พุทธประวัติ เกี่ยวกับการต่อกรกับศาสนาเชน 9 (ป่ากาลิงคะ)
เรื่องป่ากาลิงคะ
ดังได้สดับมา ครั้งพระเจ้านาฬิกีระทรงราชย์ ณ แคว้นกลิงคะ ดาบส ๕๐๐ รูป ณ ป่าหิมพานต์ ผู้ไม่เคยได้กลิ่นสตรี ทรงหนังเสือเหลืองชฎาและผ้าเปลือกไม้ มีรากไม้ผลไม้ป่าเป็นอาหารอยู่มานาน ประสงค์จะเสพอาหารมีรสเปรี้ยวเค็ม ก็พากันมายังถิ่นมนุษย์ ถึงนครของพระเจ้านาฬิกีระ แคว้นกลิงคะตามลำดับ.
ดาบสเหล่านั้นทรงชฎาหนังเสือเหลืองและผ้าเปลือกไม้ แสดงกิริยาอันสงบสมควรแก่เพศนักบวช เข้าไปขออาหารยังนคร. ครั้งพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด คนทั้งหลายเห็นดาบสนักบวชก็เลื่อมใส จัดแจงที่นั่งและที่ยืน มีมือถือภาชนะใส่อาหาร นิมนต์ให้นั่งแล้ว จัดอาหารถวาย. เหล่าดาบสบริโภคอาหารเสร็จแล้วก็อนุโมทนา. คนทั้งหลายได้ฟังแล้วก็มีจิตเลื่อมใส ถามว่า พระผู้เจริญทั้งหลายจะไปไหน. ดาบสตอบว่า จะไปตามที่ที่มีความผาสุก. คนเหล่านั้นก็พูดเชิงนิมนต์ว่า พระคุณเจ้าไม่ควรไปที่อื่น อยู่เสียที่พระราชอุทยานเถิด พวกเรากินอาหารเช้าแล้ว จักมาฟังธรรมกถา. เหล่าดาบสก็รับ ไปยังพระราชอุทยาน. ชาวเมืองกินอาหารแล้ว ก็นุ่งผ้าสะอาด ห่มผ้าสะอาด หมายจะฟังธรรมกถาเดินกันไปเป็นหมู่ๆ มุ่งหน้าไปยังพระราชอุทยาน.
พระราชาประทับยืนบนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นคนเหล่านั้นกำลังเดินไป จึงตรัสถามเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้ว่า พนาย ทำไม ชาวเมืองเหล่านั้นจึงนุ่งห่มผ้าสะอาด เดินมุ่งหน้าไปยังสวน ที่สวนนั้น เขามีการชุมนุมหรือฟ้อนรำกันหรือ.
เจ้าหน้าที่กราบทูลว่า ไม่มีดอก พระเจ้าข้า พวกเขาต้องการจะไปฟังธรรมกถาในสำนักเหล่าดาบส.
ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เราจะไปด้วย บอกให้พวกเขาไปกับเรา.
เจ้าหน้าที่ก็ไปบอกแก่คนเหล่านั้นว่า พระราชาก็มีพระราชประสงค์จะเสด็จไป พวกท่านจงแวดล้อมพระราชากันเถิด.
โดยปกติ พวกชาวเมืองดีใจกันอยู่แล้ว ครั้นฟังคำนั้นก็ดีใจยิ่งขึ้นไปว่า พระราชาของเราไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ทุศีล เหล่าดาบส มีธรรม อาศัยดาบสเหล่านั้น พระราชาจักตั้งอยู่ในธรรมก็ได้.
พระราชาเสด็จออก มีชาวเมืองแวดล้อม เสด็จไปยังพระราชอุทยานทรงปฏิสันถารกับเหล่าดาบส แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
เหล่าดาบสเห็นพระราชาก็มอบหมายให้ดาบสรูปหนึ่งผู้ฉลาด กล่าวธรรมกถาถวายพระราชา ด้วยถ้อยคำละเมียดละไม ดาบส มองดูหมู่คน เมื่อจะกล่าวโทษในเวรทั้ง ๕ และอานิสงส์ในศีล ๕ จึงกล่าวโทษในเวรทั้ง ๕ ว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ ไม่ควรลักทรัพย์ ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ไม่ควรพูดเท็จ ไม่ควรดื่มน้ำเมา.
ขึ้นชื่อว่าปาณาติบาต ย่อมส่งผลให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย อทินนาทานเป็นต้นก็เหมือนกัน เมื่อหมกไหม้ในนรกแล้ว มาสู่มนุษยโลก ปาณาติบาตก็ส่งผลให้เป็นผู้มีอายุสั้น ด้วยเศษแห่งวิบาก อทินนาทานก็ส่งผลให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์น้อย กาเมสุมิจฉาจารก็ส่งผลให้เป็นผู้มีศัตรูมาก มุสาวาทก็ส่งผลให้เป็นผู้ถูกกล่าวตู่ (ใส่ความ) มัชชปานะ (ดื่มน้ำเมา) ก็ส่งผลให้เป็นคนบ้า.
แม้โดยปกติ พระราชาก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่เลื่อมใส เป็นผู้ทุศีล ธรรมดาว่าสีลกถาเป็นคำเลว สำหรับคนทุศีล จึงเป็นเสมือนหอกทิ่มหู เพราะฉะนั้น ท้าวเธอจึงทรงดำริว่า เรามาหมายจะยกย่องดาบสเหล่านี้ แต่ดาบสเหล่านี้กลับพูดกระทบกระเทือนทิ่มแทงเราผู้เดียว ท่ามกลางบริษัท ตั้งแต่เรามา เราจักกระทำให้สาสมแก่ดาบสเหล่านั้น. เมื่อจบธรรมกถา ท้าวเธอก็นิมนต์ว่า
ท่านอาจารย์ทั้งหลาย พรุ่งนี้ขอได้โปรดรับอาหารที่บ้านโยม แล้วเสด็จกลับ.
