โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

มิตรจิตมิตรใจ

เราปรารถนาให้คนอื่นสนใจ ปรารถนาที่จะมีเพื่อนที่รักเรา แต่เรามักจะหลงลืมไปว่า การที่จะเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ก่อนอื่นตนเองจะต้องเป็นคนที่มีมิตรจิตมิตรใจ (A friendly person)

ความจริง การมีมิตรจิตมิตรใจ (Being friendly)
ก็คือการเป็นเพื่อน (Becoming a friend) นั่นเอง

การจะทำได้อย่างนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราจะต้องสนใจคนอื่นก่อน
มิใช่ให้คนอื่นสนใจตนฝ่ายเดียว ยังจำคำพูดของคาร์เนกีประโยคนี้ได้ไหม ?

การให้ความสนใจคนอื่นเพียง 2 วัน
คุณจะได้เพื่อนมากกว่าการให้คนอื่นสนใจคุณในเวลา 2 ปี

(You can make more friends in two days by getting interested in other people
than in two years by getting other people to be interested in you!)

ถ้าหากคุณไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ หรือเข้าใจแต่ทำไม่ได้ อย่างนี้รับประกันได้เลยว่า
คุณจะมีเพื่อนที่ดีไม่มาก

คุณลองสำรวจคนรอบข้าง คุณจะพบว่า
คนที่คุณชอบคบหาสมาคมด้วยจะต้องเป็นคนที่สนใจคุณ
ยอมรับฟังความคิดเห็นของคุณ และคอยแบ่งเบาความทุกข์ของคุณ

เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการให้คนอื่นยินดีคบหาสมาคมกับคุณ
คุณก็ต้องสนใจคนอื่นก่อน เช่นเดียวกับที่คุณต้องการให้คนอื่นสนใจคุณ

------------------------------------------
จาก จุดไฟปัญญาให้โชติช่วง
จังซีเหา : เขียน ส.สุวรรณ : แปล




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2548   
Last Update : 30 สิงหาคม 2548 11:55:49 น.   
Counter : 666 Pageviews.  

ย้อนมองตน

จิตใจของเราจะกลายเป็นโรงละครน้อยๆ เลยทีเดียว หากเรารู้จักมองตน เราจะเห็นตัวร้ายขี้อิจฉา พระเอกใจบุญ นางเอกเจ้าแง่แสนงอน และนักเลงจอมเจ้าชู้ เราจะสวมบทไหน

----------------------------------

เช้านี้อากาศกำลังดี ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก แถมเป็นวันหยุดเสียด้วย คุณจึงนั่งรถไปสวนจตุจักร ตั้งใจจะหาซื้อต้นไม้มาประดับบ้าน คุณออกจากบ้านตั้งแต่เช้า กะว่าจะไปเดินเลือกซื้อของได้สบายๆ ไม่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คน

แต่เพียงแค่ก้าวแรกที่ขึ้นรถเมล์ คุณก็ต้องเจอกับผู้คนที่แน่นขนัดเต็มรถ ใช่แต่เท่านั้นรถราบนท้องถนนก็แสนติดค้างอยู่บนถนนทีละนานๆ ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที มองไปรอบตัวมีแต่ผู้คนและรถราเต็มไปหมด เห็นแล้วก็ส่ายหัวขุ่นเคืองเต็มที่ อดแค่นในใจไม่ได้ว่า

"ช่างเดินทางกันเสียจริง (โว้ย) วันอาทิตย์ทำไมถึงไม่อยู่บ้านกันเสียบ้าง มีธุระอะไรกันนักกันหนา ถึงแห่กันออกมาตั้งแต่เช้า"

นึกอยากตวาดเช่นนี้กับทุกคนเสียเหลือเกิน แต่จะมีสักครั้งไหมที่คุณกลับมาถามตัวเองว่า แล้วตัวฉันละมาทำอะไรอยู่บนถนนนี้ ทำไมถึงไม่อยู่บ้านบ้างเล่า

....................................

เวลาไม่สบอารมณ์ เรามักมองออกไปนอกตัว เพื่อหาตัวการ แต่กลับลืมมองตัวเอง ด้วยเหตุนี้คนอื่นจึงเป็นฝ่ายผิดอยู่ร่ำไป เขาอาจจะเป็นตัวการก็ได้ แต่เราเองล่ะ ไม่มีส่วนผิดบ้างเลยหรือ ?

