จะขอเล่าประวัติคร่าว ๆ เอาไว้นะครับ
ส่วนองค์ที่ไม่ได้กล่าวถึงจะไปกล่าวถึงที่เชตวันมหาวิหาร
พระอนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ
ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์
ประสูติร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ คือ
พระเชฏฐา (พี่ชาย) พระนามว่า มหานามะ
พระกนิฏฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า โรหิณี
รวมเป็น ๓ กับอนุรุทธกุมาร
ถ้าจะนับตามลำดับพระวงศ์ก็เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา
อนุรุทธกุมารเป็นกษัตริย์สุมุมาลชาติ
มีปราสาท ๓ หลังเป็นที่ประทับใน ๓ ฤดู
สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ศฤงคาร* และบริวารยศ
แม้แต่คำว่า ไม่มี ก็ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้สดับเลย
เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่อนุปิยนิคมของมัลลกษัตริย์
ในเวลานั้น ศากยกุมารซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก
ออกบวชตามพระบรมศาสดาเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งเจ้ามหานามะผู้เป็นพระเชฏฐา
ได้ปรารภกับอนุรุทธะผู้น้องว่า พ่ออนุรุทธะ
ในตระกูลของเรายังไม่มีใคร ๆ ออกบวชตามพระบรมศาสดาเลย
เจ้า หรือพี่คนใดคนหนึ่งควรจะออกบวช
อนุรุทธะตอบว่า น้องเป็นคนที่เคยได้รับแต่ความสุขสบาย
ไม่สามารถจะออกบวชได้ พี่บวชเองเถิด
เจ้ามหานามะจึงกล่าวขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้น
เจ้าจงเรียนให้รู้จักการงานของผู้ครองเรือนเสียก่อน
พี่จะสอนให้ เจ้าจงตั้งใจฟัง ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว
เจ้ามหานามะจึงสอนการงานของผู้ครองเรือน
โดยยกเอาวิธีการทำนาเป็นอันดับแรกขึ้นมาสอน
เมื่ออนุรุทธะได้ฟังแล้วก็เห็นว่าการงานไม่มีที่สิ้นสุดเบื่อหน่ายในการงาน
พูดกับพี่ชายว่า ถ้าอย่างนั้น พี่อยู่ครองเรือนเถิด
น้องจักบวชเอง ครั้นอนุรุทธะกล่าวอย่างนั้นแล้ว
จึงเข้าไปหาพระมารดาทูลว่า แม่ หม่อมฉันอยากจะบวช
ขอพระแม่เจ้าจงอนุญาติให้หม่อมฉันบวชเถิด
แม้ถูกพระมารดาตรัสห้าม ไม่ยอมให้บวช
ท่านก็ยังอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวชเป็นหลายครั้ง
เมื่อมารดาเห็น ดังนั้นจึงคิดอุบายที่จะไม่ให้อนุรุทธะบวช
ดำริถึง พระเจ้าภัททิยะผู้เป็นพระสหายของอนุรุทธะ
ท่านคงจะไม่ออกบวชเป็นแน่ จึงพูดว่า
พ่ออนุรุทธะ ถ้าพระเจ้าภัททิยะบวชด้วยจงบวชเถิด
อนุรุทธะได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยะ
ทูลตามวาทะของผู้ที่คุ้นเคยกันว่า
เพื่อนเอ๋ย บรรพชาของเรา เนื่องด้วยบรรพชาของท่าน
ในตอนแรก พระเจ้าภัททิยะ ทรงปฏิเสธไม่ยอมบวช
ในที่สุดเมื่อทนการอ้อนวอนไม่ได้ก็ตกลงใจยินยอมบวชด้วย
อนุรุทธะจึงชักชวนศากยกุมารอื่นได้อีก ๓ คน คือ
อานันทะ,ภคุ,กิมพิละ โกลิยกุมาร อีกองค์หนึ่ง คือ เทวทัต
รวมทั้งอุบาลีผู้เป็นนายภูษามาลาเป็น ๗
พร้อมใจกันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยนิคม
ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย เมื่ออนุรุทธะได้อุปสมบทแล้ว
เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
แล้วเข้าไปอยู่ในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน
เมื่อพระอนุรุทธะบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ได้ตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ คือ
๑. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความมักมาก
๒. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
๓. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่คณะ
๔. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
๕. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีสติมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
๖. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีใจมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่มั่นคง
๗. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
เมื่อพระอนุรุทธะตรึกอยู่อย่างนี้
พระบรมศาสดาเสด็จมาถึงทรงทราบเหตุนั้นจึงทรงอนุโมทนาว่า
ชอบละ ๆ อนุรุทธะ เธอตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกตรอง
ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกข้อที่ ๘ ว่า
"ธรรมนี้ เป็นธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมเนิ่นช้า"
ครั้นตรัสสอนอนุรุทธะอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับสู่ที่ประทับ
ส่วนพระอนุรุทธะบำเพ็ญความเพียรต่อไปก็ได้บรรลุ
เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เล็งแลดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ
เล่ากันว่ายกเว้นแต่เวลาฉันเท่านั้น
เวลาที่เหลือท่านย่อมพิจารณาแลดูหมู่สัตว์ทั้งปวงด้วยทิพยจักษุ
ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสยกย่อง สรรเสริญท่านว่า
เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างผู้มีทิพยจักษุญาณ
ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.