 1940 จึงได้ชัยชนะไปอย่างง่ายดาย เพราะ ฝรั่งเศสไม่มีแสนยานุภาพทางอากาศใดๆที่จะทัดทานเยอรมันได้เลย)

Spitfire  



            ในฤดูร้อนของปี 1939 ..ตอนนั้น เยอรมันยังคงสภาพเกลอกับรัสเซียอยู่ ยาโก้ และ นายพล Ivan Petrov ผู้เชี่ยวชาญแห่งกองทัพอากาศ ได้ไปเยือนเบอร์ลิน
            ใน ฐานะแขกเชิญพิเศษด้านเศรษฐกิจ เป็นหน้าฉาก หากแต่จุดประสงค์จริงๆแล้ว ทั้งสองต้องการดูเครื่องบินแบบใหม่ๆของเยอรมันที่เร่งผลิตออกมาหลายต่อหลาย รุ่น
            ในขณะที่เดินทางอยู่บนขบวนรถไฟเข้าเบอร์ลินนั้น ยาโก้ และ อิวาน ได้สังเกตุเห็นถึงความผิดปรกติในสีหน้าและท่าทีของผู้คนที่มีท่าทางหน้าตา ไม่มีความสุข
            ไม่มีความเป็นมิตร บรรยากาศของสถานีรถไฟก็อึมครึมไปหมด แม้แต่หน้าต่างในขบวนโบกี้ทุกคัน ติดม่านมืดทึบ..
            (ตอนนั้นคือ ช่วงที่อังกฤษได้ส่งระเบิดมาบอมบ์เบอร์ลิน)
            สถานการณ์ ในเบอร์ลินก็ดูฉุกละหุก ผู้คนรีบเดินทางกลับบ้านทันทีหลังจากเลิกงาน พอตกค่ำลง หลังจากสามทุ่มไป..ทุกอย่างจะเงียบสนิทราวกับเมืองร้าง
            ร้านค้า โรงหนังโรงละคร ต่างติดตัวกันเป็นแถวๆ เสียงหวอระวังภัยจะกรีดเสียงส่งมาเป็นระยะ และ ทั้งเบอร์ลินจะตกอยู่ในความมืดมิด..
            หาก แต่ในยามเช้า และกลางวันทั้งวัน ทุกอย่างยังคงเป็นปรกติ นักเรียนก็ไปเรียนหนังสือ ผู้คนก็ไปทำงาน ผุ้ชายแทบทั้งเมืองอยู่ในเครื่องแบบทหารหรือไม่ก็ SS หรือ ตำรวจ
            ส่วนคนที่ไม่ใช่ มักใส่เสื้อโค๊ตสีน้ำตาล และที่แขนเสื้อจะติดปลอกตราสวัสดิกะ..
            ยา โก้ รู้สึกแปลกใจที่เห็นโปสเตอร์ปลุกระดมอย่างมากมายตามที่ต่างๆ แม้กระทั่งในหน้าปกนิตยสาร ที่มีภาพของทหารที่มือหนึ่งถือน้อยหน่า อีกมือหนึ่ง ถือปืน ภาพแบ๊คกราวนด์เป็นภาพของซากตึกหักพัง ภายใต้ภาพเขียนไว้ว่า..วอร์ซอว์อยู่ในกำมือของเรา !!
            อีกภาพหนึ่ง ที่เขาไม่มีวันลืม..นั่นคือ ภาพของทหารเยอรมันที่ใกล้ตาย กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเทพยดา ภายใต้ภาพเขียนว่า
            "ทหารเยอรมันทุกคน ยอมตายเพื่อท่านผู้นำอย่างไม่มีเงื่อนใข"
            ส่วนภาพที่ติดอยู่ทั่วๆไป คือ ภาพของการทำลาย..ล้มล้าง โดยใช้คำขวัญว่า " The Spirit of Destruction"
            โดยที่ ยาโก้ และ อิวาน ไม่ได้สังหรณ์ใจแม้แต่นิดว่า ในภาพเหล่านั้น..เป้าหมายคือ รัสเซีย ในแผนของการปฏิบัติการ บาร์บารอสซา..!!


