ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด

Renate Müller

หลังจากที่หลานสาวสุดที่รักได้จากไป..ฮิตเล่อร์ก็หันมาสนิทสนมกับเอวามากขึ้น  แต่ก็ยังลอบพบปะกับดาราหนัง สาวสวย Renate Mueller ที่ต่อมามีการขู่ว่าจะแฉความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฮิตเล่อร...
แต่แล้วก็ต้องมาพบกับจุดจบในสภาพที่ศพไม่สวย..ตกลงมาจากตึกโรงแรมในเบอร์ลิน...ที่หนังสือพิมพ์อ้างว่า..เป็นการฆ่าตัวตาย (จริง จริ๊ง..) หาใช่มีใครไปผลักมาไม่...
ส่วนสาวเอวานั้นเล่า..ก็เฝ้าตามหึงหวงพ่อเจ้าชู้ไก่แจ้ฮิตเล่อร์แบบตามติด... และเคยถึงขนาดยิงตัวตาย แต่พลาดรอด..มาแล้ว..เพราะยิงแบบเฉี่ยวๆ..หมอเลยช่วยรักษาเอาไว้ได้..
หลังจากการพลาดรอดของเธอนั้น...ทำให้ฮิตเล่อร์เริ่มคิดได้...เขาจึงเอาอกเอาใจเธอมากขึ้น..และไม่ค่อยได้ทำตัวหวานกับสาวอื่นๆมากนัก
แต่ฮิตเล่อร์ตั้งใจไว้อย่างเด็ดเดี่ยว..นั่นคือ..การที่จะไม่มีทายาทสืบต่อไป..เพราะเขาว่า ไม่อยากผิดหวังกับเลือดเนื้อเชิ้อไข ถ้ามันเกิดมาแล้วไม่ฉลาดเทียบเท่ากับพ่อ

พรรคนาซี พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ข่าวฉาวๆของฮิตเล่อร์หลุดออกไปข้างนอก..เพราะในเวลาที่ปราศรัย..ฮิตเล่อร์มักจะปาวๆเสมอว่า..เขาไม่มีความรักอื่นใดนอกเหนือไปจากการรักชาติ รักประชาชนชาวเยอรมัน
และที่เขาไม่แต่งงาน..เพราะเขาได้แต่งงานกับประเทศชาติและประชาชนไปแล้ว..ซึ่งเป็นที่จับใจอย่างเหลือร้าย เนื่องจาก ในช่วงหลังสงครามนั้น เยอรมันเต็มไปด้วยแม่ม่ายที่ทุกข์ระทม
ฮิตเล่อร์จึงโดดเด่นขึ้นมา..กลายเป็นขวัญใจในเหล่าหญิงๆ..และเป็นวีรบุรุษให้กับประเทศที่กำลังอยู่ช่วงระทมทุกข์..
ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่เขาเพียงคนเดียว
ซึ่งในช่วงนั้น..พรรคนาซีจึงจำเป็นที่จะต้องเก็บตัว เก็บข่าวของเอวาไว้อย่างมิดชิด

ส่วนทางฮิตเล่อร์นั้นก็ได้ผู้นำฝ่ายโปรประกันดามาใหม่..นั่นก็คือ นาย Joseph Goebbels ที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในพรรค หากแต่คนทั้งสองได้ต้องชะตากันอย่างแรง..
ที่นานเกิบเบิ้ลส์ได้เขียนบรรยายไว้ว่า...ตั้งแต่วินาทีที่ได้สัมผัสมือกัน..สายตาประสบกัน..รู้สึกได้ทันทีเหมือนตัวจะลอยราวกับจะไปสวรรค์..ชายคนนี้มีพลังราวกับเป็นเจ้าเหนือหัว...
ส่วนฮิตเล่อร์ ก็..ประทับใจในตัวสมาชิกใหม่คนนี้เช่นกัน ในฐานะที่เป็นนักเขียนและนักอภิปรายที่โดดเด่น เขาเชื่อว่า..ถ้าได้คนอย่างเกิบเบิ้ลส์มาร่วมงานแล้ว..
พรรคนาซีจะต้องได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในคราวเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพราะที่ผ่านมาในปี 1925 และ 1928 นั้น..มันยังไม่เข้าเป้า..
แต่การที่จะโหมการโปรประกันดานั้น..มันต้องใช้เงิน..ซึ่งเป็นสิ่งที่นาซียังขาดแคลน..รายได้ส่วนใหญ๋ก็มาจากการสนับสนุนพรรคของกลุ่มนายทุนกลุ่มเล็กๆ
ครั้งเมื่อฮิตเล่อร์หันไปขอความช่วยเหลือจาก..กลุ่มนายทุนระดับอุตสาหกรรม  เขาถูกตอกหน้ากลับมาว่า..นโยบายของพรรคนาซีนั้น..มันเอียงไปทางฝ่ายซ้ายหนักไปหน่อย
(หมายเหตุ เพราะเบื้องหลังอีกคนหนึ่งที่ศรัทธาในตัวฮิตเล่อร์ คือ เศรษฐีใหญ่ Emil Kirdorf ที่ชักชวนเพื่อนๆจากพรรคการเมืองอื่นๆม่ว่าจะทุนนิยม เสรีนิยม กรรมกร
แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ให้มาช่วยสนับสนุนพรรคนาซี..เพราะนั่นคือทางออกทางเดียวที่ประเทศฝากความหวังไว้..เพราะทุกคนต้องการให้ฮิตเล่อร์และพลังประชาชนที่สนับสนุนอย่างท่วมท้นนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล
หรือที่เราจะเรียกว่า.. ไรค์ซตาค..Reichstag
นายเคอดอร์ฟ..มีข้อแม้บางประการในการ"ลงทุน" กับพรรคนาซีบางประการ..นั่นคือ การกำจัดพวกฝ่ายซ้ายออกไปเช่นกลุ่มของ Gregor Strasser, Ernst Rohm ออกไป..
แต่..ฮิตเล่อร...อึกอักและละล้าละลัง..รับปากแต่ไม่ทำ..นายเคอดอร์ฟและทีมเศรษฐีจึงหันไปสนับสนุนพรรค  German Nationalist Party (DNVP) ที่มีหัวหน้าคือ  Alfred Hugenberg...วิวันดา)

Emil Kirdorf


โชคมาช่วยพรรคแบบบุญหล่นทับ..นั่นก็คือ การล่มสลายของเศรษฐกิจโลก วอลล์ สตรีท ในปี 1929  ที่อเมริกาขอเรียกเงินคืนจากการให้กู้ประเทศกลุ่มยุโรป..ปัญหาการว่างงานทับถมทวีคูณ..เยอรมันที่กำลังหลักนั้นมาจากเงินที่สหรัฐช่วยพยุงเอาไว้ก็ล้มครืนไม่เป็นท่าเช่นกัน
ทั้งๆที่ก่อนล่มนั้น..เยอรมันก็มีปัญหาการว่างงานถึงล้านกว่าคนแล้ว..พอจะเข้าสู่ ปี 1930 นั้น..มันทะยานไปถึงสี่ล้าน..ถึงพวกที่มีงานทำอยู่ก็เช่นกัน เงินเดือนค่าจ้างถูกตัดแหลก..ทุกคนกลายเป็นพวกรายได้ต่ำกันทั้งประเทศ
แน่นอนว่า..ฮิตเล่อร์ได้กลายมาเป็นพระเจ้าไปในตอนนั้น เพราะในช่วงของปี 1928 นั้น..เขาเคยได้อภิปรายไว้ว่า..หายนะทางเศรษฐกิจกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
ตอนนั้น..ใครต่อใครพากันหัวเราะเยาะและมองเห็นเขาเป็นตัวตลก..แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงตามคาด..เขาได้กลายมาเป็นอัจฉริยะผู้มองเห็นจริงในอนาคต...ในช่วงข้ามคืนนี่เอง
พอฤดูหาเสียงมาถึง 1930 พรรคนาซีก็ได้เสียงมาแบบถล่มทะลาย...จากที่เคยมีที่นั่งในสภาแค่สิบสี่ที่นั่ง..ก็ เพิ่มมาเป็น 107
แต่มันก็ยังไม่ใช่อำนาจทั้งหมด เพราะในสภานั้นประกอบไปด้วย ผู้แทน 577 ที่นั่งด้วยกัน จากพรรคโน้นพรรคนี้..
นั่นหมายถึงการออกเดินสายอภิปรายการโจมตีจุดอ่อนของคู่แข่งต่างพรรคได้เริ่มต้นขึ้นอีก...

ฮิตเล่อร์ได้ใช้วาทะเด็ดๆในอดีตออกมาหากินอีก...นั่นก็คือ การหั่นภาษีและโอบอุ้มชาวนา กรรมกร.... โจมตีพวกกลุ่มทุนนิยม พวกที่โกยกำไร
หากแต่..ยามที่เขาคุยกับนายทุนอุตสาหกรรม..เขามักจะเน้นไปทางกำจัดคอมมิวนิสต์ และ..ลดบทบาทของกลุ่มสหภาพแรงงาน
และแน่นอนว่า..เขาโจมตีในความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์อย่างเต็มที พร้อมทั้งประกาศว่า.ถ้าเขามีอำนาจเต็มในรัฐบาล..อย่าหวังเลยว่าเขาจะจ่ายเงินค่าปฏิกรรมสงครามแม้แต่เก๊เดียว
ซึ่ง..เขาได้พูดถึงแต่สิ่งที่ทุกคนอยากจะฟัง...แต่พยายามเลี่ยงในการที่จะตอบว่า..แผนพัฒนาชาติของนาซีนั้นเป็นอย่างไร..ถ้าหากว่าได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

เพราะการที่สภาได้แตกออกเป็นหลายพรรค..ทั้งใหญ่และยิบย่อยนั้น อำนาจเด็ดขาดจึงตกไปอยู่ในมือของประธานาธิบดี นาย Paul von Hindenburg
ฮิตเล่อร์นั้นก็แสนบ้าบิ่นเกินตัว....ในปี 1931เขาขอ"ท้าประลอง" นอกรอบ ขอให้ประชาชนและสภาลงคะแนนเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้ความนิยมมมากกว่ากัน ระหว่างเขาผู้ที่ยังหนุ่มยังแน่น กับ ประธานาธิบดีวัยกว่าแปดสิบที่มีอาการหลงๆลืมๆ
ขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว..
แต่ขนาดว่าหลงๆลืมๆ..อายุมากขนาดนั้น..ก็ยังได้รับชัยชนะแบบท่วมท้น..เพราะ..ฮิตเล่อร์อาจจะเป็นผู้ที่ได้ความนิยมก็จริง..แต่ยังขาดคำว่า "บารมี"..
นาย  Heinrich Bruening  นายกรัฐมนตรีและคณะผู้แทนอาวุโสในสภา ต่างก็เกรงว่าฮิตเล่อร์จะใช้กองทัพนักเลงเข้ามาทำการปฏิวัติแบบดื้อๆ..เพราะใครๆก็รู้ว่า Ernst Rohm หัวหน้ากลุ่ม SA นั้น..มีนิสัยเป็นอย่างไร..
อีกทั้งสามารถเรียกกำลังพลให้มารวมตัวกันได้กว่าสี่แสนนาย..ในขณะที่กองทัพเยอรมันนั้นได้ถูกลดขนาดไปให้เหลือไว้แค่หนึ่งแสนเท่านั้น..(ตามสนธิสัญญา)
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม..นายเบรินนิ่งจึงได้สั่งยุบหน่วยนอกกฏหมาย SA และสั่งห้ามไม่ให้มีการชุมนุมอีกต่อไป

Heinrich Bruning


ในเดือนพฤษภาคม ปี  1932,  ท่านปธน. Paul von Hindenburg ได้ประกาศแต่งตั้ง นาย Franz von Papen ให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ นาย Heinrich Bruening  ซึ่งวก็เข้าทางของพรรคนาซีพอดี เพราะนาย
ฟอน ปาเปน คนนี้ก็คือ เกลอเก่าของพรรคนาซีนั่นเอง..ทันทีที่ขึ้นมารับตำแหน่ง นายกคนดีก็ให้นิรโทษกรรมแก่กลุ่ม SA ทันที..
สองอาทิตย์ต่อมา..การปะทะระหว่างกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ และ กลุ่มนาซี SA ก็เปิดฉากขึ้นในถนนกลางเมือง  ผลคือมีผู้เสียชีวิตถึง 86 คน
นาย ฟอน ปาเปน ได้เถลิงอำนาจอย่างเต็มที่..เขาเปิดสภาให้มีการลงคะแนนโหวตใหม่..คราวนี้พรรคนาซีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาถึง 230 ที่นั่ง..เท่ากับว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภา แต่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพราะเสี้ยนหนามก็คือ พรรค German Social Democrat Party  ที่มี 133  และ  German Communist Party หรือ KPD ที่มีอยู่ 89 และสองพรรคนี้ก็มีพื้นฐานเสียงเป็นกลุ่มชาวชนบทส่วนใหญ่เสียด้วย
ฮิตเล่อร์คิดว่า..เขาสมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี...เสียที..
แต่ท่านปธน...Paul von Hindenburg ..ไม่เห็นด้วย..แถมยังหันไปแต่งตั้งนายทหารคู่ใจ..Major-General Kurt von Schleicher ให้มาเป็นนายก เท่ากับเป็นการตบหน้าฮิตเล่อร์เข้าอย่างจัง..
ดังนั้น..ทุกคนก็พอจะเดาได้ว่า..การอาละวาด..ลงไม้ลงมือและ สงครามน้ำลายได้เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย..
กลุ่มองครักษ์นาซี..ได้เปิดทำการทุบตีสมาชิกสภาฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นว่าเล่น..แบบไม่เกรงกลัวกฏหมายเสียด้วย..ในการวิวาทะครั้งหนึ่ง..เป็นการรุมแบบ 167 ต่อ 57 ที่ฝ่ายหลังคือ พรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกหามออกจากสภาด้วยสภาพที่ยับเยิน

จากนั้น หน่วย SA ก็ถือโอกาสกำจัดและข่มขู่พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามหมด ไม่ว่าจะเป็นเสรีประชาธิปไตย และคอมมิวนิสต์ เพราะฮิตเล่อร์คอยให้ท้ายในทุกรายการ
เลยทำให้ประชาชนเกิดความระอา..ดังนั้น..การเลือกตั้งในปีต่อมา คือ ปลายปี 1932 นั้น..พรรคนาซีคะแนนหดหาย ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความเห็นใจจนจำนวนที่นั่งในสภาได้เพิ่มมากว่าร้อยที่นั่ง..
ฮิตเล่อร์จึงเอาจุดนี้มาโจมตีและขู่ฟ่อ...ต่อไปว่า..เยอรมันกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในสาขาของบอลเชวิครัสเซีย..
พรรคเดียวที่จะช่วยประเทศให้แล้วรอดปลอดภัยจากบอลเชวิคได้ก็คือ พรรคนาซี..เพียงพรรคเดียวเท่านั้น
ข้อความนี้ได้เข้าไปตีเข้าที่กลางใจของกลุ่มนายทุนระดับอุตสาหกรรมที่กลัวคอมนิวนิสต์จนขึ้นสมอง..ดังนั้น..กลุ่มทุนที่มี"อำนาจมืด" อย่างเต็มเปี่ยมในรัฐบาล..จึงรวมตัวกันยื่นหนังสือลับถึงท่านปธน. Hindenburg
ขอให้มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้แก่ฮตเล่อร์แห่งพรรคนาซีโดยด่วน

ท่านปธน. หรือจะกล้าโต้แย้งกับอู่ข้าวอู่น้ำ...ดังนั้น..ฮิตเล่อร์จึงได้เป็น นายกรัฐมนตรีของเยอรมันด้วยวัยเพียงสี่สิบสามปี

ทันทีที่ฮิตเล่อร์ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง..เขาประกาศการเลือกตั้งใหม่..โดยมีเกอริงเป็นมือขวาในการประสานงานกับกลุ่มนายทุนเพราะค่าใช้จ่ายในครั้งนี้จะสูงถึงสามล้านมาร์ค..และจะต้องได้ชัยชนะแน่ๆ..
และชัยชนะนี้..จะเป็นการคืนทุนให้กับสปอนเซอร์แถมกำไรอย่างงดงาม..ซึ่ง...เงินทั้งก็ได้หลั่งไหลมาสู่พรรคราวกับเนรมิต เพราะความที่ทุกคนกลัวคอมมิวนิสต์จะเข้ามามีอำนาจนั่นเอง..
พอฐานะอู้ฟู่..เงืนเต็มกระเป๋า...ฝ่ายโปรประกันดาก็ทำงานแข็งแรงแข็งขัน..
นายเกิบเบิ้ลส์ ถึงกับบันทึกไว้ว่า...สื่อทั้งหมดอยู่ในมือเรา..เงินเพียบ...ชัยชนะจะไปไหนเสีย...