เมื่อใดที่เราหันมาถามตัวเองว่า ทำไมถึงไม่อยู่บ้านในวันอาทิตย์ เพราะเหตุใดจึงออกจากบ้านแต่เช้า

เราก็จะพบว่า เราเองก็ไม่ต่างจากคนอื่น และคนอื่นก็ไม่ได้ทำอะไรต่างจากเรา ถึงตอนนี้ที่เคยคิดจะก่นด่าเขาก็คงต้องเลิก

สาเหตุที่ต้องเลิกนั้น อาจจะเพราะว่า ขืนด่าเขาก็เท่ากับด่าตัวเองด้วย แต่บางครั้งเราก็เลิกก็เพราะเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นว่า เขาเองก็คงมีธุระจำเป็นที่จะต้องเดินทางเช่นเดียวกับเรา

ในทางตรงข้าม ถ้าเราคอยสอดส่ายหาตัวการว่า ใครทำให้ฉันทุกข์ ใครทำให้งานของฉันล้มเหลว

สิ่งที่จะติดตามมาก็คือความร้อนใจขุ่นเคืองใจ และมองหน้าใครไม่สนิท เพราะเห็นเขาเป็นผู้ผิดอยู่ตลอดเวลา

..................................

จะไม่ดีกว่าหรือ แทนที่คอยแต่จะถามว่า ใคร...ใคร...
เราเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ทำไมฉันจึงทุกข์ ทำไมงานของฉันจึงไม่สำเร็จ

และถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป หากใจกว้างสักนิด ก็ลองย้อนมาสำรวจตัวเองว่า เรามีส่วนสร้างปัญหาดังกล่าวให้แก่ตนเองหรือไม่ บางทีเราจะเข้าใจตัวเองได้ชัดขึ้น ความเข้าใจนี้ก็คือตัวปัญญานั่นเอง

.........................................

ผู้มีปัญญา ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา เวลามีอะไรกระทบจิตใจของตนเองจะไม่โต้ตอบออกไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งโทษผู้อื่น หรือด่าว่าทำร้ายเขาจะโดยวจีกรรมหรือกายกรรมก็แล้วแต่

หากแต่จะกลับมาถามตนเองว่า ทำไมถึงโกรธ เราหงุดหงิดเพราะเขาเก่งกว่าเรา เด่นกว่าเราใช่ไหม

หากเราไม่พอใจในถ้อยคำของเขา แทนที่เราจะใช้คารมสวนกลับให้เจ็บแสบ จะดีกว่าไหม หากเราย้อนมามองตนว่า เราเป็นอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า

จิตใจของเราจะกลายเป็นโรงละครน้อยๆ เลยทีเดียว

หากเรารู้จักมองตน เราจะเห็นตัวร้ายขี้อิจฉา พระเอกใจบุญ นางเอกเจ้าแง่แสนงอน และนักเลงจอมเจ้าชู้

เราจะสวมบทไหน เวลาไหนก็เห็นได้ถนัดถนี่ไม่ต้องมีอะไรมาปิดบังอำพราง หรือคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป เห็นแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้

แต่ละครโรงนี้ จะมีจำเพาะเรื่องหมองหม่นก็หาไม่ เรื่องขันชวนหัวเราะก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาเราทำอะไรเปิ่นๆ โดยไม่มีใครเห็น

โดยนัยนี้ชีวิตจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะกลายเป็นละครหลากรสชาติ ส่วนละครและเรื่องประโลมโลกที่เน้นแต่ความบันเทิง จนได้รับสมญาว่า "น้ำเน่า" ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องน่าศึกษาและเต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต

เวลาเรารู้สึกไม่ได้ดังใจที่ "ดาวพระศุกร์" หูเบา ไม่รู้จักเข็ดหลาบเสียทีกับเลห์กลและลมปากของ "มาหยารัศมี" นั้น เราจะได้คติสอนใจเป็นอย่างดี หากย้อนมาดูตัวเองว่า

บ่อยครั้งเพียงใดที่เราหลงเชื่อถ้อยคำของผู้อื่น โดยไม่สอบถามเรื่องราวให้แน่ชัดจากผู้อื่นที่ถูกพาดพิง

ถ้าหากเรา "ปากหนัก" คือรู้จักสอบถามหาข้อเท็จจริงเสียบ้างชีวิตก็ยากจะพลาดพลั้ง อย่างน้อยก็คงไม่เกิดปัญหาอย่างที่ "คุณภาคย์ " และนางเอกสาวต้องประสบจนทำให้ผู้ชมใจหายใจคว่ำไปหลายครั้ง

......................................

