update [ 28*07*2014 ] ในกรุ๊ปบล็อก talkative เรื่อง "facebook งานภาพประกอบของเรา"
Group Blog
 
All blogs
 

Facebook งานภาพประกอบของเรา

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



** ปรับ fb เดิมที่เป็นร้านขายของของเรา ในนาม ถ่านหินจำศีล minimart

มาสู่หน้า fb เพื่อเป็นหน้าแกลเลอรี่ผลงานของเรา

น่าจะเป็นเพจที่อัพเดตที่สุด เพราะเล่นบล็อกไว้หลายแห่งจนมึน

ใครสนใจและติดตามบล็อกแห่งนี้ ไปติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดได้

ตามลิงค์ด้านล่าง หรือกดที่ปุ่ม facebook ด้านขวาของหน้าเพจนี้

มาแวะชม และกดไลค์ได้ ยินดีต้อนรับทุกท่าน ** :)

https://www.facebook.com/hibernatecharcoal

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2557 17:23:25 น.
Counter : 2988 Pageviews.  

แก๊งค์ต้มตุ๋น บัตรเครดิต

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



** ปวดกบาลแต่สาย
ตื่นขึ้นเพราะมีเสียงโทรศัพท์มาปลุกตอนเกือบๆสิบโมง
หยิบโทรศัพท์ดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ส่วนตัว
พอรับ ก็ได้รับการแจ้งจากระบบอัตโนมัติว่า เราไปใช้เงินผ่านบัตรเครดิต
ยอดสามพันหกร้อยบาท ณ จุด จุด จุด (ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง)
เราก็งงมาก เพราะไม่เคยไปเปิดบัตรเครดิตกับธนาคารดังกล่าว
แถมที่ๆเราไปใช้บัตรเราก็ไม่ได้ไปนานมากแล้ว
พอโอนสายไปหาโอเปอร์เรเตอร์ เขาก็ถามเราว่าติดต่อเรื่องอะไร
เราก็อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น พออธิบายเสร็จและเข้าใจเรื่องราวแล้ว
โอเปอร์เรเตอร์พยายามสอบถามหมายเลขบัตรประชาชน
เราก็บอกว่าทำไมต้องบอกด้วยหล่ะ เค้าก็เลยเปลี่ยนเป็นขอวันเดือนปีเกิดแทน
เราเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหา เลยบอกวันเดือนปีเกิดไป
(ไม่แน่ใจเลยว่ามีผลอะไรหรือเปล่า)
แทบไม่ต้องรอ เค้าก็รีบบอกว่า
บัตรเครดิตในชื่อของเราถูกเปิดเมื่อสิงหาปีห้าสาม วงเงินห้าหมื่น
เรามียอดหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระกับทางธนาคารสองยอด
ยอดแรก หมื่นกว่าบาท ยอดสองสามพันหกร้อยบาท
เราก็พยายามอธิบายว่าเราไม่ได้เปิดบัตรที่ว่านั่นเลย จากนั้นเค้าก็อธิบายว่า
เป็นไปได้ว่าเราถูกแอบอ้างชื่อหรือเอาข้อมูลไปแอบอ้างเปิดบัญชีบัตรเครดิต
ผุ้หญิงที่ปลายสายก็ถามย้ำว่าไม่ใช่เราแน่ๆใช่ไหมที่ไปเปิดบัญชีไว้
เขาจะโอนเรื่องไปให้หน่วยงานของรัฐที่ชื่อ .......
(ประมาณว่า หน่วยสืบสวนคดีทางเศรษฐกิจ)


พอคุยกันเสร็จสรรพ ไม่นานนัก ประมาณห้าถึงสิบนาที ก็มีโทรศัพท์อีกสายเข้ามา
ที่หน้าจอมือถือโชว์เบอร์ 02 จุด จุด จุด ชัดเจน
ปลายสายเป็นตำรวจหมายเลขหนึ่ง ไม่ต้องสอบถามให้เสียเวลา
เค้ารีบบอกเลยว่า ผมพันตำรวจเอก จุด จุด จุด ชื่อ และนามสกุลฟังดูคุ้นมากๆ
เค้าก็เริ่มอธิบายว่าเค้าจะต้องสอบถามข้อมูลเบื้องต้นทั่วไป เพื่อใช้ในการตรวจสอบ
แต่ว่าจะให้ตำรวจอีกคนมาทำการลงบันทึกประจำวันให้
จะมีการบันทึกเสียงเก็บไว้ใช้ในขั้นตอนสอบสวนด้วย
และเน้นย้ำว่า เห็นเบอร์ที่หน้าจอมือถือไหม หลังจากวางสายแล้ว
ให้เราโทรไปที่เบอร์ 1133 (เบอร์ของ tot) และเช็คว่า
เบอร์นี้เป็นเบอร์ของที่ไหน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง
เราถามกลับว่า ตกลงยอดหนี้ของเรามันเท่าไหร่บ้าง
เค้าบอกว่า สองหมื่นกว่ากับสามพันกว่า
(ตอนนี้ยังไม่ทันได้คิดว่า ยอดที่โอเปอร์เรเตอร์หญิงกับตำรวจหมายเลขหนึ่งบอก
ยอดมันไม่ตรงกัน สงสัยจะเพิ่งตื่น บวกมึนว่าเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย)
ตำรวจหมายเลยหนึ่งท่านนี้ ก็ย้ำว่าอย่าเพิ่งเอาข้อมูลในการพูดคุยกันในวันนี้ไปบอกใคร
เพราะมันเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่อย่างนั้น จะเสียรูปคดี
แถมทำให้เราดีใจด้วยการพูดว่า ตอนนี้เราพบว่า
เจอข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับชื่อบัญชีของเราเพิ่ม
แล้วบอกว่าอีกห้านาทีจะให้ตำรวจอีกท่านโทรมาใหม่
คุยกันได้แค่นั้นก็วางสายกันไป


เราก็เริ่มเช็คไปที่เบอร์ 1133 ปรากฏว่าเบอร์ที่สอบถามตรงกับหน่วยงาน
ที่ตำรวจหมายเลยหนึ่งกล่าวอ้าง
เราก็เริ่มใจคอไม่ดี เอาหล่ะวุ้ย ต้องไปพัวพันกับเรื่องบ้าบอจริงๆหรือนี่