เกอริง..ทำหน้าที่คุมมหาดไทย..และ กรมตำรวจ..ที่เขาได้ทำการสับ เสริม เปลี่ยน ตำแหน่งและกรมกองใหม่..เขาเพิ่มเข้าไปอีกห้าหมื่นอัตรา..โดยการเกณฑ์กำลังพลมาจากกลุ่ม SA  ส่วนกรมกองใหม่
ที่ทำหน้าที่สารพัดสืบสวน สอบสวน กำจัดเสี้ยนหนาม นั้น เรียกว่า Gestapo


จากนั้นมา..การทำลายฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มเกิดขึ้น..เริ่มจากการโปประกันดาก่อน..โดยการส่งและกระจายข่าวว่ามีการพบข้อมูลว่า "อาจจะมีการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล"  โดยรัฐบาล
ต่อมาก็มีการออกข่าว่า..พวกคอมมิวนิสต์มีแผนที่จะใส่ยาพิษลงไปในน้ำนม
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933,  ที่ทำการรัฐบาลเกิดเพลิงใหม้ขึ้น..ฝ่านพรรคคอมมิวนิสต์ถูกจับไปหลายคนเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นมือเพลิง..
ซึ่งเข้าทางของเกอริงและเกิบเบิ้ลส์ สองแรงแข็งขันที่ช่วยกันใส่สีตีใข่กันต่อไป..
ซึ่งฮิตเล่อร์ขานรับ..ว่า ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มหัวหอกคอมมิวนิสต์ทันที..โดยเสนอว่า ให้แขวนคอพวกมันในวันนั้นเลย..
แต่ท่านปธน...ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้..แต่ขอให้ดำเนินไปตามกฏหมาย คือ มีการสืบสวนและลงโทษตามบัญญัติ
สรุปว่า..หลุดจากการแขวนคอก็จริง..แต่ผู้ถูกกล่าวหานั้นรับโทษเท่าเทียมกับตาย..นั่นก็คือ ถูกส่งไปยังค่ายนรก..ที่เหลืออยู่ต่างก็โดน"ไข้โป้ง" กันไปตามๆกัน
ที่พอไหวตัวทันก็พากันหลบหนีออกนอกประเทศ..แต่พรรคสังคมประชาธิปไตย หรือ Social Democrat Party (SDP) ที่เอียงซ้ายนิดๆนั้น...ฮิตเล่อร์ยังต้องเก็บไว้อยู่ เพราะฐานเสียงของพรรคนี้คือกลุ่ม
คาธอลิคที่จำนวนมาก..ที่เขาต้องการให้มาสนับสนุนในสภา
ในชั้นแรกของการเถลิงอำนาจ...ฮิตเล่อร์ได้เข้ามาควบคุมกลุ่มสหภาพแรงงานทั้งหมด..ส่งพวกปากดี หัวแข็ง พวกที่ชอบต่อต้านเข้าค่ายนรกไป..ที่เหลือ..ก็เอาเข้ามารวมอยู่ในสังกัดนาซี
จากนั้นฝ่ายตรงข้ามนาซีทั้งหมด..ก็ถูกละลายและกำจัดเรียงตัวไป...นักโทษการเมืองในค่ายนรกได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น แสนห้า...ในปีแรกที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมาเกสตาโปก็รับช่วงต่อ...คือการส่งนักโทษ..ระดับหัวขโมย..โสเภณี..เร่รอนขอทาน.. รักร่วมเพศ เข้าค่ายตามกันไป..
เท่ากับว่า..เยอรมันในยุคนาซีนั้น...คือเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ...เคียงคู่ไปกับ อิตาลี ที่มีผู้นำ คือ Benito Mussolini...ที่ฮิตเล่อร์ถือว่าเป็นไอดอลในดวงใจ...
ในส่วนดีของการเป็นรัฐบาลเผด็จการนั้น..คือการที่เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจแบบเด็ดขาด..ไม่มีการปั่นหุ้น ไม่มีการกักตุนสินค้า..ไม่มีการค้ากำไรเกินควร..โรงงานผลิตตามสั่ง..ขายตามจุด..ขายตามราคาที่กำหนด
ซึ่งได้รับการขานรับจากกลุ่มนายทุนพ่อค้าพอสมควร เพราะถือคติที่ว่า  พอขายได้..ดีกว่า..ขาดทุน..

ถึงจะแข็งขืนกับใครต่อใคร...ฮิตเล่อร์ก็ยังฉลาดพอที่ยอมอ่อนให้กับศาสนา..เพราะพลังทางด้านนี้นั้นแข็งแรงนัก..เขายอมเซ็นสัญญากับพระสังฆราช Pius XI ว่า..เขาจะไม่ยุ่งกับกลุ่มคริสตจักร...ตราบใดที่กลุ่มนี้ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองของเยอรมัน

สื่อทั้งหมด..ได้ถูกควบคุมโดยเกิบเบิ้ลส์..ไม่มีใครมีเสรีในการเสนอข่าวที่จะต้องถูกกลั่นกรองจากเขาแต่เพียงผู้เดียว รวมไปถึงตำราเรียนทั้งหมดในโรงเรียน

สี่ทหารเสือที่เรียงรายรอบฮิตเล่อร์นั้นคือ...Hermann Goering, Joseph Goebbels, Heinrich Himmler และ  Ernst Rohm  
สองในสี่นี้..ที่ทำหน้าที่คล้ายๆกันก็คือ..เกอริง และ รอห์ม  หรือระหว่าง ตำรวจ เกสตาโป กับ  กลุ่ม SA  ซึ่งที่มีหัวหน้าเป็นคนอย่าง รอห์ม...ที่มีอำนาจมาก แถมไม่เคยก้มหัวให้ใคร..แม้แต่กับฮิตเล่อร์

ดังนั้น..แผนขจัดมารได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด..จากสามทหารเสือที่รวมรวมเอกสารลับขึ้นเสนอต่อฮิตเล่อร์ว่า..ทั้งหมดคือหลักฐานชี้ชัดว่า..รอห์มกำลังจะทำการล้มล้างฮิตเล่อร์โดยได้รับทุนสนับสนุนจากฝรั่งเศสถึงสิบสองล้านฟรังก์
ฮิตเล่อร์..ไม่เชื่อในหลักฐานนี้ เพราะ เขารู้จักรอห์มดี..เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่ต้น..อีกทั้งก็ยังสำนึกในบุญคุณที่ช่วยเหลือกันมา..แต่..ฮิตเล่อร์นั้น..อยากกำจัดรอห์มให้ออกไปพ้นทางด้วยเหตุผลอื่น..
เนื่องจาก..รอห์มเป็นคนที่ปกครองยาก..อีกทั้ง..เขาไม่เคยยอมรับสภาพของการที่เป็นผู้รับคำสั่ง..ในฐานะที่เขามีกำลังพล SA ในมือถึงสามล้านนั้น..มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง..
โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนที่หนุนหลังพรรคนาซี..เช่น.. Albert Voegler, Gustav Krupp, Alfried Krupp, Fritz Thyssen และ  Emile Kirdorf นั้น หายใจไม่ทั่วท้อง..ต่างก็ลงมติว่า..พรรคไม่มีทางบริหารประเทศได้อย่างที่ต้องการ
ตราบใดที่..มีคนอย่างรอห์มคุม SA ที่สามารถล้มฮิตล่อร์ได้เพียงชั่ววินาที...
ดังนั้น..ข่าวของการล้มล้างบัลลังก์ฮิตเล่อร์ นั้นมาอย่างเป็นชุด...ในที่สุด..ฮิตเล่อร์ก็ต้อง"ตัดใจ" เขาสั่งเรียกประชุมแกนนำทั้งหมดของ SA ที่ Hanselbauer Hotel เมือง Wiesse
ในวันที่ 29 มิถุนายน 1934  ฮิตเล่อร์พร้อมกับหน่วย Schutz Staffeinel (SS) ได้เดินทางไปถึงโรงแรมที่นัดหมาย..และ..ทำการจับกุมรอห์ม และเหล่าแกนนำ SA ทั้งหมด...
ซึ่งในการนั้นได้มีการยิงกันสนั่น..รอห์ม..ได้รับอนุญาตให้ยิงตัวตาย..แต่ยิ้อกันไปยื้อกันมา...ในที่สุด..เขาก็จบชีวิตด้วยกระสุนของสอง SS  ที่ไม่ชอบการเสียเวลา..
Victor Lutze ได้รับการแต่งตั้งให้มาแทนรอห์มอยู่พักหนึ่ง...แต่..ไม่แข็งพอในการบริหารนักเลง.....ฮิมม์เล่อร์เลยรับช่วงมาดูแลแทน...

ฮิมม์เล่อร์นั้น..เป็นคนที่ไม่ชอบการเสียเวลาเช่นกัน..เนื่องจาก"เสี้ยนหนาม" ของนาซียังมีไม่น้อยในประเทศ แบบลับๆบ้าง..แบบทางการเมืองบ้าง..แบบมาทางสื่อบ้าง..
ดังนั้น..เขาจึงใช้เวลาเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืน..จัดการเก็บหมด..แบบถอนรากถอนโคน..มันคือการ"ฆ่ายกครัว " หรือที่เรียกว่า..The Night of the Long Knives
ที่ฮิมม์เล่อร์ส่งหน่วย SS ไปตามบ้านของเสี้ยนหนามเหล่านั้น..และจัดการเก็บให้หมดทั้งบ้าน.. ซึ่ง...ใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนก็เสร็จหมด..
การกระทำในครั้งนี้...เป็นการยืนยันอย่างเด่นขัดว่า..ฮิตเล่อร์นั้นถืออำนาจเด็ดขาดในการบริหารรัฐบาลนาซี..ที่ยึดถือหลักการการเป็นเผด็จการอย่างสมบูรณ์แบบ...

วันที่ 17 มีนาคม 1935 เป็นวันวีรชนเยอรมันรำลึก และมีการสวนสนาม

ฮิตเล่อร์ได้สั่งการให้ทุกกรมกอง ออกแสดงแสนยานุภาพกันให้เต็มที่
มีการสวนสนามของทุกเหล่าทัพและเป็นการจัดครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อเย้ยเหล่าประเทศสัมพันธมิตรให้รู้ซะมั่ง...ว่าไผเป็นไผ..
เพราะ มันเท่ากับเป็นการฉีกสัญญาแวร์ซายย์ทิ้งอย่างไม่เป็นทางการนั่นเอง
ฝ่ายสพม. ก็เริ่มรู้ตัวกันแล้วทีนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปกว่าเรียกประชุมกันระหว่าง รมต.ต่างประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกา ในวันที่ 11 เมษายน ..

และวันต่อมาคือ 12 เมษายน คณะกรรมาธิการของ League of Nations ได้ออกมาประณามการกระทำของเยอรมันเป็นการโจ่งแจ้ง
แต่ก็ไม่ได้มีการหาญหักด้วยกำลังอย่างใด ทุกอย่างเป็นแค่เสือกระดาษที่ปลิวว่อนไปมา..

โซเวียต ได้เซ็นสัญญาร่วมกับฝรั่งเศสและเชคโกสโลวาเกีย ในการร่วมด้วยช่วยกันการบุกรุกแนวชายแดน ที่อาจพึงมีในกาลข้างหน้า

วันที่ 21 พฤษภาคม ฮิตเล่อร์แอบออกคำสั่งกับกองทัพบก ในการเสริมสร้างอาวุธสงครามให้แน่นหนาหนักหน่วงยิ่งขึ้น และ ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด คุมทุกเหล่าทัพ โดยมีนายพล Werner von Blomberg เป็นแม่ทัพกองทัพบก และ
คุมหน่วยสรรพาวุธทั้งหมด

 Werner von Blomberg    



ซึ่งทั้งหมดนี่ ทุกคนต้องเก็บเป็นความลับยิ่งชีวิต เพราะ ตัวฮิตเล่อร์เอง พร้อมทั้ง เกิบเบิลส์ ได้ตระเวนออกประกาศ
ปาวๆว่า “สงคราม คือ ทางออกของคนสิ้นคิด” หรือ “สงครามไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการ มันเป็นสิ่งที่น่าะพรึงกลัว !!”
แถมยังยกยออังกฤษแถมเข้าไปด้วยซะอีกว่า ใครจะไปเทียบอานุภาพของกองทัพเรืออังกฤษได้เล่า อย่างเยอรมันน่ะ ไม่ติดฝุ่น
35 ต่อ 100 เนี่ยนะ(หมายถึงจำนวนเรือรบ)..คร๊ายย คราย จะไปสู้ได้ !!

แต่ในขณะเดียวกัน เยอรมันก็ได้ค่อยๆเขยิบเข้าไปใน Saarland โดยการชักโยงใยให้ประชาชนชาวเยอรมัน(ที่ถูกตัดแบ่งเค้กตอนแยกดินแดนไป) ให้ลุกขึ้นมาโหวตว่า
ต้องการที่จะรวมตัวกับแผ่นดินเยอรมันเหมือนเดิม..และ สำเร็จเสียด้วย เพราะไม่มีใครมาขัดขวาง
เท่านั้นไม่พอ..ยังคิดจะล่วงล้ำเข้าไปใน Rhineland (รอยต่อของชายแดนฝรั่งเศส เยอรมัน) ด้วยเหตุผลเดียวกัน


ฝ่ายมุสโสลินี ชักไม่ชอบใจ เพราะ ถ้าฮิตเล่อร์ทำได้..อิตาลีก็จะมาอยู่เฉยๆทำไม ก็เอาอย่างบ้างดิ..
ในเดือน ตุลาคม 1935 กองทักอิตาลี เคลื่อนเข้าไปบุกรุกยึดครองเอธิโอเปียแบบหน้าตาเฉย แต่คราวนี้การณ์กลับกัน เพราะ LON {League of Nations}ได้ลุกขึ้นต่อต้าน ปฏิบัติการแซงชั่นแบบทันที
แต่การประท้วงนั้นนั้น
ไม่ได้เกิดผลอะไรสักนิด นอกจาก..ประกาศตัดหางอิตาเลี่ยนปล่อยวัด..
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ ได้นั่งหัวเราะเอิ้กอ้ากไปซิ เพราะ เท่ากับว่า..อิตาลีกับสพม. ได้แตกคอกันเอง โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงยุยงสักนิด !!

วันที่ 15 ตุลาคม...เป็นวันที่ฮิตเล่อร์ได้ทำการเปิดวิทยาลัยยุทธศึกษา เพื่อฝึกหัดทหาร ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ปิด
ไปตั้งแต่ตอนหลังแพ้สงคราม(1920)
และในเดือน กุมภาพันธ์ ของปีต่อมา.ฮิตเล่อร์ได้ทำการประท้วงในข้อตกลงของสัญญาป้องกันอาณาจักร ระหว่าง ฝรั่งเศส เชคโกฯ และ โซเวียต ที่ได้ทำกันเอาไว้ อย่างเอาจริงเอาจัง..โดยกล่าวหาว่า..นี่คือ การคุกคาม
สันติภาพของยุโรป...
แต่ไม่ได้ส่งผลอะไร..เพราะเชคโก ก็ทำเฉย..ฝรั่งเศส ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

ฮิตเล่อร์...โมโหจนหน้าเขียว เดือดดาลถึงขนาดออกรายการด่าข้ามประเทศ และมิหนำซ้ำทำท่าจะท้าตีท้าต่อยเอาซะอีก
จนเหล่าบรรดานายทหารระดับยอดขุนพล ต้องออกมาเตือนให้เพลาๆเสียงซะหน่อย
เนื่องจาก ทหารกรมกอง 36 หน่วยจู่โจมนั้น ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย..
แต่..ฮิตเล่อร์เป็นนักลักไก่ที่โชคดีที่สุดในโลกก็ว่าได้..
เพราะ ในเดือน มีนาคม เขาบอกกับพวกทหารว่า ถึงเวลาแล้ว..ที่จะเข้าไปบุก ยึดเอา Rhineland กลับเข้ามาสู่อ้อมอกของเยอรมันอย่างเดิม..
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียว กองทัพเยอรมันก็เข้าไปยึดครองพื้นที่ของ Rhineland หน้าตาเฉย
และนี่คือครั้งแรกที่เยอรมันได้กล้าย่างเท้าเข้ามาในดินแดนนี้หลังจาก 1918
สนธิสัญญง สัญญาอะไร ไม่สนใจ มีอะไรอ้ะป่าววว !!

Nazi in  Rhineland 

หลังจากการเข้ายึดครองเสร็จ ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นไปป่าวประกาศท้าทายชาวบ้านเขาไปทั่ว..
แต่ก็ยังไม่วาย อ้างว่า ทำไปเพื่อสันติภาพของชาวเยอรมันจำนวนล้านๆที่ค้างอยู่ในดินแดนนี้..
ฝ่ายเสนาธิการทั้งหลาย ถึงกับหนาวๆร้อนๆ รีบเตือนให้ฮิตเล่อร์เคลื่อนย้ายกำลังออกไปเถอะ..เพราะข่าวมาว่า
อังกฤษ กับ ฝรั่งเศสเริ่มมีการหารือกันอย่างเป็นงานเป็นการ แถมโปแลนด์กำลังจะเข้ามาแจมเอาซะด้วย บอกว่า
ถ้าฝรั่งเศสจะเล่น ก็ขอเล่นด้วย..

นายพลทั้งหลาย รวมทั้ง แม่ทัพบก นายพล von Blomberg ต่างวิ่งกันวุ่น ขอร้องก็แล้ว เตือนก็แล้ว เพราะ ถ้า
หากว่า ฝ่ายสพม.เกิดเคลื่อนทัพมาจริงๆละก้อ
รับรองว่า.. ขายหน้าเขาไปทั้งโลก
เพราะอาวุธปืนของเยอรมันตอนนั้น มีคุณภาพไว้ใช้แค่ยิงนกยิงหนูได้เท่านั้น..
ส่วนเครื่องบินก็คือของโละเก่าๆ
สองสามลำ รุ่น 52s ลุฟฮันซ่า เหลือใช้สงครามจากคราวที่แล้ว
แต่ฮิตเล่อร์ก็ยังเฉย..48 ชั่วโมงของการรอคอยที่แสนกระวนกระวาย หายใจไม่ทั่วท้องของเหล่าทหารทุกนายได้ผ่านพ้นไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด ไม่มีการตอบรับ หรือต่อต้านจากฝ่ายสพม.

เป็นอันว่า..ชัยชนะเป็นของฮิตเล่อร์อย่างขาวสะอาด ท่ามกลางเศษหน้าที่แตกกระจายเกลื่อนของเหล่าเสนาธิการทุกเหล่าทัพ
หลังจาก สองวันได้ผ่านไป..ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นรถไฟกลับไปมิวนิค..
และทายซิว่าอะไรได้เกิดขึ้น....??

ทันที่ที่รถไฟเทียบชานชาลา
นายสถานีได้นำโทรเลขด่วนมาให้..จากพระเจ้า เอ็ดเวิร์ดที่แปด พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ
ข้อความว่า..ดีใจและเห็นด้วย ที่เยอรมันได้มีการรวมตัวกับเหล่าพี่น้องที่กระจัดกระจายกันอีกครั้ง และพระองค์
ถือว่านี่คือเรื่องในครอบครัวที่ต้องจัดการกันเอง
พระองค์จะไม่ยื่นพระหัตถ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย..!!
ฮิตเล่อร์อ่านจบก็ยิ่งฮึกเหิม เพราะ นี่คือชัยชนะแบบสองต่อสามต่อ
โดยไม่ต้องเสียกระสุนสักนัด..

