สสส.หนุนกิจกรรมเอาใจขาโจ๋เปิดค่ายสอนเต้นบีบอย


เยาวชน
เรื่องเด่น

ชวนน้องห่างไกลยาเสพติดร่วมโครงการ "เฮลตี้ บีบอยแคมป์"
 
          สสส. จับมือ พันธมิตร เอาใจขาโจ๋ เปิดค่ายสอนเต้นบีบอย รับสมัครเยาวชนทั่วไทย 150 คน เข้าโครงการ "เฮลตี้ บีบอยแคมป์" ระหว่างวันที่ 21-23 ต.ค. นี้ ณ ภูเขางามรีสอร์ท จ.นครนายก เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ต.ค. นี้
 
          ดร.สุชาติ ทวีปฐมกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ นายณัฐพงศ์ กิจนิจชีนะ ผู้จัดการใหญ่สายปฏิบัติการ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ กรุ๊ป แถลงข่าว โครงการอบรม "เฮลตี้ บีบอยแคมป์" ที่สวนน้ำ ห้างเดอะมอลล์บางกะปิ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา
 
          โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อให้วัยรุ่นที่รักการเต้น บีบอย ได้ฝึกเต้นอย่างปลอดภัยและถูกวิธี ดร.สุชาติ กล่าวว่า สสส.ให้การสนับสนุน กิจกรรมการฝึกเต้นบีบอยมาตั้งแต่ปี 2549 เพราะเล็งเห็นว่าเด็กกลุ่มนี้มีความสามารถ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยกลุ่มที่ให้การสนับสนุนนั้นคือกลุ่มบีบอย ป้อมพระสุเมธ ซึ่งขณะนี้จะเปิดสอน ให้กับเด็กๆ ที่สนใจ โดยแบ่งออกเป็นที่ กทม. 5 แห่ง และ ต่างจังหวัดอีก 5 แห่ง ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากเยาวชนไทยเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นที่มาของโครงการ เฮลตี้ บีบอย บายไทยเฮล ที่จะเปิดอบรมให้กับเด็กๆ ที่สนใจอยากเต้นบีบอย แต่ขาดทักษะ
 
          "โครงการนี้จะทำให้เด็กๆ ที่รักการเต้นรูปแบบใหม่ ได้เต้นอย่างถูกต้อง และมีทักษะการเต้นที่ดี โดยจะเน้นพื้นฐานของการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้เยาวชนไทยห่างไกลยาเสพติดแอลกอฮอลล์และบุหรี่"
 
          สำหรับโครงการดังกล่าวจะเริ่มให้ความรู้ โดยการจัดแคมป์ เวิร์ก ช็อป ในกิจกรรม เฮลตี้ บี บอยแคมป์ โดยกลุ่ม ยัง โปรเจ็กต์ ซึ่งจะเปิดรับสมัครเยาวชนไทยที่ใจรักการเต้นบีบอยจากทั่วประเทศจำนวน 150 คน เข้าอบรมเพื่อเรียนรู้ทักษะการเต้นบีบอยอย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน พร้อมทั้งการอบรมทักษะการเต้นฮิพฮอพขั้นพื้นฐาน การสแคชแผ่น และการพ่นกราฟฟตี้ ดีเจยิมนาสติก ล๊อฟคิก
 
          ที่สำคัญไปกว่านั้นเยาวชนที่เข้าอบรมจะได้เรียนวิธีการทำงานกันเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ เยาวชนที่เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ว่า การทำงานเป็นกลุ่ม จะประสบความสำเร็จไม่ได้ หากขาดความร่วมมือของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งสิ่งนี้ ทางแคมป์ก็จะฝึกให้เกิดขึ้นกับเยาวชนไทยที่เข้าอบรม
 
          การอบรมครั้งนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 ต.ค. ณ ภูเขางามรีสอร์ท จ.นครนายก และเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ต.ค.นี้ เยาวชนที่สนใจจะเข้าอบรม สามารถติดต่อได้ที่ โทร 085-3318570 หรือจะส่งอีเมลไปที่ young_project
 
          ดร.สุชาติ กล่าวต่ออีกว่า "สำหรับเยาวชนที่อยากเข้าอบรม แต่ไม่สามารถค้างคืนที่แคมป์ได้ก็จะมีการอบรมแบบ เดย์ สไตส์ โดย จะมีกำหนดพื้นที่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเพื่อให้ความรู้แก่กลุ่มเยาวชนและชมรมที่เต้นบีบอยทั่วประเทศ โดยจะมีผู้ฝึกสอน 2 คนต่อหน่วยการฝึกสอน 1 จุดสามารถรองรับน้องๆ ได้ หน่วยละ 40 คน ทางโครงการได้จัดทำหลักสูตรสำหรับการสอนไว้ 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการเต้นขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วน การเต้นฟุตเวิร์ก1-6 สเตป และการ ฟีค หลักสูตรที่ 2 คือ การทำ เพาเวอร์ มูฟ เป็นต้น"
 
          "เมื่อเยาวชนที่ผ่านการอบอรมมาแล้ว ทางโครงการก็จะเปิดเวทีให้เยาวชนได้แสดงความสามารถ ในการแข่งขัน เบเตอร์ ยัวสไตส์ ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2551 ในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ส่วนวัน เวลา จะแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง" ดร.สุชาติ กล่าว
 
 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
 
 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 3:10:11 น.   
Counter : 1193 Pageviews.  

