Group Blog
 
All Blogs
 
[เล่ม 3] บทที่ 26 ความใฝ่ฝันของหลวี่ปิน

บทที่ 26

ความใฝ่ฝันของหลวี่ปิน



ตอนที่หลวี่ปินเข้ามา จื่ออวี๋กำลังขยุ้มคอเสื้อตัวเองขดตัวอยู่ตรงมุมโซฟา ท่าทางเหมือนมีคนกำลังจะข่มขืนเขาจริงๆ ยังไงยังงั้น

“เป็นอะไรน่ะ?” หวลี่ปินรีบถามอย่างตกใจ

โฮๆๆ...ลูกพี่...ในที่สุดลูกพี่ก็มาจนได้!

หน้าของหลวี่ปินในตอนนี้เองก็ดูแล้วสุดยอดไปเลยเหมือนกัน ส่วนที่โดนอัดใส่เมื่อกี้มาตอนนี้บวมช้ำเป็นสีเขียวสีม่วง หน้าทั้งหน้าพูดได้แบบไม่โอเวอร์เลยว่า เหมือนถูกรถบรรทุกหนักยี่สิบตันเหยียบมายังไงยังงั้น

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ในวงการมานานแล้ว เพราะเห็นหน้าของหลวี่ปินนี่ไม่แค่ไม่กล้าหัวเราะเท่านั้น ยังสงบเสงี่ยมลงอีกต่างหาก

“เธอออกไปก่อนแล้วกัน ให้บ๋อยเอาน้ำเย็นสองแก้วเข้ามาเสิร์ฟ” ไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้ว หลวี่ปินก็เดินเข้ามานั่งลงตรงโซฟา พอเห็นจื่ออวี๋ยังทำท่าขวัญหนีดีฝ่อไม่หาย ก็ด่ากลั้วหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “นายนี่มันเอาถ่านจริงนะ ดันถูกสาวในนี้รังแกซะได้”

จื่ออวี๋เหลือกตาใส่อย่างของขึ้น นึกอยากจะใส่สีสันเพิ่มเติมให้ใบหน้าที่ยิ้มอย่างกวนบาทาเป็นบ้านั่นขึ้นมาติดหมัด

น้ำเย็นถูกเอาเข้ามาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นออกอย่างนี้ หลวี่ปินกลับเอาสองมือกุมแก้วน้ำเย็นเหมือนอังไออุ่นยังไงยังงั้น

“อีกเดี๋ยวฉันจะให้พวกเขาส่งนายกลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้ถ้าไม่อยากไปที่ออฟฟิศก็หยุดพักหนึ่งวันแล้วกัน ค่อยไปทำงานมะรืนนี้ก็ได้”

“ลูกพี่มีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่เยอะแค่ไหนกันแน่?”

“นายเองก็มีเรื่องเยอะแยะที่ปิดบังเอ้อร์เลิ่งจื่อกับชิวต้าส้าวไม่ใช่รึ?”

จื่ออวี๋ถูกคำย้อนของหลวี่ปินทำเอาสะอึก นั่นสิ...เขาเองก็ปิดบังเอ้อร์เลิ่งกับต้าส้าวอยู่ตั้งหลายเรื่องเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ทุกคนต่างก็มีด้านที่ไม่มีใครรู้กันทั้งนั้น อย่าว่าแต่เขากับเอ้อร์เลิ่งและต้าส้าวเป็นพี่น้องกัน แต่กับหลวี่ปินแล้วเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น

“แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังพวกนายด้วย ฉันรู้ว่าตอนนี้นายมีเรื่องมากมายอยากจะถาม ฉันสามารถบอกให้นายรู้ได้ แต่นายต้องให้เวลาฉัน ให้ฉันเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนแรก” หลวี่ปินทิ้งตัวพิงพนักโซฟา เงยหน้ามองฝ้าเพดาน

“ฉันกับเซียวหนานเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันสมัยเรียนมัธยม บ้านอยู่ใกล้กันมาก ปกติเล่นสนิทกันดี ตอนนั้นเขามีน้องชายอยู่คนชื่อเซียวหลง อ่อนกว่าเขาหกปี มักจะคอยตามหลังเราสองคนต้อยๆ เล่นด้วยกันกับเราเป็นประจำ ต่อมาตอนที่คอมพิวเตอร์เตอร์เพิ่งจะเริ่มเปิดตัว บ้านเซียวหนานซื้อมาด้วยเครื่องหนึ่ง คอมพิวเตอร์สมัยนั้นในสายตาพวกนายคงจะดีกว่าเครื่องคิดเลขแค่ไม่เท่าไหร่ แรม 256 harddisk 20 เม็ก จอขาวดำสิบสี่นิ้ว แสดงผลเป็น DOS ล้วนๆ แม้แต่เมาส์ก็ไม่มี

“ที่ไหนจะแสนสบายอย่างพวกนายในตอนนี้ เลื่อนเมาส์คลิกๆ อยากจะทำอะไรก็ทำ สมัยนั้นแม้แต่จะปิดเครื่องก็ยังต้องพิมพ์คำสั่งเข้าไปด้วยซ้ำ แต่พวกเราสามคนก็ยังเล่นกันสนุกมากอยู่ดี ฉันคิดว่าฉันกับเซียวหนานคงจะเป็นพวกที่เหมาะจะเป็นแฮกเกอร์โดยธรรมชาติ วันทั้งวันเอาแต่จมอยู่กับกองโปรแกรม คิดเข้าไป เขียนเข้าไป ส่วนเสี่ยวหลงถึงจะดูไม่ออกว่าคอมพิวเตอร์เป็นยังไง แต่ก็คอยอยู่ข้างๆ พวกเราทุกวันอยู่ดี เห็นพวกเราสนุก เสี่ยวหลงก็จะหัวเราะตามไปด้วย” นึกถึงท่าทางของเสียวหลงในตอนนั้นแล้ว หลวี่ปินคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “คอมพิวเตอร์พัฒนาเร็วมาก แค่ไม่กี่ปีก็มีกันทุกบ้าน ตอนนั้นฉันกับเซียวหนานพอจะมีชื่อเสียงนิดหน่อยในวงการแฮกเกอร์กันแล้ว ส่วนเสี่ยวหลงเริ่มติดเกมออนไลน์ เวลาฉันกับเซียวหนานเขียนโปรแกรม เสี่ยวหลงก็จะเล่นเกมออนไลน์อยู่ข้างๆ ตอนนั้นเซียวหนานได้ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับการเขียนโปรแกรมทั้งหมด จึงไม่ว่างจะมาสนใจเสี่ยวหลง แต่ฉันสนใจเกมออนไลน์ด้วยเหมือนกัน จึงมักจะเล่นเกมออนไลน์ด้วยกันกับเสี่ยวหลงบ่อยๆ ต่อมาฉันยังช่วยเขียนโปรแกรมบอทให้เขาด้วย พอนานวันเข้า เสี่ยวหลงก็สนิทกับฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ขอพูดแบบหลงตัวเองซักคำ เขาเทิดทูนฉันเหมือนเทิ
ดทูนเทวดานั่นแหละ น่าเสียดายที่เซียวหนานดูถูกของพวกนี้มาก แถมยังเถียงทะเลาะกับฉันเพราะเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง”

หลวี่ปินถอนหายใจ รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ค่อยๆ เทลงท้องจนหมดในรวดเดียว

“ต่อมาฉันกับเซียวหนานแล้วก็คนที่รู้จักในเน็ต 2-3 คนได้รวมกันตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆ เที่ยวได้ตระเวนหาเรื่องไปทั่วในเน็ต ที่ไหนการป้องกันทำไว้ดีพวกเราก็จะไปที่นั่น จะไปได้หรือไปไม่ได้พวกเราเป็นเจาะดะ พอก่อเรื่องมากเข้า มันก็ต้องเจอของแข็งเข้าจนได้ ครั้งนั้นพวกเราไปเจาะไฟล์ใส่รหัสป้องกันที่ทำได้แข็งแรงมากอีกแห่งสำเร็จ แต่พอเห็นข้อมูลในนั้นปุ๊บ พวกเราก็รู้ตัวทันทีว่าเป็นเรื่องซะแล้ว