            ยาโก้และคณะ ได้รับบัตรเชิญให้เข้าไปเยี่ยมชมการผลิตเครื่องบินที่เมือง Oranienburg ที่อยู่ทางเหนือของเบอร์ลิน อย่างไม่คาดฝัน
            เพราะว่านั่นเปรียบเสมือนความลับขั้นสุดยอดของกองทัพ แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้รับคำตอบว่า ทำไม?
            เพราะ ทันที่ที่พวกเขาไปถึงยังที่หมาย จึงได้พบว่า ทุกอย่างได้มีการ"จัดฉาก"ไว้อย่างแนบเนียน และเป็นระเบียบเพื่อแขกชาวรัสเชี่ยนโดยเฉพาะหลังจากที่ได้เยี่ยมชมแล้ว..ทาง ผู้บริหารได้เชิญยาโก้ไปเซ็นข้อความลงในสมุดเยี่ยม..
            ซึ่งเขาได้เปิดไล่ไปตั้งแต่หน้าแรก ที่มีการจัดวางไว้ให้อย่างจงใจนั้น เขาก็พบว่า มีบุคคลสำคัญประเทศต่างๆได้เขียนคำเชยชมไว้มากมาย
            จากอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส โดยเฉพาะรายหลังนี่..เขียนไว้อย่างเลิศเลอว่า
            "มันช่างเป็นสิ่งที่วิเศษสุด ไม่เฉพาะแต่กับโรงงานที่ทันสมัย แต่นี่คือ แสนยานุภาพอันแข็งแกร่งของประเทศทีเดียวเชียว"
            ยาโก้จึงหันไปชมเชย พยักเพยิดกับคณะผู้บริหารชาวเยอรมัน พร้อมกล่าวว่า "จริง..ผมเห็นด้วยกับคำชมเชยต่างๆในนี้"
            แต่คณะผู้บริหารที่ว่านั่น ต่างทำท่ายะโสนิดๆ พร้อมกับพูดขึ้นโต้งๆอย่างไม่เกรงใจใครว่า
            "ก็ต้องให้ฝรั่งเศสรู้ซะมั่ง ว่า ฝีมือมันกะเราน่ะ ห่างกันแบบชนิดที่ว่ากระดูกมันละเบอร์ !!"
            เพียง แค่นั้น ยาโก้ก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือแผนปฏิบัติการทางจิตวิทยาของเยอรมัน ที่จงใจโชว์ให้ใครต่อใครเห็นว่า มีอาวุธที่ร้ายแรง อย่ามาแหยม..!!
            ก็เพราะอย่างนี้ ฮิตเล่อร์จึงเดินทัพเข้าไปยึดครองใครต่อใครอย่างง่ายดาย..

 Willi Messerschmitt  




            ยาโก้ ได้พบกับ Willi Messerschmitt ผู้ออกแบบเครื่องบิน
            เมสเซอร์ชมิทท์ เขาได้บันทึกไว้ว่า..
            วิลลี่ เป็นชายร่างผอมสูง ที่มีแววตาเอาเรื่อง.. และ นักออกแบบชาวเยอรมันคนนี้ ได้จัดการต้อนรับแบบมีชั้นเชิงแพรวพราว โดยการนำไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินที่ Augsburg เพิ่อที่จะไปดู ME-109 อันเลื่องลือ และการสนทนาได้ไถลเรื่อยเปื่อยไปถึงเครื่องบินที่ทรงอานุภาพรุ่นใหม่คือ ME-209
            ที่นักออกแบบต้นคิดไม่พยายามที่จะพูดถึงในเรื่องข้อมูลใดๆ แต่ แขกรัสเชี่ยนทั้งสองก็ยังคงพยายามตื้อในการขอชม..
            และ เมื่อไม่มีทางปฏิเสธ วิลลี่จึงให้คนเข็นเครื่องตัวอย่างออกมาโชว์ ซึ่ง ทั้งยาโก้และอิวาน ถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจในความกระจอกของเครื่องที่เห็นตรง หน้า
            เพราะ มันเปรียบเสมือน เครื่องบินเล็กที่เอามาดัดแปลงให้เป็นเครื่องประจันบาญ
            ยาโก้ เชื่อว่า ME-209 นั้น ยังคงเป็นแค่รูปภาพอยู่ในกระดาษ ยังไม่มีการลงมือสร้างแต่อย่างใด..และในยามบ่ายของวันนั้น เขาก็ได้แสดงความคิดเห็นออกไปตามที่ใจคิด
            ซึ่งวิลลี่ ได้ฟังเข้าถึงกับโมโหจนเก็บอาการไม่อยู่ ..ตะโกนสั่งให้เข็นเอา ME-209 ของจริงออกมาโชว์ทันที แต่..กระนั้น ของจริงก็ยังไม่ประจับใจ(จอร์ช..มั้ง)
            เพราะ ระบบต่างๆที่ว่านั้น ยังธรรมดาไม่มีอะไรที่วิเศษ ตามคำบรรยาย และ ด้วยความที่เป็นรัสเซีย ปากกับใจของยาโก้จึงตรงกัน
            คิดอย่างไร ก็พูดออกมาอย่างนั้น เล่นเอา วิลลี่ ถึงกับลมออกหู เขาพูดออกมาอย่างลืมมารยาทว่า
            "คุณไม่ชอบมันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่..คุณจะมาหาอะไรดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว(เฟ้ย)"
            ยาโก้และอิวาน ถึงกับสะดุ้ง ในความโผงผางของเยอรมัน..เพราะเรื่องอย่างนี้ รัสเซียค่อนข้างเซ้นซิทีฟ