แป๊บเดียวตำรวจหมายเลขสองก็โทรมาหาเรา
พร้อมแนะนำตัวเสร็จสรรพ ผมพันตำรวจโท จุด จุด จุด (คราวนี้ชื่อไม่ค่อยคุ้น)
พร้อมถามเราว่าได้โทรไปเช็คเบอร์ที่แสดงที่หน้าจอแล้วหรือยัง
เราบอกว่าเช็คแล้ว เค้าถามว่าเป็นชื่อหน่วยงานอะไร เราก็ตอบไป
ตอบไปแบบจำได้แค่ครึ่งนึง แล้วตำรวจหมายเลขสองก็ทวนชื่อหน่วยงานให้ฟัง
แล้วการสอบถามเพื่อลงบันทึกประจำวันและบันทึกเสียงก็เริ่มขึ้น
ส่วนใหญ่เป็นการสอบถาม โดยเขาอ้างว่า
เพื่อใช้ในการตรวจสอบว่าข้อมูลเรารั่วไหลมาจากแหล่งใด
เริ่มด้วยการสอบถามว่าเราอยู่ที่ไหน ณ ตอนนี้ ทำงานอาชีพอะไร
เคยทำธุรกรรมที่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนกับที่ใดบ้าง
มีบัญชีธนาคารอะไรบ้างที่เปิดไว้ มียอดเท่าไหร่ ธนาคารไหนมีเอทีเอ็มหรือไม่
ยอมรับว่าตอนนี้เราเชื่อไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ บอกยอดเงินในบัญชีไปทุกบัญชี
แต่ไม่ได้บอกหมายเลขบัญชีไป เพราะยังไม่มั่นใจเต็มร้อยว่า เรื่องจริง หรือ เรื่องหลอก
พอรุ้ข้อมูลพื้นฐานดีแล้วเค้าก็บอกว่า
ดูจากข้อมูลแล้วน่าจะเป็นบัญชีที่ธนาคาร จุด จุด จุด
(ซึ่งเป็นบัญชีที่มียอดเงินเยอะที่สุดจากทุกบัญชีที่มีอยู่)
เป็นไปได้ว่า พนักงานในนั้นอาจเป็นหนอน
แล้วเค้าก็บอกต่อว่า มีข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ว่าเราไปเปิดบัญชีไว้ที่ ธนาคารในเชียงใหม่
เป็นบัญชีที่มีเงินเข้าออกวันละเป็นแสน
สืบทราบว่าเป็นบัญชีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด
เราก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เค้าถามย้ำกับเราสองหนว่าไม่ใช่บัญชีของเรา
หรือเราไปมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆใช่ไหม เราก็ย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องเลย
เค้าบอกว่าเราต้องเดินทางไปจัดการปิดบัญชีนี้ที่เชียงใหม่ หรือจะใช้อีกวิธีก็ได้ นั่นคือ
เค้าจะทำการเปิดไลน์ให้เราถอนเงินออกจากบัญชี
เพื่อแยกบัญชีของเราออกจากบัญชีต้องสงสัย
แล้วจะทำการ reset บัญชีเราให้ใหม่
โดยเราจะต้องถอนเงินออกมาจากธนาคาร จุด จุด จุด
แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ถามว่าทำไมต้องถอนหมดก็อย่าบอก
เผื่อหนอนบ่อนไส้ในธนาคารไหวตัวทัน
และห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เพราะเราจะเช็คได้จากโทรศัพท์ของคุณ
จากนั้นให้ไปที่ตู้ฝากเงินสดอัตโนมัติที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ขออนุญาติอ้างนามนะครับ)
แล้วให้เอาเงินทั้งหมดที่ถอนมาฝากที่ตู้ฝากเงินสดอัตโนมัติ
โดยก่อนไปฝากจะให้ พาสเวิร์ดกับเราไว้
เค้าย้ำกับเราเรื่องจะทำการ reset บัญชีเราให้ใหม่หลายครั้งมาก
เราก็พยายามขอพาสเวิร์ดไว้เลย เขาก็บอกว่า ยังให้ไม่ได้
และไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมยังให้ไม่ได้


เรายังคงมีนงง บวกกับความตกใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แถมตำรวจหมายเลยสอง
ถามเราวนไปวนมา แล้วย้ำในเรื่องบางเรื่อง จนเราคิดอะไรตามแทบไม่ทัน
แต่เราก็ยังพอมีสติ รู้สึกว่า ทำไมต้องผ่านตู้เอทีเอ็มเท่านั้น
เราถามย้ำเค้าว่า เป็นวิธีเดียวเลยใช่ไหม
เค้าย้ำว่าใช่ เราถามว่าใช้วิธีเปิดบัญชีไม่ได้หรือมันปลอดภัยกว่า แถมถามเค้าไปอีกว่า
แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้กำลังถูกหลอกอยู่
เค้าก็ตอบกลับมาทันควันแบบไม่ต้องคิดว่า
เราจะเอาเรื่องร้ายแรงแบบนี้มาล้อเล่นทำไม
จากนั้นก็ถามกันอีกนิดหน่อยที่ทำให้เรารู้สึกแปลกๆ
เช่น ตอนนี้อยู่กับใคร เราก็งง แต่ก็ตอบไปพร้อมเสียงหัวเราะหน่อยๆว่า ก็อยู่กับคนที่บ้าน
ใช้เวลาในการเดินทางไปถอนเงินที่ธนาคาร นานไหม
จริงๆอ่ะแค่ยี่สิบนาทีก็ถึง แต่เราตอบว่าชั่วโมงนึง
จากนั้นตำรวจหมายเลยสองก็บอกว่า อีกยี่สิบนาทีจะโทรมาใหม่ แล้วก็วางสายกันไป


เราก็เริ่มมึนงง โทรไปเบอร์ 02
เบอร์หน่วนงานต้นเรื่องโดยตรง แต่โทรไปสองสามหนก็ไม่ติด
เลยโทรไปหาคนที่ไว้ใจได้ และให้คำแนะนำเราได้ ประโยคแรกคือ โดนหลอกแล้วหล่ะ
ใจเย็นๆไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยู่เฉยๆ ไม่ต้องตกใจ ถ้ามันโทรมาใหม่ บอกไปเลยว่า
ปรึกษาตำรวจหรือทนายที่เป็นญาติเรียบร้อยแล้ว แล้วก็วางสายกันไป