และคราวนี้ เขากลับยิ่งเห็นสัจจธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง..
นั่นคือ พวกทหาร(อาชีพ)ที่เขาเคยกลัวนักกลัวหนาในอดีตนั้น..
ความจริงแล้ว..ไม่มี "น้ำยา" แม้แต่นิด
มันสมองเทียบชั้นสิบโทออสเตรียนอย่างเขาไม่ได้เลย..มันคนละชั้น !!


และแน่นอนว่า ต้องมีการสั่งสอนเหล่าขุนพลกันซะหน่อย ฮิตเล่อร์กลับมาถึงก็ปูนบำเหน็จความดีความชอบทีเดียว
เช่นประกาศแต่งตั้งนายพล von Blomberg แม่ทัพ ให้เป็นจอมพลคนแรกของรัฐบาล
และ พันเอก von Fritsch ให้เป็นนายพล..รวมไปยังตำแหน่งอื่นๆรองลงไปด้วย
แต่..เครื่องแบบยังตัดไม่เสร็จ เข็มเครื่องหมายยังไม่ได้ติด เสียงไชโยโห่ฮิ้ว ยังไม่ทันจางหาย..ฮิตเล่อร์ก็ยกเลิกคำ
สั่งทั้งหมด.แบบหน้าตาเฉย !!

Werner Freiherr von Fritsch

และจากจุดนี้เอง ที่ฮิตเล่อร์เริ่มเชื่อฟังตำราพิชัยสงครามของกองทัพ น้อยลง น้อยลง ทุกที เสนาธิการเริ่มหมดความสำคัญไปอย่างเห็นได้ชัด
และเหล่าทหารเองก็รู้สึกอึดอัด เพราะไม่ว่าจะอธิบายการศึกอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆกับท่านผู้นำ เพราะ ในที่สุดทุกคนก็ได้รู้ว่า
สิ่งที่ฮิตเล่อร์ต้องการอย่างแท้จริง นั่นก็คือ สงคราม
เขาเริ่มวางนโยบายรุกในทางตะวันออก..นั่นคือ บุกโปแลนด์ ซึ่วหมายถึง ต้องเจอกับศึกสองชั้น คือ โปแลนด์ แล้วก็ รัสเซีย..
ซึ่งอันเป็นสิ่งที่ใครๆรู้ว่า มันออกจะเกินกำลังของกองทัพที่เพิ่งฟื้นตัวจากการแพ้สงคราม ถึงแม้ว่า ฮิตเล่อร์จะบอก
ว่า เขาจะเอาญี่ปุ่นมาเป็นแนวร่วมก็ตาม
แต่มันช่างห่างไกลกันถึงคนละซีกโลก..

และการที่ขัดแย้งนี้ ฮิตเล่อร์เริ่มเอาพวกนายพลทหารพวกนี้ขึ้นหิ้งแขวน พร้อมทั้งส่งเสริมทีมงานของตัวอย่างออกหน้าออกตา

ฮิมม์เล่อร์ เห็นเป็นโอกาสอันดี ที่จะเหยียบหัว ข้ามบ่าใครต่อใครขึ้นไปนั่งแท่นในคราวนี้ โดยการใส่ใคล้ ป้ายสี
กลุ่มนายพล von Fritsch ว่า พวกนี้กำลังคิด
ก่อการล้มล้างรัฐบาล และกำลังจะนำไกเซอร์กลับมาครองเมือง
และไม่ใช่ฮิมม์เล่อร์คนเดียว..ยังมีผู้ช่วยของเขาอีกคน คือนาย Reinhard Heydrich อดีตนายทหารเรือ อายุ 32 ปี ผู้ที่ถูกไล่ออกจากราชการด้วยข้อหาปลุกปล้ำทำอนาจารเด็กสาว มาช่วยกันกระพือข่าวเป่าหูเจ้านายกันเป็น
การใหญ่

Heydrich Reinhard

สำหรับนาย Heydrich คือการแก้แค้นที่ถูกตั้งกรรมการพิจารณาโทษจนถูกไล่ออกจากราชการ
ทุกอย่าง ได้ผลลงล๊อค..ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้นาย Heydrich เป็นหัวหน้าหน่วย SD
(กองอารักขาและหน่วยสืบสวนของ SS) และเป็นหัวหน้าหน่วยเกสตาโป ควบคู่ไปด้วย..
ที่มีผลพลอยได้ที่เป็นกำไรสำหรับเขาคือ ได้ดูแลหน่วย Hitler Youth ที่มีเด็กสาวๆมากมาย..ที่จะให้เขาเลือกจีบ
ได้ตามชอบใจอย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์อันใด ...ยิ่งเป็นของชอบๆอยู่ด้วย !!


 ตอนที่เล่าไปว่า ประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์กได้มีความคิด(อาจจะ)แต่งตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมา..ตอนที่ท่านใกล้สิ้น..
จนฮิตเล่อร์หวาดผวาว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..พรรคนาซีจะกลายเป็นบอนไซ ตอนนั้นน่ะ
นายทหารลูกหม้อน้ำดีในสายตาของประธานาธิบดี ก็คือ
พวกนายพลชุดนี้แหละ..คือ นายพล Werner Freiherr von Fritsch(1880-1939) และ นายพล Werner(เหมือนกัน) von Blomlerg(1878-1946)

สองคนนี่คือทหารลูกหม้อที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อย
จะเล่าถึงคนแรกก่อน..von Fritsch
คนนี้ เป็นลูกทหาร ตัวเองจบมาจากโรงเรียนนายร้อยปรัสเซีย เป็นคนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอคนหนึ่ง..เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาอย่างวีรบุรุษ รบเคียงบ่าเคียงใหล่มากับท่านประธานาธิบดี จนได้รับการสดุดีไปทั่ว
อีกทั้งตำแหน่งก็อยู่ในระดับต้นๆของกองทัพ และเขาคือคนหนึ่ง ที่ประกาศตัวเองว่า ไม่ขอยุ่งกับการเมืองโดยเด็ดขาด
หน้าที่ของทหารคือรบ และ รบ..เพื่อความอยู่ยงของประเทศชาติเท่านั้น..
(และเขาคนนี้แหละ ที่ฮิตเล่อร์เคยกลัวใจหนักหนา)
จนมาได้รับตำแหน่งผบ.ในด้านจัดสรรกำลังพล และเพิ่มกำลังอาวุธ ในรัฐบาลนาซี ปี 1935
จนปี 1937 ในระหว่างการประชุมที่ Hossbach ฮิตเล่อร์ได้ประกาศถึงนโยบายที่จะบุก ออสเตรีย และ เชคโกฯ
โดยการใช้กำลังในทุกรูปแบบ
Von Fritsch มีความเห็นที่ขัดแย้ง..เพราะ เขาได้บอกว่า นี่คือชนวนแห่งการเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในยุโรป
และเยอรมันนั้น ยังไม่พร้อมในแสนยานุภาพด้วยประการทั้งปวง
ฮิตเล่อร์..กราดเกรี้ยว ด้วยเข้าใจว่า ทหารเยอรมันนั้นขี้ขลาด เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก
(เอ๊..หรือขนมปังหว่า?)
ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช ถือเป็นโอกาสอันดีในการช่วยประชุมเพลิง จะได้ขจัดพวกทหารออกไปให้พ้นทาง
ด้วยความอิจฉาที่สะสมในใจมานาน..!!

ว่าแล้ว..ฮิมม์เล่อร์ก้อจัดการวางแผนกับ
เฮดริชสมุนมือขวาในฐานะที่มีทั้งหน่วย SS และ เกสตาโป อยู่ในมือ
จึงสร้างหลักฐานพยานเท็จขึ้นมา..

หลักฐาน คือ ข้อความที่มีการติดต่อขอจ่ายค่าปิดปากให้กับ เกย์ขี้คุกคนหนึ่งที่ชื่อ Hans Schmidt เพื่อขอร้องให้
ปิดปากถึงความสัมพันธ์ที่เคยมี
พยานเท็จ คือ ตัวนาย Hans Schmidt นี่แหละ ที่มาชี้ตัวกันจะจะไปเลย ว่า ท่านนายพลคืออดีตคู่ขา
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ von Fritsch คือ นายพลที่โสดสนิท..
ฮิตเล่อร์..เมื่อเห็นพยานหลักฐานพร้อมขนาดนั้น จึงสั่งปลดนายพลโดยใช้ข้ออ้างต่อประชาชนและสื่อว่า นายพล
ขอลาออกเพราะมีปัญหาสุขภาพ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938
(และมีการสั่งปลดแม่ทัพ von Blomberg ด้วยในคราวเดียวกัน.. เดี๋ยวค่อยเล่าไป ทีละคน)

เขาออกมาสู้คดีต่อข้อกล่าวหาทั้งหมดในชั้นศาล(ทหาร)เพื่อความโปร่งใสของตัวเอง
ซึ่งเขาได้ชนะคดีในที่สุด เพราะ นาย Han Schmidt ที่ถูกจ้างวานมา เงอะงะ ข้อมูลเหลวไหล และหนีความจริงไปไม่พ้น..
แต่อย่างที่บอกมาแล้วว่า von Fritsch เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ก่อนลงจากศาล..
เขา ได้ขอท้าดวลกับฮิมม์เล่อร์ ว่า
"เมิง..มาเลย มายิงกันกะกรู คนละนัด เอาป่ะ?"
แต่ไม่มีเสียงตอบใดๆจากฝ่ายที่ถูกท้า..
Von Fritsch ได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนรักคนหนึ่งคือ
Baroness Margot von Schutzbar เล่าว่า..
"นายคนนี้ (เขาหมายถึงฮิตเล่อร์) คือ คนที่จะนำเยอรมันไปพบกับจุดจบอย่างน่าอนาถที่สุด"
จดหมายลงวันที่ 2 ธันวาคม 1938

ต่อมา..เขาได้ถูกเรียกให้กลับเข้ารับราชการ ในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยทหารปืนใหญ่ ในสงครามโปแลนด์
และความที่เขาถูกกดดันสารพัดจากแรงอิจฉาของปีศาจในเครื่องแบบทหาร
จนรู้ว่า..เขามีทางเลือกอยู่สามทาง คือ
1. ตายด้วยปืนของตัวเอง
2. ตายด้วยปืนของฝ่ายเดียวกัน
3. ตายอย่างนักรบ อย่างวีรบุรุษ ซึ่งเขาเลือกทางนี้

ในตอนที่เกิดการปะทะ วันที่ 22 กันยายน 1939 ในแนวรบที่ Praga ใกล้กรุง Warsaw
ต่อหน้าลูกน้องทั้งกรมกอง..เขาเดินตรงออกไปรับห่ากระสุนจากฝ่ายตรงข้ามแบบดื้อๆ..
อันเป็นการยอม(ฆ่าตัว)ตายในสนามรบอย่างวีรบุรุษ โดยแท้จริง!!


 นายพลคนต่อไป คือ Werner von Blomberg 1878-1946 (ในหนังสือบางเล่ม อาจเขียนชื่อแรกว่า Walter)คนนี้ก็เช่นกัน ที่เป็นลูกทหาร สายเลือดทหาร..และเป็นผู้ที่ได้นำทหารทั้งหมดเข้าทำคำสัตย์ปฏิญาณ ที่จะรักษา
เสถียรภาพของเยอรมันยิ่งชีพ และจะจงรักภักดีต่อผู้นำรัฐบาล
อีกทั้ง..จะไม่เข้าไปยุ่ง แทรกแซงในเรื่องของการเมืองใดๆ
ตามเจตนารมณ์ของท่านประธานาธิบดีผู้ที่เพิ่งล่วงลับไป..

ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้ ท่านนายพลคนนี้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของ Wehrmacht ในปี 1935
เขาคนนี้แหละ..ที่ไม่เห็นด้วยกับการฝ่าฝืนละเมิดสนธิสัญญาในการที่ยกทัพเข้าไปใน Rhineland และเป็นคนที่
พยายามสอนถึงเรื่องการสงครามชนิดที่มีแบบแผน ซึ่งเป็นที่หมั่นใส้ของ เกอริง, ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช อย่างที่สุด..
ในที่สุดเวลาแห่งการดับรัศมีก็มาถึง..

นายพล von Blomberg คนนี้ เป็นพ่อม่ายมาหลายปี แต่ในปี 1938 เขาก็ไปตกหลุมรักกับสาวคราวลูกคนหนึ่ง ชื่อว่า Eva Gruhn
ถึงกับมาขอให้ฮิตเล่อร์ และ เกอริง ไปเป็นสักขีพยานในการแต่งงานอย่างใหญ่โตหรูหรา
ซึ่ง..ไม่ใช่เฉพาะ ฮิตเล่อร์และเกอริงเท่านั้น..ใครต่อใครล้วนแต่ใหญ่โต ก็พากับไปเป็นไม้ประดับในงานอย่างเอิกเกริก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน..ด้วยฝีมือของเกสตาโป รูปภาพพร้อมกับประวัติของ Eva Gruhn ได้ออกมาตีแผ่ วางอยู่ต่อหน้าฮิตเล่อร์ ว่า
ในอดีตนั้น เธอคือ ผู้หญิงโสเภณีราคาถูกๆคนหนึ่ง ที่หารายได้ด้วยการแสดงหนังสด และถ่ายรูปอุบาทว์..

แน่นอน..ว่าฮิตเล่อร์โกรธจนหนวดกระดิก เพราะนี่มันเป็นการหลอกลวงกันอย่างชัดๆ ที่บังอาจมาเชิญ
ท่านผู้นำอย่างเขาไปเป็นสักขีพยานให้กับหญิงงามเมืองเนี่ยนะ..
อ้ะ อ้ะ..อย่าบอกนะว่า ไม่รู้มาก่อน
เป็นถึงนายพล..ถ้าโง่กว่าผู้หญิงหากิน ก็ไปตายซะไป๊..!!
แถมบรรดาลูกสมุน อย่างเกอริง ผู้ที่อยากได้ตำแหน่งของนายพลจนตัวสั่น ก็ช่วยโหมโรง ใส่ไฟ แบบไม่มีเว้นวรรค

ที่สุด..ฮิตเล่อร์ก็เรียก นายพลมาบริภาษ กราดเกรี้ยว
คำตอบอย่างอาจหาญจากนายพลนักรัก ว่า..
"มันเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาผู้เป็นสามีสามารถให้อภัยได้ แล้วคนอื่นมาสะเออะอะไรเหรอ?"

สรุปว่า..ฮิตเล่อร์ บังคับให้ลาออกไป แล้วเท่านั้นไม่พอ เนรเทศให้ออกไปนอกประเทศด้วย เพราะ อับอายอดสูใจ
(ที่ดันไปยืนซะโก้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว)... ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1938

สรุปว่า นายพล von Blomberg เลือกเอาความรักเป็นใหญ่ พาเมียออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่ คาปรี, อิตาลี แต่ก็อยู่ได้ไม่กี่ปี พอเยอรมันแพ้
เขาก็ถูกจับตัวให้อยู่ในค่ายเชลย (POW) โดยทหารอเมริกัน และเสียชีวิตในค่ายเมื่อเดือนมีนาคม 1946 อายุสิริรวมได้ 68 ปี


มาถึง..นาย Heydrich Reinhard (1904-1942) มือขวาของฮิมม์เล่อร์ และเป็นคนที่สรรหาวิธีสารพัดในการกำจัดยิวในทุกดีกรีของความโหดร้าย เรียกได้ว่าเป็นคนออกแบบ
"Final Solution" ตัวจริงเสียงจริง..

มาดูประวัติของเขาดีกว่า..
ครอบครัวของเขาทั้งพ่อและแม่เป็นนักดนตรีนักแสดงละครเวที
และตัวของเขาเอง..ก็มีความสามารถทางด้านสีไวโอลินได้อย่างเพราะพริ้งนัก จนอายุครบเกณฑ์ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ (1919) เขาจึงได้รับอิทธิพลของการสงครามโดยการนำตัวเข้าไปรวมกลุ่มเยอรมันเสรี (Free Corps = Freikorps)
และต่อมาก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ในหน่วยของ นายพล Wilhelm Canaris (คนนี้สำคัญนะ เดี๋ยวเล่า) ซึ่งเป็นทั้งนายและอาจารย์ของนายเฮดริช
แต่ตัวเองไม่รักดี ดันไปปลุกปล้ำทำอนาจารกับเด็กสาวซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นธิดาของนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน
โทษครั้งนี้ถึงกับต้องถูกปลดประจำการ จึงมาสมัครเข้าในหน่วยของ SS โดยใช้การทำงานในขบวนการ FC มาเป็นเกียรติประวัติ

และ..เผอิญว่าถูกชะตากับฮิมม์เล่อร์เข้าอย่างจัง จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งพรวดๆ จากการเป็นทหารเรือไม่มียศอะไร จนมาเป็น พันตรีในหน่วย SS ในปี 1931
และ พันเอกของหน่วย SD ในปีถัดมา และมาเป็นรองผบ. SS ใน
กลางปี 1934 เพราะเป็นการปูนบำเหน็จรางวัลที่ปลิดชีวิตร้อยเอก Rohm ได้ทันอกทันใจท่านผู้นำ
ต่อมาในปลายปี 1934 ปีเดียวกันนี่แหละ..ได้เป็นพลตรี ในหน่วย SS
ยศเลื่อนไว ราวกับติดจรวด มั๊ยล่ะ.??