วันรุ่งขึ้นท้าวเธอให้นำไหขนาดใหญ่ๆ มาแล้วบรรจุคูถ (อุจจาระ) จนเต็มแล้ว เอาใบกล้วยมาผูกปากไหเหล่านั้นไว้ ให้เอาไปตั้งไว้ ณ ที่นั้นๆ ใส่น้ำผึ้ง น้ำมันยาง ต้นกากะทิงและหนามงิ้วหนาๆ เป็นต้นจนเต็มหม้อ วางไว้หัวบันได ทั้งให้พวกนักมวยร่างใหญ่ผูกสายรัดเอว ถือค้อนคอยทีในที่นั้นแหละ ประทับยืนกล่าวว่า พวกดาบสขี้โกงเบียดเบียนเรายิ่งนัก ตั้งแต่ดาบสเหล่านั้นลงจากปราสาท พวกเจ้าจงเอาหม้อสาดหนามงิ้วไปที่หัวบันได เอาค้อนตีศีรษะ จับคอเหวี่ยงไปที่บันได. ที่เชิงบันไดก็ให้ผูกสุนัขดุๆ เอาไว้.
ฝ่ายเหล่าดาบสก็คิดว่า พวกเราจักบริโภคอาหารในเรือนหลวงวันพรุ่งนี้ ก็สอนซึ่งกันและกันว่า ขึ้นชื่อว่าเรือนหลวง น่าสงสัย น่ามีภัย ธรรมดาบรรพชิตพึงสำรวมในทวารทั้ง ๖ ไม่ควรถือนิมิตในอารมณ์ที่เห็นแล้วๆ พึงตั้งเฉพาะความสำรวมในจักษุทวาร.
วันรุ่งขึ้น เหล่าดาบสก็กำหนดรู้เวลาทำอาหาร จึงนุ่งผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังเสือเหลืองเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง มุ่นชฎา ถือภาชนะใส่อาหาร ขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ตามลำดับ.
พระราชาทรงทราบว่าดาบสขึ้นมาแล้ว ก็ให้นำเอาใบกล้วยออกจากปากไหคูถ กลิ่นเหม็นก็กระทบโพรงจมูกของดาบส ถึงอาการประหนึ่งเยื่อสมองตกล่วงไป.
ดาบสผู้ใหญ่ก็จ้องมองพระราชา.
พระราชาตรัสว่า มาซิ ท่านผู้เจริญ จงฉัน จงนำไปตามความต้องการ นั่นเป็นของเหมาะแก่พวกท่าน เมื่อวานเรามาหมายจะยกย่องพวกท่าน แต่พวกท่านกลับพูดกระทบเสียดแทงเราผู้เดียว ท่ามกลางบริษัท พวกท่านจงฉันของที่เหมาะแก่พวกท่าน แล้วสั่งให้เอากระบวย ตักคูถไปถวายดาบสผู้ใหญ่.
ดาบสก็ได้แต่พูดว่า ชิชิ แล้วก็กลับไป.
พระราชาตรัสว่า พวกท่านต้องไปทางนี้ทางเดียว แล้วให้สัญญาณแก่คนทั้งหลาย ให้เอาหม้อสาดหนามงิ้วที่บันได. พวกนักมวยก็เอาค้อนตีศีรษะ จับคอเหวี่ยงไปที่บันได. ดาบสแม้รูปเดียวก็ไม่อาจยืนได้ที่บันได. ดาบสทั้งหลายก็กลิ้งลงมาถึงเชิงบันได เมื่อถึงเชิงบันไดแล้ว ฝูงสุนัขดุคิดว่าแผ่นผ้าๆ ก็รุมกันกัดกิน. บรรดาดาบสเหล่านั้นแม้รูปใดลุกขึ้นหนีไปได้ รูปนั้นก็ต้องตกลงไปในหลุม ฝูงสุนัขก็ตามไปกัดกิน ดาบสนั้นในหลุมนั้นนั่นแหละ ดังนั้น ร่างกระดูกของดาบสเหล่านั้นจึงไม่หลงเหลืออยู่เลย.
พระราชาทรงปลงชีวิตดาบส ๕๐๐ รูปผู้ สมบูรณ์ด้วยตบะลงด้วยเวลาวันเดียวเท่านั้นด้วยประการฉะนี้.
ครั้งนั้น เหล่าเทวดาบันดาลฝน ๙ ชนิด ให้ตกลงมาอีกในแว่นแคว้นของพระราชาพระองค์นั้นโดยนัยก่อนนั่นแล แคว้นของพระราชาพระองค์นั้นถูกกลบด้วยกองทรายสูงถึง ๖๐ โยชน์.
เพราะเหตุนั้น สรภังคโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า
พระเจ้านาฬิกีระพระองค์ใดทรงลวงเหล่านักบวช ผู้สำรวม ผู้กล่าวธรรม ผู้สงบ ไม่เบียดเบียนใคร ฝูงสุนัขย่อมรุมกันกัดกินพระเจ้านาฬิกีระพระองค์ นั้น ผู้ซึ่งกลัวตัวสั่นอยู่ในโลกอื่น. พึงทราบว่า ป่ากาลิงคะเป็นป่าไปด้วยประการฉะนี้.
Create Date : 11 สิงหาคม 2556 | | |
Last Update : 11 สิงหาคม 2556 15:12:48 น. |
Counter : 428 Pageviews. |
| |
|
|
|