ใจตอนนี้ก้ำกึ่ง กลัวว่าถ้าเป็นเรื่องจริงจะทำยังไง
แต่อีกใจบอกว่าใจเย็นๆ ตั้งสติก่อน อย่าเพิ่งเชี่อ
แล้วเราก็เริ่มคิดย้อนไปตั้งแต่ต้นเรื่อง
พร้อมกับติดต่อเบอร์ 02 ที่โชว์เบอร์ในมือถือไปด้วย
ตอนแรกเราเช็คแต่กับทาง 1133 กับ 1113 เท่านั้น ไม่ได้โทรไปเบอร์ 02 ที่ว่าเลย
คิดไปคิดมาก็พบเรื่องน่าข้องใจหลายอย่าง
1 ยอดหนี้ของโอเปอร์เรเตอร์หญิง กับตำรวจหมายเลขหนึ่ง ยอดไม่ตรงกัน
2 ตำรวจทั้งสองคนย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามบอกใครเลย เพราะความลับจะรั่วไหล
ห้ามบอกแม้แต่คนใกล้ตัว ซึ่งเราจะปรึกษาใครไม่ได้เลยหรือไง
อย่างนี้ถ้าเกิดโดนหลอกจะทำยังไง
3 ทำไมยอดสามพันหกถืงมีโทรศัพท์อัตโนมัติโทรเข้ามาแจ้ง
แต่ยอดหมื่นกว่าไม่มีโทรศัพท์มาแจ้ง
แล้วถ้าเปิดบัตรไว้ตั้งแต่สิงหา นี่มันเดือนพฤศจิกายน
พวกมิจฉาชีพคงไม่ใจเย็นรออีกสองเดือนค่อยใช้บัตรหรอก
4 โดยปกติการดำเนินเรื่องจากตำรวจ ไม่น่าจะเป็นไปรวดเร็วขนาดนี้
ราชการมีขั้นตอนเยอะแยะ แค่โทรศัพท์ถามนู่นถามนี่ก็ดำเนินเรื่องได้เลยหรือ
ไม่ต้องเข้าไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจอะไรเลยเหรอ
การตรวจสอบข้อมูลต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เร็วจนเหมือนไม่ได้สืบสวนอะไรเลย
ยังไม่ทันไปสืบสวนเลยว่า ข้อมุลเราน่าจะรั่วมาจากทางไหนได้บ้าง
แต่ก็เกิดจะรู้ขึ้นมาทันทีว่าน่าจะเป็นบัญชีที่มียอดเงินเยอะสุด
และสะดวกในการไปถอนมากที่สุด
5 ทำไมต้องใช้วิธีโอนผ่านตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ทำไมอายัดบัญชีเราไว้ไม่ได้หรือ
หรืออายัดบัญชีต้องสงสัยไม่ได้หรือ


จากนั้นเราก็ติดต่อกับเบอร์ 02 ซึ่งเป็นหน่วนงานต้นทางที่ถูกแอบอ้างได้
พูดไปแค่สองประโยค ว่ามีคนโทรมาติดต่อสอบถามข้อมูล
เพื่อดำเนินการจัดการคนแอบอ้างเอาชื่อเราไปเปิดบัตรเครดิต
เค้าพูดมาเลยว่า โดนหลอกแล้วหล่ะ วันนี้มีคนโอนเงินเพราะโดนหลอกไปหลายราย
ราชการคงไม่เอาเบอร์ 02 ไปโทรเข้ามือถือ เพราะราชการต้องเจ๊งแน่ๆ
แถมเบอร์ที่ขึ้นที่หน้าจอ ที่เป็นเบอร์ของหน่วยงานมันสามารถปลอมแปลงกันได้ง่ายๆ
ส่วนตำรวจเองก็มีงานล้นมือ คงไม่สามารถโทรตามกันได้ขนาดนั้น
ลักษณะที่เราเจอเค้าบอกว่า ยังไม่เคยเจอ
โชคดีจริงๆ โจรมันใช้วิธีใหม่ๆอันแนบเนียนกับเราเป็นรายแรกๆ
รู้สึกว่าชีวิตสดใสขึ้นในทันใด เหมือนยกภูเขาออกจากออก
ทั้งเรื่องโดนปลอมบัตร เรื่องยาเสพติดอีก
ดีใจมาก เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า เคยมีเจ้าหน้าที่ราชการเกษียณไปแล้ว
ถูกหลอกเงินบำนาญไปเป็นล้าน น่าสงสารมาก
ยังไงฝากมาประชาสัมพันธ์บอกต่อๆให้ด้วย
แถมไปแปะเรื่องย่อๆในเฟซบุ๊ค เพื่อนเราบอกว่า ญาติเค้าโดนไปแสนกว่า น่ากลัวจริงๆ


แล้วแก๊งค์มิจฉาชีพก็หายไปเลย คงแน่ใจแล้วว่า ไม่ได้เงินจากเราชัวร์
เพราะเราดูไม่แน่ใจและลังเลอยู่
เรื่องแบบนี้น่าแจ้งความมาก แต่พวกมันไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรให้เราใช้ได้เลย
มันเป็นของปลอมทั้งนั้น
เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาตั้งแต่ต้นจนจบประมาณยี่สิบเท่านั้นเอง


เหตุการณ์คราวนี้ได้บทเรียนเลยว่า
ไม่ว่าเราจะเคยเห็นข่าวและดูรายการเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาขนาดไหน
แต่การพูดคุยมันแนบเนียนและน่าเชื่อถือมากพอควร ทั้งน้ำเสียง การพูดการจา
เคยสงสัยว่าทำไมถึงได้โดนหลอกกันง่ายดายขนาดนี้ พอโดนกับตัวเอง เข้าใจเลย
เพราะโจรมันใช้จิตวิทยา ทำให้เราตกใจ กลัว สับสน ลนลาน
ใช้ตำรวจมาทำให้ดูน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นเราๆท่านๆพอคิดว่า
ต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล ต้องเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยิ่งไปกันใหญ่
พวกมันแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้คิดทวน
ทำให้เราได้บทเรียนว่าเราเชื่อคนง่ายเกินไป ควรจะหนักแน่น และไม่ตกใจอะไรง่ายเกิน
สติช่วยเราได้จริงๆ การปรึกษาคนที่เชื่อได้ก็เป็นอีกทางที่ดีมากๆ


เรื่องแบบนี้ไม่ไกลตัวเลย อาจเกิดขึ้นกับเรา เพื่อน ญาติพี่น้อง คนรู้จัก ได้ทุกเมื่อ
ฝากส่งบล็อกนี้หรือส่งอีเมล์ต่อๆไปให้มากที่สุดด้วยครับ
ขอบคุณครับ **

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2553 14:05:18 น.
Counter : 1038 Pageviews.  