การใฝ่พิจารณาตนไม่ใช่เรื่องของนักบวชที่หลีกเร้นในป่าเขาเท่านั้น ชีวิตในเมืองใหญ่ซึ่งมากด้วยกิจธุระก็ต้องการศิลปะชนิดนี้เหมือนกัน

ไม่ว่าจะในบ้านหรือในที่ทำงาน ก็สามารถเป็นสถานบ่มเพาะปัญญาและเจริญเมตตาแก่เราได้ทั้งสิ้น

แม้แต่บนท้องถนนอันพลุกพล่าน หากเราเกิดจะหงุดหงิดขึ้นมาขณะขับรถ เนื่องจากต้องคอยชะลอความเร็วให้คนข้ามถนน แทนที่จะต่อในใจว่า

ทำไมถึงมาข้ามเอาตอนที่เราจะขับรถผ่าน ทำไมถึงเดินช้าเหลือเกินไม่รู้หรือว่าคนขับรถทุกคนก็ต้องรีบทั้งนั้น ทำไมไม่รอให้ถนนว่างเสียก่อนแล้วจึงค่อยเดิน คุณเองก็ไม่รีบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่งั้นก็คงไม่มาเดินแบบนี้หรอก ฯลฯ

แต่หากเรามาลองนึกถึงความรู้สึกของตนเองเวลาเป็นฝ่ายเดินถนนบ้าง บางทีใจเราอาจสงบลงได้เพราะเวลาเราข้ามถนน

เราก็คงอดนึกไม่ได้ว่า คนขับต่างหากที่ควรจะเอื้อเฟื้อคนข้ามถนน เพราะเราไปไหนมาไหนก็ช้าอยู่แล้ว ขืนต้องมารอให้ถนนว่างเสียก่อนก็จะยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ คุณเองก็มีรถช่วยทำเวลาอยู่แล้ว จะเร่งรีบกันไปถึงไหนเล่า ฯลฯ
..........................

ถ้าเราเห็นตน เราก็จะรู้จักตน เราก็จะรักผู้อื่น

และเมื่อเรารักผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการรักตนไปในตัวด้วย

เพราะไม่มีอะไรที่จะทำใจให้เป็นสุขเท่ากับ "การรักและเข้าใจผู้อื่น"
___________________________________
พระไพศาล วิสาโล "สุขใจในนาคร ศิลปะแห่งการอยู่เมืองอย่างมีความสุข". กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย จำกัด,2538.

ที่มา : //www.carefor.org




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2548   
Last Update : 26 สิงหาคม 2548 12:05:46 น.   
Counter : 643 Pageviews.  

ศรัทธาในการทำงาน

กริ๊งๆ กริ๊งๆ… แกรกๆ

บ่ายวันนั้น เสียงกระดิ่งจากรถถีบสองคันแหวกความสงบของซอยอินทามาระเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย ชาวบ้านที่เห็นพวกเขาก็คงเข้าใจว่า ฝรั่งผมทองตาสีฟ้าสองคนนี้คงปั่นจักรยานไปทำงานกับบริษัทต่างชาติที่ไหนสักแห่งซึ่งตั้งสาขาอยู่ในเมืองไทยตามปกติวิสัยที่ชาวต่างชาติรวมถึงคนไทยบางคนชอบทำในยุคน้ำมันแพง

แต่การปั่นในแง่ที่ว่านั้น…เป็นการปั่นเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ
กลับกัน...ฝรั่งสองคนที่เราพบวันนั้นกลับปั่นด้วยแรง "ศรัทธา" ในบางสิ่ง
โดยไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงชีพแต่อย่างใด…

- 1 -

ก่อนกล่าวถึงพวกเขา เราคงต้องล้างและลบภาพพฤติกรรมที่บางศาสนาหรือบางความเชื่อพยายามยัดเยียดสู่ผู้คนโดยการจู่โจมและสร้างความน่ารำคาญโดยอาศัยความเกรงใจของคนไทยเป็นจุดอ่อนออกเสียก่อน เพราะชายทั้งสองคนซึ่งมีความเชื่ออีกแขนงนี้ กลับสุภาพอ่อนโยนกว่าที่เราคาดคิด

