“การคลั่งไคล้เคป๊อปนั้นไม่ได้ไร้สาระ ... แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ซุกซ่อนนัยการเมือง สังคม และวัฒนธรรมได้อย่างสำคัญ"
 
 

Zion 2003 Story

เกริ่นนำ

หน้าร้อนปี 2003 ฉันกับเพื่อนบางส่วนตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ที่อเมริกา ในวันเวลาที่สงครามยังระอุอยู่ และด้วยทัศนะคติที่ถูกความรู้ในภาควิชาความสัมำนธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ปลูกฝังมาตลอดว่า "อเมริกานี่มันบ้าอำนาจ"

ฉันแค่อยากมาประเทศนี้ เพื่อให้เห็นกับตาว่าเค้าบ้าอำนาจจริงไหม?

แล้วคุณล่ะ อยากรู้เหมือนฉันบ้างรึเปล่า?





“อะไรนะ! กระเป๋าหายเหรอ!”


ถ้าแผ่นดินที่ฉันเหยียบอยู่มีนามว่า ไทย และใช้ภาษาที่พ่อขุนรามคำแหงคิดขึ้น คนที่สนามบินระหว่างประเทศ ลาสเวกัส คงได้ยินฉันตะโกนลั่นเป็นภาษาข้างบนสัก 11 ครั้ง


แต่นี่คนที่ยืนหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยมข้างหน้า มีผิวสีขาว สูงโปร่ง และผมสีทอง ภาษาที่ฉันเปล่งออกไปได้จึงเป็นแค่สำนวนภาษาอังกฤษตะกุกตะกักพอให้สื่อความเดือดเนื้อร้อนใจได้แค่นั้น


และจริงๆกระเป๋าก็ไม่ได้หายหรอก เพียงแต่ว่ามันจะมาช้าไปหน่อย อาจจะแค่ 5 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ….ก็เป็น10


อาจไม่นับเป็นเรื่องน่าตกใจก็ได้ ถ้านี่ไม่ใช่เวลา 3 ทุ่มตรง และไม่ได้เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของผู้หญิงสาวโสด 2 คน Alone in USA……ในเมืองแห่งแสงสีที่ใครบางคนเคยเปรยไว้ ว่าเป็นเมืองซาตาน ….ลาสเวกัส




กระเป๋าเดินทางใบเบ้อเริ่มที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบินลำยักษ์ ของสายการบิน American Airline ( สายการบินเดียวกับเครื่องบินลำที่พุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด ในวันที่ 11 กันยายน 2001 ) ไม่ได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้าของ เนื่องจากการเข้าเซ็กอินเครื่องช้าเมื่อตอนอยู่สนามบินที่ LA.
กับทริปแรกในชีวิต ที่ตัดสินใจลุยสอง กับเพื่อนสาว เนื่องจากอยากได้ประสบการณ์มันส์ๆ ….. เป็นไงล่ะ ก็ไม่อยากมากับหมู่คณะเค้าเองนี่


Work & Travel แต่ฉันจะ Travel & then ค่อยไป Work



เรื่องมันเริ่มจากว่า ก่อนจะพ้นสถานภาพนิสิต/นักศึกษาที่พกพามา 4 ปี เพื่อนของฉันเกิดอาการหวาดวิตกกับชีวิตทำงานที่รออยู่อย่างแรง เนื่องจากเกรงว่าถ้าเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำงานแล้ว มันจะไม่ได้ออกไปผจญภัยโลกเช่นที่วาดฝัน เมื่อกระบวนการบอกต่อปากชักชวนกันเริ่มเกิดขึ้น ฉันก็ตัดสินใจจะไปผจญภัยในดินแดนที่ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา กับมันด้วย ด้วยจุดมุ่งหมายเดียว อยากรู้ว่าเด็กวัยรุ่นอเมริกาจะงี่เง่าบ้างานพรอมเช่นที่เห็นในหนังรึเปล่า
และแล้ว เราผองเพื่อนก็เข้าร่วมโครงการ Work and Travel โครงการที่ให้เด็กเสียเงิน เพื่อจะได้ไปทำงานในช่วงหน้าร้อนที่ อเมริกา เพื่อเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชีวิตอะไรก็ว่าไป แต่ที่แน่ๆ งานนี้พี่ๆเอเจนซี่ เค้าได้ค่าหัวจากพวกเราไปคนละประมาณ 4 หมื่นบาท! สำหรับค่าช่วยขอวีซ่าและดำเนินการต่างๆทั้งติดต่อนายจ้าง เดินเรื่องเอกสาร แต่ราคานี้มิได้รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด ถ้ารวมเบ็ดเสร็จจริงๆ ก็ราวๆ 8 หมื่น ถึง แสนต้นๆ อันนี้แล้วแต่นิสัยการจับจ่ายของแต่ละคน




ฉันสังเกตว่าโครงการนี้เพิ่งมาฮิตเอามากๆในช่วงนี้ เนื่องจากเห็นมีเด็กสมัครอยากไปกันเยอะเหลือเกิน อาจเนื่องมาจากเป็นหนทางในการได้ไปอยู่อเมริกาในราคาย่อมเยาที่สุด (ที่ไม่ใช่แบบโรบินฮู้ด)สำหรับคนไม่มีญาติที่นั่น



ฉันก็เป็นคนนึงที่ไม่มีญาติสนิทอยู่ที่นั่น และคิดว่าราคาก็ย่อมเยาดี ทำงาน 3-4 เดือนก็ได้เท่าทุนรึมากกว่าแล้ว แถมยังได้ไปเยือนประเทศที่อยากไปเห็นให้มันรู้ซะที ก็เลยไป