Dr. Ernst Heinkel    



            Heinkel คือนักออกแบบเครื่องบินเยอรมันอีกคนหนึ่ง ที่ยาโก้ได้ไปพบ และขอเยี่ยมชมโรงงาน ซึ่ง เฮงเกลคนนี้ บุคคลิก แตกต่างไปจากวิลลี่อย่างสิ้นเชิง
            เขาคนนี้ อายุมากกว่า ร่างสั้น แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ความเป็นนายทุนแบบเต็มร้อย เนื่องจากทั้งสองเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเครื่องบินมากมายกระจายไปทั่วเยอรมัน
            โรงงานของเฮงเกล ได้ผลิต Heinkel-111 ที่ได้มีผลงานในสงครามกลางเมืองสเปน(1937) และ โปแลนด์ ในปีนั้น (1939)
            หลัง จากเยี่ยมชมจนหนำใจ..ทั้งยาโก้และอิวานก็ยังไม่สังหรณ์ใจเลยแม้แต่นิดว่า.. รุ่นใหม่ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า Heinkel-111s นั้น คือเครื่องแรกที่นำระเบิดไปหย่อนในผืนดินของรัสเซีย ในวันที่ 22 มิถุนายน 1941
            แต่ เนื่องจากเป็นแค่เครื่องหย่อนระเบิด จึงไม่มีการต่อสู้ป้องกันตัวเอง ต่อมาจึงกลายเป็นเป้าให้นักบินรัสเซียยิงร่วงกันอย่างมันมือ
            เฮง เกล เป็นคนมีลับลมคมใน ยามจะบอกอะไรมักต้องใช้อาการกระซิบกระซาบราวกับเรื่องคอขาดบาดตาย ผิดกับวิลลี่ เมสเซอร์ชมิทท์ ที่พร้อมจะโวได้ทุกเวลา
            เฮงเกล ได้นำเครื่องใหม่ออกมาโชว์อีกเครื่องหนึ่งคือ Heinkel-113 แต่ทั้งยาโก้และ อิวาน ก็ไม่ประทับใจ เพราะ มีจุดอ่อนมากมาย

            โรงงานต่อมาที่เข้าไปเยี่ยมชมนั่นก็คือ Junker เพื่อที่จะดู เครื่องบินสองเครื่องยนต์ Junkers-88 (ที่ลุฟท์วัฟฟ์ ใช้ตลอดสงคราม) ที่บินด้วยตัวเองเดี่ยวไม่ได้
            ถ้าไม่มีกองบินของเมสเซ่อร์ชมิทท์ และ ฟอค-วุฟ คอยคุ้มกัน ..อ้ะ พูดถึง Focke-Wulf นั่นคือ เครื่องบินพิฆาต จากโรงงาน ชื่อเดียวกันนี่แหละ..
            เจ้าของคือ นาย Kurt Tank อดีตนักบินของเกอริง..นายทังค์ เป็นทั้ง ผู้อำนวยการ ผู้ออกแบบ นักบินทดสอบ เรียกว่า เหมาหมดทุกตำแหน่ง..
            ท่า ทางเขาเป็นคนล่ำสัน บึกบึน สองแก้มของเขานั้น มีรอยบากแผลเป็นที่เกิดจากการดวลดาบในวัยเรียน อันเป็นสัญญลักษณ์ของชายชาตรีสายเลือดชาวปรัสเซียแท้ๆ
            ในระหว่างเยี่ยม ชม ทังค์ได้ทำการบินโชว์เพื่อการทดสอบด้วยตัวเอง..ซึ่ง ยาโก้ต้องยอมรับว่า เขาประทับใจในความสามารถอันล้นเหลือของชายหน้าบากคนนี้
            ต่อมา ทังค์ ได้เชิญแขกทั้งสองของเขาไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหารของพนักงาน...แทนที่จะเป็นห้องอาหารชั้นดี
            ซึ่ง อันนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับแขกต่างแดนพอประมาณ ทังค์ได้เฉลยว่า "อย่าแปลกใจนะ..ผมกินที่นี่ประจำ" และพูดต่อว่า
            "ก็เพราะผมเชื่อในสิทธิเท่าเทียม ตามระบอบประชาธิบไตยไง"
            มาถึงตรงนี้..ทั้งยาโก้และอิวาน ก็บอกกับตัวเองได้เลยว่า มาเจอไอ้ขี้คุยอีกคนหนึ่งแล้ว..เพราะ ทังค์ได้เล่าเพ้อเจ้อไปเรื่อยๆว่า..
            เขา กำลังสร้างเครื่องบินรุ่นใหม่ ที่มีความเร็วกว่า 434 ไมล์ต่อชั่วโมง (ในตอนนั้นถือว่าเร็วมากที่สุด) และ ถ้ามาคราวนี้ เป็นได้เห็นแน่ๆ..ทังค์พูดพร้อมกับทำท่ากระซิบกระซาบ..ราวกับเป็นความลับ ขั้นสุดยอด..


            อิวานได้รับคำมอบหมายจากสตาลินก่อนเดินทางมาเบอร์ลินว่า..เราต้องรู้ให้ได้ว่า เยอรมันสามารถผลิตเครื่องบินได้วันละเท่าไหร่..
            และ จากข้อมูลที่ได้จากไปเยี่ยมชมโรงงานต่างๆเหล่านี้ เขาได้คำตอบว่า น่าจะเป็นวันละ 84 เครื่อง ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะ รัสเซียสร้างได้อย่างเต็นที่ คือวันละ 20 เครื่อง
            แต่ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไร จำนวนก็ออกมาเท่าเดิม..และนี่คือปัญหาของยาโก้และหน่วยงานต้องแก้ใขอย่างเร่งด่วน
            ก่อนอื่น คือการสั่งซื้อเครื่องบินแบบเหมารุ่นอย่างละลำสองลำ เอากลับไปรัสเซีย และเป็นที่น่าประหลาดใจ
            คือ เยอรมันขายให้(ด้วยแน่ะ)
            ในข้อแม้สองข้อ นั่นคือ หนึ่ง ต้องซื้อเป็นเงินสด สอง ต้องอนุญาตให้วิศวะชาวเยอรมันมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานในรัสเซียด้วยเช่นกัน
            หลังจากการซื้อขายได้ผ่านพ้นไป..ความก็รู้ถึงหูฮิตเล่อร์ ที่โมโหโกรธา สั่งสอบสวนเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในครั้งนี้
            รายงานข่าวโดยละเอียดได้ไปถึงมือของยาโก้ ในปี 1942 ที่มอสควา ว่า..
            นายพลคนที่ตกลงใจขายเครื่องให้รัสเซียแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ถึงขนาดต้องยิงตัวตายเพื่อให้พ้นความผิดเลยเชียว..!!