ลูกๆของหมูปิ้ง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลูกๆของหมูปิ้งทั้งห้าตัว
จากที่เลี้ยงไว้ตั้งแต่แบเบาะ
ได้อยู่กับแม่ของมัน (หมูปิ้ง) แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
แล้วแม่ของพวกมันก็ตายจากไป
(ย้อนอ่านได้ที่บล็อก “ความสุขของหมูปิ้ง”)
ตอนนี้น้องหมาทั้งห้ามีอายุได้สี่เดือนเศษแล้ว
โตเป็นวัยรุ่นกันถ้วนหน้า
มาไล่เรียงดูกันทีละตัว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตัวแรกชื่อ “หม่ำน้อย”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เจ้าหม่ำน้อยตั้งชื่อตามพ่อของมัน เจ้าหม่ำ
หม่ำน้อยเป็นตัวแรกที่มีคนขอเอาไปเลี้ยง
แยกจากพี่น้องไปตอนอายุราวสองเดือนกว่า
แข็งแรงและปราดเปรียวที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
รูปที่เห็นของเจ้าหม่ำน้อยเป็นรูปตอนมันอายุประมาณ 2 เดือน







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตัวที่สอง “กะปิ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เจ้ากะปิชอบมานอนตักเรา
ชอบให้เราลูบหัว แล้วมันจะค่อยๆเคลิ้มหลับ
กะปิ แข็งแรง ร่าเริง และยิ้มเก่ง
(หน้าตามันดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา)
หูมันจะใหญ่มากจนสังเกตเห็นได้ชัด







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตัวที่สาม “มาริ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เจ้ามาริ ขนสีขาวตัวเดียวในคอก
นอกนั้นสีออกโทนน้ำตาลกันหมด
ตอนเล็กๆนึกว่ามันจะขนฟู
ขนมันก็ฟูนะ แต่ฟูแบบไม่สามัคคี
ชี้ไปคนละทางสองทาง
แถมขนไปฟูเฉพาะแถวหน้าเท่านั้น
มันชอบทำหน้าเหมือนสงสัยตลอดเวลา
เลยเหมือนมันไม่ค่อยยิ้ม







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตัวที่สี่ “ไม่มีชื่อ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตัวเมียตัวเดียวในหมู่พี่น้อง
ไม่ได้ตั้งชื่อเอาไว้ เพราะตอนแรกมีคนมาขอไว้พร้อมกับหม่ำน้อย
ผ่านไปเกือบสองเดือนก็ยังไม่มาเอา ก็เลยยังไม่มีชื่อ
แข็งแรงรองจากเจ้าหม่ำน้อย
พอเจ้าหม่ำน้อยไม่อยู่มันเลยตัวใหญ่สุด
ข้างบ้านเพิ่งขอไปเลี้ยงเมื่ออาทิตย์ก่อน







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตัวที่ห้า “ขนุน”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เจ้าขนุน น้องน้อยสุดท้อง อ่อนแอสุด
ตอนเล็กๆถูกพี่ๆนอนทับและฉี่ใส่ตลอด
เลี้ยงด้วยนมแพะอยู่พักใหญ่
นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว เห็นพวกมันแข็งแรงดี เลยหยุดให้นมแพะ
ใช้นมข้นหวานแทน ปรากฎว่ามันเกือบตาบอด
เพราะนมข้นหวานไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกหมา
(หรือแม้แต่ลูกคน)
แต่ตัวอื่นกลับไม่เป็นอะไร
คงเพราะเจ้าขนุนมันไม่แข็งแรงอยู่แล้วเลยมีผลกับมันมาก
สายตามันไม่ค่อยดี เวลาเรียกมันจะตามหาต้นเสียงไม่ถูก
แต่พอเอาไปเลี้ยงข้างล่างบ้าน
มันแข็งแรง และร่าเริงขึ้นมาก แม้จะวิ่งชนอะไรบ่อยๆ







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ไปๆมาๆ อาจจะเหลือเจ้าขนุนตัวเดียวที่จะเลี้ยงไว้
เพราะทั้งเจ้ามาริและเจ้ากะปิมีคนมาขอจองตัวไว้
สุดท้ายคงต้องไปหาน้องหมามาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนกับเจ้าขนุนอีกตัวนึง



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2552 12:29:50 น.
Counter : 1102 Pageviews.  

ความสุขของหมูปิ้ง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -





ความสุขของหมูปิ้ง
อาจไม่ใช่เรื่องของความสุขทั้งหมด
แม้ชื่อเรื่องจะชวนให้คิดไปในทางนั้น
แต่มันละม้าย ใกล้เคียง และเทียบเคียงกับความสุขของกะทิพอได้
แม้เรื่องที่จะเขียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องหมาที่ชื่อหมูปิ้ง
แต่ก็มีอะไรบางอย่างคล้ายๆกับหนังสือเล่มที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

เรื่องมันเกิดขึ้นรวดเร็ว และวุ่นวาย รวมทั้งจับต้นชนปลายไม่ถูก
ว่าทำไม จึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

โดยปกติเราอยู่ที่บ้านแม่กลองบ้าง อยู่กรุงเทพบ้าง สลับกันไป

เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ ก่อนปีใหม่
เรากลับบ้าน แล้วก็สังเกตเห็นว่าหมูปิ้งมันอ้วนผิดปกติ
ดูไปดูมามันไม่ได้อ้วนหรอก แต่มันท้อง กำลังจะเป็นแม่มือใหม่