แต่ที่ไปก็ใช่ว่าจะไร้สาระแค่นั้นนะ จริงๆฉันอยากรู้มากกว่าว่า ประเทศที่สามารถตัดสินใจบุกไปทิ้งระเบิดที่อัฟกานิสถาน และร่ำๆจะทำสงครามกับอิรักอยู่ (ในตอนนั้น) โดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อสันติภาพระยะยาวของโลกนี่ เค้าคิดกันได้ยังไง และผู้คนที่นั่นไม่รู้สึกอะไรกันบ้างรึไง
ตามวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียนมา อาจารย์บอกว่าคนอเมริกามีพาสปอร์ตแค่ 20% แสดงว่าอีก 80% ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ ถ้าเชื่อตามสุภาษิตอยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ และเชื่อตามสถิติที่อาจารย์บอก อยากรู้จักคนอเมริกันเราก็คงต้องบุกไปอเมริกาล่ะ



ฉันตัดสินใจเลือกไปกับเอเจนซี่เจ้าหนึ่ง ไม่ใช่ว่าดีกว่า 2-3 เจ้าดังที่เหลือ แต่เนื่องจากที่นี่มีคนไทยไปกันแค่ 25 คน นับว่าน้อยแล้วเมื่อเทียบกับบางแห่งที่ไปถึง 300
เนื่องจากอยากไปในที่ที่คนน้อย รายชื่อของฉันจึงตกอยู่ในกลุ่มคนที่จะไปทำงานที่ Zion Lodge, Utah รัฐที่ฉันจินตนาการว่ามีแต่ทะเลทราย อยู่เมืองไทยก็ร้อนพอแล้ว แล้วจะถ่อไปทะเลทรายทำไมกันนี่
เออน่า….ยังไงรัฐนี้ก็มี Utah Jazz ทีม NBA อันโด่งดังอยู่ล่ะวะ….. อันนี้เป็นคำปลอบใจตัวเอง




เนื่องจากไม่เคยไปอเมริกาและ ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง ฉันจึงซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าไป ทั้งหม้อหุงข้าวเอาไว้ทำอาหาร, adapterไว้แปลงไฟ เพราะที่โน่นใช้ระบบ 110 โวลต์ ขณะที่เราใช้ 220 โวลต์ ,ไฟฉายเผื่ออเมริกาไฟดับ,ร่มและเสื้อกันฝนเผื่อฝนตก(ก็คนมันไม่รู้อะไรนี่) ,มาม่า 200 ห่อ เผื่อไม่อยากเสียตังค์, น้ำพริกเผาเผื่อกินอาหารเค้าไม่เป็น, เสื้อกันหนาวที่หนาสุดๆ จนถึงแฟชั่นสายเดี่ยวเผื่อทุกสภาพอากาศ,อุปกรณ์สวยและจำเป็นสำหรับผู้หญิงเผื่อว่าที่นั่นจะไม่มี หรือมีแบบไม่เหมือนเมืองไทย,และจิปาถะที่ขนไปมากมายชนิดที่อยู่ที่นั่น 4 เดือน ไม่อดตายและไม่ขาดอะไร


ตอนขากลับถึงได้รู้ว่าเอามาหมดทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ลืมเอาของที่ระลึกจากเมืองไทยมา…….





พอถึงกระบวนการไป สาวชอบผจญภัยอย่างเราก็เลยต้องหอบของชนิดกลายเป็นพวกบ้าสมบัติไปเลย
เราตัดสินใจบินไปกันเองสองสาว เพราะมีความเชื่อว่าถ้าไปกับคณะเอเจนซี่ จะโดนขูดรีดให้ซื้อตั๋วแพง และแถมยังไม่ได้เที่ยวอย่างที่ใจอยากอีก เนื่องจากเค้าจะให้บินไปลงลาสเวกัสแล้วต่อรถไปยูท่าห์เลย ด้วยความที่เราหลงรักแอลเอม๊ากมาก ประกอบมีเพื่อนเป็นอเมริกันชนหนึ่งตนเรียนอยู่ที่นั่น ความคิดก็แล่นไปว่า ฮะฮะ ได้เที่ยวแบบเด็กแร็พโย่ขาโจ๋มะกันแน่ตู



สรุปคือ เค้าจะไป Work & Travel กัน (ทำงานเก็บเงินแล้วค่อยเที่ยว) แต่ฉันอยาก Travel & then ค่อยไป Work




แต่แล้วก่อนจะบิน 6 วัน เจ้าเพื่อนตัวแสบก็ส่งเมล์ด่วนมาบอกว่า “ไอมีธุระต้องไปเมืองอื่นพอดี ไม่สามารถพายูเที่ยวได้ ซอรรี่จริงๆนะ ยูเทคแคร์ตัวเองแล้วกัน!”
คิดภาพผู้หญิงสองคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ และต้องไปเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตโดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเมืองและประเทศนั้นอยู่ในหัวเลยออกไหม นั่นแหละฉันกับเพื่อน


เหมือนจะเป็นลางร้ายตั้งแต่ต้น แต่เอาวะ มองโลกในแง่ดีไว้ นี่คือโอกาสได้ผจญภัยของจริงแล้ว



ฉันกับเพื่อนจึงจัดแจงจองโรงแรมใหม่ เมื่อแรกที่กะว่าจะมีที่ให้พักฟรีและมีคนนำเที่ยวนั้น คราวนี้เลิกคิดแล้วเริ่มโครงการใหม่เลย



เราจองโรงแรมราคาไม่แพงมากแถวๆสนามบิน อันนี้เพื่อความสะดวกเวลาต่อเครื่องไปลาสเวกัส โดยไม่ทันคิดถึงความสะดวกในแง่อื่น เช่นการเดินทางเข้าเมือง เนื่องจากเอามาตรฐานในการเดินทางจาก ดอนเมืองไปถึงสยามเป็นตัววัด ว่าก็คงไม่ลำบากหรอกวะ อุตส่าห์เป็นถึงเมืองใหญ่ระดับโลกนี่




 

Create Date : 24 กันยายน 2548   
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:18:37 น.   
Counter : 1627 Pageviews.  