            ME-109      






            ME-209    








            Heinkel-111 





            Heinkel-113   









            Junkers-88    






            ส่วนอันนี้เป็นหนึ่งใน Focke-Wulf

            FW190 หนึ่งในพระเอกของเยอรมันในสมัยนั้น    



            สุดท้าย ก็เป้นเครื่องบินไอพ่นที่ใช้งานในการรบได้จรงิๆแบบแรกของเยอรมัน ME262 ได้มีโอกาศโชว์ฟอร์มตอนช่วงปลายสงคราม



            ยาโก้..คือพยานคนหนึ่งที่ไปกับท่านรมต.ต่างประเทศ V.M. Molotov ในคราวเยือนเยอรมันเมื่อปี 1940 ที่ต้องวิ่งหลบระเบิดของอังกฤษหัวซุกหัวซุน
            พร้อมกับ รมต.ริบเบนทรอป(เยอรมัน) และเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า
            ริบเบนทรอปได้บอกกับ ท่านโมโลตอฟ ว่า..อังกฤษน่ะเสร็จเราเรียบร้อยแล้ว..
            ท่านโมโลตอฟ กำลังหัวเสียที่ต้องเข้าไปมุดอยู่ในหลุมหลบภัยระหว่างงานเลี้ยงรับรอง..ถึงกับสบัดเสียงย้อนกลับไปว่า
            "อ้อ..งั้นเร๊อะ..แล้ว..ที่พวกเรากำลังมุดอยู่ในรูนี่น่ะ มันเป็นระเบิดของใครกันฟะ...???"
            ยาโก้ ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เขาช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่า ริบเบนทรอปนั้นหน้าแหกอย่างชนิดหมอไม่รับเย็บ..
            สามเดือนหลังจากที่เยอรมันได้เบุกรัสเซีย เหล่าภาคี คือ อังกฤษ และ อเมริกา ต่างส่งตัวแทนรุดหน้าไปเจรจากับสตาลินที่มอสควาเป็นการด่วนถึงเรื่องของการ ให้ความช่วยเหลือ
            ตัวแทนของอังกฤษคือ Lord Beaverbrook และ ของอเมริกา คือ นาย Averell Harriman
            ฝ่ายรัสเซีย ไม่มีปัญหาอะไรมาก นอกจาก คำถามตรงเป้า ว่า สพม. จะช่วยอะไรได้บ้าง..และ เร็วที่สุด คือเมื่อไหร่..
            ส่วนสพม. ก็ได้แต่ถามว่า ทัพรัสเซียจะสามารถยันการบุกของเยอรมันได้นานแค่ไหน..
            ท่าน ลอร์ด บีเว่อร์บรุ๊ค ก็พยายามหาข้อมูลว่า ความแกร่งของรัสเซียที่จะทานเยอรมันให้หันมาทุ่มเทกำลังรบทางด้านนี้มีมาก เท่าไร เพราะ มันหมายถึงว่า..
            ฮิตเล่อร์จะได้ไม่หันไปยุ่งกับอังกฤษอีก และ ยิ่งรัสเซียสามารถต้านไปได้นานพอควร อังกฤษก็จะยิ่งมีเวลาหาผลผลิตทรัพยากรสงครามมาช่วยอุดหนุนจุนเจือมากขึ้น
            จาก การเจรจา ยาโก้ ประมาณการณ์ได้ว่า อังกฤษจะส่งเครื่องบินเฮอริเคน มาช่วย ซึ่งยาโก้ก้ได้แย้งไปว่า เครื่องเฮอริเคนที่ว่ามานี่ มัน"ตกรุ่น"ไปแล้ว
            มันเทียบกับเมสเซอร์สมิทท์ของเยอรมันไม่ได้ และ ถ้าอังกฤษจะช่วยจริงๆละก้อ เขาต้องการเครื่อง สปิทไฟร์ มากกว่า
            ฝ่าย เสนาธิการของอังกฤษตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า ยังให้ไม่ได้ เพราะ เครื่องสปิทไฟร์ ยังอยู่ในสถานะของ"ความลับขั้นสุดยอด" ที่ไม่สามารถจะนำไปแจกจ่ายให้ใครได้
            ยาโก้หงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาเกือบหลุดพูดออกไปว่า... ถ้างั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเจรจากันต่อไป..
            แต่ ฝ่ายหัวหน้าทีมล่าม คือ อดีตรมต.ต่างประเทศ นาย Maxim Litvinov ยอมรับข้อเสนอทั้งหมด ตามที่ฝ่ายสพม.ได้เสนอมา..รวมทั้งเครื่องเฮอริเคนที่ว่านั่นด้วย