“พวกเรารู้แค่ว่านั่นน่าจะเป็นบันทึกการตกลงแลกเปลี่ยนที่เปิดเผยไม่ได้บางอย่าง แต่โปรแกรมรหัสป้องกันชุดนั้นเขียนได้เหนียวแน่นมาก น่าจะเขียนโดยแฮกเกอร์เหมือนกันแน่ๆ แล้วพวกเรายังพบว่าใน assembly ชุดนั้นมีโปรแกรมย้อนตามรอยอยู่ด้วย นั่นคือขณะที่พวกเรากำลังเจาะโปรแกรมนั้น ก็มีคนย้อนรอยมาตามสัญญาณเน็ตที่เชื่อมต่อกันนั้นเข้ามายังคอมพิวเตอร์ของพวกเรา แถมยังล็อกตำแหน่งที่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นตั้งอยู่เอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย

“ตอนนั้นพวกฉันน่ะอวดดีมาก นึกว่านอกจากพวกเราเองแล้วไม่มีใครเป็นแฮกเกอร์ที่แท้จริงอีก ก่อนจะไปพวกเราไม่ได้เก็บเอาไฟล์นั้นมาใส่ใจสักนิด ไม่มีการป้องกันอะไรกันเลย พอรู้ว่าฐานะโดนเปิดโปง ฉันกับเซียวหนานก็หลบไปซ่อนที่บ้านเพื่อน แต่กลับลืมเสี่ยวหลงเสียสนิท เสี่ยวหลงกลับมาที่บ้านตัวเองไม่เห็นฉันกับเซียวหนาน ก็ไปที่บ้านฉัน เขามีกุญแจของบ้านฉัน ผลคือตอนที่รอฉันอยู่เสี่ยวหลงถูกคนที่มาตามหาตัวฉันจับตัวได้ คนพวกนั้นบังคับให้เสี่ยวหลงบอกที่อยู่ของฉันกับเซียวหนาน เสี่ยวหลงรู้เรื่องที่ฉันกับเซียวหนานทำดี เลยเป็นตายยังไงก็ไม่ยอมบอก และถูกคนพวกนั้นพลั้งมือซ้อมจนตาย”

“คุณ...ชอบเสี่ยวหลงคนนั้นมากใช่มั้ย?” จนถึงตอนนี้สีหน้าของหลวี่ปินก็ยังดูเศร้าสร้อยเจ็บปวดมาก จื่ออวี๋จึงอดทายไม่ได้

หลวี่ปินหันมามองจื่ออวี๋ ยิ้มบางๆ “เสี่ยวหลงเป็นเด็กที่ใครเห็นก็อดชอบไม่ได้ ทั้งซื่อ ทั้งไร้เดียงสา ทั้งว่าง่าย หน้าตาก็น่ารักมาก ยากมากที่จะไม่ชอบเขา ฉันเองก็คอยช่วยดูแลเหมือนเขาน้องชายแท้ๆ ของตัวเองมาตลอด”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? คนพวกนั้นไม่ได้ตามหาพวกคุณอีก?”

“ไม่ แต่พวกฉันได้ไปหาพวกนั้น” สายตาของหลวี่ปินเหี้ยมเกรียม “เดิมทีบ้านเซียวหนานน่ะเป็นบุคคลสำคัญระดับสูงในรัฐบาล เซียวหนานแค่กลัวว่าจะถูกพ่อแม่ด่าเท่านั้นถึงได้ออกจากบ้านหนีไปหลบที่อื่น หลังจากเสี่ยวหลงเกิดเรื่อง พวกฉันก็เอาข้อมูลที่เจาะได้มาให้พ่อแม่ของเซียวหนาน ส่งคนพวกนั้นเข้าไปอยู่ในคุกทั้งหมด แล้วบ้านเซียวหนานยังใช้คอนเนคชันที่มีทำให้ศาลตัดสินเพิ่มเวลาจำคุกไปอีกสิบกว่ายี่สิบปี ฉันคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ได้เห็นพวกนั้นแล้วล่ะ”

เงียบ...จื่ออวี๋คอมเฟิร์มอีกครั้ง หลวี่ปินเป็นบุคคลที่ห้ามไปล่วงเกินเด็ดขาด

“งั้น...ทางบ้านของเซียวหนานล่ะฮะ?” ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ลูกชายของตัวเองถูกซ้อมจนตายเพราะคนอื่น คนที่เป็นพ่อแม่ย่อมไม่มีทางละเว้นตัวต้นเหตุนั่นแน่