เมืองแห่งนางฟ้า ในวันเวลาเริ่มต้นสงครามกับอิรัก



เครื่องเราลงเหยียบแอลเอ เมื่อตอน บ่าย 2 โมง ก่อนจะเข้าประเทศนี้ไปได้เราต้องผ่านด่าน Immigration ที่ว่ากันว่าโหดสุดๆโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่ท่านบุชเที่ยวสร้างศัตรูไปทั่ว ฉันกับเพื่อนโดนแยกจากกัน ตายล่ะหว่า ฉันจะฟังเค้ารู้เรื่องมั้ยเนี่ย ถ้าเค้ารู้ว่าฉันพูดไม่รู้เรื่องเค้าต้องไม่ให้เข้าประเทศแน่เลย


“where will you go?” Immigration ผู้หญิงหน้าตาคล้ายพวก Mexican ถามเสียงเข้ม

“Utah, emmm in Zion National Park” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก เธอหันมองวีซ่าชนิด J-1(วีซ่าแสดงสิทธิ์ว่าเราเข้ามาอย่างนักเรียน) ของฉันนิดนึง

“อืมมม….. ไปได้….”
เธอคงพูดประมาณนั้นมั้ง ฉันไม่รู้…รู้แต่แค่เธอยื่นพาสปอร์ตคืนให้และพยักหน้า ฉันก็รีบจ้ำเดินผ่านด่านเข้าไปเหยียบผืนดินเสรีชน (ผู้ชอบประกาศสงครามไปทั่ว) โดยทันที




คุณเคยแอบจินตนาการล่วงหน้า ถึงสถานที่ที่คุณกำลังจะไปเยือนบ้างไหมคะ ฉันเคยค่ะ และแอบวาดภาพแอลเอไว้ในหัวซะว่าจะเจอเด็กไฮสคูลแร็พโย่เดินกันขวักไขว่ เฉกเช่นที่เห็นในหนังฮอลลีวูด


ปรากฏว่าพอเอาเข้าจริงๆ กลับไม่ได้มีอะไรมาทำให้ฉันรู้สึกว่ามาถึง แอลเอ หรือ อเมริกาได้เลยค่ะ



แอลเอ คือเมืองหลากพ่อร้อยแม่ที่รวมผู้คนหลายเผ่าพันธุ์เอาไว้ คุณจะได้พบตั้งแต่หมวยเอเชียเช่นฉันกับเพื่อน หนุ่มละตินที่ทำงานตรงเคาท์เตอร์เซอร์วิสของแอร์พอร์ต สาวผิวหมึกที่อยู่ตรงจุดบริการรถไปโรงแรมและเข้าเมือง ลุงคนขับเชื้อสายคอเคเชียนที่อพยพมาจากอิหร่านและได้กรีนการ์ดไปแล้ว หนุ่มผมทองผิวซีดที่ทางบ้านอพยพมาจากยุโรปเหนือ


แต่พวกเขาเหล่านั้นบอกว่า พวกเขาคือ อเมริกัน


คำยืนยันหนักแน่นทำให้ฉันเชื่อแล้วว่ามาถึงอเมริกาแล้วจริงๆ





ตามวิชารัฐและการเมืองที่ร่ำเรียนมาอเมริกาถือเป็นต้นแบบของรัฐประเภท Federal State คือรัฐที่รวมหลายๆรัฐที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยแต่ละรัฐที่รวมตัวยังมีอำนาจบริหารของตนอยู่



พูดให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ คุณนึกภาพการรวมเอา ประเทศไทย,ลาว,กัมพูชา,มาเลเซีย,สิงคโปร์ และอื่นอีกจิปาถะ 50 ประเทศ(หรือรัฐ)มารวมกัน โดยมีรัฐบาลกลางเพียงหนึ่ง แล้วอาจจะเรียกรัฐใหญ่นี้ว่า A


พอจะเห็นเค้าของความวุ่นวายรึยัง ถ้ายังจะได้อธิบายต่อว่า การทำอย่างนี้ได้ โดยให้ทุกเชื้อชาติและทุกรัฐที่รวมตัวเป็น Federal State นั้นสามัคคีปรองดอง และ เรียกตัวเองว่าเป็น ชาว A แทนที่จะเป็นคนไทย,คนลาว, คนมาเลย์ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ


แต่อเมริกาก็มีความพิเศษบางอย่างให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นได้ ….. โดยเฉพาะที่ แอลเอยิ่งพบได้ง่ายขึ้น จนคุณไม่มีวันแน่ใจได้ว่า ตี๋เอเชียหล่อๆที่เห็นที่แอร์พอร์ต เป็นแค่นักท่องเที่ยว หรือ เป็น american citizen จนกว่าจะได้ยิน Accent ของเค้า

แต่นั่นก็ยังไม่อาจยืนยันได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะที่นี่ ไม่มี Accent ใดที่ถูกกำหนดตายตัวว่าเป็น 100 % LA Accent





เคยได้ยินมาว่า การเรียนภาษาอังกฤษถึง 10 ปี ที่ทำรู้ศัพท์เป็นพัน แต่ออกเสียงไม่ดีพูดไม่ได้นั้น ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ฉันกับเพื่อนเจอแล้วค่ะ