            ในปี 1942 ยาโก้ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ผลิตเครื่องบินสงคราม ซึ่งหมายถึงเขาต้องทำงานกันวันละกว่าสิบแปดชั่วโมง..เพื่อความอยู่รอดของ ประเทศชาติ..สตาลินก็ได้ใส่ใจในเรื่องของกองทัพอากาศอย่างชนิดหายใจรดต้นคอ และ เรียกดูรายงานทุกครั้งที่มีความข้องใจ
            และ ใครอย่านึกว่า สตาลินไม่มีความรู้แล้วจะ"โง่"
            ที่ไหนได้..ยามที่นักการเมืองอเมริกัน นาย Wendell Willkie ได้มาเยือนถึงมอสควา สตาลินอัดด้วยคำพูดแรงๆเช่น
            "ทั้งอังกฤษ และ อเมริกา ต่างมีลูกเล่นมากมาย.. เครื่องบินดีๆอย่างที่รัสเซียต้องการใช้เช่น..P-39 Aerocobras ตามที่อเมริกา
            สัญญา ว่าจะส่งมาให้ใช้ก่อน 150 ลำ นั้น.แต่ถูกอังกฤษ "แฮป" ไปใช้หน้าตาเฉย..แล้วส่งเครื่องที่ล้าสมัยมาให้พวกเราใช้แทน..คุณคิดว่าคุณ ยังสนใจที่จะรู้เรื่องสงครามต่อไปไหมล่ะ?"

            ยาโก้..จำได้ดีถึงการพบปะครั้งแรก ระหว่างเขากับ คอมราด สตาลิน ในวันที่ 29 เมษายน 1939
            เขา รู้สึกตื่นเต้นจนแข้งขาสั่นไปหมด ขณะที่ได้ยื่นบัตรประจำตัวให้แก่ทหารรักษาการสองนายตรงทางเข้า..ซึ่ง ทหารสองนายนั้น ได้รับไปตรวจดูและทำความเคารพเขาอย่างขึงขัง
            จากนั้นเขา ก็ได้ถูกพาตัวเดินขึ้นบันไดที่ปูด้วยพรมแดงจนถึงห้องของฝ่ายเลขาธิการ ..ที่เข้ามาทักทายด้วยชื่อในรายการเข้าพบ..และ เขาก็ได้ถูกพาตัวเข้าพบกับสตาลินตามเวลานัดหมายเป๊ะ
            นั่นคือ 6.00 โมงเย็น ซึ่งยาโก้ ประหลาดใจในความเที่ยงตรงของการทำงานเป็นอย่างมาก (เพราะในยามนั้น ..เรื่องของการตรงต่อเวลาสำหรับชนชั้นผู้นำ ถือว่า ปาฏิหารย์)

            ยาโก้ได้สังเกตุห้องทำงานของคอมราดสตาลินด้วยความประหลาดใจ ที่เห็นว่า ห้องนั้นไม่มีอะไรแปลกไปจากห้องทำงานอื่นๆ
            ห้องนั้นโอ่โถงกว้างขวาง มีเพดานโค้ง ผนังสีขาวสลับด้วยการแซมแผ่นฝาไม้โอ๊ค มุมหนึ่งของห้องมีตู้กระจกที่โชว์"หน้ากากศพเลนิน***"
            ซ้าย ของตู้โชว์นั้นเป็นที่ตั้งของนาฬิกายืน เลยมาก็เป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีกองกระดาษสุมอยู่..และจากนั้นก็เป็น โมเดลของเครื่องบินแบบต่างๆ
            ที่ใช้ในรัสเซีย ทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมไปถึง เครื่องล่าสุดที่บินข้ามขั้วโลกเหนือไปยังทวีปอเมริกาในปี 1937
            ส่วนมุมขวาของห้องก็เป็นตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยงานของมาร์คซิสซั่ม..
            การพบปะในวันนั้น สตาลินและกลุ่มเสนาธิการได้สนใจในเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบใหม่ที่ยาโก้ได้ออกแบบออกมา.
            นั่นคือ BB ( Blizhny Bombardirovshchik โห..ใช้อักษรทุกตัวในแป้นพิมพ์เลยนะเนี่ย)
            หรือเรียกง่ายๆว่า..เครื่องบินทิ้งระเบิดฉับไวในระยะใกล้ มีสถานะภาพที่บินได้เร็วกว่าเครื่องบินในแบบเดียวกันถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมง
            สตาลินถึงกับอุทานว่า..มันวิเศษจริงๆ !!
            แต่เขาไม่หยุดความสงสัยไว้แค่นั้น เขาถามต่อไปว่า "แล้วมันบินเร็วกว่าเดิมได้อย่างไรล่ะ"
            ยา โก้ให้คำอธิบายว่า เป็นเพราะใช้ระบบเครื่องยนตร์แบบใหม่ ที่มีน้ำหนักน้อยกว่ากันมาก รวมไปถึงการออกแบบตัวถังเครื่องบินที่ไม่หนักอย่างแต่ก่อน
            สตาลิน ถึงกับยิ้มย่องด้วยความพอใจอย่างเอกอุ...