จะว่าไปแล้ว นายเฮดริชคนนี้ก็ทรงเสน่ห์หยอกอยู่เมื่อไหร่..
ผมทอง ตาโศก สูงขาวเข่าดี แฝงไว้ด้วยความดุดัน โหดเหี้ยม ดูๆไปก็เปรียบได้ราวนายแบบของเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์จินตนาการไว้เชียว..
คุณสมบัติก็ไม่ใช่ขี้ขี้ เพราะเป็นนักกีฬาฟันดาบที่มีฝีมือ นอกเหนือไปจากความสามารถแสนพิเศษอย่างอื่น เช่น
การขี่ม้าบังคับม้า, เป็นนักบิน และ เป็นนักดนตรีที่มีความชำนาญในการเล่นไวโอลิน
ซึ่ง..ไม่แปลกอะไร ..ที่ฮิมม์เล่อร์จะเห็นว่าเขา"เด่น" กว่าคนอื่นๆ
ถึงขนาดไว้ใจมอบตำแหน่งหัวหน้าของเกสตาโปที่มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าพระเจ้าให้อย่างเด็ดขาดในปี 1936

เขาได้ใช้อำนาจล้นฟ้าที่มี สนองพระเดชพระคุณให้กับจ้าวนายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยการทำทารุณกรรม
ต่อชาวยิวได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ยึดทรัพย์ เนรเทศ(ให้ออกไปอดตาย) รวมไปถึงการส่งตัวไปยังโรงงานนรก หรือ
ค่ายมรณะ..จนได้ฉายาว่า
"ไอ้ปีศาจผมทอง" หรือ The Blond Breast
และตัวอย่างของวิกฤติที่เกิดขึ้นกับนายพลสองคนข้างบนนั้น มาจากฝีมือของเฮดริชทั้งสิ้น..!!
งานที่สำคัญของ เฮดริช คือการกวาดต้อนและเนรเทศชาวยิวอย่างที่เล่ามา
(อันเป็นขั้นต้น ที่ทวีความรุนแรงในทีหลัง)
จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่จัดได้ว่าเป็น
โศกนาฎกรรมครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือ
The Crystal Night Pogrom หรือที่รู้จักกันว่า Kristallnacht
ในเดือน พฤศจิกายน 1938 ที่ชาวเยอรมันและกลุ่ม SS ลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกาย ทำลายร้านค้าทุบกระจกแตกกระจายทั่วเมือง เผาโรงสวด
เนื่องจาก การกระทำของชายชาวยิวคนหนึ่ง..ที่ถูกกดดันเสียจนต้องหาทางออก..

นั่นคือ..
หลังจาก 1935 กฏหมายนูเรมเบอร์คที่จำกัดสิทธิชาวยิวได้ออกมาแต่ไม่ได้มีผลใช้ในทันที เพราะ เบอร์ลินได้เป็น
เจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก..จึงต้องออกมาแสดงภาพที่ดีต่อสายตาชาวโลก ในการยกเลิกป้าย"ยิวห้ามเข้า" ไปชั่วคราว..
จนชาวยิวชักเริ่มตายใจ นึกว่า ล้อเล่งงง...

จนมาในปี 1938 จึงเริ่มบังคับใช้..ส่งผลให้ชาวยิวโปล์ ต้องถูกเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์มากมาย..รวมไปถึงครอบครัว Grynszpan ที่ได้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในเยอรมันตั้งแต่ 1911 แต่ก็ยังไม่วายถูกยึด
ทรัพย์ทั้งหมด และเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์

ตัวลูกชายวัย 17 ปี ชื่อว่า Herschel ที่เผอิญว่าอาศัยอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศส พอรู้ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเข้า..จึงเกิดอาการฟิวส์ขาด เขาไปที่สถานทูตเยอรมัน(ในฝรั่งเศส)
พร้อมด้วยพัสดุที่มีปืนซ่อนอยู่ข้างใน โดยบอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการพบท่านทูตเพราะมีของ "สำคัญ" มามอบให้..
แต่..วันนั้นทูตไม่อยู่ นาย Ernst vom Rath เลขานุการส่วนตัวจึงออกมารับของแทน..ซึ่งมันกลายเป็นกระสุนที่สาดออกมาจากปืนในมือของเด็กหนุ่มชาวยิว นามว่า Herschel
ผลคือ..ท่านเลขาไปตายที่โรงพยาบาลในสองวันต่อมา

Herschel  Grynszpan

และจากการกระทำนี้ ส่งผลให้ฮิมม์เล่อร์และ
เฮดริชถือเป็นโอกาสล้างแค้นกับชาวยิวอย่างสาสม
ในการเปิดฉากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นับตั้งแต่คืนนั้น.. คืนแห่งกระจกพินาศ 9-10 พฤศจิกายน 1938 เป็นต้นมา

Kristallnacht

เฮดริช ต้องทำการทารุณชาวยิวอย่างไม่ให้มีขาดตกบกพร่องอย่างนี้ เพื่อเป็นการปกปิดอำพรางชาติตระกูลตัวเอง
เนื่องจากความที่เป็นคนเติบโตเร็วในหน้าที่การงาน จนเกิดความหยิ่งยะโส
เที่ยวเบิ้ลทับใครต่อใคร ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแม้กระทั่งอดีตผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้ละเว้น
นั่นคือ แม่ทัพเรือ นายพล Canaris ที่ทนไม่ไหวถึงกับต้องเอาประวัติเก่าๆมาแฉว่า
ที่แท้แล้ว..เฮดริช ก็คือ ลูกหลานชาวยิวคนหนึ่ง ที่ได้ไปแก้ประวัติตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ฮิตเล่อร์และฮิมม์เล่อร์ เลือกที่จะฟังข้อแก้ตัวมากกว่า นายนี่เลยรอดตัวไป..
แต่กระนั้นก็ต้องทำเป็นเกลียดชังชาวยิวเพื่อให้สมบทบาท

จนต่อมาในปี 1941 ที่เยอรมันได้เข้าครอบครอง เชคโกฯ เฮดริชเข้ารับหน้าที่ใหญ่นั่นคือ การเข้าล้างเผ่าพันธุ์ให้
เป็นเรื่องเป็นราวไปตามขั้นตอน โดยที่ไปประจำที่ศูนย์ในกรุง Prague และด้วยความที่เหิมเกริมต่อความยิ่งใหญ่
เขามักไปไหนมาไหนด้วยการทำเต๊ะจุ๊ยนั่งรถเปิดประทุนอวดสาว ไม่มีองครักษ์ติดตามให้เกะกะ

จนวันที่ 27 มิถุนายน 1942 ขณะที่กำลังขับรถกินลมชมวิวที่ชานเมือง village of Lidice อยู่นั้น หน่วยจารกรรม
ชาวเสรีเชคสองคน ที่ลอบโดดร่มเข้ามาจากอังกฤษได้สาดกระสุนใส่แบบไม่นับ
รวมทั้งเพื่อความมั่นใจ กลิ้งน้อยหน่าเข้าใต้ท้องรถอีกต่างหาก
เขาก็ทนทายาท อยู่ในห้องฉุกเฉินพะงาบ พะงาบ มาได้จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม จึงสิ้นใจ !!
แต่..หน่วยจารกรรมสองคนนั่น พร้อมกับชาวบ้านไม่ว่าหญิงชาย เด็กเล็ก ทั้งหมู่บ้านถูกหน่วย SS ฆ่าตายเรียบไม่
เหลือแม้กระทั่งสาธุคุณในโบสถ์
เพื่อเป็นการแก้แค้น..ให้กับ Heydrich Reinhard ...The Blond Beast !!!



ในปี 1936 เยอรมันได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิคภาคฤดูร้อน ซึ่งการล๊อกนี้ได้ทำการตกลงกันมาตั้งแต่ปี 1931 แล้วตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคของรัฐบาลนาซีด้วยซ้ำ
แต่..มันจะเป็นการโฆษณาถึง
แสนยานุภาพของนักกีฬาเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์คุยนักคุยหนาว่าเก่งกว่าชาติไหนๆ
ปัญหามันก็คือ กีฬาโอลิมปิคนี่
เป็นกีฬาแห่งนานาชาติ
แล้ว พวกยิวล่ะ พวกนิโกรล่ะ..ว้า..ไม่เอางะ ฮิตเล่อร์ชักจะรวนเร อยากเปลี่ยนใจเต็มที่
แต่เกิบเบิลส์ ชี้แนะให้เห็น
ถึงความสำคัญต่อสายตาของชาวโลกมาเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง..ในที่สุดฮิตเล่อร์ก็คล้อยตาม ยอมลงทุนให้งบประมาณจัดงานถึง ยี่สิบล้านมาร์ค หรือ แปดล้านเหรียญ สรอ.

แต่มีข้อแม้เยอะแยะ..เช่น นักกีฬาตัวยง ตัวเก่ง มือเหรียญ มือถ้วย คนไหนก็ตาม ถ้าเพียงแต่มีเชื้อสายยิว หรือยิบซี ไม่ว่ามากหรือน้อย ไม่ได้รับการคัดตัว..
ฮิตเล่อร์ตั้งใจให้เป็นกีฬาครั้งนี้ เป็นการแข่งความสามารถของเผ่าพันธ์มากกว่า(โดยเป็นที่รู้กัน)
ชุดแรกที่โดน คือ Eric Seelig, Johann Trollman นักมวยแชมป์สมัครเล่น..ที่โดนปลดออกจากทีม (เลยไปได้ดีอยู่ในอเมริกาตอนหลัง)
ต่อมา..คือ Daniel Prenn นักเทนนิสมือทอง และคนสำคัญดาราเด่นกระโดดสูง คือ Gretel Bregmann
เพราะพวกเขามีเชื้อสายยิว

Gretel Bregmann

ข่าวนี้ได้กระจายออกไปถึงหูประธานคณะกรรมการโอลิมปิคเข้า จึงต้องมีการไต่สวนและประกาศเตือนให้ฮิตเล่อร์รู้ว่ากีฬา

โอลิมปิคนั้น จัดขึ้นเพื่อความสามัคคีที่เป็นพลังจากทุกประเทศในโลก และ ไม่ควรต้องมีเรื่องการ
เมืองมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
(อันเป็นกฎข้อหนึ่งบัญญัติไว้)
แต่เยอรมันกำลังละเมิดกฎข้อนี้..ขอให้กลับไปคิดดูใหม่ให้ดีๆ เพราะทางโอลิมปิคอาจต้องย้ายสถานที่การจัดงาน
ถ้าหากคำตอบเป็นที่ไม่พอใจ

ในตอนหลัง..ฮิตเล่อร์เลยต้องยอมให้นักกีฬานั้นกลับเข้ามา..

ในที่สุด ทางเยอรมันก็ต้องยอมที่นักกีฬายิวของชาติอื่นมาแข่งขันได้
แต่ทางเยอรมันจะมีแต่เผ่าอารยันล้วนๆ
ฮิตเล่อร์ในฐานะประมุขมีทางเลือกสองทาง คือ จะมอบเหรียญและจับมือกับนักกีฬาทั้งหมดเท่าเทียมกัน หรือ มอบให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน..
ซึ่งเขาเลือกเอาอย่างหลังเพื่อความสะดวกใจ

ในขณะเดียวกัน ทางเยอรมันได้จัดการเทรนนักกีฬาหนุ่มสาวของตัวอย่างเต็มที่ เพราะ นี่คือการแสดงฝีมือครั้งยิ่งใหญ่ต่อสายตาชาวโลก

อเมริกาก็เหมือนจงใจแกล้ง..ส่งนักกีฬาผิวดำเข้าชิงชัยถึง 18 คน ชาย 16 หญิง 2 สามเท่าของโอลิมปิคคราวที่แล้ว 1932 ในนครลอส แอนเจลิส
และประเทศอื่นๆอีกรวมทั้งหมด 49 ประเทศ นักกีฬาทั้งหมด 348 คน
เยอรมันพยายามทำตัวเป็นเจ้าภาพชั้นดี
ป้ายกดขี่ยิวถูกปลดออกไม่มีให้แขกบ้านเขกเมืองได้เห็น ป้ายโฆษณา
กีฬาที่แปะติดอยู่ทั่วไปออกแบบไปทางโรมัน ประเภทนายแบบนางแบบผมทอง ตาสีฟ้า
ยุคกระโน้น เหมือนกับบอกเป็นนัยๆว่า นี่คือกีฬาของชาวอารยันนะเฟ้ย !!

แต่ก็ทำใจถึง..อนุญาตให้ลูกครึ่งยิวเยอรมัน Rudi Ball เข้าแข่งในการแข่งขันสกีที่ภูเขาแอลป์(ภาคกีฬาฤดูหนาว กุมภาพันธ์ 1936)) ด้วย
นักข่าวที่เข้าไปสังเกตการณ์ได้นำความมาเขียนป่าวประกาศว่า
ในกีฬาฤดูหนาวที่ว่านั่น..มีแต่ทหารนาซีแห่กันไปมากมาย โดยไม่ใช่เรื่องของการเมืองสักนิด
ผู้คนด่ากันเพียบ..
ในที่สุดก็ต้องสัญญิง สัญญากันว่า กีฬาภาคฤดูร้อน(สิงหาคม 1936) จะพยายามไม่ให้ทหาร
โผล่หน้าไปอย่างมากมายอย่างนั้นอีก

พอถึงเดือนสิงหาเข้ามาจริงๆ นักท่องเที่ยวทะลักเข้าเบอร์ลินมากมายนับล้านๆคน
แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้หรอกว่า
ป้ายจำกัดสิทธิยิวนั้น ได้เพิ่งถูกถอดถอนไป
ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่า ยิบซีกว่า 800 คนได้ถูกกวาดต้อนไปเก็บตัวอยู่ในแค้มป์ชายเมือง
และ..นาซีได้ประกาศว่า สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น
มาตรา 175(ต่อต้านโฮโมเซ็กฌ่วล) ไม่มีผลบังคับใช้ใดๆ
ส่วนนายเกิลเบิลส์ ได้เข้ามาดูแลควบคุมข่าวด้วยตัวเองในสื่อทุกรูปแบบ ที่ต้องผ่านการกลั่นกรองของหน่วยข่าวนาซีก่อน

ในวันที่ 1 สิงหาคม ฮิตเล่อร์ได้ไปเป็นประธานเปิดงานกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 11 ซึ่งพิธีนั้นได้ตระเตรียมอย่างใหญ่โต
ต่อผู้คนนับล้านๆคน มีการเดินแถวริ้วขบวนนักกีฬาอย่างงดงาม
คบเพลิงจาก โอลิมเปีย ประเทศกรีซ ได้ถูกนำมาจุดอันเป็นสัญลักษณ์

นักกีฬาอเมริกันผิวดำ 9 ใน 18 คนนั้น..ต่างคว้าเหรียญมากันเป็นเข่ง โดยเฉพาะ
Jesse Owens นักวิ่งคว้าเหรียญทองมาถึง สี่เหรียญ
ตบหน้าเชื้อสายเผ่าพันธ์อารยันแบบย่อยยับ..จนนายเกิบเบิลส์จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ถึงต้องมาออกประกาศแก้เกี้ยวว่า
พวกนักกีฬาผิวดำนั้น จะว่าไปแล้ว..เป็นพวกแรงงานต่างด้าวรับจ้าง (อันว่าเป็นชนชั้นทาส) ซึ่งถ้าลองอเมริกันส่ง
ผิวขาวมาแข่งละก้อ..รับรองว่าไม่ได้รางวัลกลับไปร๊อกกก !!

ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของพวก Afro-American เลยด่าฮิตเล่อร์ซะยับ..ว่า..ไม่ยอมแม้กระทั่งจะจับมือแสดง
ความยินดีต่อ Jesse วีรบุรุษโอลิมปิค
แต่..ความจริงก็ได้เล่ามาแล้วว่า ฮิตเล่อร์เลือกที่จะส่งผู้แทนไปมอบรางวัลตั้งแต่ครั้งแรก
หรือลางสังหรณ์อาจบอกไว้ล่วงหน้าก็เป็นได้ว่า ยิวที่ได้รับเหรียญโอลิมปิคครั้งนี้มีถึง 14 คน แถมเป็นเหรียญทองซะเก้า เงินสาม ทองแดง สอง

แต่แล้ว..โศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ ร้อยเอก Wolfgang Forstner ผู้บังคับบัญชาศูนย์ที่พักนักกีฬาโอลิมปิค ยิงตัวตายหลังจากที่จบพิธีไปได้สองวัน
เพราะความเสียใจที่ถูกสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากพบว่า ต้นตระกูลมีเชื้อสายเป็นยิว !!

จากที่ใครๆได้เห็นในจัดแต่งสถานที่อันโอ่อ่าแสนอลังการของนาซีนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันฉลองวีรชน หรือ โอลิมปิค
ทั้งหมดมาจากมันสมองและฝีมือของคนในวงในใกล้ชิดฮิตเล่อร์คนหนึ่ง ที่ค่อนข้างสำคัญรองไปจากท่านผู้นำ..
เขาคนนั้นคือ Albert Speer หรือที่ใครๆเรียกเขาว่า คนดีในหมู่โจร..