อ้วนลงพุง เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด


คุณภาพชีวิต

ออกกำลังกาย คุมอาหาร เน้นผักและผลไม้ งดดื่มสุรา
 
          อ้วนลงพุงไม่ใช่แค่ความอ้วนธรรมดา แต่เป็นภาวะอ้วนที่มีไขมันสะสมบริเวณช่วงเอวหรือช่องท้องปริมาณมากๆ และก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Metabolic syndrome ถือเป็นกลุ่มความผิดปรกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วย ดังนั้น ภาวะอ้วนลงพุงจึงนับว่าเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้
 
ไขมันที่พุงอันตรายกว่าไขมันส่วนอื่นของร่างกายอย่างนั้นหรือ?
 
          โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไขมันตรงส่วนใด หากมีมากเกินไปถือว่าไม่ดีทั้งนั้น แต่ไขมันที่สะสมในช่องท้องหรือบริเวณพุงจะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระ ส่งผลให้ในกระแสเลือดมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเสียต่อระบบต่างๆภายในร่างกาย โดยกรดไขมันชนิดนี้จะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง อาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งตีบและอุดตันได้
 
          พบว่าในคนอ้วนลงพุงจะมีระดับฮอร์โมน adiponectin ในกระแสเลือดลดลง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบในเซลล์ไขมันเท่านั้น ระดับ adiponectin ในเลือดที่ต่ำจะสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเป็นตัวทำนายการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
 
          คุณพุงโตเกินไปหรือไม่
 
          รอบเอวเป็นตัวบ่งชี้ภาวะอ้วนที่ง่ายและชัดเจน โดยไม่ต้องใช้การคำนวณ สำหรับคนเอเชียในปัจจุบันจะใช้การวินิจฉัยว่าใครจัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วนลงพุงบ้างดังนี้ 1.เส้นรอบเอวของผู้ชายตั้งแต่ 36 นิ้วขึ้นไป และสำหรับผู้หญิงตั้งแต่ 32 นิ้วขึ้นไป 2.มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มก./ดล. 3.มีระดับ HDL โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือน้อยกว่า 50 มก./ดล. ในผู้หญิง 4.ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่ และ 5.ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่า 100 มก./ดล.
 
          พบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเพียง 3 ข้อจากเกณฑ์ข้างต้นจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า และผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 4 ข้อจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มเป็น 3 เท่า และเกิดโรคเบาหวานเพิ่มถึง 24 เท่า
 
          ลดพุง...ลดโรค
 
          การรักษา metabolic syndrome หรือโรคอ้วนลงพุงนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเป็นอันดับแรก เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารที่รับประทาน บริโภคผักและผลไม้ให้มากขึ้น ลดการดื่มสุรา ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ไขมัน หรือความดันโลหิตได้ อาจจำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุมร่วมด้วย เป้าหมายในการใช้ยาก็เพื่อลดระดับไขมัน Triglyceride เพิ่มระดับไขมัน HDL (ทำหน้าที่เก็บกวาดโคเลสเตอรอลจากหลอดเลือดไปขจัดที่ตับ นับว่าเป็นชนิดดี) และลดระดับไขมัน LDL (ทำหน้าที่นำโคเลสเตอรอลออกจากตับไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ถือว่าเป็นชนิดไม่ดี) ซึ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวาน
 
 
 
 
 
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
 
 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 2:52:44 น.   
Counter : 384 Pageviews.  

แนะวิธี “บันได 3 ขั้น” เยียวยาเด็กติดเกม


เยาวชน
เรื่องเด่น

เผยเยาวชนไทยสูญเงินให้เกมออนไลน์ 1,114 บาท ต่อเดือน
 
          จากการสำรวจสภาวการณ์ "เด็กติดเกม" ของสถาบันรามจิตติ ปี 2548-2549 พบว่า เด็กที่เล่มเกมช่วงวัยประถมมีประมาณ 50% ของทั้งหมด มัธยมศึกษาตอนต้น 47% และอาชีวศึกษา 43% ของประชากรที่สำรวจ
 
          เวลาที่ใช้ในการเล่นเกมออนไลน์ เกมคอมพิวเตอร์ และเกมอื่นๆ ของเด็กประถม 1.30 ช.ม./วัน มัธยมศึกษาตอนต้นและอาชีวศึกษา 2 ช.ม./วัน
 
          นอกจากนี้ในการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนไทย อายุ 7-21 ปี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นิยมเล่นเกมออนไลน์ถึง 1,451,179 คน และวิดีโอเกมเป็นกิจกรรมที่วัยรุ่นชอบมากที่สุด ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 1,114 บาท/เดือน ปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
 
          จะแก้ปัญหาเด็กติดเกมอย่างไร?
 