            (*** หน้ากากศพเลนิน หรือ Lenin's death mask นั้น คือ ในสมัยก่อน ยามที่คนมีชื่อเสียงเสียชีวิต เขาจะทำพิธีก๊อปหน้าด้วยขี้ผึ้ง เพื่อเอามาทำเป็นแม่แบบหล่อรูปปั้นเฉพาะส่วนหน้า ในกรณีของเลนินนี่ เขาเก็บศพดองเอาไว้เป็นที่ระลึกทีเดัยวเชียว)



            ต่อมาในฤดูร้อนของปี 1941 หลังจากที่ถูกเยอรมันบุกได้ไม่นาน สตาลินเรียกหายาโก้ให้เข้าพบอีก..คราวนี้เขาโวยวายว่า..
            " เฮ้ย..ทำไมเครื่องบินของใครต่อใครเค้าทาสี"พราง" (camouflag)กัน แล้วทำไมเครื่องของเรามันถึงได้ขาวแหง๋แก๋อย่างนี้วะ..พวกนายมัวแต่ทำอะไร กันถึงไม่รู้จักแหกตาดูชาวบ้านชาวช่องเขามั่ง.."
            ยาโก้..จึงรายงานว่า การทาสีพรางนั้นกำลังจะดำเนินไป เพราะ ต้องหาการสลับสีที่ไม่ซ้ำกับชาวบ้าน อีกทั้งต้องออกแบบการติดตราเพื่อไม่ให้เป็นการสับสนด้วย
            และ กำลังอยู่ในขั้นตอนกำลังดำเนินงาน
            สตาลิน สะบัดหน้าพรืดดด..บอกว่า "ไม่รู้ละ ทำให้เสร็จภายในสามวันนี้ ไม่งั้น..มีเรื่อง !!"

            ต่อจากนั้นมาไม่กี่วัน สตาลินก็เรียกหายาโก้อีกครั้ง..คราวนี้คือคำสั่งให้เขาไปออกแบบสร้างเครื่อง บินพิฆาตขับไล่ ที่มีประสิทธิภาพกว่าของเก่า
            สตาลินไม่ต้องการอะไรมากมาย..แค่..เครื่องใหม่ที่สามารถบินได้ไกลกว่าเก่า ทะยานขึ้นเพดานบินได้สูงกว่าเก่า..แค่เนี้ยยย..
            ซึ่งยาโก้ได้รับคำบัญชาตามที่ต้องการพร้อมทั้งถามว่า "ท่านต้องการให้เสร็จเมื่อไหร่?"
            สตาลินตอบแบบไม่ต้องคิดว่า.."วันปีใหม่นี้ได้ป่ะ?"
            ยาโก้ถึงกับเข่าอ่อน ต้องรายงานให้ทราบว่า
            " คอมราดสตาลิน กระผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านเครื่องบินพิฆาตขับไล่ และ ท่านทราบไหมว่า..อเมริกันนั้น ใช้เวลาถึงสองปีกว่าสร้างเครื่องบินชนิดใหม่ๆออกมาได้"
            สตาลินก็สวนกลับทันทีว่า
            "แล้วงะ..นายเป็นคนอเมริกันรึงัย....กลับไปรวบรวมพรรคพวกวิศวะเครื่องบินมือดีๆเข้าด้วยกัน เริ่มคิด เริ่มทำงาน..เดี๋ยวนี้..!!"
            ก่อนยาโก้จะกลับออกมาจากห้องทำงาน สตาลินหันมาบอกว่า..
            "ถ้าทำสำเร็จนะ..ฉันจะเชิญนายมาเลี้ยงน้ำชาฉลอง"

            (เนี่ย ..คือรางวัลที่สตาลินให้กับลูกน้อง แค่เลี้ยงน้ำชาเนี่ยนะ..ทีรายของแม้ว..เอ๊ย..ฮิตเล่อร์นั่น เล่นแจกบ้าน แจกเงินกันเป็นว่าเล่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแฮะ)



            ในเดือนมีนาคม 1943 ยาโก้ถูกเรียกตัวไปยังเครมลินอีกแล้ว เพื่อไปรับฟังผลการทดสอบของเครื่องบินรุ่น LA-5 ที่ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ
            แต่สตาลินไม่พอใจในระยะทาง เขาว่า มันควรจะบินได้ไม่ต่ำกว่า 620 ไมล์ อย่าง สปิตไฟร์ของอังกฤษ หรือ แอโรโคบราของอเมริกัน
            ยา โก้ จึงต้องรีบเบรคตัวโก่ง เพราะว่า จากการโค้ตระยะทางของท่านผู้นำนั้น มันไม่ใช่เครื่องที่กล่าวมา หากแต่มันเป็นระยะทางของเครื่องลาดตะเวณต่างหากที่สามารถบินได้ 1240 ไมล์ (ไปกลับ) เพราะ เครื่องพวกนั้นไม่ได้ติดอาวุธ ไม่ใช่เครื่องบินสำหรับรบ..
            สตาลินหันมาตะคอกเสียงลั่น..
            " หนอย นายเห็นว่าเราเป็นเด็กๆหรือไงวะ ที่ไม่รู้จักเครื่องบินรบกับเครื่องบินลาดตะเวณน่ะ อย่างไรซะ เครื่องสปิตไฟร์ก็ดีกว่าของเรา บินเร็วกว่า ไกลกว่า
            ไม่รู้ละ..ไปสร้างเครื่องบินออกมาใหม่ ให้ดีกว่าของพวกมัน   เข้าจั๊ยยย..???"
            ยาโก้..เห็นท่าไม่ดี ขี้เกียจจะเถียงท่านผู้นำในข้อมูล เพราะใครเล่าจะมารู้ดีไปกว่า วิศวะที่สร้างเครื่องบิน...จึงพึมพัมตอบไปว่า...
            "งั้นผมจะลองพยายามดูละกัน"