Speer เป็นวิศวะสถาปัตย์ ที่พลอยมาหลงลมปากของฮิตเล่อร์ในปี 1931 จนยอมเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่ง
และด้วยความสามารถในวิชาชีพ ที่เผอิญตรงกับรสนิยมของฮิตเล่อร์เป๊ะ อีกทั้ง บุคคลิกที่อ่อนโยนและพูดจามี
เหตุผล หน้าตาหล่อเหลา ทำให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของฮิตเล่อร์ที่นับเขาราวกับญาติสนิท
ฝีมือของ Speer อันเป็นที่ประทับใจท่านผู้นำอย่างมากมาย นั่นคือความสำเร็จในการสวนสนาม จัดริ้วขบวน
และสถานที่ รวมไปถึงแปลนการเดินแถวที่แสนยิ่งใหญ่

Albert Speer

ในวันที่ฉลอง Tempelhofer field 1st. May 1932 โดยมีการใช้เทคนิคพิเศษที่เอาไฟต่อสู้อากาศยานส่องขึ้นฟ้าไปมา เรียกเสียงฮือฮาเพราะความแปลกใหม่
จากนั้นมา.ก็เป็นการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพที่นูเรมเบอร์ค.. เขาก็ได้รับงานชิ้นสำคัญๆมากมาย เช่นการสร้างทำเนียบใหม่ในเบอร์ลิน และสภาสูงที่นูเรมเบอร์ค

พอปี 1937 ก็ได้รับตำแหน่งนายพลประจำสำนักท่านผู้นำ จนมาถึงปี 1942 ในยุคของสงครามเขาได้รับแต่งตั้งให้
เป็นผู้ดูแลควบคุมการสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด นั่นคือโดยการเอาแรงงานทาส
เข้าใช้สู่โรงงานทั้งหมด.. เยอรมันมีอาวุธใช้เหลือเฟือจนทำให้สงครามยืดระยะเวลานานออกไปอีกถึงสองปี..
หากแต่ในวาระสุดท้าย..ที่เยอรมันต้องแพ้สงครามอย่างแน่แท้นั้น

มีการวางแผนสังหารฮิตเล่อร์ในวันที่ 20
กรกฏาคม 1944
โดยการวางระเบิด ฮิตเล่อร์รอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด ที่ไม่รอดก็คือ"กางเกง"ของเขาที่มีรอยใหม้พรุนแทบทั้งตัว

เหล่าเกสตาโปได้ไปสรรหาคณะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็ให้เผอิญว่าจับเอกสารของตัวการได้
ที่มีชื่อของ Albert Speer เขียนอยู่ แต่มีเครื่องหมาย ? ตามหลัง..ซึ่งเป็นคำตอบได้ว่า หลักฐานไม่มีการยืนยันแน่
นอน เขาจึงรอดตัวไป
อีกทั้งฮิตเล่อร์เองก็ไม่เชื่อว่า..Speer มีส่วนร่วมแต่อย่างใด

(เล่าเสริมค่ะ...ครั้งต่อมาในยามที่คับขันจวนเจียน กองทัพรัสเซียกำลังคืบคลานถึงตัว..ฮิตเล่อร์ ต้องการระเบิดทำลายเยอรมันให้ราบคาบ เพื่อไม่ต้องตกไปอยู่ในมือของ สพม.
ในแผนการ" victory or annihilation" หรืออาจใช้เรียกได้ว่า..ไม่ชนะ ก็ล้มกระดาน
Speer ขัดขวางสุดฤทธิ์ ไม่รับคำสั่งไปปฏิบัติ และเพิ่งมารู้ตัวในตอนนั้น ว่า ตัวเองกำลังทำงานอยู่กับคนบ้า..คนที่จิตบกพร่องอย่างฮิตเล่อร์
เขาจึงพยายามสังหารฮิตเล่อร์และคณะในบังเกอร์ด้วยตัวของเขาเอง โดยการวางแผนปล่อยแก็สพิษไปทางช่องลม แต่..ไม่สำเร็จ
เพราะมียาม SS มาสังเกตเห็นเสียก่อน..
เขามีชีวิตอยู่มาเล่าเรื่องราวต่างๆได้ ในหนังสือ Inside the Third Reich  จัดจำหน่ายในปี 1970
ที่เขียนในขณะที่ใช้กรรมอยู่ในคุกถึง 20 ปี (1946-1966 คดีอาชญากรสงครามที่ศาลนูเรมเบอร์ค)
นับว่าเป็นข้อเขียนชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง แห่งเบื้องหลังเบื้องลึกของนาซี ภายใต้การนำของฮิตเล่อร์)


ในช่วงของฤดูร้อน 1936 เดียวกันนี่เอง ที่ฮิตเล่อร์ได้เข้าแทรกซึมในออสเตรียอย่างจริงจัง โดยส่ง นาย Franz von Papen เข้าไปเป็นทูตประจำและพยายามชี้ชวนให้รัฐบาลออสเตรียหันมาเข้ารับความคุ้มครองจากเยอรมัน

Franz von Papen

เพราะในขณะนั้น ยุโรปกำลังอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงจากการคุกคามของเหล่าฟาสซิสท์อย่างมุสโสลินี ที่เข้า
ไปยึดเอธิโอเปีย หน้าตาเฉย โดยที่ LON ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งทำตาปริบๆ..
แถมสงครามกลางเมืองในสเปนก็ได้ระเบิดขึ้น ภายใต้การนำของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านระบบสาธารณรัฐ
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ได้ให้การสนับสนุนในด้านอาวุธอย่างลับๆ
ซึ่งก็จ๊ะกันกับมุสโสลินี ที่ให้กำลังสนับสนุนนายพลฟรังโกทั้งการเงินและทางกำลังพลด้วยเช่นกัน..
ผลดีตกอยู่ที่ฮิตเล่อร์เต็มๆ เพราะ ทำให้เกิดการต่อสู้ยืดเยื้อในสเปน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฝรั่งเศส(อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายยึดครอง)
และอังกฤษเริ่มเหม็นหน้ามุสโสลินีเต็มประดา และ..หมดทางประสานสัมพันธ์กัน
ได้ในข้อตกลงของดินแดนฝั่งเมดิเตอเรเนียน

เมื่อถูกตัดหางปล่อยวัด มุสโสลินีจึงต้องหันหน้ามาคบกับฮิตเล่อร์อย่างไม่มีทางเลือก ทั้งสองเลยตกลงเป็นเสี่ยวกัน มีการทำสัญญาร่วมกันระหว่าง โรม-เบอร์ลินโดยเนื้อหาหลักๆคือ จับมือกันสู้ต่อใครก็ได้ที่แหลมเข้ามา..
เท่านั้นไม่พอ..ฮิตเล่อร์ได้ทำสัญญาภาคีกันเหนียวไว้กับญี่ปุ่นในเดือน พฤศจิกายน ด้วย ซึ่งคนญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยชอบใจในการที่ต้องคบหากับเยอรมันนัก
แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ เนื่องจากญี่ปุ่นได้เข้าไปยึดครองบุกรุกดินแดนแมนจูเรีย(ดูได้ใน หนังThe Last Emperor) และกำลังแผ่กระจายเข้าไปในส่วนที่เหลือของจีน..

ญี่ปุ่นจึงคิดว่า การเป็นภาคีกับเยอรมันนั้น อาจส่งผลให้รัสเซียเกิดการเกรงกลัวไม่เข้ามาแทรกแซง..
(หนอย..พวกนี้รู้จักสตาลินน้อยป๊ายยย..!!)

จากนั้นจนมาถึงฤดูไม้ไม้ร่วงของปี 1937 ไม่มีใครเฉลียวใจสักแอะว่า..ขณะที่ฮิตเล่อร์ประกาศปาวๆใฝ่หาสันติ
เพื่อชาวเยอรมันที่รักนั้น
แต่เบื้องหลังโรงงานทั่วประเทศต่างแข่งกันผลิตอาวุธสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
การรบพุ่งก็มีประปรายที่สเปนหน่อยเดียวเอง..ทั่วยุโรปต่างพากันนอนตาหลับ
โดยไม่ได้ฝันร้ายเลยแม้แต่นิด

หากแต่สองตำแหน่งระดับแม่ทัพที่ว่างลงไปอย่างกระทันหันนั้น..จะเอาอย่างไรกันดี หมายถึง von Blomberg (ที่
มีภรรยาอาชีพไม่พึงประสงค์) และ von Fritsch (ที่หาว่าเป็นเกย์)
ซึ่งในสองกรณีนี้ เหล่าทหารในกองทัพทุกเหล่าต่างก็ไม่พอใจกันถ้วนหน้า เพราะทุกคนรู้ดีว่า เป็นฝีมือกลั่นแกล้ง
ของฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช
เพียงแต่ว่าทุกคนไม่แน่ใจว่าฮิตเล่อร์ได้ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือ...ไร้เดียงสาจนไม่รู้เรื่องรู้
ราว
เพราะในกรณีของ von Fritsch นั้น เกอริงได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ถึงกับมาช่วยสอบพยานด้วยตัวเอง
หลังจากที่เลือกตำแหน่งไปมา ก็มาได้ นายพล von Brauchitsch เป็นแม่ทัพบก นายพล Keitel เป็นแม่ทัพภาคสายคอมมานโด, นายพล Raeder เป็นแม่ทัพเรือ

 von Brauchitsch

ส่วนเกอริง ที่หวังอย่างยิ่งในตำแหน่ง รมต.กลาโหม กลับแห้วสนิท แต่ได้ตำแหน่งจอมพลกองทัพอากาศมาปลอบใจ เพราะฮิตเล่อร์ให้เหตุผลว่ามีงานอยู่ในมือเยอะแล้ว ทั้งผู้ว่ารัฐปรัสเซีย, แม่ทัพอากาศ, ประธานฝ่ายงบประมาณสงคราม.. จะเอาอะไรอีกนัก
หนา
แต่คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านผู้นำ เล่นเอาทุกคนตะลึงงัน ว่า..
"ตำแหน่งรมต.กลาโหมนั้น..เป็นของข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว !!"

ทุกคนมองตากันปริบๆ..เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยเลยในครั้งไหนที่"พลเรือน"จะมาทำหน้าที่นี้ !!
แต่กระนั้น ต่างก็ยังเข้าใจว่า คงเป็นไปชั่วคราว จนกว่าคดีของ von Fritsch จะตัดสินพ้นผิด (ที่ทุกคนเชื่อว่าเช่น
นั้น) ก็จะกลับมารับราชการดังเดิม
พอเวลานั้นมาถึง..ศาลได้ตัดสินเข้าจริงๆว่า นายพล von Fritsch นั้นได้ถูกใส่ความ เพราะพยานได้สารภาพมาจนหมดสิ้น ว่าถูกจ้างวาน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อไหร่ท่านผู้นำจะประกาศ
ข่าวแถลงต่อสื่อมวลชนถึงความบริสุทธิ์และเพื่อเป็นเกียรติประวัติของผู้ถูกกล่าวหา

ฮิตเล่อร์กลับประวิงเวลา ทำเสียงอ่อยๆ เพราะ ไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ให้ออกมาได้อย่างไร เพราะถ้าแถลงข่าว ก็เท่ากับว่า หน่วยเกสตาโปนั้นยัดเยียดข้อหาให้กับนายทหาร
นั่นหมายถึง ไม่ฮิมม์เล่อร์ หรือ เฮดริช ก็ต้องโดนข้อหากันอ่วม
แต่ถ้าไม่แถลง...นั่นหมายถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ และ ความภักดี จากกองทัพก็จะหายวับไปกับตา

ในที่สุด ฮิตเล่อร์ก้ได้เรียกนายทหารทั้งหมดเข้าพบเป็นการส่วนตัว ที่ ฐานทัพ Pomeranian มีการแถลงถึงข้อคดี
ศาลที่นายพลvon Fritsch พ้นข้อหา..
และ ฮิตเล่อร์ได้บีบน้ำหูน้ำตาขอความเห็นใจ ว่า
"ขอเถอะ อย่าเอาเรื่องเอาราวกันเลย เพราะ ก็กระผ้มได้ออกข่าวไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า นายพล ได้ลาออกไปเอง
ด้วยปัญหาสุขภาพเสื่อมโทรม และถ้าต้องมาแก้ข้อความกันใหม่ ตัวกระผม..ในฐานะผู้นำก็จะกลายเป็นไอ้ปลิ้นปล้อน หลอกลวงในสายตาของประชาชนไปทันที แล้วใครที่ไหนจะมาเชื่อคำพูดกระผ้มได้อีก..ขอให้นึกว่าเพื่อ
ประเทศชาติเถอะ นะนะ นะ "
ทหารคนอื่นๆก็พอรับและทำใจได้ ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา หากแต่ นายพลผู้เคราะห์ร้าย..ขอลาออกจากราชการอย่างแน่นอน !!
เพราะเขารู้ดีว่า ผู้ที่ชักใยอยู่เปื้องหลังนั้น..คือใคร?


และไม่มีใครสักคนที่เฉลียวใจถึงข้อความในหนังสือ Mein Kampf ที่ฮิตเล่อร์ได้เขียน(ล่วงหน้า)เอาไว้อย่างโจ่งแจ้งถึงการเข้ายึดครองออสเตรียให้ได้ในปี 1938
และนี่คือสาเหตุที่เขาต้องทำดีกับเหล่าทหารในกองทัพแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
อย่าง นายพล von Brauchitsch ที่เขาเลือกมาให้รับตำแหน่งถึงแม่ทัพนั้น เพราะ ฮิตเล่อร์ได้เล็งเห็นแล้วว่า
นายพลคนนี้กำลังมีปัญหาฟ้องร้องกับเรื่องที่เมียขอหย่า ฮิตเล่อร์จึงรีบ ”ซื้อใจ” ด้วยการให้ความสนับสนุน
จ่ายค่าเลี้ยงดูตามที่ขอมาทั้งหมด แถมยังหาเมียคนใหม่ให้ซะอีก..หล่อนเป็นสมาชิกกลไกคนหนึ่งในพรรคนาซีนั่นเอง

และมันช่างได้ผลคุ้มค่า นายพล von Brauchitsch นั้น กลายมาเป็นลูกแมวเชื่องๆของฮิตเล่อร์ทันที
ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เขาคนนี้..ได้ประกาศโต้งๆเสมอว่า ..ไม่ชอบฮิตเล่อร์ ไม่ชอบไอ้พวกพรรคนาซี ตั้งแต่เมื่อครั้งกบฏโรง
เบียร์โน่นนน..!!
ฮิตเล่อร์เริ่มใช้อำนาจที่มี ปลดรมต.ต่างประเทศ คนเก่า คือ Baron von Neurath ออก และแต่งตั้ง นาย
Joachim von Ribbentrop ขึ้นมาแทน..
( นาย Joachim von Ribbentrop เข้าวงการเมืองได้ เพราะ สายน้ำเมา..คือว่า นายคนนี้เคยเป็นตัวกลางค้าไวน์ในฝรั่งเศส เผอิญว่ามาได้เมียเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีที่มีโรงงานแชมเปญที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน เลยอาศัยเงินพ่อ
ตาที่อุดหนุนพรรคแบบไม่อั้นเดินเข้ามาเป็น รมต.ไปเลย.)
ที่ต้องเปลี่ยนตัวเช่นนี้ วางหมากกันใหม่เช่นนี้..เพราะว่า แผนการที่จะเข้าฮุบออสเตรีย ได้กำลังจะเริ่มปฏิบัติในเร็ววันนี่แล้ว !!

Joachim von Ribbentrop




Create Date : 13 มีนาคม 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:52:49 น. 18 comments
Counter : 3367 Pageviews.  

 


แต่ในขณะเดียวกัน เยอรมันก็ได้ค่อยๆเขยิบเข้าไปใน Saarland โดยการชักโยงใยให้ประชาชนชาวเยอรมัน(ที่ถูกตัดแบ่งเค้กตอนแยกดินแดนไป) ให้ลุกขึ้นมาโหวตว่า
ต้องการที่จะรวมตัวกับแผ่นดินเยอรมันเหมือนเดิม..และ สำเร็จเสียด้วย เพราะไม่มีใครมาขัดขวาง
เท่านั้นไม่พอ..ยังคิดจะล่วงล้ำเข้าไปใน Rhineland (รอยต่อของชายแดนฝรั่งเศส เยอรมัน) ด้วยเหตุผลเดียวกัน

ฝ่ายมุสโสลินี ชักไม่ชอบใจ เพราะ ถ้าฮิตเล่อร์ทำได้..อิตาลีก็จะมาอยู่เฉยๆทำไม ก็เอาอย่างบ้างดิ..
ในเดือน ตุลาคม 1935 กองทักอิตาลี เคลื่อนเข้าไปบุกรุกยึดครองเอธิโอเปียแบบหน้าตาเฉย แต่คราวนี้การณ์กลับกัน เพราะ LON {League of Nations}ได้ลุกขึ้นต่อต้าน ปฏิบัติการแซงชั่นแบบทันที
แต่การประท้วงนั้นนั้น
ไม่ได้เกิดผลอะไรสักนิด นอกจาก..ประกาศตัดหางอิตาเลี่ยนปล่อยวัด..
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ ได้นั่งหัวเราะเอิ้กอ้ากไปซิ เพราะ เท่ากับว่า..อิตาลีกับสพม. ได้แตกคอกันเอง โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงยุยงสักนิด !!

วันที่ 15 ตุลาคม...เป็นวันที่ฮิตเล่อร์ได้ทำการเปิดวิทยาลัยยุทธศึกษา เพื่อฝึกหัดทหาร ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ปิด
ไปตั้งแต่ตอนหลังแพ้สงคราม(1920)
และในเดือน กุมภาพันธ์ ของปีต่อมา.ฮิตเล่อร์ได้ทำการประท้วงในข้อตกลงของสัญญาป้องกันอาณาจักร ระหว่าง ฝรั่งเศส เชคโกฯ และ โซเวียต ที่ได้ทำกันเอาไว้ อย่างเอาจริงเอาจัง..โดยกล่าวหาว่า..นี่คือ การคุกคาม
สันติภาพของยุโรป...
แต่ไม่ได้ส่งผลอะไร..เพราะเชคโก ก็ทำเฉย..ฝรั่งเศส ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

ฮิตเล่อร์...โมโหจนหน้าเขียว เดือดดาลถึงขนาดออกรายการด่าข้ามประเทศ และมิหนำซ้ำทำท่าจะท้าตีท้าต่อยเอาซะอีก
จนเหล่าบรรดานายทหารระดับยอดขุนพล ต้องออกมาเตือนให้เพลาๆเสียงซะหน่อย
เนื่องจาก ทหารกรมกอง 36 หน่วยจู่โจมนั้น ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย..
แต่..ฮิตเล่อร์เป็นนักลักไก่ที่โชคดีที่สุดในโลกก็ว่าได้..
เพราะ ในเดือน มีนาคม เขาบอกกับพวกทหารว่า ถึงเวลาแล้ว..ที่จะเข้าไปบุก ยึดเอา Rhineland กลับเข้ามาสู่อ้อมอกของเยอรมันอย่างเดิม..
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียว กองทัพเยอรมันก็เข้าไปยึดครองพื้นที่ของ Rhineland หน้าตาเฉย
และนี่คือครั้งแรกที่เยอรมันได้กล้าย่างเท้าเข้ามาในดินแดนนี้หลังจาก 1918
สนธิสัญญง สัญญาอะไร ไม่สนใจ มีอะไรอ้ะป่าววว !!

หลังจากการเข้ายึดครองเสร็จ ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นไปป่าวประกาศท้าทายชาวบ้านเขาไปทั่ว..
แต่ก็ยังไม่วาย อ้างว่า ทำไปเพื่อสันติภาพของชาวเยอรมันจำนวนล้านๆที่ค้างอยู่ในดินแดนนี้..
ฝ่ายเสนาธิการทั้งหลาย ถึงกับหนาวๆร้อนๆ รีบเตือนให้ฮิตเล่อร์เคลื่อนย้ายกำลังออกไปเถอะ..เพราะข่าวมาว่า
อังกฤษ กับ ฝรั่งเศสเริ่มมีการหารือกันอย่างเป็นงานเป็นการ แถมโปแลนด์กำลังจะเข้ามาแจมเอาซะด้วย บอกว่า
ถ้าฝรั่งเศสจะเล่น ก็ขอเล่นด้วย..