“พ่อแม่เซียวหนานไม่ได้มีท่าทีอะไร เรื่องที่เสี่ยวหลงติดฉัน พวกท่านรู้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พ่อแม่ของเซียวหนานต่างก็ไม่ได้โทษว่าฉัน เซียวหนานเองก็บอกว่านี่เป็นทางที่เสี่ยวหลงเลือกเอง ฉันสิกลับเป็นคนที่นึกเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุด”

“ถ้างั้นทำไมเซียวหนานถึงยังแค้นคุณมากขนาดนี้อยู่อีกล่ะครับ?”

“เพราะว่าเขาดื้อเกินไปน่ะสิ” หลวี่ปินยิ้มอย่างอ่อนใจ “เขายังเอาแต่นึกว่าฉันยังคงโทษตัวเองเรื่องการตายของเสี่ยวหลง จึงฝืนใจตัวเองให้ละทิ้งเรื่องที่ตัวเองคิดจะทำเพื่อทำให้ความฝันของเสี่ยวหลงเป็นจริง โดยไปออกแบบเกมออนไลน์ที่ตัวฉันเองไม่ได้ชอบโดยสิ้นเชิง”

“งั้นความจริงล่ะ?” จื่ออวี๋ฟังน้ำเสียงแล้วเหมือนหลวี่ปินเห็นเซียวหนานเป็นไอ้โง่ยังไงยังงั้น ดีไม่ดีเซียวหนานอาจจะเป็นบุคคลน่าสงสารที่ถูกหลวี่ปินหลอกปั่นหัวเอาอีกคนก็ได้

“ความจริงน่ะหรือ?” หลวี่ปินเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างได้ใจมาก “นั่นเป็นความชอบของฉันเองไงเล่า! จริงอยู่ว่าฉันชอบเขียนโปรแกรมมาก แต่ฉันไม่ได้เขียนโปรแกรมเพราะอยากจะเป็นแฮกเกอร์สักหน่อย ความจริงแล้วฉันชอบเขียน assembly ของตัวเองมากยิ่งกว่าไปเจาะทำลาย assembly ของคนอื่นเสียอีก ตอนนั้นเสี่ยวหลงติดเล่นเกมออนไลน์เอามากๆ แต่ดันไม่มีความอดทนค่อยๆ เก็บเลเวล ดังนั้นตอนแรกฉันจึงช่วยเขียนโปรแกรมบอทให้เขา ต่อมาก็ช่วยเขาทำเซิร์ฟเวอร์เถื่อน หลังจากได้สัมผัสเกมออนไลน์ตามเสี่ยวหลง ฉันก็เริ่มชอบเกมออนไลน์ และเริ่มฝันว่าจะสร้างเกมออนไลน์ที่เป็นไปตามที่ตัวเองคิดทั้งหมดขึ้นมาสักเกม ส่วนความฝันของเสี่ยวหลงคือได้เป็นคนที่เก่งที่สุดในเกมออนไลน์ ใครๆ ก็รู้จักเขา ใครก็สู้เขาไม่ได้ หึหึ...”

ความฝันที่เบบี๋เป็นบ้า...

“ตอนนั้นฉันกับเซียวหนานแล้วก็อีก 2-3 คนยังเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ดังมากอยู่เลย ฉันอยากจะแยกตัวออกมาจากกลุ่มนั้นไปทำเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำมาก เพียงแต่ฉันหาเหตุผลที่จะแยกตัวออกมาไม่ได้ ต่อมาการตายของเสี่ยวหลงได้ทำให้ฉันมีโอกาสพอดี ฉันบอกเซียวหนานว่า ฉันเป็นคนทำให้เสี่ยวหลงต้องตาย ดังนั้นฉันจะช่วยเสี่ยวหลงทำความฝันให้เป็นจริง ไม่อยากจะเป็นแฮกเกอร์อีก”

พูดไม่ออก...นี่มันคนอะไรกันเนี่ย? ใช้ประโยชน์แม้แต่คนตาย แถมยังเป็นคนที่ตายเพราะตัวเองอีกต่างหาก