พวกเขาเรียกตัวเองว่า Elder มีวัตรปฏิบัติเยี่ยงนักบวชทั้งในชีวิตส่วนตัวรวมถึงชีวิตประจำวัน

พวกเขาเดินทางไปในที่ซึ่งชะตากรรมลิขิตและเชื่อว่าการกระทำนั้นก็คือการรับใช้ผู้อื่น และสร้างความสุขให้กับจิตวิญญาณของตนเอง

พวกเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มน้ำชา กาแฟ…รวมไปถึงชาเขียวของเสี่ยตัน โออิชิ

และทุกวันตั้งแต่สายๆ พวกเขาจะใช้เวลาออกขี่จักรยานตระเวนประกาศศาสนาตามตรอกซอกซอยคล้ายดั่งมิชชันนารีในคริสต์นิกายอื่นเมื่อหลายร้อยปีก่อนกระทำ
ทุกเช้า Elder Parker และ Elder Van จะตื่นขึ้นเพื่อทำกิจวัตรประจำวันตั้งแต่หกโมงครึ่ง นั่งท่องสวดศึกษาคัมภีร์ตามหลักศาสนาจนถึง 10 โมง ก่อนหนังสือจะเปลี่ยนเล่มเป็นภาษาไทย และพวกเขาจะใช้เวลากับบทเรียนอีกราว 30 นาทีแล้วปิดประตูที่พำนักจับจักรยานคู่ใจถีบออกไปทำหน้าที่ "รับใช้" ผู้คน ก่อนจะกลับที่พำนักในเวลา 3 ทุ่มตรง และเข้านอนในเวลา 4 ทุ่ม ซึ่งทั้งหมดนี้พวกเขาปฏิบัติโดยเคร่งครัดอย่างยิ่ง

กว่าจะถึงวันนี้ที่ Elder Parker และ Elder Van ปั่นรถถีบอยู่ในท้องถนนของ บางกอก ไทยแลนด์ ใครจะเชื่อบ้างว่าพวกเขาเตรียมตัวทำเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่อายุ 14-15 ปี

"ผมเป็นสมาชิกของศาสนจักร (มอรมอน:พระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย) ตั้งแต่เกิด ผมปรารถนาจะพิสูจน์ว่าศาสนจักรนี้ถูกต้องหรือไม่ เลยลองสมัครมาสอนศาสนา ผมมาจากรัฐยูท่าห์ ในสหรัฐอเมริกา ศาสนานี้มีกฎเข้มพอสมควร ผมจึงอยากรู้ว่าควรต้องรักษากฎนี้หรือไม่…" เอลเดอร์ พาร์เกอร์ เล่าอดีตก่อนมาสอนศาสนาในเมืองไทย

เช่นเดียวกัน ห่างไปทางเหนือหลายพันไมล์ในแคนาดา...ที่เมืองชาร์ลดีล จังหวัดแอลเบอร์ตา (เอลเดอร์) แวนซ์ (เจ้าตัวสะกดชื่อของเขาเป็นภาษาไทยแบบนี้)ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

"ผมเป็นสมาชิกของศาสนจักรนี้ตั้งแต่เกิด พ่อแม่ก็เป็น ที่มาเพราะผมต้องการพิสูจน์ พ่อแม่บอกศาสนจักรนี้ถูกต้อง แต่ผมเองยังไม่แน่ใจจึงทดลองมา"

สองคนเล่าว่าชีวิตวัยเด็กโดนปลูกฝังจากศาสนจักรและพ่อแม่ ให้มีความรักในครอบครัว และโดยส่วนตัว พวกเขามีความหวังทำงานเก็บเงินสักก้อนขณะนั้นเพื่อออกเดินทางทางจิตวิญญาณเมื่อพวกเขาอายุ 19-20 ปี
เป็นการไปใช้ชีวิตในต่างแดนในแบบที่ต่างจาก Backpacker ที่ฮิตทั่วโลกโดยสิ้นเชิง…

- 2 -

ทั้งสองคนเล่าว่าถูกส่งไปอบรมเป็นเวลา 10 อาทิตย์ เพื่อเรียนภาษาของประเทศที่พวกเขากำลังจะถูกส่งไป วิธีการสอนศาสนา รวมถึงรับฟังประสบการณ์จากครูสอนศาสนาที่เคยมาอยู่ในประเทศนั้นก่อน