ความที่พกพาเกรด A มาจากคลาสเรียนอังกฤษหลายๆคลาส ก็ใช่จะช่วยฉันได้ ในเวลาที่ฉันจะขอ Service จากโรงแรมที่พัก เนื่องจากเขาไม่เข้าใจเสียงที่ฉันส่งออกไป ว่าง่ายๆเค้าฟังฉันพูดว่า service ไม่รู้เรื่อง (คือฉันพูดไม่รู้เรื่องนั่นเอง) งานนี้จึงไม่มีอะไรดีไปกว่า การเขียนแล้วยื่นส่งให้


ตกลงเป็นอันเข้าใจกันดีกับแม่รีเซฟชั่นคนสวยแล้ว คืนนี้เราสองคนก็เลยจะขอเดินล่อง แอลเอกันเสียหน่อย ที่ย่านไทยทาวน์ ที่ฉันไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในชื่อเสียงคนไทย ก็เลยคิดเอาเองว่าถามใครก็คงรู้จัก


ปรากฏว่าฉันคิดผิดค่ะ
ไม่มีใครที่นี่รู้จักไทยทาวน์เลย


เป็นไปได้ยังไง ทั้งที่คนไทยออกจะโด่งดังปานนั้น เพราะเมื่อแรกที่รอกระเป๋า ก็มีแต่คนทักว่า “สวัสดี”เป็นภาษาไทยกระท่อนกระแท่น เมื่อรู้ว่าฉันมาจากเมืองไทย
เรา 2 สาวก็เลยได้นั่งรถหลงทางชมเมืองเล่น เป็นเวลา 2 ชม. ดีที่คุณลุงชาร์ล คนขับรถ Shuttle Bus แกใจดีบอกเดี๋ยวนั่งไปเรื่อยๆก่อน ระหว่างที่แกตระเวนส่งผู้โดยสารตามย่าน China Town โดยแอบหวังว่าเผื่อมันจะอยู่ใกล้กัน


จนเมื่อยังไงก็ไม่เจอแล้ว และ LA ก็ออกจะยิ่งใหญ่เสียจริงๆ ลุงแกก็เลยควักโทรศัพท์มือถือมาถามอะไรประมาณ 1133 ให้ แล้วขอเบอร์ Thai Restaurant สักเบอร์ ว่าแล้วก็กดพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้เราคุย
ทันที่ที่ได้ยินเสียงจากปลายสายเปล่งออกมาเป็นภาษาที่คุ้นเคย เราสองคนก็พูดเป็นไฟเลยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง รู้มาว่าถ้าจะไป Thai Town ให้ไปที่ย่าน West Hollywood


โธ่! ง่ายแค่นี้เอง--- ลุงคนขับบอก





เราใช้เวลาอยู่ที่ LA ประมาณ 2 วัน วันสุดท้ายทั้งวันเราใช้เวลาหมดไปกับ Universal Studio อันเลื่องชื่อที่ฉันใฝ่ฝันอยากมา โพสต์ท่า เป็นดารามานานแล้ว เราโพสต์ท่านานกันไปหน่อย เพราะเสียดายค่าตั๋วที่จ่าย ประกอบเกรงจะไม่ได้กลับมาเยือนที่นี่อีกง่ายๆ เลยทำให้กำหนดการที่วางไว้ว่าจะขึ้นเครื่องไปลาสเวกัส รวนไปหมด


ตามกำหนดการ เราสองสาวต้องเช็คอินขึ้นเครื่องตอน 4 โมงครึ่ง สำหรับเครื่องที่จะออก ตอน 6 โมงเย็น แต่กว่าเราจะออกจากในเมืองก็ปาไป 3 โมงครึ่งแล้ว และกว่ารถไฟเมโทรลิ้งค์ (ประมาณ Subway แต่แล่นช้ามากกก) จะแล่นถึงจุดหมายก็ 5 โมงแล้ว แล้วกว่าเราจะขนของมา check in อีก ก็เลยเป็นเวลา 5 โมงครึ่งพอดี
ความที่อยู่เมืองไทยมาจนชิน เลยคิดไปว่า check in เลทแค่นี้ไม่มีอะไรมากหรอก แม้จะเห็นว่าพนักงานตรง counter ดูจะตกใจและก็พูดอะไรสักอย่างระหว่างที่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าเราก็ตาม


Oh My God! กระเป๋าเราสองคน (ที่ขนมาทุกอย่าง) น้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายประเทศนี้กำหนด (คือจริงๆก็เกินมาจากที่ดอนเมืองแล้ว แต่เค้าหยวนให้) ต้องเอาของออก หรือไม่ก็จ่ายค่าปรับน้ำหนักเกิน 50 เหรียญ ชนิดไม่มีหยวน

50 เหรียญ หรือ 2000 บาท!



เราสองคนมองหน้าชั่งใจอยู่สักพัก ของที่ขนมาก็สำคัญ จะให้ทิ้งก็ใช่ที่เพราะอาจหาซื้อที่ประเทศนี้ไม่ได้เลย ก็เลยกัดฟัน ยอมจ่าย 50 เหรียญไปทั้งน้ำตา


เนื่องจาก check in เลทมากแล้วยังโดน Overweight อีก ซึ่งทำให้เราสองคนขึ้นเครื่องช้าพอสมควรแล้ว ทางสนามบินจึงไม่สามารถออกใบเสร็จ หรือ receipt รับกระเป๋าให้เราได้ทัน หมายความว่าเราต้องไปรับกระเป๋าที่ลาสเวกัส โดยไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าเราจ่าย Overweight แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่สนามบินพูดอะไรมายืดยาวที่ เราสองคนจับใจความได้ว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่มีปัญหาอะไรเช่นที่เค้าว่าแหละ

เพี้ยง!