หลวี่ปินมองสีหน้าไม่เห็นด้วยของจื่ออวี๋แล้วยิ้ม

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากการตายของเสี่ยวหลงหรอกนะ ตอนที่เสี่ยวหลงเพิ่งตายน่ะฉันรู้สึกผิดมากจริงๆ ฉันแยกตัวจากพวกเซียวหนานเข้าไปทำงานในบริษัทเกมออนไลน์แห่งนึง ถึงจะกำลังทำเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำและก็ข่มใจตัวเองอย่าให้มีความรู้สึกมีความสุข ให้ทั้งหมดเป็นการทำลงไปเพื่อความฝันของเสี่ยวหลงล้วนๆ

“ช่วงเวลานั้นน่ะอึดอัดมาก จะยิ้มไม่ได้ จะดีใจไม่ได้ ห้ามรู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จ เป็นเหมือนกับเครื่องจักร หลังจากนั้นเซียวหนานเป็นคนด่าจนฉันได้สติ ไม่มีใครโทษฉันเลยสักคน มีแต่ตัวฉันเองที่จมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองอย่างเจ็บแค้นใจ ถ้าเสี่ยวหลงที่อยู่ในยมโลกรู้เข้า คงไม่มีทางสบายใจเหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจกลับมาเป็นตัวของฉันเองดีกว่า ทำสิ่งที่ฉันอยากจะทำ ไล่ตามความฝันของฉันเองและของเสี่ยวหลง พาความฝันส่วนของเสี่ยวหลงไปด้วยกัน แต่เซียวหนานก็ยังเข้าใจว่าฉันยังคงโทษตัวเองอยู่ถึงได้ทำเกมออนไลน์ต่อไป ฉันอธิบายเท่าไหร่เขาก็ไม่เข้าใจ เขาว่าฉันอ่อนแอ ฉันว่าเขาหัวดื้อ ก็เลยยิ่งทะเลาะยิ่งรุนแรงอย่างนี้แหละ”

“งั้นก็แปลว่าแฮกเกอร์พวกนั้นเล็งมาหาเรื่องลูกพี่น่ะสิ?”

“ถูกต้อง คนที่ไปหาพวกนั้นคือซินซาง แต่พวกนั้นน่ะเล็งมาหาเรื่องฉัน”

“งั้นลูกพี่จะไม่เป็นแฮกเกอร์อีกแล้วจริงๆ เหรอ?”

“จะเป็นไปได้ไงเล่า!” หลวี่ปินเหมือนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาก “ขืนฉันไม่บอกว่าจะไม่เป็นแฮกเกอร์อีก เซียวหนานมีหวังลากตัวฉันกลับไปแหงๆ แต่ฉันมีเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำ เลยกลับไปไม่ได้”

“ลูกพี่ ผมเพิ่งจะรู้ก็วันนี้เองว่าลูกพี่เจ้าเล่ห์สุดๆ” ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่รู้เนี่ย?

“ไอ้เด็กเวร!” หลวี่ปินด่ายิ้มๆ แล้วพิงพนักโซฟาดื่มน้ำเย็น

ดูใบหน้ายิ้มบางๆ ของหลวี่ปินแล้ว อยู่ๆ จื่ออวี๋ก็โพล่งถามขึ้นว่า

“ลูกพี่ ถึงลูกพี่จะบอกว่าได้สติแล้ว แต่ในใจลูกพี่ก็ยังนึกโทษตัวเองอย่างมากอยู่ดีใช่มั้ยฮะ?” นึกถึง “บ้าน” ของหลวี่ปินที่แทบไม่ได้ดีไปกว่าห้องพักชั่วคราวนั่นกับความใจดีและตามใจที่มีให้พวกเขาทั้งสี่คนแล้ว พอมาดูในตอนนี้ดูเหมือนต่างก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขายังลืมเสี่ยวหลงไม่ลงทั้งนั้น

หลวี่ปินถอนหายใจเบาๆ พูดว่า

“จื่ออวี๋ ถ้านายทำให้คนใกล้ชิดมากของนายซักคนต้องตายไปด้วยมือของนายเองล่ะก็ ความรู้สึกนั้นน่ะมันลบให้หายไปไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ”