"เราสมัครกับทางศาสนจักรแล้วเขาจะส่งรายละเอียดไปที่ศูนย์ใหญ่ ศาสนจักรเราจะมีคนๆ หนึ่งที่เป็นศาสดาผู้พยากรณ์ เป็นประธานของศาสนจักรนี้ ผู้นั้นจะได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าและจะบอกว่าคุณจะได้ไปที่ไหน ประเทศไหน แล้วเราก็จะรับการอบรมก่อนไป ไม่จำเป็นว่าผมต้องเก่งในการสอนศาสนา ทั้งหมดเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะรับใช้คนอื่น เก่งภาษาหรือไม่ก็ได้ ภาษาไทยยากนะครับ(ยิ้ม) ผมเคยเรียนภาษาเยอรมันมาก่อนก็ยังจำไม่ได้เลย นี่ก็เป็นภาษาที่ต่างออกไปอีก การเรียนภาษาอื่นมันยาก อาจเหมือนเวลาคนไทยเรียนภาษาอังกฤษ ผมไม่สามารถบอกว่าที่เรียนภาษาไทยได้เพราะทักษะของผม ผมขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่จะพูดภาษาไทยได้บ่อยๆ"

เอลเดอร์ พาร์เกอร์ เปิดเผยถึงสิ่งที่พวกเขาต้องฝึกฝนก่อนมาซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึง "ศรัทธา" ในทำงานที่พวกเขาจะต้องมาทำอีกด้วย

ถึงบรรทัดนี้ ต้องย้อนทำความเข้าใจกันสักนิดว่า "ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย" หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "มอร์มอน" ที่เอลเดอร์แวนซ์ กับพาร์เกอร์ สังกัดอยู่นั้นเข้ามาเมืองไทยนานร่วม 30 ปีได้แล้ว

มอร์มอนก่อตั้งโดยโจเซฟ สมิธ ที่สหรัฐเมื่อปี 1830 (พ.ศ.2373) ในหลักการเบื้องต้นซึ่งพาร์เกอร์เล่าให้คนต่างศาสนาอย่างเราฟังคือพวกเขาเชื่อว่านอกจากคัมภีร์ไบเบิลแล้วยังมีคำสอนอีกเล่มคือพระคัมภีร์มอร์มอน ซึ่งพระเจ้าได้แสดงต่อโจเซฟ สมิธ ผ่านจารึกต่างๆ และพวกเขาเชื่อว่านี่คือศาสนาของพระเจ้าที่ได้รับการฟื้นฟูในยุคปัจจุบัน

มอร์มอนไม่มีบาทหลวง แต่มีผู้เผยแผ่ที่เรียกว่าเอลเดอร์ (ผู้ชาย) และ ซิสเตอร์ (ผู้หญิง) ซึ่งไม่ใช่แม่ชีในมโนภาพที่เรารู้จักผ่านศาสนาคริสต์นิกายใหญ่ๆ อย่างโรมันคาทอลิกแต่อย่างใด

"ศาสนจักรเราไม่มีบาทหลวง และคนที่มาไม่มีใครมีรายได้อะไรจากการทำตรงนี้ ทุกคนสมัครใจมา คนสอนศาสนาอย่างผมมีหัวหน้าคือ "ประธานคณะเผยแพร่" (สำหรับใน 1 ประเทศ) ส่วนสาขาแต่ละเขตจะมี "ประธานสาขา"คอยช่วยเหลือ แต่ละโบสถ์มีคนสอนศาสนา 2-6 คน ที่นี่ (สุทธิสาร) มี 6 คน ยังมีคนสอนสูงอายุที่เขารับใช้เต็มเวลาด้วย"

พาร์เกอร์ ขยายความต่อว่า "ที่ใช้คำว่า 'รับใช้' เพราะเราไม่มีรายได้ ทำด้วยความเต็มใจ เราไม่สอนศาสนาอย่างเดียว สอนภาษาด้วยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ซึ่งทำทั่วประเทศ ผมเชื่อว่าคริสต์นิกายอื่นและทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้นครับ เราต่างออกไปเพราะมีความเชื่อว่ามีศาสดาผู้พยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าอยู่บนโลกนี้แล้วเท่านั้น" พาร์เกอร์อธิบาย