แต่ยิ่งภาวนาก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เสมือนหนึ่งคนจะโชคร้ายยังไงมันก็ต้องเจอ และเราก็ได้พบความจริงที่สนามบินลาสเวกัสว่า กระเป๋าเราไม่ได้มากับเครื่อง ซ้ำยังไม่ได้มาเลทกับลำถัดมา เพราะพี่อเมริกันที่หวาดกลัวภัยก่อการร้ายท่านต้องค้นของในกระเป๋าเราให้ละเอียดยิบเสียก่อน ตอนนี้จึงไม่มีใครให้คำตอบเราได้ว่ากระเป๋าอยู่ที่ใด
ในตอนนั้น ฉันนั่งแช่งชักหักกระดูก ประธานาธิบดีบุช จูเนียร์อยู่ 1 ชม. โทษฐานระราน (เสรีภาพ) เค้าไปทั่ว จนเกิดอาการหวาดวิตกกลัวเค้าเอาคืน พาลเลยมาถึงนโยบายตรวจค้นกระเป๋าเดินทาง จนทำให้กระเป๋าเรามาถึงช้ากว่าที่ควร


ที่สำคัญคืนนี้ ฉันจะเอาอะไรเปลี่ยนนอนล่ะนี่




 

Create Date : 24 กันยายน 2548   
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:11:50 น.   
Counter : 465 Pageviews.  


ลาสเวกัส กับ 7 ชั่วโมงแห่งการรอคอย


เราสองคนมาที่ลาสเวกัส เพื่อจะรวมกับหมู่คณะที่จะไป Utah ด้วยกัน พูดง่ายๆคือที่นี่ถือเป็นทางผ่านเท่านั้น แต่มันเป็นทางผ่านที่ฉันไม่รู้ว่าจะก้าวออกจากสนามบินไปโรงแรมได้ยังไงน่ะสิ



หลังจากแจ้งเรื่องไว้ที่สนามบินลาสเวกัสว่าถ้ากระเป๋ามาถึงให้ส่งด่วนไปที่โรงแรมที่พัก ก่อน ตี 5 เพราะนั่นคือเวลาที่เราจะออกเดินทางไป Utah แล้ว ซึ่งถ้าไม่ทันก็ต้องส่งต่อไปที่ Zion National Park, Utah ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่วันจะถึง เราสองสาวก็นั่งรถ Shuttle Bus ของสนามบินโดยจ่ายไป 10 เหรียญ เพื่อไปยังโรงแรมที่พักที่พี่เค้านัดไว้ อารมณ์เซ็งจากกระเป๋าเดินทางยังมาไม่ถึง บวกกับพอไปถึงโรงแรมแล้วไม่เจอใครรอรับ ยิ่งทำให้เราสองคนรู้สึกโชคร้ายไปกันใหญ่ จะขึ้นห้องก็ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหนกัน ภาษาอังกฤษยิ่งไม่กระดิกหูอีก ทำให้เราสองคนนั่งอย่างหมดหวังอยู่ตรง Lobby โรงแรม จนกระทั่งเจอเด็กหน้าตาไทยๆเดินผ่านมา แม่นแล้ว! ต้องเป็นหนึ่งในหมู่คณะของเราแน่เลย

“ โทษนะคะ มาจากเมืองไทยรึเปล่า” ฉันถามรัวด้วยความดีใจ“

………………..” เด็กสาวหน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับฉันมองหน้างงๆ ก่อนจะพ่นภาษาที่ไม่ใช่ทั้งไทยและอังกฤษออกมา

หมดกัน….หน้าแตกยับเลยเรา



พอหมดหนทางจริงๆ เราก็เลยรวบรวมความรู้ภาษาอังกฤษทั้งหมดที่มีอยู่ ไปสอบถามกับแม่สาวreception ผิวหมึกของโรงแรม จนได้ความตรงกันว่าให้ขึ้นไปที่ชั้นไหน ห้องไหนบ้าง เฮ้อ! จะได้ล้างหน้าล้างตาเสียที



จริงๆแล้วก่อนมาที่นี่ เราได้นัดแนะกับพี่ที่ดูแลกลุ่มเราไว้แล้วว่าจะมาเจอที่โรงแรมช่วงกี่โมงถึงกี่โมง เพื่อกันพลาดไว้ ซึ่งพี่เอเจนซี่ที่ดูแลกลุ่มก็รับปากว่าจะนั่งรอตรง Lobby ในเวลานี้ แต่ทว่าพอเอาเข้าจริงพี่กลับไม่ได้รออย่างที่ว่าไว้ แถมพอเราขึ้นไปข้างบนห้องพักที่กลุ่มเด็กไทยจองกันไว้ประมาณ 10 ห้อง กลับไม่มีใครอยู่เลย แถมห้องยังล็อกอีก เราเข้าห้องไม่ได้ ก็ต้องยืนแกร่วตั้งนาน อันนี้ไม่ได้จะว่าพี่ที่ดูแลอะไรมากมาย เพราะเราก็โตแล้ว ดูแลตัวเองได้บ้าง แต่อยากเตือนเผื่อใครคิดจะไปไหนไกลบ้าน ก็ควรเตรียมตัวเตรียมข้อมูลมาให้พร้อม อย่าหวังพึ่งแต่คนอื่น