จนเวลาล่วงผ่านไป ถึงเวลาหมูปิ้งคลอด
วันนั้นเราไม่อยู่บ้าน จำได้ว่าเป็นวันที่ 30 ธันวา ปลายปีที่แล้วนี่เอง
แม่เล่าให้ฟังว่า
หมูปิ้งคลอดเองไม่ได้ มันร้องด้วยความเจ็บ ต้องเรียกหมอมาผ่าท้อง
การผ่าท้องไม่มีปัญหาทุกอย่างราบรื่น เรียบร้อย
หมูปิ้งเมายาสลบเกือบวันนึงเต็มๆ
แม่โทรเรียกเรากลับมาเป็นหน่วยดูแลเสริมให้หมูปิ้ง
ปกติเรากับพี่สาวจะเป็นมือดูแลสัตว์น้อยใหญ่ในบ้าน
แต่หลังๆกลายเป็นภาระให้แม่ต้องดูแลเป็นหลัก

เรากลับไปบ้านหมูปิ้งก็ยังนอนมึนๆอยู่
แต่ลูกของมันหกชีวิตร้องกันจ้าละหวั่น
คงเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว แล้วปีนี้ก็ค่อนข้างหนาวกว่าปกติ
และด้วยสัญชาติญาณที่ต้องการน้ำนมและความอบอุ่นจากแม่
เราก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หาผ้ามาห่มให้มัน เอามืออังบนตัวมันให้ตัวอุ่นๆ
พร้อมกับให้นมแพะที่เพิ่งซื้อติดมาด้วย มันก็เลยเงียบลงไปบ้าง
ช่วงให้นมเราก็สังเกตเพศของน้องหมาทั้งหก
เป็นตัวเมียหนึ่งตัว ตัวผู้ห้าตัว
ค่อยโล่งใจ เพราะหมาตัวผู้หาคนรับเลี้ยงได้ง่ายกว่าหมาตัวเมีย



จนผ่านไปอีกราวๆสองสามชั่วโมง
หมูปิ้งก็โงนเงนมานอนกับลูกในกล่องกระดาษใบใหญ่
เราก็เห็นว่าไม่มีอะไรก็เลยทำนู่นทำนี่ไป
มาดูอีกที หมูปิ้งมันทับลูกมันตัวนึง
เราจับมันขึ้นมาดู มันนิ่งเหมือนตาย
เราเขย่าๆมันดู ด้วยความเศร้าเล็กๆ
มันแน่นิ่ง ไม่ขยับ ไม่กระดิก
ยังไม่ทันไร มีชีวิตได้แป๊บเดียว ก็ตายซะแล้ว
แต่แป๊บเดียวมันก็กระตุก
เราก็เลยใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้กดตรงซี่โครงอก
เหมือนปั๊มหัวใจคนแบบนั้น ซักพักมันก็มีอาการดีขึ้น
เริ่มหายใจเป็นปกติ กลับมามีชีวิตอีกหน
นึกแล้วก็ขำตัวเอง คิดได้ไงปั๊มหัวใจลูกหมา
แต่มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนขากรรไกรมันเสียศูนย์
กินนมลำบาก เวลากินนมอ้าปากเองได้
แต่กินเสร็จหุบปากไม่ลง ต้องเอามือหุบปากให้มัน

เช้าวันต่อมา เจอลูกหมานอนตายอยู่ข้างล่างบ้านตัวนึง
หมูปิ้งมันคงคลอดออกมาตัวนึง แล้วที่เหลือก็คลอดไม่ออก
ไม่มีใครรู้ เจ้าลูกหมาตัวนี้ก็เลยนอนตายอย่างน่าสงสารข้างล่าง

เรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไร
แต่แล้วเรื่องยุ่งๆก็เกิดขึ้น
ด้วยต้องเอาเจ้าหมูปิ้งมาผ่าท้องบนบ้าน
เลยจัดกล่องให้ลูกมันและมันอยู่บนบ้าน
โดยปกติมันจะอยู่นอกบ้าน ไม่ได้ให้มันขึ้นบนบ้าน
เจ้าหมาสองตัวบนบ้าน โอเลี้ยง กับ น้ำหวาน
มันก็ชอบป้วนเปี้ยนไปดูลูกของหมูปิ้ง
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หมูปิ้งมันคงหวงลูก
มันเลยกัดโอเลี้ยง กับ น้ำหวาน
กัดกันไปกัดกันมาหลายหน ด้วยเป็นช่วงปีใหม่ก็เลยมีคนเยอะ
ระวังบ้าง ไม่ระวังบ้าง
จนหนสุดท้าย
เจ้าโอเลี้ยงกัดเข้าที่แผลผ่าตรงท้องของหมูปิ้ง ก็เป็นเรื่องหล่ะทีนี้

ต้องตามหมอมาเย็บแผล หมูปิ้งเลยโดนยาสลบไปอีกรอบ เป็นหนที่สอง
ตอนที่มันเริ่มฟื้นจากยาสลบมันก็เข้าไปนอนกับลูกมัน
หนนี้มันก็ทับเจ้าตัวเดิมที่เคยโดนทับไปแล้ว
หนนี้ไม่โชคดีเหมือนหนแรก
มันตายไปแล้ว ดวงมันคงต้องตายจริงๆหล่ะมั้ง เราคิดอย่างนั้น

เรื่องก็น่าจะจบได้อีก แต่มันก็ยังไม่จบ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะหมูปิ้งอยู่บนบ้านแล้วมันไม่คุ้นเคย
หรือเครียดที่มีคนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวมันกับลูกของมันตลอดเวลา
เพราะเป็นช่วงปีใหม่ คนเต็มบ้าน
มีทั้งคนที่เจ้าหมูปิ้งคุ้น และไม่คุ้นรวมอยู่เกินสิบชีวิต ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
แต่ก็ไม่ได้โทษใครหรอก เพราะไม่มีใครเจตนาให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

