มนัสสภูมิ (ภูมิแห่งมนุษย์)
มนัสสภูมิ วจนัตถะและคำอธิบายมนุสสภูมิบทโดยพิสดาร ๑. มโน อุสฺสนฺนํ เอเตสนฺติ มนุสฺสา สัตว์ทั้งหลายที่ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีใจรุ่งเรืองและกล้าแข็ง, ในวจนัตถะนี้ คำว่ามนุสสะ ว่าโดยมุขยนัย นัยโดยตรง ได้แก่ คนที่อยู่ในชมพูทวีป ถ้าว่าโดยสทิสูปจารนัย นัยโดยอ้อม ได้แก่ คนที่อยู่ใน ทวีปอีกสามทวีปที่เหลือ ในที่นี้อธิบายว่า จิตใจของคนที่อยู่ในชมพูทวีป และจิตใจของคนที่อยู่ในทวีปทั้งสามนั้นไม่เหมือนกัน คือคนที่อยู่ในชมพูทวีปเป็นผู้มีจิตใจกล้าแข็ง เป็นไปทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี ฝ่ายดีนั้นทำให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจปพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ ฌานลาภี อภิญญาลาภีได้ ฝ่ายที่ไม่ดีนั้น อาทิเช่น ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ และทำโลหิตุปบาท คือทำให้พระโลหิตห้อ และทำสังฆเภท ส่วนในใจของคนที่อยู่ในทวีปสามทวีปที่เหลือนั้น ไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีและไม่ดี ฉะนั้น คำว่ามนุสสะคือคนนั้น จึงได้แก่คนที่อยู่ในชมพูทวีปโดยตรง ส่วนคนที่อยู่ในทวีปอีกสามทวีปนั้นชื่อว่ามนุสสะนั้น เพราะมีรูปร่างสัณฐานเหมือนกันกับกับคนที่อยู่ในชมพูทวีปนั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงได้ชื่อว่าเป็นมนุสสะโดยอ้อม คนที่อยู่ในชมพูทวีปซึ่งเป็นจักรวาลเดียวกันกับที่เราอยู่ทุกวันนี้ มีชื่อว่ามนุสสะ (คน) นั้น ไม่มีการแสดงเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะว่าความเป็นไปในทางที่ดีและไม่ดีทั้งสองฝ่ายนั้น ก็ได้ปรากฏชัดแจ้งแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นต้นก็อุบัติขึ้นในจักรวาลนี้เท่านั้น การทำปัญจานันตริยกรรมคือฆ่าบิดามารดาเป็นต้นก็มีแต่ในจักรวาลนี้เท่านั้น ๒. อีกนัยหนึ่ง วจนัตถะว่า การณาการณํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส คนชมพูทวีปชื่อว่า มนุสสะ เพราะมีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นเหตุอันสมควรและไม่สมควร วจนัตถะนี้อธิบายว่า ธรรมดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมมีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็มีอยู่หลายๆประเภท สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดมาจากเหตุโดยเฉพาะๆ คนชมพูทวีปเมื่อได้ประสบพบเห็นสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว ย่อมพิจารณาค้นคว้าหาเหตุที่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะๆ เช่น สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดจากเหตุนี้ ไม่ใช่เกิดมาจากที่อื่น หรือธรรมชาตินี้ย่อมเป็นเหตุของธรรมนี้เท่านั้น และธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเหตุของธรรมเหล่าอื่น, อุปมาเหมือนขณะที่เดินไปตามทางได้พบเห็นต้นมะม่วง ต้นทุเรียน ต้นส้ม ก็ทราบว่าต้นมะม่วงนี้มาจากเมล็ดมะม่วงไม่ใช่มาจากเมล็ดทุเรียนดังนี้เป็นต้น อุปมาข้อนี้ฉันใด คนชมพูทวีปที่เข้าใจในสิ่งอันเป็นเหตุที่สมควรและไม่สมควรก็ฉันนั้น ในวจนัตถะคำว่า การณะ แปลเหตุว่า เหตุนี้มีอยู่สองอย่าง คือเหตุที่เป็นนามอย่างหนึ่ง เหตุที่เป็นรูปอย่างหนึ่ง เหตุที่เป็นนามนั้นได้แก่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน สัตว์ทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้และชาติที่ล่วงมาแล้วทั้งหมด เหตุที่เป็นรูปนั้นได้แก่รูปร่างสัณฐานของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่ไม่มีความรู้สึกทั้งหมด เหตุต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ความเข้าใจได้ตามสมควรโดยความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดๆมาบังคับ ในวจนัตถะนี้แสดงให้เห็นว่า คนที่อยู่ในทวีปที่เหลือสามทวีป*และเทวดาตลอดจนถึงพรหมทั้งหลาย มีความรู้ความเข้าใจในเหตุที่สมควรและไม่สมควร ไม่เท่ากันกับคนที่อยู่ในชมพูทวีป ในที่นี้คนชมพูทวีปได้แก่คนที่อยู่ในประเทศที่มีอาณาเขตพื้นดินติดต่อกันกับเราอยู่ทุกวันนี้ โดยไม่มีมหาสมุทรมากั้น คือเอเชีย ยุโรป* แอฟริกา
[*หมายเหตุ: คำว่าทวีปที่เหลือสามทวีป ได้แก่ ๑. ปุพพวิเทหทวีป ๒. อปรโคยานทวีป ๓. อุตตรกุรุทวีป ซึ่งอยู่คนละที่กันกับ Earth ของเรา ส่วนทวีปอื่นๆใน Earth เช่น อเมริกา ลังกาทวีป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฯลฯ ถือว่าอยู่ในทวีปบริวาร ๕๐๐ ของชมพูทวีป และ Earth = ชมพูทวีป + ทวีปบริวาร ๕๐๐ ของชมพูทวีป (จาก ชาวมหาวิหาร)]
๓. หรืออีกนัยหนึ่ง วจนัตถะว่า อตฺถานตฺถํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส คนชมพูทวีปชื่อว่า มนุสสะ เพราะเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์ วจนัตถะนี้อธิบายว่า ธรรมดาสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อผลปรากฏขึ้นแล้วจะเป็นที่น่ายินดีพอใจ หรือไม่น่ายินดีและไม่พอใจก็ตาม ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเกิดมาจาก การทำ การพูด การคิดเท่านั้น การทำ การพูด การคิดดี ก็ได้ผลดีคือมีประโยชน์ ถ้าการทำ การพูดการคิดไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดีคือไม่มีประโยชน์ คนชมพูทวีปนี้มีความรู้ความเข้าใจ การทำการพูดการคิดอย่างนี้ดี จะมีประโยชน์อย่างนี้ๆ การทำการพูดการคิดอย่างนี้ไม่ดีไม่มีประโยชน์ คือไรประโยชน์ ในวจนัตถะนี้คำว่า อตฺถ แปลว่าผล คือประโยชน์นั้นเอง ผลคือประโยชน์นี้มีสองอย่าง คือ ๑. โลกิยประโยชน์ ๒. โลกุตตรประโยชน์ โลกิยประโยชน์ ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือมนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ โลกุตตรประโยชน์ ได้แก่ กุศลและความรู้ในธรรม หรือเป็นอริยะและสัปบุรุษ ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา ผลคือประโยชน์ต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ ความเข้าใจได้ตามสมควร โดยความเป็นธรรมชาติ แล้วแต่ศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคม ในวจนัตถะนี้แสดงให้เห็นว่า คนที่อยู่ในทวีปที่เหลือสามทวีปและเทวดา ตลอดจนถึงพรหมทั้งหลาย มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่เท่ากับคนที่อยู่ในชมพูทวีป ๔. หรืออีกนัยหนึ่ง วจนัตถะว่า กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส คนมพูทวีปชื่อว่า มนุสสะ เพราะเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล วจนัตถะนี้อธิบายว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมมีการงานอยู่สามอย่างเท่านั้น คือการงานที่ทำทางกาย การงานที่กล่าวทางวาจา การงานที่คิดนึกและพิจารณาด้วยใจ จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ก็ตาม