            ต่อมาในเดือนมิถุนายน ยาโก้และคณะก็ได้ถูกเรียกให้เข้าพบอีกครั้ง ในขณะที่ท่านผู้นำกำลังประชุมอยู่กับหน่วยเสนาธิการรถถัง และเหล่านายช่างต่างๆ ปัญหาเนี่องจาก รถถังรุ่น KV นั้น
            เกิดการชำรุดเสียหายมากมายในขณะช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มของสงครามที่คาคอฟ { Battle of Khakov}
            สตา ลินกราดเกรี้ยว..ไล่เบี้ยเหล่าเสนาธิการชนิดเรียงตัว ในเรื่องของการไม่รู้จักใช้สมองคิด เช่นว่า..เจือกสร้างรถถังหนาขึ้น ขนสัมภาระมากขึ้น ถังน้ำมันใหญ่ขึ้น   แต่เครื่องยนตร์ยังขนาดเท่าเดิม แล้วมันจะวิ่งไปไหนได้ไกลฟะ..
            จากนั้นเขาก็กล่าวคาดโทษถึงเป็นถึงตาย ก่อนที่จะส่งคณะออกไปให้ไปจัดการแก้ใขด่วน..
            ต่อมาก็ถึงคิวของยาโก้ และคณะ..ที่สตาลินยังกราดเกรี้ยวต่ออย่างไม่หยุดยั้ง..เนื่องจาก เครื่องบินต่อสู้ YAK หลายต่อหลายลำต้องนำลงจอดบนลานบินเพราะเกิดการชำรุดที่ปีก จนนักบินไม่ยอมนำขึ้นบินปฏิบัติงาน สาเหตุของการชำรุดมาจากการกดของอากาศที่ทำปฏิกิริยาทำให้แผ่นเคลือบที่ ปีกลอกออกมาเป็นกระบิ
            และ..สาเหตุที่เครื่องร่วงบ่อยๆอาจมาจากตรงนี้..
            งานนี้คอมราดสตาลินด่ายาโก้และคณะแบบไฟแล่บ..ชนิดใส่คะแนนไม่ทัน แถมซ้ำเติมด้วยว่า ก็เพราะเรื่องนี้ ทำให้สงครามแห่ง Kursk จึงได้สูญเสียมากขนาดนั้น  เป็นเพราะเครื่อง YAK เฮงซวยนี่ไง..เขากล่าวต่อไปด้วยโทสะว่า
            " มันเกิดขึ้นได้ยังไง..แล้วพวกเมิงสร้างเครื่องบินกันยังไงผิดพลาดเป็นร้อยๆ ลำ....รู้หรือป่าวววว่า สงครามกำลังเข้มข้นแต่เครื่องดันมาเสียซะนี่ พวกเมิงทำงานให้กับไอ้ฮิตเล่อร์หรือไง หา..!!!"
            ทุกคนเงียบกริบ..สตาลินเดินกลับไปมาที่โต๊ะวางแผนที่ สักพักเขาก็ระงับอารมณ์ได้ คราวนี้เขาถามขึ้นด้วยเสียงเป็นงานเป็นการว่า
            "แล้วพวกเราจะแก้ไขอย่างไรต่อไป"
            "พวกเราจะซ่อมเครื่องหมดอย่างด่วนที่สุด" หนึ่งในทีมของยาโก้ได้ตอบอย่างหนักแน่น
            "กี่วันเสร็จ?" เสียงสตาลินสั้นและห้วน
            "สองอาทิตย์ครับ คอมราดสตาลิน" ทีมงานคนเดิมตอบ
            "แน่นอนนะ" สตาลินคาดคั้นแบบเอาเป็นเอาตาย
            "ขอรับกระผม"
            ยาโก้..แทบกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้แร่ดไปซะ เพราะเขาพอมองเห็นว่า..งานนี้ไม่ต่ำกว่าสองเดือนจึงจะแล้วเสร็จ แต่ในเมื่อรับคำไปแล้ว..ยังไงก็ต้องเสร็จ
            ก่อนออกจากห้อง สตาลินไม่วายหันมากัดเล็กๆว่า.."สมน้ำหน้า อายเขาม๊ะล่ะ สร้างเครื่องออกมาก็พังแล้วพังอีก.."
            ยาโก้จึงต้องหันไปตอบว่า..
            " ท่านคอมราดสตาลินขอรับ, ผมเสียใจที่เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้น หากแต่มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเจตนาให้เป็น ดังนั้น พวกกระผมจะใช้เวลาปรับปรุงแก้ใขให้เร็วที่สุดเพื่อพร้อมขึ้นปฏิบัติการ"