หมูปิ้งมันคงเครียด
มันกัดแผลผ่าท้องของตัวมันเอง
ไม่กัดเปล่า มันลากไส้ของตัวมันเองออกมา น่าจะเกือบหมดตัว
เลือดนอง ไส้กองเต็มพื้น
ต้องตามหมอมาเป็นหนที่สาม
หมอเองก็บอกว่าไม่เคยเจอกรณีแบบนี้
กรณีที่หมาลาก ดึง ไส้ตัวเองออกมาจากท้อง
หมอเย็บไส้เข้าด้วยกัน โกยไส้เข้าท้องเหมือนเดิม แล้วปิดแผลอีกครั้ง
หนนี้ต้องเอาผ้ามาพันรอบแผลเพื่อไม่ให้มันกัดแผลอีก
แต่หมอก็บอกว่าโอกาสรอดคงยากไม่น่าจะอยู่ได้นาน

พอมันฟื้นจากยาสลบหนที่สาม
มันก็ไม่ยอมนอนกับลูกมัน ลากไปนอนกับลูกมันก็ไม่ไป
ก็เลยปล่อยให้มันอยู่ข้างล่าง



หมูปิ้งมันอดทนอยู่ได้ราวๆสองวันเต็ม
พยายามให้นม ก็ไม่กิน กินแต่น้ำ
วันสุดท้ายเจ้าหม่ำหมาอีกตัวที่เลี้ยงไว้ก็ร้องงี้ดๆ ท่าทางแปลกๆ
เราก็เลยเดาว่าหมูปิ้งคงตายคืนนั้น
เช้าอีกวันหมูปิ้งก็ตายไปแล้วจริงๆ เศร้า
มันมาเร็วไปเร็วมากๆ ยังรู้สึกว่ามันเพิ่งโตมาได้ไม่นานนี่เอง
เหลือลูกหมาอีกห้าตัวที่ต้องดูแลต่อไป

ตอนนี้หมูปิ้งไปนอนอยู่ใต้ต้นมะม่วงแล้ว

น้องหมาทั้งห้าก็น่าสงสาร เกิดหน้าหนาว
ไม่มีแม่ให้ซุกดูดนม ซุกหาความอุ่น
ปีนี้หนาวกว่าปกติอีกต่างหาก
เอามันนอนรวมกันก็ดูดแข้ง ดูดขา กันซะจนบางตัวเป็นแผล
นอนทับกันก็ฉี่ใส่กัน ตัวที่อยู่ข้างล่างเปียกโชก ตัวสั่น
เลยต้องจับแยก ให้อยู่กล่องกระดาษ กล่องละตัว
กลางคืนก็เปิดไฟให้มันอุ่นๆ เหมือนเปิดไฟฟักไข่ไก่แบบนั้น
กลางวันก็ยกกล่องไปไว้ใกล้ๆแดด
ตอนนี้น้องหมามีอายุได้ยี่สิบสองวันแล้ว
ทั้งห้าตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ แข็งแรงดี

ถ้าหมูปิ้งเป็นคน มันก็คงจะดีใจที่ลูกๆของมัน
ยังมีชีวิตรอด ปลอดภัยดี แม้ตัวมันจะไม่อยู่แล้ว
คงเหมือนแม่ของกะทิ ที่จากไปอย่างตายตาหลับ
เพราะมีคนห้อมล้อมและรักกะทิอยู่รายรอบ
นี่คงเป็นความสุขสุดท้ายของหมูปิ้ง เช่นเดียวกัน







- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




 

Create Date : 21 มกราคม 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 14:52:33 น.
Counter : 1392 Pageviews.  

How to be an illustrator

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



** คำเตือน บล็อกนี้ยาวมาก หากสนใจควรอ่าน ถ้าไม่ก็ควรข้ามไป **

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เกริ่น
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วันนี้มีเรื่องจะมาคุยกันแบบยาวๆ
เนื่องด้วยบล็อกนี้มีคนสนใจ ใคร่รู้
เกี่ยวกับการเป็นนักวาดภาพประกอบพอสมควร
โดยส่งความสงสัย คำถาม ขอคำแนะนำ ขอความช่วยเหลือ มาเป็นระยะ
ส่งผ่านมายังเราทั้งทางหลังไมค์ในบล็อกแก็งค์นี้และทางอีเมล์
เจตนาของบล็อกนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูล
ส่งกลับให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ที่จะส่งข้อความมายังเราให้ได้อ่านในบล็อกนี้โดยตรง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สาเหตุ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เนื่องจากหลายครั้งตั้งใจตอบกลับข้อความเหล่านั้นมาก
บางครั้งตอบเป็นหน้ากระดาษ
แต่สุดท้ายก็หายจ้อย ไร้วี่แวว
เราเลยเขียนเรื่องนี้ไว้ให้คนที่สนใจเข้ามาอ่านโดยตรง
เพราะแน่ใจว่าจะต้องมีคนส่งข้อความมาถึงเราอีกเป็นระยะ
และบางครั้งก็อยากเล่าแจ้งแถลงไขให้ผู้สนใจเหล่านั้น
ได้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนมากขึ้น