เราได้เข้าห้องพักกันจริงๆเมื่อ 5 ทุ่ม พี่ที่ดูแลขอโทษที่กว่าจะเจอกันล่าช้า เพราะพี่เค้าอาบน้ำอยู่ และเด็กคนอื่นก็ไม่อยู่เนื่องจากออกไปเดินชมแสงสีของ ลาสเวกัส กันหมด เราบอกไม่เป็นไร เพราะเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันมาก
คืนนั้น เพื่อนสาวของเราเหนื่อยจัดกับสิ่งที่ต้องผจญภัยมาตลอดช่วงเย็น พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายโดยไม่ทันได้ยลเมืองแห่งคาสิโนเลยสักนิด เราเองแม้จะไม่ง่วง แต่ด้วยพะวงเรื่องกระเป๋าว่าเค้าอาจเอามาส่งให้ตอนไหนก็ได้เลยอยากนั่งรออยู่ที่โรงแรมมากกว่า ลาสเวกัสนั้น คงมีโอกาสได้มาเที่ยวสักวัน(ข้างหน้า)แหละน่า



นับเป็นเวลา 7 ชั่วโมงพอดี (ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่ม ถึง ตี 4) ที่ใจฉันกระวนกระวายจดจ่อว่าเมื่อไหร่กระเป๋าที่หายไปจะเดินทางกลับคืนมา เรียกได้ว่ามาถึงแบบฉิวเฉียดก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางขึ้นรถ Shuttle Bus ไป Utah ช่วง ตี 5 แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น




 

Create Date : 24 กันยายน 2548   
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:08:10 น.   
Counter : 443 Pageviews.  


และแล้ว การผจญภัยก็เริ่มขึ้น

ก่อนรถ Shutttle Bus จะออก เราสองสาว ติ๊กต่อก กับ กอล์ฟ ก็ถูกล้อมรอบด้วยหมู่เพื่อนใหม่ที่เราเพิ่งพบเจอ จริงๆเพื่อนที่จะเดินทางไปที่หมายเดียวกันกับเราในครั้งนี้ มี 15 คน แต่มีอีก 6 คนที่จะนั่งไปด้วยกันก่อนจะแยกที่ตัวเมืองเพื่อไปยังคนละจุดหมาย



ที่ที่เราจะไป คือ Zion National Park ที่เมือง Springdale, ตอนใต้ของ Utah ซึ่งการเดินทางมาจากสนามบินลาสเวกัส นั้นจะสะดวกสุด เราต้องไปทำงานที่ Zion Lodge ของกลุ่มบริษัท Xanterra ซึ่งเป็นเหมือนบริษัทจัดการรีสอร์ท ที่ได้ประมูลเข้ามาจัดการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกใน National Park หลายแห่ง รวมถึงอีกที่ที่เพื่อนในกลุ่มของเราจะไป นั่น คือ Bryce CANYON และ South Rim Grand Canyon ด้วย





พี่ที่ดูแลพวกเราพาแล่นรถมาถึงเมือง St. George ซึ่งเป็นเมืองที่อาจถือว่ามีขนาดใหญ่แล้วในแถบนั้น เพราะมันมีห้าง Walmart ให้เราเดินช้อปกันยามว่าง เราต้องมาทำ Social Security Card และรอรถจาก Zion Lodge มารับที่นี่ ว่าถึง SSC (Social Security Card) แล้วนี่เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องทำก่อนเข้าทำงาน คือหากไม่มีนี่คุณไม่มีสิทธิ์ทำงานไหนได้เลย เพราะจะถือเป็นการผิดกฎหมาย ตอนแรกเราทุกคนก็กลัวกับการจะทำผิดกฎหมายประเทศนี้กันมาก เนื่องจากเชื่อมานานว่าฝรั่งเคารพกฎอย่างเคร่งครัด แต่มารู้ทีหลังว่าไม่ต้องมี SSC เค้าก็หยวนกันได้น่า แต่เราอาจกลายเป็นเหมือนแรงงานพม่าในไทย ที่โดนขูดรีด ให้ค่าชั่วโมงซะน้อยเชียว




พวกเรากลุ่ม Zion ทั้ง 17 คน และสาวๆชาว Bryce Canyon อีก 6 ต่างนั่งคุยกันจ้อกแจ๊กจอแจจนเสียงดังลั่นเมือง St. George ระหว่างที่รอรอมารับ สาวๆชาว Bryce นั้นคุยเก่งมากกกกกกกกก…. พูดกันไม่ทันได้หายใจเลย พออยู่รวมตัว ประชากร Zion ก็เลยดูจะเรียบร้อยไปทันตา ไม่ถึง 1 ชม. รถจาก Lodge ก็มารับ ช่างน่าเสียดายที่เราต้องจากลาสาวๆชาว Bryce เพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันซะแล้ว แต่ไม่เป็นไรน่า ห่างกันแค่ 80 miles เอง เดี๋ยวก็คงได้ไปเยี่ยมกันแน่



เราลา ชาว Bryce กับพี่ที่ดูแลมาตอนบ่าย 2 กว่าๆ พี่เอเจนซี่บอกว่า จะอยู่ส่งเพื่อนๆชาว Bryce ก่อน แล้วค่อยกลับไปลาสเวกัส แต่พอคล้อยหลังพวกเราได้ไม่นาน พี่ก็บอกว่ามีธุระต้องรีบกลับ แล้วทิ้งเพื่อนเราซึ่งเป็นหญิงสาวแท้ 5 กับเทียม 1 ไว้ให้รอรถที่ไม่รู้ว่าจะมารับตอนกี่โมงไว้ลำพัง ท่ามกลางอากาศหนาว และความเว้งว้างของเมือง St.George ที่มองไปแทบจะไม่เห็นผู้คน เพราะหลบหนาวกันอยูในบ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่สามารถรอรถ และดูแลตัวเองได้นะ แต่เริ่มรู้สึกได้แล้วว่า พี่ๆเหล่านี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ




 

Create Date : 24 กันยายน 2548   
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:05:43 น.   
Counter : 390 Pageviews.  