          ในจดหมายข่าวฯ ฉบับ "สร้างสุข" ฉบับ ก.ย. น.พ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงานกอง ทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะให้ใช้บันได 3 ขั้นเบื้องต้นเยียวยาปัญหา
 
          ขั้นที่ 1. สร้างสัมพันธภาพในครอบครัวโดยเฉพาะกับเด็กเอง ด้วยการจับถูก มากกว่าจับผิด
 
          ขั้นที่ 2. สร้างข้อตกลงร่วมกันที่ถูกต้องเหมาะสมและการติดตามด้วยแรงเสริมบวก
 
          ขั้นที่ 3. มีพื้นที่กิจกรรมที่สามารถให้แสดงออกที่หลากหลาย
 
          ข้อสรุปแนวทางและมาตรการป้องกันเด็กติดเกม
 
          ระดับเด็กวัยรุ่น ควรมีกิจกรรมสร้างสรรค์ทางเลือกที่หลากหลาย การได้รับการฝึกแบบฝึกหัดชีวิต เช่น ทักษะชีวิต วิธีระบายอารมณ์ที่เหมาะสม และการขจัดความเครียดที่หลากหลาย ได้แก่ ได้ออกกำลังกายพักผ่อนหย่อนใจอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน
 
          ระดับพ่อแม่ ควรให้เวลาพูดคุยกับลูก 15-30 นาทีสม่ำเสมอทุกวัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ร้องเพลง ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง ทำสวน ทำอาหาร รวมถึงตกลงกติการ่วมกัน เช่น เล่นวันละ 1 ช.ม.เท่านั้น
 
          ระดับโรงเรียน เปิดพื้นที่ให้มีกิจกรรมกีฬาที่หลากหลาย ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์กับกิจกรรมการเรียนแทนการเล่นเกม จัดชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อช่วยกันดูแล
 
          ระดับชุมชน รณรงค์ร้านอินเตอร์เน็ตสีขาว มีการกำหนดปริมาณร้านและกำหนดเวลาในการเล่น กำหนดพื้นที่ในทุกชุมชนในการทำกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างเด็ก เยาวชน ในครอบครัว
 
          ระดับประเทศ กำหนดมาตรการควบคุมผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ลักษณะของเกมที่เหมาะสมกับวัยและจำกัดเวลา ส่งเสริมให้มีเครือข่ายเฝ้าระวัง จัดการสื่อร้ายระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
 
          หากพ่อแม่ผู้ปกครองคนใด มีปัญหาลูกติดเกม ลองนำไปปฏิบัติดูนะค่ะ
 
 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
 
 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 2:35:19 น.   
Counter : 428 Pageviews.  

เคล็ด (ไม่) ลับ วิธีกินเจให้ปลอดภัย


อาหาร
เรื่องเด่น

แนะล้างผัก-ผลไม้ให้สะอาดช่วยลดเสี่ยงสารพิษ
 
          เทศกาลกินเจปีนี้อาจดูไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจากพิษเศรษฐกิจและปัญหาน้ำท่วม ทำให้ราคาอาหารเจโดยเฉพาะผัก ผลไม้ และโปรตีนเกษตรค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สนใจกินเจเพื่อสุขภาพเป็นจำนวนมาก อาหารเจสำหรับคนไทยสามารถทำได้ทุกอย่างโดยใช้เครื่องปรุงเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ดังนี้ เนื้อสัตว์ใช้แทนด้วยเห็ดต่างๆ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ หมี่กึน โปรตีนเกษตร ใช้ซีอิ้วขาว เกลือป่น ซอสถั่วเหลืองปรุงรสแทนน้ำปลา ใช้ถั่วหมัก เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้แทนกะปิ น้ำมันหมูใช้แทนด้วยน้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลือง ใช้งาขาวคั่วแทนกระเทียม
 
          ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ
 
          มักมีการสงสัยกันอยู่เสมอว่าการกินเจจะได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะ โปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีมากกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะแท้ที่จริงแล้วโปรตีนในผัก ธัญพืช ถั่วงา ก็มีคุณค่าใกล้เคียงกัน ดังนั้น การขาดสารอาหารจึงน่าจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภคมากกว่าว่าเป็นคนเลือกกินหรือไม่
 