มอรมอนถือเป็นอีกความเชื่อหนึ่งซึ่งก็มีวิถีของตนเองและก็มีการเผยแผ่ในแบบเฉพาะ เอลเดอร์ทั้งคู่บอกผมว่าเขาไม่ได้ถูกใครบังคับให้เดินทางมาเพื่อใช้ชีวิตคล้ายนักบวชและเผยแผ่ศาสนาในสังคมและประเทศที่เขาไม่เคยรู้จักไกลจากบ้านเกิดเป็นพันไมล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่มีอายุเพียง 19-20 ปี ซึ่งควรจะเป็นวัยสนุกสนานมากกว่า

"ผมทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี เก็บเงินเพื่อจะมาเป็นผู้สอนศาสนา ที่เดินทางมานี่ค่ากินค่าอยู่ ศาสนจักรไม่ได้สนับสนุนครับ พ่อแม่หรือญาติสามารถช่วยเรื่องเงินทองได้ แต่นี่เป็นการตั้งเป้าหมายของตัวผมเองมานานแล้วที่อยากออกมาทำอย่างนี้สักครั้ง
ผมเห็นคนที่มาสอนกลับไปเล่าประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในการรับใช้คนต่างประเทศ อาจมีสัก 10 คนที่รับความสุขไป เราอยากได้ความสุขแบบนี้บ้าง แน่นอนในอนาคตเราต้องมีการเก็บเงินเพื่อตัวเอง เพื่อที่จะมีอาหาร ที่พัก แต่ช่วงหนึ่งของชีวิตเราเชื่อว่าความสุขจะหาได้ในการรับใช้คนอื่น ผมเชื่อว่าระยะเวลา 2 ปีจะช่วยให้ผมมีความสุขมากกว่าที่เคยมีมาในวัยหนุ่มที่หายไป"

แวนซ์ เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน "ผมเริ่มเก็บเงินตอนอายุ 17 ปี เพื่อมาสอนศาสนา ผมจ่ายทั้งหมดเองครับ คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ แม้ศาสนจักร(มอร์มอน)จะไม่ว่าอะไร และมีกฎเปิดทางว่าพ่อแม่หรือญาติสามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้ การเดินทางมาแบบนี้มีคุณค่าบางอย่างสำหรับผมมาก"

- 3 -

ชีวิตเอลเดอร์ต่างแดนของผู้ถือนิกายมอรมอนแต่ละคน จะมีช่วงเวลาสั้นๆ คือไม่เกิน 2 ปี สำหรับผู้ชาย และ 18 เดือนสำหรับผู้หญิง เพราะมอรมอนเป็นศาสนจักรที่ให้ความสำคัญกับสถาบันหลักคือครอบครัว ซึ่งนั่นทำให้พาร์เกอร์และแวนซ์ไม่ค่อยคิดถึงบ้านมากนักและสามารถเก็บเกี่ยวความสงบสุขและทำหน้าที่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่

"ผมไม่เสียดายที่ช่วงนี้ไม่อยู่บ้าน ผมรู้ว่า 2 ปี เราก็จะกลับไป อยู่มากกว่า 2 ปี ไม่ค่อยได้ครับ มอร์มอนแนะนำให้เราคิดถึงครอบครัว ครอบครัวคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากทั้งปัจจุบันและนิรันดร"

"ตอนแตะพื้นครั้งแรกหลังออกจากเครื่องบิน ความรู้สึกแรกคืออากาศร้อน (หัวเราะ) ผมตื่นเต้นมากก่อนจะมา ที่ผ่านมาผมเคยได้ยินแต่คำว่าบางกอก จังหวัดอื่น ภาคอื่นของไทยไม่เคยได้ยินเลยครับ เคยคุยกับคนที่มาที่นี่เขาว่าดีมาก คนไทยใจดี ให้น้ำให้ดื่มทุกครั้ง ไม่ว่าจะสนใจหรือไม่สนใจในสิ่งที่เผยแผ่หรือไม่ก็ตาม ด้านไม่ดีของที่นี่ผมยังไม่เจอครับ นอกจากเรื่องรถติด คนไทยใจเย็นมากที่อเมริกาถ้าติดขนาดนี้เขาบีบแตรกันระงมแล้ว"

และสำหรับเมืองไทยโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ การขี่จักรยานอาจจะเหมาะกับการจราจรที่ติดขัดและเข้าถึงบ้านผู้คนมากกว่า ซึ่งในแต่ละประเทศไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแบบนี้เสมอไป แวนซ์ยังเสริมถึงการใช้พาหนะของเหล่าเอลเดอร์ในพื้นที่ทั่วโลกว่า "เราขี่จักรยานทั่วโลก ที่ยุโรปอาจมีขับรถด้วย อเมริกามีจำนวนมากขับรถเผยแผ่ครับ"