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ก่อนเข้าเรื่อง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ขอออกตัวก่อนว่าเราทำงานเกี่ยวกับภาพประกอบ
หนักไปทางภาพประกอบสำหรับเด็ก
ทำเป็นอาชีพเกือบจะ 6 ปีแล้ว (นับจากมีนาคม 2546)
ก่อนหน้า 6 ปีที่ว่า รับงานภาพประกอบบ้างประปราย
เนื่องจากยังทำงานเป็นพนักงานประจำในกราฟิคเฮ้าส์เล็กๆ
พอลาออกและมาทำภาพประกอบเป็นอาชีพ
มีงานเยอะบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ช่วงเวลา
เนื้อหาทั้งหมดเป็นประสบการณ์ตรงของเราเพียงคนเดียว
ไม่อาจใช้เป็นภาพรวมของอาชีพนี้ได้ทั้งหมด
ไม่อาจใช้เป็นมาตรฐานกลางได้โดยตรง
อาจใช้ได้เป็นบางกรณีเท่านั้น
เราไม่ใช่คนที่ดีและเก่งที่สุดในอาชีพนี้
มีคนที่เก่งกว่าเราอีกเยอะแยะ
เราแค่ได้รับโอกาสและพบว่ารักที่จะทำอาชีพนี้ไปเรื่อยๆ
รวมทั้งอยากแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่น
ได้มองเห็นอาชีพนี้ตามความเป็นจริง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แก้ไขความเข้าใจผิด
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อันดับแรกเลยมีหลายคนมาก
ที่เข้าใจว่าเราสามารถส่งงานภาพประกอบให้ทำได้เลย
โดยไม่ต้องผ่านทางสำนักพิมพ์ ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรง
เราเองเป็น freelance ภาพประกอบ
ไม่ได้เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์หรือบรรณาธิการ
ที่จะสามารถส่งงานให้ใครได้โดยตรง
เคยทำงานกับหลายสำนักพิมพ์ก็จริง
แต่ไม่ได้มีอำนาจ อิทธิพล หรือมีชื่อเสียงอะไรแต่อย่างใด
เป็นนักวาดภาพประกอบอิสระธรรมดา
บอกตามตรงเราเองก็ยังต้องออกไปหางานเพิ่มในบางครั้ง (ช่วงที่งานน้อยๆ)
และบอกกับคนที่สนใจเสมอว่า
สุดท้ายแล้วเราก็แค่แนะนำให้ส่งผลงานไปให้ทางสำนักพิมพ์
เพื่อให้ทางบรรณาธิการพิจารณาว่าผลงานนั้นๆ
ผ่านและเหมาะสมกับงานที่ทางสำนักพิมพ์มีอยู่ในมือหรือไม่
เราไม่สามารถก้าวก่ายสำนักพิมพ์ให้ให้งานหรือไม่ให้งานใครได้

อันดับสอง
อาชีพภาพประกอบไม่ได้ง่ายและสะดวกสบาย
แค่วาดรูปให้จบกันไป แล้วได้เงิน
อาชีพทุกอาชีพบนโลกไม่ต่างกัน มีทั้งด้านที่ดี และด้านที่ไม่ดี
ต้องมีทั้งเรื่องที่ยาก ง่าย มีปัญหา อุปสรรรค เช่นเดียวกัน
อย่ามองว่าแค่วาดรูปแค่นั้นเอง แล้วก็ได้เงินแล้ว
ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรง่ายและสวยงามขนาดนั้น
การวาดรูป เป็นเรื่องของรสนิยมของแต่ละบุคคล
รสนิยมของทั้งสองฝ่าย ทั้งคนวาด ทั้งทางสำนักพิมพ์
ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนคณิตศาสตร์ ที่คิดคำตอบ แล้วได้ผลว่าถูกหรือผิด
แต่ศิลปะ หรืองานภาพประกอบ
เป็นเรื่องของความรู้สึก ชอบไม่ชอบ สวยไม่สวย
เป็นเรื่องของความสามารถของคนวาดกับบรรณาธิการ
ที่จะทำงานร่วมกันให้ลุล่วงและสำเร็จได้ตรงตามเป้าหมาย


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
นับหนึ่งด้วยการสำรวจตัวเราเองก่อน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เราพร้อมที่จะทำอาชีพนี้หรือยัง ?
เราจะเข้ามาในอาชีพนี้อย่างไร ?
เรามีความรับผิดชอบมากพอหรือเปล่า ?
เหล่านี้เป็นคำถามที่หลายคนคงสงสัย
เราเองเริ่มด้วยการส่งงานไปประกวดก่อน
(สนใจจะประกวดอะไรก็ลองเสิร์ชหาจาก google.com ได้โดยตรง)
มีเพื่อนของเพื่อนแนะนำให้เอางานไปคุยที่สำนักพิมพ์บ้าง
องค์กรที่เราเคยประกวด
ส่งชื่อเราต่อไปให้สำนักพิมพ์ที่หานักวาดภาพประกอบอยู่บ้าง
แล้วเหมือนยิ่งเราเข้ามาอยู่ในวง
เราก็จะยิ่งมีหนทางให้ไปต่อๆไปได้เอง