            และก็จริงๆซะด้วย ยาโก้และคณะได้เริ่มลงมือกันทำงานชนิดไม่ได้หลับได้นอน สามารถซ่อมจนเสร็จก่อนสงคราม Orel-Kursk เริ่มเพียงไม่กี่วัน ในเดือนกรกฏาคม
            ในสงครามครั้งนี้ ฮิตเล่อร์ส่งทัพใหญ่กะถล่มแนวหน้ารัสเซียให้ราบเป็นหน้ากลอง โดยมีเครื่องบินบอมบ์ 150 ลำ ล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยเครื่องบินพิฆาตอีกนับร้อยๆลำ
            สงครามครั้งนี้ยิ่งกว่าสงครามเกมส์กด เพราะทั้งสองฝ่ายต่างส่งเครื่องบินอันเป็นผลิตผลแบบล่าสุดขึ้นไปปะทะกันอย่างเมามัน
            เครื่องของยาโก้และคณะ คือ YAK-7B, LA-5,LA-7, ILYUSHIN-2
            ฝ่ายของลุฟท์วัฟฟ์ ก็มี Focke-Wulf 190 A,Henschel-129
            หกวันหลังจากการปะทะ ในรายงานของรัสเซียกล่าวว่า เยอรมันสูญเสียเครื่องบินกว่าพันลำ และภายในวันที่ 12 กรกฏาคม รัสเซียสามารถถล่มการบุกของเยอรมันได้อย่างราบคาบ
            และ..ในชัยชนะครั้งนี้ ทัพอากาศรัสเซียก็สูญเสียไม่น้อยเช่นกัน..
            ยาโก้ได้ทำการบันทึกข้อมูลในการที่รัสเซียได้ประสบกับความสูญเสียครั้งนี้ไว้ว่า..
            หนึ่ง.. เป็นการประมาณการณ์สงครามที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ของทัพอากาศที่ให้ความสำคัญกับการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดมากกว่าเครื่อง สงครามอย่างอื่นๆ
            สอง..การมองข้ามความสำคัญของจุดยุทธศาตร์ เพราะ ในแนวหน้า ศูนย์การบินที่มีเครื่องบินจอดมากมายนั้น อยู่ใกล้กับชายแดนมากไป
            สาม.. ในช่วงของปี 1930's รัสเซียมีเพียงสองหน่วยงาน(บูโร)เท่านั้น ที่ดูแลการสร้างเครื่องบิน หนึ่งคือ ดูแลในด้านเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างเดียว อันที่สองคือ ดูแลการสร้างเครื่องบินพิฆาตขับไล่ และสองหน่วยงานนี้ก็ไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนัก เพราะ ไม่มีคู่แข่ง..
            สี่..... โรงงานสร้างเครื่องบินที่กระจัดกระจายนั้น ตั้งอยู่ในฝั่งของยุโรป และส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำโวลก้า(ลุฟท์วัฟฟ์ บินถึงได้อย่างสบาย) เพียงไม่กี่โรงงานเท่านั้นที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำ (อันนี้ไกลไปหน่อย ข้าศึกบินไม่ถึง)
            ส่วนอื่นๆนั่นก็คือ ท่านผู้นำสตาลินใช้เวลาสองปีของการเซ็นสัญญาต่างคนต่างอยู่กับเยอรมัน(เมื่อ เดือนสิงหาคม 1939) นั้นอย่างสิ้นเปลืองเพราะในช่วงนั้น เขาและทีมงานสร้างเครื่องบินคณะอื่นๆ
            ได้อดตาหลับขับตานอนส่งแปลน ส่งรายงานไปให้เบื้องบนพิจารณา แต่..ก็ไม่ได้รักการส่งเสริมอย่างเต็มที่
            แถมในช่วงสองปีนั้น..รัสเซียยังค้าขายน้ำมันและแร่เหล็กให้กับเยอรมันไปสร้างอาวุธอีกซะด้วยซ้ำ

            ผลงานของยาโก้ ได้รับการสรรเสริญและสดุดีพร้อมทั้งรางวัลเกียรติยศมากมาย เขาได้รับตำแหน่งให้เป็นนายพล และเข้าดูแลรับตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การบิน
            ถึง แม้ว่า..ในระยะของสงครามขั้นแรก. ชีวิตของลูกหลานนักรบรัสเซียได้สิ้นไปมากมายก็จริง..แต่สุดท้ายแล้ว..น่านฟ้าและเสถียรภาพความมั่นคงของก็ได้คืนกลับสู่ชาวรัสเซียอีกครั้ง..จากมันสมองและจิตใจของยาโก้และคณะวิศวะเครื่องบินในทีมที่อุทิศให้กับประเทศชาติทั้งหมด..!!

            (ในรายงานไม่ได้บอกต่อว่า..สตาลินพาไปเลี้ยงน้ำชาที่ไหนและเมื่อไหร่ซะด้วยซิ)

  YAK  7B      

LA  5          

LA 7 

ILYUSHIN-2

ป.ล.  ในความคิดเห็นข้างล่างของคุณนอนเช้าและคุณ Peet  ที่ชอบอ่านเรื่องสงครามฝั่งรัสเซีย..ซึ่งก็ตรงกับใจของดิฉีนมาก เพราะทางฝั่งรัสเซียนั้นมีข้อมูลและมีหนังสือที่เขียนโดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างรบมากมาย หากแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเขียนถึง..ดิฉันเคยเกริ่นไว้ว่า อยากทำงานนี้..ในช่วงที่ชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรให้เร่งรีบ...ตอนนี้กำลังที่กำลังอ่านอยู่..ก็มีกองอยู่ข้างเตียงนี่ละค่า...




Create Date : 12 กรกฎาคม 2556
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 3:52:44 น. 0 comments
Counter : 2219 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]