พาร์เกอร์ยังเปรียบเทียบชีวิตคนธรรมดาและคนสอนศาสนาที่ถือนิกายมอร์มอนให้ฟัง"วันอาทิตย์ผมต้องมาโบสถ์เรียก Sabbath เป็นวันที่เข้าร่วมพิธี เหมือนวันพักผ่อนทางวิญญาณหลังทำงานทั้งอาทิตย์ วันนั้นโบสถ์จะเริ่ม 9.00-12.00 น. หลังจากนั้นสมาชิกจะทานอาหารร่วมกัน แล้วกลับบ้านตอนบ่ายโมงเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนหรือครอบครัว สำหรับนักบวชมีวันหยุดอีกคือวันพุธ เร่าจะหยุดงาน 12 ชม. ไปเที่ยวได้แต่ 6 โมงเย็นต้องกลับมาสอนศาสนาต่อถึง 2 ทุ่ม นอกนั้นกิจวัตรจะคล้ายๆ กันทุกวันครับ"

สำหรับคนที่ถือมอร์มอนทั่วไปวันจันทร์คือวันครอบครัว ซึ่งจะมีกิจกรรมซึ่งทำให้ครอบครัวสนิทกัน ซึ่งพาร์เกอร์และแวนซ์บอกว่าสถาบันนี้สำคัญมากเช่นเดียวกับความเชื่อเดิมของคนไทย และมอรมอนยังมีบางสิ่งที่ทุกศาสนามีเหมือนกันคือมีข้องดเรื่องอบายมุข "คนธรรมดาที่ถือมอร์มอนสามารถดูหนัง ฟังวิทยุได้ แต่มีข้อแนะนำว่าอย่าฟังดนตรีที่แรงเกินไป หรือหนังที่ไม่เหมาะเช่นหนังลามก ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่กฎ"

"มอรมอนมีหลายกฎ มาจากพระผู้เป็นเจ้าผ่านทางศาสดา ผมหมายถึงเราไม่ได้เลือกตั้งหรือตัดสินใจอะไรตามใจว่าจะทำแบบไหน มีหลายกฎเช่นสุขภาพ เรียกพระวาจาแห่งปัญญา ห้ามเรื่องเหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ บางครั้งเราไม่รู้หรอกครับว่าทำไมพระเจ้าห้าม แต่เราก็ทำและรักษากฎที่ทรงตั้งไว้อย่างดี"

วันนี้พาร์เกอร์ (20 ปี) และแวนซ์ (19 ปี) ยังคงปั่นจักรยานและออกพบผู้คน และบางวันก็สอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ หลายคนอาจเคยเห็นคือหนุ่มฝรั่งแต่งตัวเรียบร้อยขี่จักรยานไปตามบ้าน และถนนหนทาง โดยพาร์เกอร์เหลือเวลาอีก 10 เดือนก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ "เราหาคนตามถนน คุยเรื่องศาสนา ใครสนใจจะนัดเพื่อสอนต่อไป ไม่บังคับใคร เราถือว่าจะช่วยเขามีความสุข ถ้าไม่สนใจก็ไม่สอน เราบังคับเขาไม่ได้ครับ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนมากคนไทยต้อนรับดีมากครับ อย่างน้อยก็คุยกับเรา เอาน้ำมาให้ทานซึ่งผมรู้สึกดีมากในยามที่อากาศร้อน แต่มีกลัวบ้างก็กลัวรถชน (หัวเราะ) ก่อนออกจากบ้านผมอธิษฐานให้พระเจ้าคุ้มครอง ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ผมไม่ต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวเองเลยและไม่มีอาชีพอื่น รับใช้คนอื่นอย่างเดียว มีความสุขครับ"

ไม่ต่างกับแวนซ์ซึ่งเพิ่งมาได้ไม่กี่เดือนและเหลือเวลาปีกว่าในการทำงานทางจิตวิญญาณ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาค้นพบอะไรจากคนไทยข้างทางที่รถถีบวิ่งผ่าน "ผมไม่เคยเจอไล่นะครับ คนไทยใจเย็นมากและใจบุญ ช่วยเหลือเสมอเมื่อหลงทางหรือจักรยานล้ม.." และด้วยความที่ทั้งคู่เป็นเอลเดอร์ แวนซ์ยังเล่าเกร็ดเล็กๆ ว่า"ตอนสอนศาสนานี่มีแฟนไม่ได้นะครับ (ยิ้มแบบสุภาพ) จีบผู้หญิงก็ไม่ได้ ต้องเน้นงานสอนอย่างเดียว ผมเคยมีแฟนมาก่อนตอนนี้ไม่มีเพราะทำงานศาสนา แต่กลับบ้านผมจะมีครอบครัว เราให้ความสำคัญเรื่องนี้มากครับ"