แต่สำหรับคนที่กำลังคิดอยากลองและอยากเริ่มต้น
ไม่ว่าจะแค่อยากลองทำดู อยากมีรายได้เสริม
หรืออยากทำอย่างจริงๆจังเป็นอาชีพ
เราสามารถเริ่มด้วยการควานหาผลงานของเราที่มีอยู่ในมือก่อน
ว่างานที่เคยวาดๆไว้ตอนนี้มีมากน้อยและเพียงพอหรือยัง
เป็นงานที่เหมาะกับงานภาพประกอบหรือเปล่า
ดูประเภทงานที่เราสนใจอยากจะทำ เช่น ภาพประกอบเด็ก ภาพประกอบนิตยสาร ฯลฯ
เราควรมีงานที่เหมาะกับงานที่เราจะทำ
ถ้ายังมีงานไม่พอก็ควรทำงานขึ้นใหม่อย่างน้อยๆ 10 ถึง 20 ชิ้น
จากนั้นก็ไปเสาะหาที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ของสำนักพิมพ์
หรือนิตยสารที่เราสนใจหรือชื่นชอบ ส่งผลงานไปให้พิจารณา
ถ้าไม่สำเร็จลองส่งไปหลายๆที่ ถ้าผลงานเข้าตา โอกาสก็จะมาเอง
แต่ถ้าไม่มีใครเรียกตัว แล้วยังไม่ท้อก็ทำอย่างที่บอกซ้ำอีกหลายๆครั้ง
เราเองสามารถแนะนำให้ไปคุยกับสำนักพิมพ์ที่เรารู้จัก และเคยทำงานด้วยได้
แต่สุดท้ายแล้ว คนที่จะพิจารณางานไม่ใช่เรา
ต้องเป็นการตัดสินใจของทางสำนักพิมพ์หรือบรรณาธิการอีกทอดหนึ่ง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เริ่มต้นกระบวนการทำงาน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เมื่อได้งานมาแล้ว
(ให้แน่ใจด้วยว่าได้งานมาทำจริงๆ ไม่ใช่การทำงานเสนอแข่งกับคนอื่นๆ)
อันดับแรกให้คุยกับทางสำนักพิมพ์ให้เข้าใจตรงกัน
เรื่องที่จะต้องคุย คือ ค่าจ้าง งานที่เราต้องทำ มีกี่ชิ้น ปริมาณเท่าไหร่
สำนักพิมพ์ต้องการอะไรหรือมีข้อแม้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
ได้ลิขสิทธิ์หรือขายขาด คืนหรือไม่คืนต้นฉบับ
มีเวลาให้ทำงานยาวนานขนาดไหน
หากมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังและส่งผลต่อปริมาณงาน
จะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร
เมื่อก่อนเราเองก็ไม่กล้าถามเรื่องค่าตอบแทน เพราะอายและไม่กล้า
แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องแรกๆที่ต้องคุยกันให้แน่ใจ
ขอให้คิดว่า เราทำงาน เราควรรู้ ว่าเราได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่
และที่ต้องคิดอีกทีคือ เราพร้อมจะทำงานให้กับสำนักพิมพ์ไหม
สามารถทำงานตามเงื่อนไข หรือสิ่งที่ได้คุยกันไว้ให้สำเร็จได้หรือไม่
ถ้าไม่แน่ใจว่าจะทำงานได้ทันหรือไม่ชอบกับเงื่อนไขอะไรก็ไม่ควรรับ
และอย่าลืมถามตัวเราเองด้วยว่าถ้าเจอปัญหา
เราจะสามารถอดทน และแก้ปัญหาให้ลุล่วงจนสำเร็จได้หรือเปล่า
ไม่ใช่ทิ้งงานไปกลางคัน แล้วบอกว่าทำไม่ได้
ถ้ารับงานมาแล้วก็ควรรับผิดชอบทำงานให้เสร็จสิ้นให้ได้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
กระบวนการทำงาน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เริ่มจากเสก็ตช์ให้สำนักพิมพ์ดูเป็นตัวอย่าง 2-3 ชิ้น
(เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ควรสเก็ตช์งานขนาดเท่างานจริงที่จะทำต้นฉบับ)
ให้ดูสเก็ตช์เพื่อปรับแนวทางกับสำนักพิมพ์ว่าเป็นแนวที่ต้องการตรงกันใช่ไหม
หากตรงกันก็สเก็ตช์ที่เหลือทั้งหมด
ควรให้ทางสำนักพิมพ์แก้ไขทุกสิ่งที่ทางสำนักพิมพ์ต้องการจากในสเก็ตช์
เพื่อใช้เป็นเหมือนหลักฐานที่จะบอกกับทางสำนักพิมพ์และเราว่าจะทำงานให้เป็นไปตามนี้
จากนั้นก็ลงสีจริงให้ดู 1-2 ชิ้น ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จัดการทั้งหมดตามขั้นตอน
ส่วนเรื่องเทคนิคและสไตล์ภาพขึ้นอยู่กับความถนัดและความเหมาะสมกับงานที่ได้รับ
รวมทั้งการพูดคุยตกลงกับทางสำนักพิมพ์


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
การแก้ไขงาน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ให้ดูที่เหตุผลว่าแก้แล้วงานดีขึ้นก็ควรแก้
แต่ถ้าไม่เห็นด้วย หรือเรามีเหตุผลที่ดีก็ควรแย้ง และให้เหตุผลประกอบ
ทั้งหมดทั้งมวลควรคุยให้ทั้งเราและสำนักพิมพ์พึงพอใจร่วมกันมากที่สุด
ในกรณีที่สเก็ตช์ทั้งหมดผ่านแล้วและทำงานลงสีจริงแล้ว
เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจากสำนักพิมพ์
เช่น ให้แก้สเก็ตช์ใหม่ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานจริงเพิ่ม หรือต้องทำใหม่เลย
เราสามารถคิดเงินเพิ่มในส่วนของงานที่เพิ่มขึ้นได้
เพราะไม่ใช่ความผิดของเรา เราได้ทำงานตามกระบวนการแล้ว
ให้แก้งานตามสเก็ตช์แล้ว


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อื่นๆอีกมากมาย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
มีประเด็นอีกมากนอกเหนือไปจากนี้
ทั้งการตีราคางาน เรื่องการพิมพ์ ปัญหาเล็กๆน้อยๆสารพัด
การวาดมือ การวาดในคอม การตั้งค่าความละเอียดภาพในคอม
การทำงานเสนอแข่งกับหลายๆคน งานสีเดียว งานสองสี งานสี่สี
ปัญหาที่คาดไม่ถึง เรื่องคุณภาพงาน เรื่องลิขสิทธิ์
เทคนิคการทำภาพประกอบที่มีผลดีหรือผลเสียต่อการพิมพ์
หากสนใจแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือมีคำถาม
ถ้าคุณได้งานไว้ในมือแล้ว แล้วสงสัยอะไรก็ส่งอีเมล์มาคุยกันได้ครับ


บล็อกนี้ยาวสุดๆ
ได้พูด ได้บอก ได้ระบายประสบการณ์ ความรู้สึกบางอย่างออกไป
อาจจะซีเรียสสักหน่อย เพราะอยากทดสอบคนที่อยากทำงานด้านนี้
ถ้าแค่อ่านแล้วฝ่อ หรือเลิกความคิดไป มันก็คงทดสอบความตั้งใจได้ในระดับหนึ่ง
และถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แต่ยังฮึดอยู่ และไฟยังไม่มอด ก็ขอให้เดินหน้าต่อไป
ขอบคุณครับ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2551    
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 14:45:47 น.
Counter : 1789 Pageviews.  

1  2  3  

ถ่านหินจำศีล
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




///////////////////////////////////////////////

© ถ่านหินจำศีล
ผันตัวจากอาชีพอาร์ตไดเร็คเตอร์
มาเป็นนักเขียนและนักวาดภาพประกอบนิทาน
เมื่อราวๆเดือนมีนาคม 2545
ทำงานและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่แม่กลอง

บล็อกแห่งนี้ถือกำเนิดเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2550
มี 11 กรุ๊ปบล็อก รวมบล็อกได้ 354 บล็อก
มีอายุบล็อกนับถึง 16 ก.พ. 2557 ครบ 7 ปีแล้ว
-------------------------------------------------------
https://www.trytobeillustrator.bloggang.com
ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายลิขสิทธิ์ปี 2537
© ถ่านหินจำศีล
-------------------------------------------------------

Find more artworks/photos like this on PORTFOLIOS*NET
Friends' blogs
[Add ถ่านหินจำศีล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.