ฝ่ายพรหมทั้งหลายที่ได้บริโภครสแห่งแผ่นดินนั้น
ก็บังเกิดราคะตัณหาเสื่อมเสื่อมจากฌานและรัศมีแสงสว่างอันนั้น
ก็ได้ชื่อว่าคน คำที่ว่าพรหมๆ นั้น ก็หายไปจากเขาเหล่านั้นตั้งแต่กาลนั้นมาแล
คนทั้งหลายที่ได้กินรสแห่งแผ่นดินนั้น
บ้างก็มีวรรณผุดผ่องสวยงาม บ้างก็มีวรรณอันไม่สวยงามเป็นธรรมดา
หมู่ที่มีวรรณอันสวยงามนั้น ก็ดูหมิ่นดูแคลนหมู่ที่มีวรรณอันไม่สวยไม่งามนั้น
ด้วยเหตุอันดูหมิ่นดูแคลนกันนั้นแล
ทำให้รสแห่งแผ่นดินนั้นกลับหายไปเสียจากเขาเหล่านั้น
รสแห่งแผ่นดินที่เหลืออยู่นั้นเสมอแต่เพียงเป็นเกล็ดๆติดอยู่กับแผ่นดินเท่านั้น
คนทั้งหลายเหล่านั้นก็บริโภคเกล็ดแห่งแผ่นดินเท่านั้น
ตั้งแต่นั้นมา ผู้ที่มีวรรณผุดผ่องสวยงามก็กลายเป็นคนไม่ดีไม่งาม
ผู้ที่มีวรรณอันไม่ดีไม่งามอยู่แล้วก็ซ้ำร้ายหนักยิ่งเข้า
คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาก็ยิ่งดูหมิ่นดูแคลนกันทวียิ่งขึ้นไป
จนเป็นเหตุให้เกล็ดแห่งแผ่นดินนั้นกลับหายไปเสียจากเขาเหล่านั้นเป็นครั้งที่ ๒
ต่อจากนั้นมา ยังมีเครือเขาอันหนึ่งชื่อว่าพทาวลตา
เครือเขาอันนั้นเป็นปล้องๆ เหมือนดังเถาผักบุ้งก็บังเกิดขึ้นมาอีกเล่า
คนทั้งหลายก็บริโภคเครือเขาอันนั้นเป็นอาหารต่อมาจนสิ้นกาลนาน
คนทั้งหลายเหล่านั้นก็ยิ่งขี้ริ้วขี้เหร่ไปกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
มันก็ยิ่งซ้ำดูหมิ่นดูแคลนกันยิ่งไปกว่าแต่ก่อนเป็นหลายเท่า
ทำให้เครือเขาอันนั้นกลับหายไปเสียอีกเป็นครั้งที่ ๓
ต่อจากนั้นมาข้าวสาลีอันบริสุทธิ์ยิ่งนัก มีเม็ดอันบ่มิได้หักและหาเปลือกมิได้
เป็นข้าวสารสวยงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก มิได้ต้มมิได้หุงด้วยหลัวและฟืนแม้แต่อย่างใด
บังเกิดขึ้นสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์
เมื่อเขาเอาข้าวใส่ในภาชนะแล้วยกขึ้นตั้งเหนือก้อนเส้าแล้ว
เปลวไฟหากบังเกิดขึ้นเอง ทำให้ข้าวในภาชนะนั้นสุกเป็นอันดียิ่งทีเดียว
ข้าวอันนั้นก็สวยบริสุทธิ์งามยิ่งนัก ประดุจดังดอกทายหานกำลังตูมฉะนั้น
แม้กิจอันจักควรหาเป็นต้นว่าแกงน้ำพริกและกับสิ่งอื่นๆ นั้น
เป็นอันไม่มีเหมือนคนเราทุกวันนี้ ผู้ใดจักใคร่กินรสอันใด
ก็หากสำเร็จตามความปรารถนาของผู้นั้นๆ แล
เหตุจะบังเกิดมีอาจมขึ้นในสรีระแห่งคนทั้งหลายนี้
ก็เนื่องจากเหตุที่ได้บริโภคอาหารอันหยาบแต่นั้นมา
จนเท่าถึงกาลทุกวันนี้
คนทั้งหลายในสมัยปฐมกัลป์โพ้น
เขาบริโภคแต่รสแห่งแผ่นดินและเกล็ดแผ่นดิน
กับเครือเขาพทาวลตา ทั้ง ๓ สิ่งนี้เหมือนอาหารของเทวดาทีเดียว
และวัตถุของอาหารนั้นสุขุมและละเอียดยิ่งนัก
มิได้มีเป็นอาจมเลยแม้แต่อย่างเดียว
ต่อมาบริโภคข้าวสาลีนี้รสก็เจริญวัตถุก็หยาบ
จึงบังเกิดเป็นอาจมไปหนักไปเบา
เมื่ออาจมจักออกมาคราวแรกนั้น
จึงแตกแยกเป็นทวารออกมาทีเดียว
และพรหมทั้งหลายเมื่อเขาอยู่ในพรหมโลกนั้น
มีรูปร่างสัณฐานเป็นผู้ชายทุกคน
เมื่อพรหมทั้งหลายลงมาถือเอาอุปปาติกะในมนุษยภูมิ
ตลอดมาถึงสมัยบริโภคข้าวสาลีนี้
ก็ยังมีลักษณะและสัณฐานเป็นผู้ชายอยู่ทุกคน
แต่ก่อนกิจอันจักไปหนักไปเบานั้นก็ไม่มี ทวารก็ไม่มี
มีแต่ปุริสลักษณะสัณฐานอย่างเดียว
ต่อได้บริโภคข้าวสาลีนี้ กิจอันไปหนักไปเบาและทวารจึงเกิดมีขึ้น
เมื่อจะบังเกิดมีทวารนี้ก็อาศัยเหตุแต่ชาติก่อนเป็นเดิมมา
ถ้าผู้ใดเคยเป็นชายมาแต่ชาตินั้น องค์แห่งชายจึงบังเกิดมีแก่ผู้นั้น
ถ้าผู้ใดเคยเป็นผู้หญิงมาแต่ชาติก่อนแล้ว
องค์แห่งหญิงจึงบังเกิดแก่ผู้นั้น ตลอดมาตราบเท่ากาลบัดนี้แล ฯ
(๑) คัดลอกจากหนังสือ ตำนานมูลศาสนา หน้า ๓๓-๓๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์