นายพลทั้งหลาย รวมทั้ง แม่ทัพบก นายพล von Blomberg ต่างวิ่งกันวุ่น ขอร้องก็แล้ว เตือนก็แล้ว เพราะ ถ้า
หากว่า ฝ่ายสพม.เกิดเคลื่อนทัพมาจริงๆละก้อ
รับรองว่า.. ขายหน้าเขาไปทั้งโลก
เพราะอาวุธปืนของเยอรมันตอนนั้น มีคุณภาพไว้ใช้แค่ยิงนกยิงหนูได้เท่านั้น..
ส่วนเครื่องบินก็คือของโละเก่าๆ
สองสามลำ รุ่น 52s ลุฟฮันซ่า เหลือใช้สงครามจากคราวที่แล้ว
แต่ฮิตเล่อร์ก็ยังเฉย..48 ชั่วโมงของการรอคอยที่แสนกระวนกระวาย หายใจไม่ทั่วท้องของเหล่าทหารทุกนายได้ผ่านพ้นไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด ไม่มีการตอบรับ หรือต่อต้านจากฝ่ายสพม.

เป็นอันว่า..ชัยชนะเป็นของฮิตเล่อร์อย่างขาวสะอาด ท่ามกลางเศษหน้าที่แตกกระจายเกลื่อนของเหล่าเสนาธิการทุกเหล่าทัพ
หลังจาก สองวันได้ผ่านไป..ฮิตเล่อร์ได้ขึ้นรถไฟกลับไปมิวนิค..
และทายซิว่าอะไรได้เกิดขึ้น....??

ทันที่ที่รถไฟเทียบชานชาลา
นายสถานีได้นำโทรเลขด่วนมาให้..จากพระเจ้า เอ็ดเวิร์ดที่แปด พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ
ข้อความว่า..ดีใจและเห็นด้วย ที่เยอรมันได้มีการรวมตัวกับเหล่าพี่น้องที่กระจัดกระจายกันอีกครั้ง และพระองค์
ถือว่านี่คือเรื่องในครอบครัวที่ต้องจัดการกันเอง
พระองค์จะไม่ยื่นพระหัตถ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย..!!
ฮิตเล่อร์อ่านจบก็ยิ่งฮึกเหิม เพราะ นี่คือชัยชนะแบบสองต่อสามต่อ
โดยไม่ต้องเสียกระสุนสักนัด..

และคราวนี้ เขากลับยิ่งเห็นสัจจธรรมเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง..
นั่นคือ พวกทหาร(อาชีพ)ที่เขาเคยกลัวนักกลัวหนาในอดีตนั้น..
ความจริงแล้ว..ไม่มี "น้ำยา" แม้แต่นิด
มันสมองเทียบชั้นสิบโทออสเตรียนอย่างเขาไม่ได้เลย..มันคนละชั้น !!




โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:23:24 น.  

 


และแน่นอนว่า ต้องมีการสั่งสอนเหล่าขุนพลกันซะหน่อย ฮิตเล่อร์กลับมาถึงก็ปูนบำเหน็จความดีความชอบทีเดียว
เช่นประกาศแต่งตั้งนายพล von Blomberg แม่ทัพ ให้เป็นจอมพลคนแรกของรัฐบาล
และ พันเอก von Fritsch ให้เป็นนายพล..รวมไปยังตำแหน่งอื่นๆรองลงไปด้วย
แต่..เครื่องแบบยังตัดไม่เสร็จ เข็มเครื่องหมายยังไม่ได้ติด เสียงไชโยโห่ฮิ้ว ยังไม่ทันจางหาย..ฮิตเล่อร์ก็ยกเลิกคำ
สั่งทั้งหมด.แบบหน้าตาเฉย !!

และจากจุดนี้เอง ที่ฮิตเล่อร์เริ่มเชื่อฟังตำราพิชัยสงครามของกองทัพ น้อยลง น้อยลง ทุกที เสนาธิการเริ่มหมดความสำคัญไปอย่างเห็นได้ชัด
และเหล่าทหารเองก็รู้สึกอึดอัด เพราะไม่ว่าจะอธิบายการศึกอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆกับท่านผู้นำ เพราะ ในที่สุดทุกคนก็ได้รู้ว่า
สิ่งที่ฮิตเล่อร์ต้องการอย่างแท้จริง นั่นก็คือ สงคราม
เขาเริ่มวางนโยบายรุกในทางตะวันออก..นั่นคือ บุกโปแลนด์ ซึ่วหมายถึง ต้องเจอกับศึกสองชั้น คือ โปแลนด์ แล้วก็ รัสเซีย..
ซึ่งอันเป็นสิ่งที่ใครๆรู้ว่า มันออกจะเกินกำลังของกองทัพที่เพิ่งฟื้นตัวจากการแพ้สงคราม ถึงแม้ว่า ฮิตเล่อร์จะบอก
ว่า เขาจะเอาญี่ปุ่นมาเป็นแนวร่วมก็ตาม
แต่มันช่างห่างไกลกันถึงคนละซีกโลก..

และการที่ขัดแย้งนี้ ฮิตเล่อร์เริ่มเอาพวกนายพลทหารพวกนี้ขึ้นหิ้งแขวน พร้อมทั้งส่งเสริมทีมงานของตัวอย่างออกหน้าออกตา

ฮิมม์เล่อร์ เห็นเป็นโอกาสอันดี ที่จะเหยียบหัว ข้ามบ่าใครต่อใครขึ้นไปนั่งแท่นในคราวนี้ โดยการใส่ใคล้ ป้ายสี
กลุ่มนายพล von Fritsch ว่า พวกนี้กำลังคิด
ก่อการล้มล้างรัฐบาล และกำลังจะนำพระเจ้าไกเซอร์กลับมาครองเมือง
และไม่ใช่ฮิมม์เล่อร์คนเดียว..ยังมีผู้ช่วยของเขาอีกคน คือนาย Reinhardt Heydrich อดีตนายทหารเรือ อายุ 32 ปี ผู้ที่ถูกไล่ออกจากราชการด้วยข้อหาปลุกปล้ำทำอนาจารเด็กสาว มาช่วยกันกระพือข่าวเป่าหูเจ้านายกันเป็น
การใหญ่

สำหรับนาย Heydrich คือการแก้แค้นที่ถูกตั้งกรรมการพิจารณาโทษจนถูกไล่ออกจากราชการ
ทุกอย่าง ได้ผลลงล๊อค..ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้นาย Heydrich เป็นหัวหน้าหน่วย SD
(กองอารักขาและหน่วยสืบสวนของ SS) และเป็นหัวหน้าหน่วยเกสตาโป ควบคู่ไปด้วย..
ที่มีผลพลอยได้ที่เป็นกำไรสำหรับเขาคือ ได้ดูแลหน่วย Hitler Youth ที่มีเด็กสาวๆมากมาย..ที่จะให้เขาเลือกจีบ
ได้ตามชอบใจอย่างไม่ผิดกฎเกณฑ์อันใด ...ยิ่งเป็นของชอบๆอยู่ด้วย !!



โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:33:38 น.  

 


ตอนที่เล่าไปว่า ประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์กได้มีความคิด(อาจจะ)แต่งตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมา..ตอนที่ท่านใกล้สิ้น..
จนฮิตเล่อร์หวาดผวาว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..พรรคนาซีจะกลายเป็นบอนไซ ตอนนั้นน่ะ
นายทหารลูกหม้อน้ำดีในสายตาของประธานาธิบดี ก็คือ
พวกนายพลชุดนี้แหละ..คือ นายพล Werner Freiherr von Fritsch(1880-1939) และ นายพล Werner(เหมือนกัน) von Blomlerg(1878-1946)

สองคนนี่คือทหารลูกหม้อที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อย
จะเล่าถึงคนแรกก่อน..von Fritsch
คนนี้ เป็นลูกทหาร ตัวเองจบมาจากโรงเรียนนายร้อยปรัสเซีย เป็นคนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอคนหนึ่ง..เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาอย่างวีรบุรุษ รบเคียงบ่าเคียงใหล่มากับท่านประธานาธิบดี จนได้รับการสดุดีไปทั่ว
อีกทั้งตำแหน่งก็อยู่ในระดับต้นๆของกองทัพ และเขาคือคนหนึ่ง ที่ประกาศตัวเองว่า ไม่ขอยุ่งกับการเมืองโดยเด็ดขาด
หน้าที่ของทหารคือรบ และ รบ..เพื่อความอยู่ยงของประเทศชาติเท่านั้น..
(และเขาคนนี้แหละ ที่ฮิตเล่อร์เคยกลัวใจหนักหนา)
จนมาได้รับตำแหน่งผบ.ในด้านจัดสรรกำลังพล และเพิ่มกำลังอาวุธ ในรัฐบาลนาซี ปี 1935
จนปี 1937 ในระหว่างการประชุมที่ Hossbach ฮิตเล่อร์ได้ประกาศถึงนโยบายที่จะบุก ออสเตรีย และ เชคโกฯ
โดยการใช้กำลังในทุกรูปแบบ
Von Fritsch มีความเห็นที่ขัดแย้ง..เพราะ เขาได้บอกว่า นี่คือชนวนแห่งการเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในยุโรป
และเยอรมันนั้น ยังไม่พร้อมในแสนยานุภาพด้วยประการทั้งปวง
ฮิตเล่อร์..กราดเกรี้ยว ด้วยเข้าใจว่า ทหารเยอรมันนั้นขี้ขลาด เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก
(เอ๊..หรือขนมปังหว่า?)
ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช ถือเป็นโอกาสอันดีในการช่วยประชุมเพลิง จะได้ขจัดพวกทหารออกไปให้พ้นทาง
ด้วยความอิจฉาที่สะสมในใจมานาน..!!

ว่าแล้ว..ฮิมม์เล่อร์ก้อจัดการวางแผนกับ
เฮดริชสมุนมือขวาในฐานะที่มีทั้งหน่วย SS และ เกสตาโป อยู่ในมือ
จึงสร้างหลักฐานพยานเท็จขึ้นมา..

หลักฐาน คือ ข้อความที่มีการติดต่อขอจ่ายค่าปิดปากให้กับ เกย์ขี้คุกคนหนึ่งที่ชื่อ Hans Schmidt เพื่อขอร้องให้
ปิดปากถึงความสัมพันธ์ที่เคยมี
พยานเท็จ คือ ตัวนาย Hans Schmidt นี่แหละ ที่มาชี้ตัวกันจะจะไปเลย ว่า ท่านนายพลคืออดีตคู่ขา
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะ von Fritsch คือ นายพลที่โสดสนิท..
ฮิตเล่อร์..เมื่อเห็นพยานหลักฐานพร้อมขนาดนั้น จึงสั่งปลดนายพลโดยใช้ข้ออ้างต่อประชาชนและสื่อว่า นายพล
ขอลาออกเพราะมีปัญหาสุขภาพ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938
(และมีการสั่งปลดแม่ทัพ von Blomberg ด้วยในคราวเดียวกัน.. เดี๋ยวค่อยเล่าไป ทีละคน)

เขาออกมาสู้คดีต่อข้อกล่าวหาทั้งหมดในชั้นศาล(ทหาร)เพื่อความโปร่งใสของตัวเอง
ซึ่งเขาได้ชนะคดีในที่สุด เพราะ นาย Han Schmidt ที่ถูกจ้างวานมา เงอะงะ ข้อมูลเหลวไหล และหนีความจริงไปไม่พ้น..
แต่อย่างที่บอกมาแล้วว่า von Fritsch เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ก่อนลงจากศาล..
เขา ได้ขอท้าดวลกับฮิมม์เล่อร์ ว่า
"เมิง..มาเลย มายิงกันกะกรู คนละนัด เอาป่ะ?"
แต่ไม่มีเสียงตอบใดๆจากฝ่ายที่ถูกท้า..
Von Fritsch ได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนรักคนหนึ่งคือ
Baroness Margot von Schutzbar เล่าว่า..
"นายคนนี้ (เขาหมายถึงฮิตเล่อร์) คือ คนที่จะนำเยอรมันไปพบกับจุดจบอย่างน่าอนาถที่สุด"
จดหมายลงวันที่ 2 ธันวาคม 1938

ต่อมา..เขาได้ถูกเรียกให้กลับเข้ารับราชการ ในตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยทหารปืนใหญ่ ในสงครามโปแลนด์
และความที่เขาถูกกดดันสารพัดจากแรงอิจฉาของปีศาจในเครื่องแบบทหาร
จนรู้ว่า..เขามีทางเลือกอยู่สามทาง คือ
1. ตายด้วยปืนของตัวเอง
2. ตายด้วยปืนของฝ่ายเดียวกัน
3. ตายอย่างนักรบ อย่างวีรบุรุษ ซึ่งเขาเลือกทางนี้

ในตอนที่เกิดการปะทะ วันที่ 22 กันยายน 1939 ในแนวรบที่ Praga ใกล้กรุง Warsaw
ต่อหน้าลูกน้องทั้งกรมกอง..เขาเดินตรงออกไปรับห่ากระสุนจากฝ่ายตรงข้ามแบบดื้อๆ..
อันเป็นการยอม(ฆ่าตัว)ตายในสนามรบอย่างวีรบุรุษ โดยแท้จริง!!



โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:40:04 น.  

 


นายพลคนต่อไป คือ Werner von Blomberg 1878-1946 (ในหนังสือบางเล่ม อาจเขียนชื่อแรกว่า Walter)คนนี้ก็เช่นกัน ที่เป็นลูกทหาร สายเลือดทหาร..และเป็นผู้ที่ได้นำทหารทั้งหมดเข้าทำคำสัตย์ปฏิญาณ ที่จะรักษา
เสถียรภาพของเยอรมันยิ่งชีพ และจะจงรักภักดีต่อผู้นำรัฐบาล
อีกทั้ง..จะไม่เข้าไปยุ่ง แทรกแซงในเรื่องของการเมืองใดๆ
ตามเจตนารมณ์ของท่านประธานาธิบดีผู้ที่เพิ่งล่วงลับไป..

ฮิตเล่อร์ได้แต่งตั้งให้ ท่านนายพล BB คนนี้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของ Wehrmacht ในปี 1935
เขาคนนี้แหละ..ที่ไม่เห็นด้วยกับการฝ่าฝืนละเมิดสนธิสัญญาในการที่ยกทัพเข้าไปใน Rhineland และเป็นคนที่
พยายามสอนถึงเรื่องการสงครามชนิดที่มีแบบแผน ซึ่งเป็นที่หมั่นใส้ของ เกอริง, ฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช อย่างที่สุด..
ในที่สุดเวลาแห่งการดับรัศมีก็มาถึง..

นายพล BB คนนี้ เป็นพ่อม่ายมาหลายปี แต่ในปี 1938 เขาก็ไปตกหลุมรักกับสาวคราวลูกคนหนึ่ง ชื่อว่า Eva Gruhn
ถึงกับมาขอให้ฮิตเล่อร์ และ เกอริง ไปเป็นสักขีพยานในการแต่งงานอย่างใหญ่โตหรูหรา
ซึ่ง..ไม่ใช่เฉพาะ ฮิตเล่อร์และเกอริงเท่านั้น..ใครต่อใครล้วนแต่ใหญ่โต ก็พากับไปเป็นไม้ประดับในงานอย่างเอิกเกริก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน..ด้วยฝีมือของเกสตาโป รูปภาพพร้อมกับประวัติของ Eva Gruhn ได้ออกมาตีแผ่ วางอยู่ต่อหน้าฮิตเล่อร์ ว่า
ในอดีตนั้น เธอคือ ผู้หญิงโสเภณีราคาถูกๆคนหนึ่ง ที่หารายได้ด้วยการแสดงหนังสด และถ่ายรูปอุบาทว์..

แน่นอน..ว่าฮิตเล่อร์โกรธจนหนวดกระดิก เพราะนี่มันเป็นการหลอกลวงกันอย่างชัดๆ นายพล BB บังอาจมาเชิญ
ท่านผู้นำอย่างเขาไปเป็นสักขีพยานให้กับหญิงงามเมืองเนี่ยนะ..
อ้ะ อ้ะ..อย่าบอกนะว่า ไม่รู้มาก่อน
เป็นถึงนายพล..ถ้าโง่กว่าผู้หญิงหากิน ก็ไปตายซะไป๊..!!
แถมบรรดาลูกสมุน อย่างเกอริง ผู้ที่อยากได้ตำแหน่งของนายพล BB จนตัวสั่น ก็ช่วยโหมโรง ใส่ไฟ แบบไม่มีเว้นวรรค

ที่สุด..ฮิตเล่อร์ก็เรียก นายพล BB มาบริภาษ กราดเกรี้ยว
คำตอบอย่างอาจหาญจากนายพลนักรัก ว่า..
"มันเป็นความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาผู้เป็นสามีสามารถให้อภัยได้ แล้วคนอื่นมาเจือกอะไรเหรอ?"

สรุปว่า..ฮิตเล่อร์ บังคับให้ลาออกไป แล้วเท่านั้นไม่พอ เนรเทศให้ออกไปนอกประเทศด้วย เพราะ อับอายอดสูใจ
(ที่ดันไปยืนซะโก้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว)... ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1938

สรุปว่า นายพล BB เลือกเอาความรักเป็นใหญ่ พาเมียออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่ คาปรี, อิตาลี แต่ก็อยู่ได้ไม่กี่ปี พอเยอรมันแพ้
เขาก็ถูกจับตัวให้อยู่ในค่ายเชลย (POW) โดยทหารอเมริกัน และเสียชีวิตในค่ายเมื่อเดือนมีนาคม 1946 อายุสิริรวมได้ 68 ปี


โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:45:43 น.  

 


มาถึง..นาย Heydrich Reinhard (1904-1942) มือขวาของฮิมม์เล่อร์ และเป็นคนที่สรรหาวิธีสารพัดในการกำจัดยิวในทุกดีกรีของความโหดร้าย เรียกได้ว่าเป็นคนออกแบบ
"Final Solution" ตัวจริงเสียงจริง..