Zion Lodge

ตอนที่เรามาถึง Zion นั้นเป็นวันที่ 27 มีนาคม ปี 46 ถือเป็นช่วงปลายหนาว และเริ่มต้น Spring แต่อากาศที่ฝรั่งมันบอกว่าเริ่ม warm แล้วนี่ กลับเย็นยังกับขั้วโลกสำหรับคนเกลียดอากาศหนาวอย่างฉัน แถมต้นไม้ริมทางก็มีแต่ลำต้นยืนไว้ ท่ามกลางฉากล้อมรอบที่เป็นภูเขาหินแข็งจำพวกเดียวกับ Grand Canyon หรือแพะเมืองผีบ้านเกิดของไอ้กอล์ฟมัน บรรยากาศเช่นนี้ยิ่งทำให้ฉันมองฟ้า และบอกตัวเองว่าคิดถึงเมืองไทยชิปเป้ง!



คนขับรถจาก Lodge ที่มารับเราชื่อป้ามาร์ธา กับลุงจอร์จ เนื่องจากกฎหมายที่ Utah ห้ามคนนั่งเกินกว่าจำนวนของเบาะที่นั่งของแต่ละคัน ดังนั้นเรา 17 คน จึงแยกออกเป็น 2 คัน เรากับกอล์ฟนั้นเป็นพวกที่ไม่ได้มากับคนอื่นเค้าจากเมืองไทย ประกอบกับคุยสนิทไว้กับพวก Bryce มากกว่า ก็เลยนั่งสงบเงียบเข้าไว้



ในทุกๆที่ที่เราไปมันจะต้องมีคนคนหนึ่งที่โดดเด้งออกมาจากผู้คนใช่ไหม คนที่เป็นผู้นำกลุ่มนี่! ในกลุ่มพวกเราก็มีหล่ะ ชื่อจักร หรือกระแดะหน่อยก็เรียก Jacky ซึ่งเป็นชื่อที่อาจารย์ฝรั่งของจักรตั้งให้


จักรเป็นคนที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่ตลอดเวลา และเนื่องจากจักรภาษาดีที่สุด คือพูดและฟังรู้เรื่อง จักรก็เลยคุยกับเค้าไปทั่วเริ่มตั้งแต่ขึ้นรถ จักรก็เริ่มถามป้ามาร์ธาที่เป็นคนขับรถให้พวกเรา ตั้งแต่เรื่องอากาศยันเรื่องความสูงจากระดับน้ำทะเลของ Zion แล้วจักรก็จะหันมาเล่าให้เพื่อนฟัง และกฎเกณฑ์ ข้อบังคับอะไรต่างๆ หรือเรื่องที่เราจำเป็นต้องทำเช่น Refund Taxes จักรก็จะรู้หมด จนเราต้องตั้งฉายาให้ว่า Mr. Know All คือรู้ไปหมด และแอบคิดกันว่า จักรต้องเป็นนักเรียนทุนที่พี่เอเจนซี่แอบส่งมาดูแลความประพฤติพวกเราแน่เลย



เนื่องจากจักรนี่เองที่ทำให้เรากับกอล์ฟเริ่มขำได้ เพราะเรามัวแต่ฟังจักรคุย และก็กัดจักรว่ารู้ทุกเรื่อง เราก็เลยเริ่มตั้งกลุ่มคอยขัดลำจักร ปรากฏว่าทำให้ได้เพื่อนมาเป็นกอง พวกเราก็เลยสนิทสนมกันได้ภายในวันเดียวเพราะจักรนี่แหละ



กลุ่ม 17 คนของพวกเราทั้งหมดแบ่งออกเป็น หญิงแท้ 5 หญิงเทียม(ที่เรียบร้อยกว่าหญิงแท้ )2 หญิงที่พูดว่าตนเองเป็นทอม 2 และชายอีก 8 คน พอไปถึง Lodge เรายังไม่ได้เข้าห้องพัก ต้องมีปฐมนิเทศอะไรก็ไม่รู้พร้อมแนะนำให้รู้จักพื้นที่ ตอนนี้เราต้องเซ็นต์เอกสารมากมาย พวกเราไม่ค่อยรู้อะไรหรอก จักรบอกอะไรก็ทำตาม นี่ถ้าจักรจะหลอกให้เซ็นต์โอนเงินให้ เราก็คงเซ็นต์




ในการปฐมนิเทศ เค้าให้เลือกงานกันด้วย จริงๆอาชีพที่ได้ตังค์เยอะที่สุดที่เด็กไทยภาษาไม่แข็งแรงทำได้ก็คือ Busier คือคอยเช็ดโต๊ะให้พวก Server แล้วพวกนี้จะได้ทิปเยอะ กับอีกอันคือ House Keeping ที่ตอนแรกกอล์ฟได้เป็น แต่กอล์ฟอยากเจอคนมากกว่า ก็เลยย้ายมาเป็น Café’ Attendant กับเราและจักร ซึ่งหน้าที่ของพวกเราสามคนนี่คือ เหมือนพนักงานในร้าน Fast food ทั่วไป ที่ทอดเฟรนช์ฟราย ทำเบอร์เกอร์ เช็ดโต๊ะ และจิปาถะซึ่งรวมถึงการล้างจาน โดยพวกเราจะได้ค่าชั่วโมงๆ ละ 6 เหรียญ นับว่าน้อยมากนะจากมุมมองคนอเมริกัน แต่เราไม่รู้นี่ ได้ตั้งชม. ละ 240 บาทแน่ะ ก็โอวะ แต่เด็ก Café’ นี่ จะไม่ได้ทิปเหมือนเด็ก House กับ Busier นะ ได้แค่จากรายชั่วโมง ซึ่งรัฐนี้กำหนดไว้ว่าถ้าทำเกิน Week ละ 48 ชม. จะได้ OT คือได้เพิ่มเป็น ชม.ละ 9 เหรียญ อันนี้นี่อย่าหวังเลย เพราะนายจ้างที่นี่งกมากกกกกกกกก