          วิธีกินอาหารเจให้ปลอดภัย
 
          1.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยหมวดโปรตีนได้จากถั่วเมล็ดแห้ง รับประทานควบคู่ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ จะได้โปรตีนจากพืชทัดเทียมเนื้อสัตว์
 
          2.รับประทานผักหลากหลายชนิดให้ครบ 5 สี ไม่ควรกินผักอย่างเดียวซ้ำๆ เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงการได้รับสารพิษ นอกจากนั้นต้องล้างผักให้สะอาด เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเท่ากับว่าอาหารเจจานนั้นเป็นศูนย์รวมของสารพิษ
 
          3.พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารเจที่รสมันจัดจากอาหารประเภทผัด รสเค็มจัดจากการใส่เต้าเจี้ยว ซอส และเกลือ เนื่องจากรสเค็มอาจทำให้ภาวะความดันโลหิตสูงได้
 
          4.รับประทานเมล็ดธัญพืช ได้แก่ ถั่ว ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก คนกินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว และถั่วขาว ในถั่วมีโปรตีนคล้ายกับเนื้อสัตว์ แต่แตกต่างตรงที่ในถั่วไม่มีโคเลสเตอรอล ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจหลอดเลือด และมีใยอาหารช่วยในการขับถ่าย อาจรับประทานเนื้อเมล็ดในของพืชผัก ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ เป็นของขบเคี้ยว
 
          5.ใช้สาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้ง พร้อมทั้งใช้เกลือทะเลปรุงอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน สามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี
 
          6.งาขาวและงาดำในอาหารและขนม คนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็น ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
 
          7.หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
 
          8. เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ ควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน และต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้วเป็นประจำ
 
          ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักความรู้ในการปรุงและการบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
 
 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
 
 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 2:17:50 น.   
Counter : 295 Pageviews.  

“ดาราฮอลลีวูด” รับทรัพย์อุตสาหกรรมบุหรี่


บุหรี่

นักวิจัยพบหลักฐานดาราใหญ่รับคนละ 10,000 ดอลลาร์
 
          ค้นพบหลักฐาน พวกพระเอกและนางเอกผู้ยิ่งใหญ่สมัยก่อนของฮอลลีวูด ไม่ว่าพระเอกจอห์น เวย์น และคลาร์ค เกเบิล ล้วนแต่รับทรัพย์จากอุตสาหกรรมบุหรี่ฟ่อนมหาศาล เพื่อให้เกิดภาพว่าดาราผู้ยิ่งใหญ่ต้องสูบบุหรี่
 
          คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ค้นพบหลักฐาน ในเอกสารของอุตสาหกรรมบุหรี่สหรัฐฯ ที่เพิ่งเปิดเผย หลังจากการต่อสู้คดีบนศาล ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของฮอลลีวูด กับอุตสาหกรรมยาสูบ
 
          รายงานผลการวิจัย ที่ได้เสนออยู่ในวารสาร “ควบคุมยาสูบ” เปิดเผยว่า บรรดาดาราในภาพยนตร์เรื่อง “คลาสสิก” ในช่วงศตวรรษ พ.ศ.2473, 2483 และ 2493 ก็ยังช่วยส่งเสริมการสูบบุหรี่อยู่มาจนทุกวันนี้ จนกล่าวได้ว่า พวกดาราผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคลาร์ค เกย์เบิล, แกรี กรนท์, สเปนเซอร์ เทรซี, โจน ครอฟอร์ด, พระเอกจอห์น เวย์น,ดาราสาวเบตตี้ เดวิส และเบตตี้ เกรเบิล ต่างล้วนสนับสนุนยาสูบด้วยกันทั้งสิ้น
 
          นักวิจัยได้พบเอกสารสำคัญชิ้นหนึ่ง เป็นบัญชีการจ่ายเงินของบริษัทอเมริกัน ทูแบคโก ผู้ผลิตบุหรี่ลักกี้ สไตรค์” ในเวลาแค่ปีเดียว ตอนช่วงปลายปี พ.ศ.2473 ให้กับดาราเป็นรายตัว โดยเฉพาะดาราใหญ่อย่าง แกรี คูเปอร์ คลาร์คเกย์เบิล โจน ครอฟอร์ด โรเบิร์ท เทย์เลอร์ ต่างคนต่างได้เงิน กันคนละ 10,000 ดอลลาร์ ถ้าหากเทียบกับค่าเงินในสมัยนี้จะเท่ากับประมาณ 5 ล้านบาท
 
 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
 
 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553   
Last Update : 25 มีนาคม 2553 2:00:23 น.   
Counter : 308 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  

beaushi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add beaushi's blog to your web]