มาดูประวัติของเขาดีกว่า..
ครอบครัวของเขาทั้งพ่อและแม่เป็นนักดนตรีนักแสดงละครเวที
และตัวของเขาเอง..ก็มีความสามารถทางด้านสีไวโอลินได้อย่างเพราะพริ้งนัก จนอายุครบเกณฑ์ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ (1919) เขาจึงได้รับอิทธิพลของการสงครามโดยการนำตัวเข้าไปรวมกลุ่มเยอรมันเสรี (Free Corps = Freikorps)
และต่อมาก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ในหน่วยของ นายพล Wilhelm Canaris (คนนี้สำคัญนะ เดี๋ยวเล่า) ซึ่งเป็นทั้งนายและอาจารย์ของนายเฮดริช
แต่ตัวเองไม่รักดี ดันไปปลุกปล้ำทำอนาจารกับเด็กสาวซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นธิดาของนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน
โทษครั้งนี้ถึงกับต้องถูกปลดประจำการ จึงมาสมัครเข้าในหน่วยของ SS โดยใช้การทำงานในขบวนการ FC มาเป็นเกียรติประวัติ

และ..เผอิญว่าถูกชะตากับฮิมม์เล่อร์เข้าอย่างจัง จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งพรวดๆ จากการเป็นทหารเรือไม่มียศอะไร จนมาเป็น พันตรีในหน่วย SS ในปี 1931
และ พันเอกของหน่วย SD ในปีถัดมา และมาเป็นรองผบ. SS ใน
กลางปี 1934 เพราะเป็นการปูนบำเหน็จรางวัลที่ปลิดชีวิตร้อยเอก Rohm ได้ทันอกทันใจท่านผู้นำ
ต่อมาในปลายปี 1934 ปีเดียวกันนี่แหละ..ได้เป็นพลตรี ในหน่วย SS
ยศเลื่อนไว ราวกับติดจรวด มั๊ยล่ะ.??

จะว่าไปแล้ว นายเฮดริชคนนี้ก็ทรงเสน่ห์หยอกอยู่เมื่อไหร่..
ผมทอง ตาโศก สูงขาวเข่าดี แฝงไว้ด้วยความดุดัน โหดเหี้ยม ดูๆไปก็เปรียบได้ราวนายแบบของเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์จินตนาการไว้เชียว..
คุณสมบัติก็ไม่ใช่ขี้ขี้ เพราะเป็นนักกีฬาฟันดาบที่มีฝีมือ นอกเหนือไปจากความสามารถแสนพิเศษอย่างอื่น เช่น
การขี่ม้าบังคับม้า, เป็นนักบิน และ เป็นนักดนตรีที่มีความชำนาญในการเล่นไวโอลิน
ซึ่ง..ไม่แปลกอะไร ..ที่ฮิมม์เล่อร์จะเห็นว่าเขา"เด่น" กว่าคนอื่นๆ
ถึงขนาดไว้ใจมอบตำแหน่งหัวหน้าของเกสตาโปที่มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าพระเจ้าให้อย่างเด็ดขาดในปี 1936

เขาได้ใช้อำนาจล้นฟ้าที่มี สนองพระเดชพระคุณให้กับจ้าวนายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยการทำทารุณกรรม
ต่อชาวยิวได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ยึดทรัพย์ เนรเทศ(ให้ออกไปอดตาย) รวมไปถึงการส่งตัวไปยังโรงงานนรก หรือ
ค่ายมรณะ..จนได้ฉายาว่า
"ไอ้ปีศาจผมทอง" หรือ The Blond Breast
และตัวอย่างของวิกฤติที่เกิดขึ้นกับนายพลสองคนข้างบนนั้น มาจากฝีมือของเฮดริชทั้งสิ้น..!!
งานที่สำคัญของ เฮดริช คือการกวาดต้อนและเนรเทศชาวยิวอย่างที่เล่ามา
(อันเป็นขั้นต้น ที่ทวีความรุนแรงในทีหลัง)
จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่จัดได้ว่าเป็น
โศกนาฎกรรมครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือ
The Crystal Night Pogrom หรือที่รู้จักกันว่า Kristallnacht
ในเดือน พฤศจิกายน 1938 ที่ชาวเยอรมันและกลุ่ม SS ลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกาย ทำลายร้านค้าทุบกระจกแตกกระจายทั่วเมือง เผาโรงสวด
เนื่องจาก การกระทำของชายชาวยิวคนหนึ่ง..ที่ถูกกดดันเสียจนต้องหาทางออก..

นั่นคือ..
หลังจาก 1935 กฏหมายนูเรมเบอร์คที่จำกัดสิทธิชาวยิวได้ออกมาแต่ไม่ได้มีผลใช้ในทันที เพราะ เบอร์ลินได้เป็น
เจ้าภาพในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก..จึงต้องออกมาแสดงภาพที่ดีต่อสายตาชาวโลก ในการยกเลิกป้าย"ยิวห้ามเข้า" ไปชั่วคราว..
จนชาวยิวชักเริ่มตายใจ นึกว่า ล้อเล่งงง...

จนมาในปี 1938 จึงเริ่มบังคับใช้..ส่งผลให้ชาวยิวโปล์ ต้องถูกเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์มากมาย..รวมไปถึงครอบครัว Grynszpan ที่ได้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในเยอรมันตั้งแต่ 1911 แต่ก็ยังไม่วายถูกยึด
ทรัพย์ทั้งหมด และเนรเทศกลับไปยังโปแลนด์

ตัวลูกชายวัย 17 ปี ชื่อว่า Herschel ที่เผอิญว่าอาศัยอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศส พอรู้ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเข้า..จึงเกิดอาการฟิวส์ขาด เขาไปที่สถานทูตเยอรมัน(ในฝรั่งเศส)
พร้อมด้วยพัสดุที่มีปืนซ่อนอยู่ข้างใน โดยบอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการพบท่านทูตเพราะมีของ "สำคัญ" มามอบให้..
แต่..วันนั้นทูตไม่อยู่ นาย Ernst vom Rath เลขานุการส่วนตัวจึงออกมารับของแทน..ซึ่งมันกลายเป็นกระสุนที่สาดออกมาจากปืนในมือของเด็กหนุ่มชาวยิว นามว่า Herschel
ผลคือ..ท่านเลขาไปตายที่โรงพยาบาลในสองวันต่อมา

และจากการกระทำนี้ ส่งผลให้ฮิมม์เล่อร์และ
เฮดริชถือเป็นโอกาสล้างแค้นกับชาวยิวอย่างสาสม
ในการเปิดฉากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นับตั้งแต่คืนนั้น.. คืนแห่งกระจกพินาศ 9-10 พฤศจิกายน 1938 เป็นต้นมา








โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:54:32 น.  

 


เฮดริช ต้องทำการทารุณชาวยิวอย่างไม่ให้มีขาดตกบกพร่องอย่างนี้ เพื่อเป็นการปกปิดอำพรางชาติตระกูลตัวเอง
เนื่องจากความที่เป็นคนเติบโตเร็วในหน้าที่การงาน จนเกิดความหยิ่งยะโส
เที่ยวเบิ้ลทับใครต่อใคร ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแม้กระทั่งอดีตผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้ละเว้น
นั่นคือ แม่ทัพเรือ นายพล Canaris ที่ทนไม่ไหวถึงกับต้องเอาประวัติเก่าๆมาแฉว่า
ที่แท้แล้ว..เฮดริช ก็คือ ลูกหลานชาวยิวคนหนึ่ง ที่ได้ไปแก้ประวัติตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ฮิตเล่อร์และฮิมม์เล่อร์ เลือกที่จะฟังข้อแก้ตัวมากกว่า นายนี่เลยรอดตัวไป..
แต่กระนั้นก็ต้องทำเป็นเกลียดชัง
ชาวยิวเพื่อให้สมบทบาท
จนต่อมาในปี 1941 ที่เยอรมันได้เข้าครองครอง เชคโกฯ เฮดริชเข้ารับหน้าที่ใหญ่นั่นคือ การเข้าล้างเผ่าพันธุ์ให้
เป็นเรื่องเป็นราวไปตามขั้นตอน โดยที่ไปประจำที่ศูนย์ในกรุง Prague และด้วยความที่เหิมเกริมต่อความยิ่งใหญ่
เขามักไปไหนมาไหนด้วยการทำเต๊ะจุ๊ยนั่งรถเปิดประทุนอวดสาว ไม่มีองครักษ์ติดตามให้เกะกะ

จนวันที่ 27 มิถุนายน 1942 ขณะที่กำลังขับรถกินลมชมวิวที่ชานเมือง village of Lidice อยู่นั้น หน่วยจารกรรม
ชาวเสรีเชคสองคน ที่ลอบโดดร่มเข้ามาจากอังกฤษได้สาดกระสุนใส่แบบไม่นับ
รวมทั้งเพื่อความมั่นใจ กลิ้งน้อยหน่าเข้าใต้ท้องรถอีกต่างหาก
เขาก็ทนทายาท อยู่ในห้องฉุกเฉินพะงาบ พะงาบ มาได้จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม จึงสิ้นใจ !!
แต่..หน่วยจารกรรมสองคนนั่น พร้อมกับชาวบ้านไม่ว่าหญิงชาย เด็กเล็ก ทั้งหมู่บ้านถูกหน่วย SS ฆ่าตายเรียบไม่
เหลือแม้กระทั่งสาธุคุณในโบสถ์
เพื่อเป็นการแก้แค้น..ให้กับ Heydrich Reinhard ...The Blond Beast !!!



โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:8:56:52 น.  

 


ในปี 1936 เยอรมันได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิคภาคฤดูร้อน ซึ่งการล๊อกนี้ได้ทำการตกลงกันมาตั้งแต่ปี 1931 แล้วตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคของรัฐบาลนาซีด้วยซ้ำ
แต่..มันจะเป็นการโฆษณาถึง
แสนยานุภาพของนักกีฬาเผ่าอารยันที่ฮิตเล่อร์คุยนักคุยหนาว่าเก่งกว่าชาติไหนๆ
ปัญหามันก็คือ กีฬาโอลิมปิคนี่
เป็นกีฬาแห่งนานาชาติ
แล้ว พวกยิวล่ะ พวกนิโกรล่ะ..ว้า..ไม่เอางะ ฮิตเล่อร์ชักจะรวนเร อยากเปลี่ยนใจเต็มที่
แต่เกิบเบิลส์ ชี้แนะให้เห็น
ถึงความสำคัญต่อสายตาของชาวโลกมาเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง..ในที่สุดฮิตเล่อร์ก็คล้อยตาม ยอมลงทุนให้งบประมาณจัดงานถึง ยี่สิบล้านมาร์ค หรือ แปดล้านเหรียญ สรอ.

แต่มีข้อแม้เยอะแยะ..เช่น นักกีฬาตัวยง ตัวเก่ง มือเหรียญ มือถ้วย คนไหนก็ตาม ถ้าเพียงแต่มีเชื้อสายยิว หรือยิบซี ไม่ว่ามากหรือน้อย ไม่ได้รับการคัดตัว..
ฮิตเล่อร์ตั้งใจให้เป็นกีฬาครั้งนี้ เป็นการแข่งความสามารถของเผ่าพันธ์มากกว่า(โดยเป็นที่รู้กัน)
ชุดแรกที่โดน คือ Eric Seelig, Johann Trollman นักมวยแชมป์สมัครเล่น..ที่โดนปลดออกจากทีม (เลยไปได้ดีอยู่ในอเมริกาตอนหลัง)
ต่อมา..คือ Daniel Prenn นักเทนนิสมือทอง และคนสำคัญดาราเด่นกระโดดสูง คือ Gretel Bregmann
เพราะพวกเขามีเชื้อสายยิว

ข่าวนี้ได้กระจายออกไปถึงหูประธานคณะกรรมการโอลิมปิคเข้า จึงต้องมีการไต่สวนและประกาศเตือนให้ฮิตเล่อร์รู้ว่ากีฬาโอลิมปิคนั้น จัดขึ้นเพื่อความสามัคคีที่เป็นพลังจากทุกประเทศในโลก และ ไม่ควรต้องมีเรื่องการ
เมืองมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
(อันเป็นกฎข้อหนึ่งบัญญัติไว้)
แต่เยอรมันกำลังละเมิดกฎข้อนี้..ขอให้กลับไปคิดดูใหม่ให้ดีๆ เพราะทางโอลิมปิคอาจต้องย้ายสถานที่การจัดงาน
ถ้าหากคำตอบเป็นที่ไม่พอใจ

ในตอนหลัง..ฮิตเล่อร์เลยต้องยอมให้นักกีฬานั้นกลับเข้ามา..


โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:00:39 น.  

 


ในที่สุด ทางเยอรมันก็ต้องยอมที่นักกีฬายิวของชาติอื่นมาแข่งขันได้
แต่ทางเยอรมันจะมีแต่เผ่าอารยันล้วนๆ
ฮิตเล่อร์ในฐานะประมุขมีทางเลือกสองทาง คือ จะมอบเหรียญและจับมือกับนักกีฬาทั้งหมดเท่าเทียมกัน หรือ มอบให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน..
ซึ่งเขาเลือกเอาอย่างหลังเพื่อความสะดวกใจ

ในขณะเดียวกัน ทางเยอรมันได้จัดการเทรนนักกีฬาหนุ่มสาวของตัวอย่างเต็มที่ เพราะ นี่คือการแสดงฝีมือครั้งยิ่งใหญ่ต่อสายตาชาวโลก

อเมริกาก็เหมือนจงใจแกล้ง..ส่งนักกีฬาผิวดำเข้าชิงชัยถึง 18 คน ชาย 16 หญิง 2 สามเท่าของโอลิมปิคคราวที่แล้ว 1932 ในนครลอส แอนเจลิส
และประเทศอื่นๆอีกรวมทั้งหมด 49 ประเทศ นักกีฬาทั้งหมด 348 คน
เยอรมันพยายามทำตัวเป็นเจ้าภาพชั้นดี
ป้ายกดขี่ยิวถูกปลดออกไม่มีให้แขกบ้านเขกเมืองได้เห็น ป้ายโฆษณา
กีฬาที่แปะติดอยู่ทั่วไปออกแบบไปทางโรมัน ประเภทนายแบบนางแบบผมทอง ตาสีฟ้า
ยุคกระโน้น เหมือนกับบอกเป็นนัยๆว่า นี่คือกีฬาของชาวอารยันนะเฟ้ย !!

แต่ก็ทำใจถึง..อนุญาตให้ลูกครึ่งยิวเยอรมัน Rudi Ball เข้าแข่งในการแข่งขันสกีที่ภูเขาแอลป์(ภาคกีฬาฤดูหนาว กุมภาพันธ์ 1936)) ด้วย
นักข่าวที่เข้าไปสังเกตการณ์ได้นำความมาเขียนป่าวประกาศว่า
ในกีฬาฤดูหนาวที่ว่านั่น..มีแต่ทหารนาซีแห่กันไปมากมาย โดยไม่ใช่เรื่องของการเมืองสักนิด
ผู้คนด่ากันเพียบ..
ในที่สุดก็ต้องสัญญิง สัญญากันว่า กีฬาภาคฤดูร้อน(สิงหาคม 1936) จะพยายามไม่ให้ทหาร
โผล่หน้าไปอย่างมากมายอย่างนั้นอีก

พอถึงเดือนสิงหาเข้ามาจริงๆ นักท่องเที่ยวทะลักเข้าเบอร์ลินมากมายนับล้านๆคน
แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้หรอกว่า
ป้ายจำกัดสิทธิยิวนั้น ได้เพิ่งถูกถอดถอนไป
ไม่มีใครรู้อีกเช่นกันว่า ยิบซีกว่า 800 คนได้ถูกกวาดต้อนไปเก็บตัวอยู่ในแค้มป์ชายเมือง
และ..นาซีได้
ประกาศว่า สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น
มาตรา 175(ต่อต้านโฮโมเซ็กฌ่วล) ไม่มีผลบังคับใช้ใดๆ
ส่วนนายเกิลเบิลส์ ได้เข้ามาดูแลควบคุมข่าวด้วยตัวเองในสื่อทุกรูปแบบ ที่ต้องผ่านการกลั่นกรองของหน่วยข่าวนาซีก่อน

ในวันที่ 1 สิงหาคม ฮิตเล่อร์ได้ไปเป็นประธานเปิดงานกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 11 ซึ่งพิธีนั้นได้ตระเตรียมอย่างใหญ่โต
ต่อผู้คนนับล้านๆคน มีการเดินแถวริ้วขบวนนักกีฬาอย่างงดงาม
คบเพลิงจาก โอลิมเปีย ประเทศกรีซ ได้ถูกนำมาจุดอันเป็นสัญลักษณ์

นักกีฬาอเมริกันผิวดำ 9 ใน 18 คนนั้น..ต่างคว้าเหรียญมากันเป็นเข่ง โดยเฉพาะ
Jesse Owens นักวิ่งคว้าเหรียญทองมาถึง สี่เหรียญ
ตบหน้าเชื้อสายเผ่าพันธ์อารยันแบบย่อยยับ..จนนายเกิบเบิลส์จนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ถึงต้องมาออกประกาศแก้เกี้ยวว่า
พวกนักกีฬาผิวดำนั้น จะว่าไปแล้ว..เป็นพวกแรงงานต่างด้าวรับจ้าง (อันว่าเป็นชนชั้นทาส) ซึ่งถ้าลองอเมริกันส่ง
ผิวขาวมาแข่งละก้อ..
รับรองว่าไม่ได้รางวัลกลับไปร๊อกกก !!

ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของพวก Afro-American เลยด่าฮิตเล่อร์ซะยับ..ว่า..ไม่ยอมแม้กระทั่งจะจับมือแสดง
ความยินดีต่อ Jesse วีรบุรุษโอลิมปิค
แต่..ความจริงก็ได้เล่ามาแล้วว่า ฮิตเล่อร์เลือกที่จะส่งผู้แทนไปมอบรางวัลตั้งแต่ครั้งแรก
หรือลางสังหรณ์อาจบอกไว้ล่วงหน้าก็เป็นได้ว่า ยิวที่ได้รับเหรียญโอลิมปิคครั้งนี้มีถึง 14 คน แถมเป็นเหรียญทองซะเก้า เงินสาม ทองแดง สอง

แต่แล้ว..โศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ ร้อยเอก Wolfgang Forstner ผู้บังคับบัญชาศูนย์ที่พักนักกีฬาโอลิมปิค ยิงตัวตายหลังจากที่จบพิธีไปได้สองวัน
เพราะความเสียใจที่ถูกสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากพบว่า ต้นตระกูลมีเชื้อสายเป็นยิว !!




โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:05:47 น.  

 


จากที่ใครๆได้เห็นในจัดแต่งสถานที่อันโอ่อ่าแสนอลังการของนาซีนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันฉลองวีรชน หรือ โอลิมปิค
ทั้งหมดมาจากมันสมองและฝีมือของคนในวงในใกล้ชิดฮิตเล่อร์คนหนึ่ง ที่ค่อนข้างสำคัญรองไปจากท่านผู้นำ..
เขาคนนั้นคือ Albert Speer หรือที่ใครๆเรียกเขาว่า คนดีในหมู่โจร..

Speer เป็นวิศวะสถาปัตย์ ที่พลอยมาหลงลมปากของฮิตเล่อร์ในปี 1931 จนยอมเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่ง
และด้วยความสามารถในวิชาชีพ ที่เผอิญตรงกับรสนิยมของฮิตเล่อร์เป๊ะ อีกทั้ง บุคคลิกที่อ่อนโยนและพูดจามี
เหตุผล หน้าตาหล่อเหลา ทำให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของฮิตเล่อร์ที่นับเขาราวกับญาติสนิท
ฝีมือของ Speer อันเป็นที่ประทับใจท่านผู้นำอย่างมากมาย นั่นคือความสำเร็จในการสวนสนาม จัดริ้วขบวน
และสถานที่ รวมไปถึงแปลนการเดินแถวที่แสนยิ่งใหญ่

ในวันที่ฉลอง Tempelhofer field 1st. May 1932 โดยมีการใช้เทคนิคพิเศษที่เอาไฟต่อสู้อากาศยานส่องขึ้นฟ้าไปมา เรียกเสียงฮือฮาเพราะความแปลกใหม่
จากนั้นมา.ก็เป็นการสวนสนามแสดงแสนยานุภาพที่นูเรมเบอร์ค.. เขาก็ได้รับงานชิ้นสำคัญๆมากมาย เช่นการสร้างทำเนียบใหม่ในเบอร์ลิน และสภาสูงที่นูเรมเบอร์ค

พอปี 1937 ก็ได้รับตำแหน่งนายพลประจำสำนักท่านผู้นำ จนมาถึงปี 1942 ในยุคของสงครามเขาได้รับแต่งตั้งให้
เป็นผู้ดูแลควบคุมการสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด นั่นคือโดยการเอาแรงงานทาส
เข้าใช้สู่โรงงานทั้งหมด.. เยอรมันมีอาวุธใช้เหลือเฟือจนทำให้สงครามยืดระยะเวลานานออกไปอีกถึงสองปี..
หากแต่ในวาระสุดท้าย..ที่เยอรมันต้องแพ้สงครามอย่างแน่แท้นั้น

มีการวางแผนสังหารฮิตเล่อร์ในวันที่ 20
กรกฏาคม 1944
โดยการวางระเบิด ฮิตเล่อร์รอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด ที่ไม่รอดก็คือ"กางเกง"ของเขาที่มีรอยใหม้พรุนแทบทั้งตัว

เหล่าเกสตาโปได้ไปสรรหาคณะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็ให้เผอิญว่าจับเอกสารของตัวการได้
ที่มีชื่อของ Albert Speer เขียนอยู่ แต่มีเครื่องหมาย ? ตามหลัง..ซึ่งเป็นคำตอบได้ว่า หลักฐานไม่มีการยืนยันแน่
นอน เขาจึงรอดตัวไป
อีกทั้งฮิตเล่อร์เองก็ไม่เชื่อว่า..Speer มีส่วนร่วมแต่อย่างใด

ครั้งต่อมาในยามที่คับขันจวนเจียน กองทัพรัสเซียกำลังคืบคลานถึงตัว..ฮิตเล่อร์ ต้องการระเบิดทำลายเยอรมันให้ราบคาบ เพื่อไม่ต้องตกไปอยู่ในมือของ สพม.
ในแผนการ" victory or annihilation" หรืออาจใช้เรียกได้ว่า..ไม่ชนะ ก็ล้มกระดาน
Speer ขัดขวางสุดฤทธิ์ ไม่รับคำสั่งไปปฏิบัติ และเพิ่งมารู้ตัวในตอนนั้น ว่า ตัวเองกำลังทำงานอยู่กับคนบ้า..คนที่จิตบกพร่องอย่างฮิตเล่อร์

เขาจึงพยายามสังหารฮิตเล่อร์และคณะในบังเกอร์ด้วยตัวของเขาเอง โดยการวางแผนปล่อยแก็สพิษไปทางช่องลม แต่..ไม่สำเร็จ
เพราะมียาม SS มาสังเกตเห็นเสียก่อน..
เขามีชีวิตอยู่มาเล่าเรื่องราวต่างๆได้ ในหนังสือ Inside the Third Reich (จัดจำหน่ายในปี 1970)
ที่เขียนในขณะที่ใช้กรรมอยู่ในคุกถึง 20 ปี (1946-1966 คดีอาชญากรสงครามที่ศาลนูเรมเบอร์ค)
นับว่าเป็นข้อเขียนชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง แห่งเบื้องหลังเบื้องลึกของนาซี ภายใต้การนำของฮิตเล่อร์










โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:09:56 น.  

 


ในช่วงของฤดูร้อน 1936 เดียวกันนี่เอง ที่ฮิตเล่อร์ได้เข้าแทรกซึมในออสเตรียอย่างจริงจัง โดยส่ง นาย Franz von Papen เข้าไปเป็นฑูตประจำและพยายามชี้ชวนให้รัฐบาลออสเตรียหันมาเข้ารับความคุ้มครองจากเยอรมัน

เพราะในขณะนั้น ยุโรปกำลังอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงจากการคุกคามของเหล่าฟาสซิสท์อย่างมุสโสลินี ที่เข้า
ไปยึดเอธิโอเปีย หน้าตาเฉย โดยที่ LON ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งทำตาปริบๆ..
แถมสงครามกลางเมืองในสเปนก็ได้ระเบิดขึ้น ภายใต้การนำของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านระบบสาธารณรัฐ
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ได้ให้การสนับสนุนในด้านอาวุธอย่างลับๆ
ซึ่งก็จ๊ะกันกับมุสโสลินี ที่ให้กำลังสนับสนุนนายพลฟรังโกทั้งการเงินและทางกำลังพลด้วยเช่นกัน..
ผลดีตกอยู่ที่ฮิตเล่อร์เต็มๆ เพราะ ทำให้เกิดการต่อสู้ยืดเยื้อในสเปน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฝรั่งเศส(อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายยึดครอง)
และอังกฤษเริ่มเหม็นหน้ามุสโสลินีเต็มประดา และ..หมดทางประสานสัมพันธ์กัน
ได้ในข้อตกลงของดินแดนฝั่งเมดิเตอเรเนียน

เมื่อถูกตัดหางปล่อยวัด มุสโสลินีจึงต้องหันหน้ามาคบกับฮิตเล่อร์อย่างไม่มีทางเลือก ทั้งสองเลยตกลงเป็นเสี่ยวกัน มีการทำสัญญาร่วมกันระหว่าง โรม-เบอร์ลินโดยเนื้อหาหลักๆคือ จับมือกันสู้ต่อใครก็ได้ที่แหลมเข้ามา..
เท่านั้นไม่พอ..ฮิตเล่อร์ได้ทำสัญญาภาคีกันเหนียวไว้กับญี่ปุ่นในเดือน พฤศจิกายน ด้วย ซึ่งคนญี่ปุ่นนั้นไม่ค่อยชอบใจในการที่ต้องคบหากับเยอรมันนัก
แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ เนื่องจากญี่ปุ่นได้เข้าไปยึดครองบุกรุกดินแดนแมนจูเรีย(ดูได้ใน หนังThe Last Emperor) และกำลังแผ่กระจายเข้าไปในส่วนที่เหลือของจีน..

ญี่ปุ่นจึงคิดว่า การเป็นภาคีกับเยอรมันนั้น อาจส่งผลให้รัสเซียเกิดการเกรงกลัวไม่เข้ามาแทรกแซง..
(หนอย..พวกนี้รู้จักสตาลินน้อยป๊ายยย..!!)



โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:15:18 น.  

 


จากนั้นจนมาถึงฤดูไม้ไม้ร่วงของปี 1937 ไม่มีใครเฉลียวใจสักแอะว่า..ขณะที่ฮิตเล่อร์ประกาศปาวๆใฝ่หาสันติ
เพื่อชาวเยอรมันที่รักนั้น
แต่เบื้องหลังโรงงานทั่วประเทศต่างแข่งกันผลิตอาวุธสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
การรบพุ่งก็มีประปรายที่สเปนหน่อยเดียวเอง..ทั่วยุโรปต่างพากันนอนตาหลับ
โดยไม่ได้ฝันร้ายเลยแม้แต่นิด

หากแต่สองตำแหน่งระดับแม่ทัพที่ว่างลงไปอย่างกระทันหันนั้น..จะเอาอย่างไรกันดี หมายถึง von Blomberg (ที่
มีภรรยาอาชีพไม่พึงประสงค์) และ von Fritsch (ที่หาว่าเป็นเกย์)
ซึ่งในสองกรณีนี้ เหล่าทหารในกองทัพทุกเหล่าต่างก็ไม่พอใจกันถ้วนหน้า เพราะทุกคนรู้ดีว่า เป็นฝีมือกลั่นแกล้ง
ของฮิมม์เล่อร์ และ เฮดริช
เพียงแต่ว่าทุกคนไม่แน่ใจว่าฮิตเล่อร์ได้ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือ...ไร้เดียงสาจนไม่รู้เรื่องรู้
ราว
เพราะในกรณีของ von Fritsch นั้น เกอริงได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ถึงกับมาช่วยสอบพยานด้วยตัวเอง
หลังจากที่เลือกตำแหน่งไปมา ก็มาได้ นายพล von Brauchitsch เป็นแม่ทัพบก นายพล Keitel เป็นแม่ทัพภาคสายคอมมานโด,
นายพล Raeder เป็นแม่ทัพเรือ

ส่วนเกอริง ที่หวังอย่างยิ่งในตำแหน่ง รมต.กลาโหม กลับแห้วสนิท แต่ได้ตำแหน่งจอมพลกองทัพอากาศมาปลอบใจ เพราะฮิตเล่อร์ให้เหตุผลว่ามีงานอยู่ในมือเยอะแล้ว ทั้งผู้ว่ารัฐปรัสเซีย, แม่ทัพอากาศ, ประธานฝ่ายงบประมาณสงคราม.. จะเอาอะไรอีกนัก
หนา
แต่คำพูดประโยคสุดท้ายของท่านผู้นำ เล่นเอาทุกคนตะลึงงัน ว่า..
"ตำแหน่งรมต.กลาโหมนั้น..เป็นของข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว !!"

ทุกคนมองตากันปริบๆ..เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยเลยในครั้งไหนที่"พลเรือน"จะมาทำหน้าที่นี้ !!
แต่กระนั้น ต่างก็ยังเข้าใจว่า คงเป็นไปชั่วคราว จนกว่าคดีของ von Fritsch จะตัดสินพ้นผิด (ที่ทุกคนเชื่อว่าเช่น
นั้น) ก็จะกลับมารับราชการดังเดิม
พอเวลานั้นมาถึง..ศาลได้ตัดสินเข้าจริงๆว่า นายพล von Fritsch นั้นได้ถูกใส่ความ เพราะพยานได้สารภาพมาจนหมดสิ้น ว่าถูกจ้างวาน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อไหร่ท่านผู้นำจะประกาศ
ข่าวแถลงต่อสื่อมวลชนถึงความบริสุทธิ์และเพื่อเป็นเกียรติประวัติของผู้ถูกกล่าวหา

ฮิตเล่อร์กลับประวิงเวลา ทำเสียงอ่อยๆ เพราะ ไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ให้ออกมาได้อย่างไร เพราะถ้าแถลงข่าว ก็เท่ากับว่า หน่วยเกสตาโป
นั้นยัดเยียดข้อหาให้กับนายทหาร
นั่นหมายถึง ไม่ฮิมม์เล่อร์ หรือ เฮดริช ก็ต้องโดนข้อหากันอ่วม
แต่ถ้าไม่แถลง...นั่นหมายถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ และ ความภักดี จากกองทัพก็จะหายวับไปกับตา

ในที่สุด ฮิตเล่อร์ก้ได้เรียกนายทหารทั้งหมดเข้าพบเป็นการส่วนตัว ที่ ฐานทัพ Pomeranian มีการแถลงถึงข้อคดี
ศาลที่นายพลvon Fritsch พ้นข้อหา..
และ ฮิตเล่อร์ได้บีบน้ำหูน้ำตาขอความเห็นใจ ว่า
"ขอเถอะ อย่าเอาเรื่องเอาราวกันเลย เพราะ ก็กระผ้มได้ออกข่าวไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า นายพล ได้ลาออกไปเอง
ด้วยปัญหาสุขภาพเสื่อมโทรม และถ้าต้องมาแก้ข้อความกันใหม่ ตัวกระผม..ในฐานะผู้นำก็จะกลายเป็นไอ้ปลิ้นปล้อน หลอกลวงในสายตาของประชาชนไปทันที แล้วใครที่ไหนจะมาเชื่อคำพูดกระผ้มได้อีก..ขอให้นึกว่าเพื่อ
ประเทศชาติเถอะ นะนะ นะ "
ทหารคนอื่นๆก็พอรับและทำใจได้ ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา หากแต่ นายพลผู้เคราะห์ร้าย..ขอลาออกจากราชการอย่างแน่นอน !!
เพราะเขารู้ดีว่า ผู้ที่ชักใยอยู่เปื้องหลังนั้น..คือใคร?



โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:20:13 น.  

 


และไม่มีใครสักคนที่เฉลียวใจถึงข้อความในหนังสือ Mein Kampf ที่ฮิตเล่อร์ได้เขียน(ล่วงหน้า)เอาไว้อย่างโจ่งแจ้งถึงการเข้ายึดครองออสเตรียให้ได้ในปี 1938
และนี่คือสาเหตุที่เขาต้องทำดีกับเหล่าทหารในกองทัพแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
อย่าง นายพล von Brauchitsch ที่เขาเลือกมาให้รับตำแหน่งถึงแม่ทัพนั้น เพราะ ฮิตเล่อร์ได้เล็งเห็นแล้วว่า
นายพลคนนี้กำลังมีปัญหาฟ้องร้องกับเรื่องที่เมียขอหย่า ฮิตเล่อร์จึงรีบ ”ซื้อใจ” ด้วยการให้ความสนับสนุน
จ่ายค่าเลี้ยงดูตามที่ขอมาทั้งหมด แถมยังหาเมียคนใหม่ให้ซะอีก..หล่อนเป็นสมาชิกกลไกคนหนึ่งในพรรคนาซีนั่นเอง

และมันช่างได้ผลคุ้มค่า นายพล von Brauchitsch นั้น กลายมาเป็นลูกแมวเชื่องๆของฮิตเล่อร์ทันที
ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เขาคนนี้..ได้ประกาศโต้งๆเสมอว่า ..ไม่ชอบฮิตเล่อร์ ไม่ชอบไอ้พวกพรรคนาซี ตั้งแต่เมื่อครั้งกบฏโรง
เบียร์โน่นนน..!!
ฮิตเล่อร์เริ่มใช้อำนาจที่มี ปลดรมต.ต่างประเทศ คนเก่า คือ Baron von Neurath ออก และแต่งตั้ง นาย
Joachim von Ribbentrop ขึ้นมาแทน..
( นาย Joachim von Ribbentrop เข้าวงการเมืองได้ เพราะ สายน้ำเมา..คือว่า นายคนนี้เคยเป็นตัวกลางค้าไวน์ในฝรั่งเศส เผอิญว่ามาได้เมียเป็นลูกสาวมหาเศรษฐีที่มีโรงงานแชมเปญที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน เลยอาศัยเงินพ่อ
ตาที่อุดหนุนพรรคแบบไม่อั้นเดินเข้ามาเป็น
รมต.ไปเลย.)
ที่ต้องเปลี่ยนตัวเช่นนี้ วางหมากกันใหม่เช่นนี้..เพราะว่า แผนการที่จะเข้าฮุบออสเตรีย ได้กำลังจะเริ่มปฏิบัติในเร็ววันนี่แล้ว !!


โดย: WIWANDA วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:9:24:02 น.  

 
มาเยี่ยมป้าวิค่ะ ตามมาจากห้องไกลบ้านง่ะ

ยาวจังเรยย แต่น่าอ่านมากค่ะ

เด๋ววันหลังมาอ่านต่อนะคะ


โดย: Mu_in_love วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:10:38:31 น.  

 
อ่านเพลิน ๆ ดีคร้าบ
รออ่านตอนต่อปาย ~~~ :)


โดย: นายFee วันที่: 13 มีนาคม 2548 เวลา:16:08:24 น.  

 
มาเยี่ยมครับ เมื่อก่อนเล่นที่ห้องสมุดบ่อยๆ ตอนนี้ย้ายมาเล่นห้องหว้ากอ แต่ยังติดตามผลงานของคุณป้าอยู่นะครับ


โดย: มาจากหว้ากอครับ IP: 202.28.27.4 วันที่: 6 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:19:59 น.  

 
ได้ความรู้


โดย: นาค่ะ IP: 125.25.15.96 วันที่: 7 มกราคม 2550 เวลา:11:06:46 น.  

 
เราอยากเห็นประเทศเจริญ ต้องช่วยกันสร้างความสามัคคี
และรักชาติไห้มาก เวลาเลือกคนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องดูด้วย อย่าง ส ส และ ส ว
เพราะพวกเขาอยู่ใต้อำนาจใครบ้าง และพวกเขามีบทบาทมากในสภา


โดย: ผมคนหนึ่งจะเปลี่ยนสังคม IP: 58.64.90.86 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:05:59 น.  

 
เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน สนุกมากๆ ครับ


โดย: Whirl Wind IP: 27.55.2.136 วันที่: 3 มกราคม 2556 เวลา:15:52:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]