ที่ Zion จะมีที่พักให้พนักงานแบ่งเป็น 4 dorm 2 ย่าน ย่านแรกจะเป็นย่านที่เราเรียกกันว่า downtown เพราะมี 3 dorm อยู่รอบๆกัน และจะมีพนักงานวัยรุ่นอยู่ส่วนใหญ่ ย่านนี้จะมี Canyon Vista Dorm ที่เราแอบเรียกว่า Crazy Vista เพราะเป็นหอชายและมีแต่พวก เฮ้วๆอยู่ , Cottonwood dorm นี้เรารักมาก เพราะเป็น dorm ของเราเอง อันนี้เป็นสหดอร์ม คืออยู่ได้ทั้งหญิงและชาย แต่คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ใหญ่เรียบร้อย มีมารยาท , อีก dorm คือ Box Elder อันนี้จะเป็นห้องใหญ่มีห้องน้ำในตัว ไว้สำหรับพวก Manager และเด็กโชคดีเท่านั้น และ อีกย่านที่อยู่บนเนินแยกตัวจากชาวบ้านคือ Overlook Dorm (ชื่อก็ตั้งให้สมกับที่อยู่เนินจริงๆ) อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคุณลุงคุณป้าอยู่กัน ตกกลางคืนจะเงียบมากกกกก ป้ามาร์ธาก็อยู่ดอร์มนี้




เสร็จจากปฐมนิเทศ เราก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก เรากับกอล์ฟอยู่ห้อง 3 คน กับปอ เด็กบัญชี จุฬาฯ เพราะมาจากที่เดียวกัน พอวางของเสร็จปุ๊ปเราก็หลับเป็นตายเลย ก่อนจะมีเพื่อนมาชวนกินข้าวเย็น ซึ่งต้องเดินไปประมาณ 5 นาที ณ ที่ที่เค้าเรียกกันว่า Employees’ Dinning Room หรือ EDR




EDR คือ โรงอาหารของ Employee ขนาดกลางที่เปิดไว้บริการอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา โดยคิดมื้อละ 3 เหรียญ 1 วันก็ 9เหรียญ รวมค่าห้องไปอีกวันละ 2 เหรียญเป็นวันละ 11 เหรียญ ซึ่งราคานี้เค้าคิดเหมารวมต่อวัน ไม่ใช่ว่าไม่ทานข้าวเช้าแล้วจะลดเหลือ วันละ 8 เหรียญ อันนี้ไม่ได้ ซึ่งเรานับว่าไม่คุ้มกันอย่างยิ่ง เพราะพวกเราไม่เคยตื่นแต่เช้ามาทานกันได้ทันเลย (เปิด 6-8 โมงเช้า)




ระหว่างทางไป EDR เราเจอพนักงานที่เป็นเด็กอเมริกัน 2 คน เข้ามาทัก คนนึงตัวอ้วนหน้ายังกะผู้ร้ายในหนัง (ประมาณไจแอ้นท์) อีกคนตัวผอมเชียวแต่ไว้เคราซะครึ้มดูไม่หน้าไว้วางใจ มาถามว่าพวกเราจะไปกินข้าวเย็นเหรอ ---ไปกินข้าวเช้ามั้ง-ฉันแอบคิดในใจ แล้วยังถามต่อว่ารู้รึยังว่าต้องไปทางไหน อารมณ์นั้นเค้าอาจหวังดีมั้งแต่ความที่ยังเจ็บแค้นเคืองโกรธเรื่องค่าปรับน้ำหนักเกิน 50 เหรียญ และ กระเป๋ามาช้า ทำให้ฉันแอบอคตินิดหน่อยว่า พวกเด็กAmerican มาดูถูก หาว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม เลยพาลไม่อยากคุยด้วยและกลายเป็นไม่สนใจฟังพร้อมจำหน้าตาของบุคคล 2 ท่านนั้นไม่ได้เลย



มารู้เอาอีก 2 วันให้หลังว่า 2 ท่านนี้คือ นาย Lorenzo และ J.D.เธอเป็น เด็กประจำ dorm Canyon Vista ที่พยายามตีซี้กับเด็กไทยอยู่ อารามว่า จักรเป็น ฝาเมท JD. JD. ก็เลยชวนไปปาร์ตี้หรือต้มน้ำร้อนไว้กินมาม่าที่ห้อง พร้อมมี Lorenzo มาแจมด้วย หลังจากนั้นก็กวาดต้อนเพื่อนผู้ชายเราไปได้ครบทุกคน เดือดร้อนถึงเราต้องหาวิธีรวมพลเด็กไทยด่วน โดยการควักหม้อหุงข้าวมาทำกับข้าว ประกอบกับเรามีมาม่าครบทุกรสที่มีในเมืองไทย ฐานอำนาจในการรวมพลจึงย้ายกลับมาอยู่ที่ Cottonwood ได้ในเวลาแค่ 3 วัน ขาดแต่ก็จักรที่ยังนิยมฝึกภาษากับฝรั่งมากกว่าจึงไม่ยอมมา




 

Create Date : 24 กันยายน 2548   
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:03:13 น.   
Counter : 412 Pageviews.  


1  2  3  

tiktokthailand
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add tiktokthailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com