บางที สิ่งที่เราเรียนรู้จาก "รถถีบแห่งศรัทธา" ของพวกเขา อาจไม่ใช่แค่เรื่องศาสนาของพวกเขา แต่เป็นเรื่องของ "ศรัทธา" ในการทำงานนั่นเอง...




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2548   
Last Update : 24 สิงหาคม 2548 13:14:58 น.   
Counter : 3256 Pageviews.  

ข้อคิดในการใช้ชีวิต พระราชดำรัสในหลวง

1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2. เมื่อมีคนเล่าว่า ตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องคุยทับ
ปล่อยให้เขาฟุ้งไปตามสบาย

3. รู้จักฟังให้ดีโอกาสทองบางทีมันก็มาถึง แบบแว่วๆ เท่านั้น

4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง

5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้
แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิด ล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8. เวลาเล่นเกมส์กับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด

9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้

10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ 2 แต่อย่าให้ถึง 3

11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ

12. ทำตัวให้สบายอย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว
อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก

13. ใช้เวลาน้อยๆ ในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก
แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก

14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน

15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ

16. เมื่อมีใครมาสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน

17. เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้ว
ตั้งแต่เรายังไม่เกิด

18. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด…สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

19. อย่าไปหวังเลยว่า ชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

20. อย่าให้ปัญหาของเรา ทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย
ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นไงบ้างตอนนี้” ก็บอกเขาไปเลยว่า “สบายมาก”

21. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ
และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นแต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น

22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาคุณมีมันก็วันละ 24 ชม. เท่าๆ กับที่
หลุยส์ ปลาสเตอร์ , ไมเคิล แอนเจลโล , แม่ชีเทเรซ่า , ลีโอนาร์โด ดาวินซี
, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง

23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกับไปดูอดีต
เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น

25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

26. คงไว้ซึ่งความเป็นคนที่เปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น

27. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้น
จะกระจอกงอกง่อยสักปานใด

28. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”

29. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ???




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2548   
Last Update : 23 สิงหาคม 2548 15:39:44 น.   
Counter : 19139 Pageviews.  

ผู้ชนะและผู้แพ้

10 ข้อแตกต่างระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้

1. ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาดจะพูดว่า...ฉันทำผิดเอง
ผู้แพ้ : เมื่อพบข้อผิดพลาดจะพูดว่า...ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย

2. ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้
ผู้แพ้ : จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยไม่คิดว่างานไหนควรทำก่อนทำหลัง

3. ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหา และลงมือแก้ไขปัญหานั้น
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้ามคือหลีกเลี่ยงปัญหา

4. ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฏผลงานขึ้น
ผู้แพ้ : จะให้แต่คำสัญญาปากเปล่า แต่ไม่ยอมลงมือทำ

5. ผู้ชนะ : จะพูดว่า “ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ”
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “ยังมีคนอีกตั้งเยอะที่มีผลงานแย่กว่าฉัน”

6. ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง พยายามทำความเข้าใจ แล้วค่อยตอบสนอง
ผู้แพ้ : จะไม่ฟัง แต่รอจังหวะที่ตัวเองจะได้พูด

7. ผู้ชนะ : จะยอมรับนับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่าและเรียนรู้จากคนเหล่านั้น
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงกันข้ามและพยายามหาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าตัวเอง

8. ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
ผู้แพ้ : จะไม่ยื่นมือช่วยเหลือคนอื่น ชอบพูดแต่ว่าฉันไม่ว่างน่ะ กำลังยุ่งอยู่

9. ผู้ชนะ : จะพูดว่า “มันต้องมีวิธีที่ทำให้ดีกว่านี้สิ”
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “มีแต่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นแหละ”

10. ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนคนอื่นๆ
ผู้แพ้ : จะเก็บบทความนี้ไว้ เพราะไม่มีเวลาแบ่งปันให้ใคร




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 27 กรกฎาคม 2548 11:14:17 น.   
Counter : 594 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]