เมื่อว่าโดยทางโลกแล้วก็มีเพียงสามนี้เท่านั้น แต่ถ้าว่าตามสภาวะแล้วก็มีสอง คือ กุศลและอกุศล การทำการพูดการคิดที่เกี่ยวเนื่องด้วยทาน ศีล ภาวนา เป็นกุศล การทำการพูดการคิดที่เกี่ยวเนื่องด้วย ทุจริต ๑๐ เป็นอกุศล คนชมพูทวีปมีความรู้ความเข้าใจว่า การทำการพูดการคิดอย่างนี้เป็นกุศล การทำการพูดการคิดอย่างนี้เป็นอกุศล ในวจนัตถะนี้ คำว่า กุศล อกุศล ก็ได้แก่ กุศลและอกุศลนี้เอง กุศลมี ๒ อย่าง คือ โลกิยกุศล และโลกุตตรกุศล โลกิยกุศล ได้แก่ การบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา โลกุตตรกุศลได้แก่ อริยมรรคทั้ง ๔ ที่เกิดขึ้นจากการเจริญวิปัสสนาและสามารถประหาณกิเลสได้เด็ดขาด ส่วนอกุศล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น คือ โลภะ มีความต้องการในกามคุณทั้ง ๔ เช่น อยากดูหนัง อยากฟังร้องเพลง อยากดมกลิ่นหอมๆ อยากกินอาหารที่มีรสดีๆ อยากถูกต้องในสิ่งที่ดีๆ และคิดถึงอารมณ์ คือสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งที่เป็นภายในและภายนอก โทสะ ได้แก่ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ กลุ้มใจ และพยาบาท โมหะ ได้แก่ ความหลง คือความไม่เชื่อไม่เลื่อมในเพราะกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ด้วยอำนาจวิจิกิจฉาในพุทธะ ธัมมะ สังฆะ จิตใจไม่สงบ มีความฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ คนชมพูทวีปนี้มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลดังที่ได้กล่าวมาแล้วโดยความเป็นธรรมชาติ แล้วแต่ลัทธิ แล้วแต่ศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคม ฉะนั้น ความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลของคนชมพูทวีปที่ต่างกันโดยลัทธิเป็นต้นนั้นมีดังต่อไปนี้คือ คนชมพูทวีปที่นับถือพระพุทธศาสนาและมีความสนใจในธรรมะ มีศรัทธา วิริย ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคมดี ย่อมเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลได้มาก ส่วนคนชมพูทวีปที่นับถือศาสนาอื่นๆ และไม่มีความสนใจในธรรมะ ไม่มีศรัทธา วิริยะ ปัญญาบารมี และไม่คบหากับสัปบุรุษ ย่อมเข้าใจในสิ่งที่ เป็นกุศลและอกุศลน้อย ความแตกต่างกันมีอยู่เพียงเท่านี้ ในวจนัตถะข้อที่สี่นี้แสดงไห้เห็นว่า คนที่อยู่ในทวีปที่เหลือทั้งสามทวีปและเทวดา ตลอดจนถึงพรหมทั้งหลาย มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล ไม่เท่ากับคนที่อยู่ในชมพูทวีป ดังนั้น เมื่อจะสรุปวจนัตถะของคำว่า มนุสสะ ข้อ ๒ ๓ -๔ รวมกันแล้วมี ดังนี้ คือ การณาการณํ อตฺถานตฺถํ กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโล คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุสสะ เพราะเข้าใจในสิ่งที่เป็นเหตุอันสมควรและไม่สมควร เข้าใจในสิ่งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ และเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล อาจารย์ที่เข้าใจในไวยากรณ์บาลีเป็นอย่างดีได้แสดงวจนัตถะ คำว่า มนุสสะ ไว้อีกอย่างหนึ่ง ว่า ๕. มนุโน อปจฺจาติ มนุสฺสา คนทั้งหลายชื่อว่า มนุสสะ เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุ, ในสมัยต้นกัป ประชาชนทั้งหลายได้มีการประชุมเลือกตั้งพระโพธิสัตว์ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองประเทศ โดยถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสัมมตะ พระเจ้ามหาสัมมตะพระองค์นี้ ชื่อเดิมของท่านชื่อว่า มนุ เมื่อพระเจ้ามหาสัมมตะ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาผู้ปกครองประเทศโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ทรงจัดการวางระเบียบแบบแผน และกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนั้นๆ โดยถูกต้องไม่ให้ฝ่าฝืนออกไปนอกข้อบังคับที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ ฉะนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนั้นๆ โดยเคร่งครัดทั่วทั้งประเทศ คือ ข้อใดทรงห้ามไม่ให้กระทำ และข้อใดที่ทรงอนุญาตเขาเหล่านั้นต่างก็พากันกระทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้เท่านั้น ส่วนข้อที่พระองค์ทรงห้ามไม่ให้ประพฤติหรือกระทำ เขาก็งดเว้นเสียตามกฎข้อห้ามนั้นๆ ทุกๆ ประการไม่มีผู้ใดที่จะฝ่าฝืนคงทำตามกฏที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้เท่านั้น เช่นเดียวกับบุตรที่ดีทั้งหลายได้ประพฤติตนตามโอวาทของบิดา ฉะนั้น คนทั้งหลายที่ชื่อว่า มนุสสะ นี้ก็เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุที่เรียกว่าพระเจ้ามหาสัมมตะในสมัยต้นกัปนั้นเอง กฏข้อบังคับระเบียบแบบแผนที่พระเจ้ามนุทรงวางเป็นกฏเกณฑ์ไว้นี้เป็นที่นิยมสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในมนุวัณณนาธัมมสัตถปกรณ์ ว่า ยสสฺสินํ สราชินํ โลกสีมานุรกฺขินํ อาทิภูตํ ปถวิยํ กถยนฺติ มนูติ ยํ เอวญฺจ มนุนามิโก ปณฺฑิโต มุทุพฺยตฺตวา แปลความว่า พระเจ้ามหาสัมมตะพระองค์นี้ ประชาชนทั้งหลายพากันเรียกพระองค์ว่าพระเจ้ามนุ พระเจ้ามนุยศมาก มีพระเจ้าแผ่นดินมีบริวารมาก เป็นผู้รักษาโรค คือ มนุษย์ทั้งหลายให้มีระเบียบ และเป็นพระราชาองค์แรก พระเจ้ามหาสัมมตะที่มี พระนามว่ามนุนี้ เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมและสุขุม เชี่ยวชาญในการพิจารณาตัดสิน คุณสมบัติ ๓ ประการของคนชมพูทวีป คนชมพูทวีปมีคุณสมบัติ ๓ ประการสูงกว่า ประเสริฐกว่าคนอุตตรกุรุและเทวดาชั้นตาวติงสา คุณสมบัติ ๓ ประการ ของคนชมพูทวีปนั้น คือ ๑. สูรภาว มีจิตใจกล้าแข็งในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ๒. สติมนฺต มีสติตั้งมั่นในคุณพระรัตนตรัย ๓. พฺรหฺมจริยวาส มีการประพฤติพรหมจรรย์คือบวชได้ ดังมีสาธกบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ในพระบาลีนวกนิบาตอังคุตตรนิกายว่า ตีหิ ภิกฺขเว ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก มนุสฺเส อธิคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวตึเส, กตเมหิ ตีหิ ฐาเนหิ ? สูรา จ สติมนฺโต จ อิธ พฺรหฺมจริยวาโส จาติ แปลความว่า ภิกษุทั้งหลาย คนชมพูทวีป เป็นผู้มีคุณ สูงและประเสริฐกว่าคนอุตตรกุรุ และเทวดาชั้นตาวติงสาอยู่ ๓ อย่าง คือ จิตใจกล้าแข็งในการกระทำความดี มีสติตั้งมั่นใน พระรัตนตรัย และประพฤติพรหมจรรย์ คือ บวชได้ เหตุที่พระโพธิสัตว์ไม่อยู่จนสิ้นอายุกัปในเทวโลก ในบรรดาคุณทั้ง ๓ อย่างนี้ อิธ พฺรหฺมจริยวาโส อันได้แก่การประพฤติพรหมจรรย์คือการบวช การรักษาศีลแปด ศีลเก้า ศีลสิบ มีโอกาสที่จะบำเพ็ญได้ก็แต่ในชมพูทวีปของเรานี้เท่านั้น ในเทวโลกไม่มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ได้ ฉะนั้น พระโพธิสัตว์ที่ยังมีบารมีอ่อนอยู่ ในขณะที่ไปบังเกิดในชั้นเทวโลกที่มีอายุยืนมาก จึงไม่อยู่จนสิ้นอายุกัปของชั้นเทวโลกนั้นๆ โดยนอธิษฐานให้สิ้นอายุแล้วมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในชมพูทวีป การตายของพระโพธิสัตว์ด้วยอาการเช่นนี้ เรียกว่า อธิมุตติกาลกิริยา ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในมหาวัคคอัฏฐกถาฑีฆนิกาย ว่า อญฺญทา ปน ฑีฆายุกเทวโลเก นิพฺพตฺตา โพธิสตฺตา น ยาวตายุกํ ติฏฺฐนฺติ, กสฺมา ? ตตฺถ ปารมีนํ ทุปฺปูรณียตฺตา แปลเป็นใจความว่า ธรรมดาในชั้นเทวโลกการสร้างบารมี ลำบากมาก ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ที่ไปบังเกิดในชั้นเทวโลกที่มีอา ยุยืน จึงไม่อยู่จนตลอดอายุกัป คุณสมบัติ ๓ ประการของชาวอุตตรกุรุ คนอุตตรกุรุมีคุณสมบัติ ๓ ประการสูงและประเสริฐกว่าคนชมพูทวีปและเทวดาชั้นตาวติงสา คุณสมบัติ ๓ ประการของคนอุตตรกุรุนั้น คือ ๑. ไม่มีการยึดถือเงินทองว่าเป็นของตน ๒. ไม่หวงแหน หรือยึดถือบุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของตน ๓. มีอายุยืนถึงหนึ่งพันปีเสมอ คติภพ(ที่ไปเกิด) ของคนอุตตรกุรุ ธรรมดาคนอุตตรกุรุ มีการักษาศีล ๕ เป็นนิจ ฉะนั้น เมื่อตายแล้วคนเหล่านี้ย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลก ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในนวังคุตตรอัฏฐกถา และสารัตถทีปนีฏีกาว่า คติปิ นิพทฺธา ตโต จวิตฺวา สคฺเคเยว นิพฺพตฺตนฺติ แปลความว่า คติภพ(ที่ไปเกิด) ของคนอุตตรกุรุย่อมมีทิศทางที่แน่นอน คือ คนอุตตรกุรุเมื่อตายแล้วต้องไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอน คำอธิบายพิเศษในเรื่องคติภพ(ที่ไปเกิด)ของคนอุตตรกุรุ อนึ่ง แม้ว่าเมื่อคนอุตตรกุรุจะตายจากภพเก่าแล้วต้องไปบังเกิดในชั้นเทวโลกโดยแน่นอนก็จริง แต่ถ้าถึงเวลาจุติจากเทวโลกแล้วอาจไปบังเกิดในอบายภูมิหรือทวีปอื่นหรือภูมิภูมิหนึ่งก็ได้ ฉะนั้น ข้อที่ว่า คนอุตตรกุรุเมื่อตายแล้วต้องไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอนนั้น เป็นคำพูดที่หมายถึงการจุติต่อจากภพที่เขากำลังเป็นอยู่เท่านั้น วจนัตถะ ของคำว่ามนุสสภูมิมีดังนี้ มนุสฺสานํ ภูมีติ มนุสฺสภูมิ ที่อยู่ที่อาศัยของคนทั้งหลาย ชื่อว่า มนุสสภูมิ อีกนัยหนึ่ง มนุสฺสานํ นิวาสา มนุสฺสา ทีอยู่ทีอาศัยของคนทั้งหลาย ชื่อว่า มนุสสา ในวจนัตถะทั้งสองอย่างนี้ คำว่า มนุสสภูมิ และมนุสสา ก็ได้แก่ที่อยู่อาศัยของคนทั้งหลายเหมือนกัน แตกต่างกันโดยนัยไวยากรณ์เท่านั้น การแตกต่างกันโดยนัยไวยากรณ์นั้นมีดังนี้ คือ คำว่า มนุสสภูมิ นี้เป็นสมาบท สร้างรูปคำจากบทสองบท คือ มนุสส + ภูมิ ภายหลังจากที่สำเร็จเป็น มนุสฺสภูมิ แล้ว ลงสิปฐมาวิภัติ, ลบสิวิภัตติ
ส่วนคำว่า มนุสสา นั้น เป็นนิวาสตัทธิตบท ลงณปัจจัย, ลงอาปัจจัยมาเพื่อทำศัพท์ให้เป็นอิตถีลิง๕ ลงสิวิภัติ ลบสิวิภัตติ ที่อยู่ของมนุษย์ มนุษย์นี้อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินที่มีอยู่ทั้ง ๔ ทิศของภูเขาสิเนรุ มีภูเขาสิเนรุอยู่ตรงกลาง ส่วนเนื้อที่ๆ เหลือนอกออกไปจากแผ่นดินที่มนุษย์อาศัยอยู่ อันได้แก่ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ กับทวีปน้อย ๒,๐๐๐ และภูเขาสัตตบรรพ์นั้นล้วนแต่เป็นมหาสมุทรทั้งสิ้น พื้นแผ่นดินทั้ง ๔ ทิศ ได้แก่ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ซึ่งเป็นที่อาศัยของมนุษย์นั้นมีชื่อว่า
Create Date : 26 กันยายน 2554 | | |
Last Update : 27 กันยายน 2554 0:21:11 น. |
Counter : 1328 Pageviews. |
| |
|
|
|