“ถ้างั้นพวกผมเป็น...จริงๆ...” จื่ออวี๋ไม่ได้พูดให้จบ การมีตัวตนอยู่ในลักษณะนั้นทำให้เขารู้สึกแย่มาก

“ขอโทษนะ!” หลวี่ปินกล่าวขอโทษอย่างตรงไปตรงมามาก “เสี่ยวหลงฝันอยากจะเป็นบอสในเกมออนไลน์มาตลอด จะเดินไปไหนก็เท่ระเบิด ถึงทุกคนจะคิดว่าความฝันของเสี่ยวหลงไร้สาระมาก แต่ตัวเสี่ยวหลงเองมีความสุขกับความฝันนี้มาก สงครามเทพฯ...คือความฝันของฉัน ส่วนพวกนาย คือความฝันของเสี่ยวหลง”

ใช่สิ ตอนแรกหลวี่ปินก็บอกแล้วนี่นะว่าตอนแรกเริ่มสงครามเทพฯไม่ได้ออกแบบบอสให้มีคนบังคับ แต่เพราะหลวี่ปินว่างจัดมากเกินไป ถึงได้ให้พวกเขามาบังคับบอส จื่ออวี๋ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับหลวี่ปินยังไงดี พวกเขาทั้งสี่คนได้กลายเป็นตัวแทนของคนตายโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แถมตัวเขาในตอนนี้ยังดันไม่สามารถกล่าวตำหนิการหลอกลวงของหลวี่ปินได้อีกต่างหาก

“งั้นวันนี้ที่ออฟฟิศ ที่อยู่ดีๆ ลูกพี่ก็อารมณ์เสีย ก็เพราะเพื่อเสี่ยวหลงเหมือนกัน?” นึกถึงท่าทางหม่นเศร้าในตอนนั้นของหลวี่ปินแล้วเห็นว่าเหมือนกับท่าทางเวลาเอ่ยถึงเสี่ยวหลงในตอนนี้เปี๊ยบ

“อืม ฉันแค่ตระหนักขึ้นมากะทันหันว่า นั่นเป็นแค่ความฝันของเสี่ยวหลง ไม่ใช่ความฝันของพวกนาย” หลวี่ปินมองจื่ออวี๋ด้วยรอยยิ้มขอโทษ อธิบายว่า “ถึงฉันจะถือพวกนายเป็นคนทำให้ความฝันเป็นจริงแทนเสี่ยวหลงอย่างเห็นแก่ตัว แต่ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้พวกอาจ่ายต่างเห็นบอสเป็นแค่งานเท่านั้น พวกเขาไม่อยากจะเป็นบอส พวกเขาอยากแต่จะเป็นตัวของพวกเขาเอง พอฟังพวกเขาพูดว่าจะฝึกตัวละครของตัวเองจนเก่งแค่ไหนแล้ว ฉันก็นึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆ จริงๆ ที่ยอมให้พวกเขาเข้าไปเล่นในสงครามเทพฯ ถ้าพวกเขาเข้าไปในสงครามเทพฯผ่านทางบอสได้แค่ทางเดียว บางทีอาจจะสามารถทุ่มเทกายใจทั้งหมดทำให้ความฝันของเสี่ยวหลงเป็นความจริงก็ได้”

ว่าแล้วเชียว ตอนนั้นหลวี่ปินคิดจะลบไอดีของพวกเขาทิ้งจริงๆ

“ฉันเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พวกนายพร้อมสรรพแล้ว บอสที่แข็งแกร่งที่สุด เกมที่สมบูรณ์แบบ ผู้เล่นจำนวนมาก ถ้าเสี่ยวหลงอยู่ล่ะก็ เขาจะต้องพอใจแน่นอน”

“งั้นลูกพี่คิดจะทำยังไงกับพวกเราครับ? จะให้พวกเราเป็นตัวแทนไปห้าปี?”

“ฉันรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเองที่ดึงพวกนายเข้ามาเกี่ยวข้องมาตั้งแต่แรก แต่ว่านะจื่ออวี๋ นายเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าอาชีพนักเล่นเกมอาชีพนี่น่ะ นายจะทำไปได้นานซักแค่ไหน? ห้าปี? สิบปี? ยี่สิบปี? ตอนนี้น่ะพวกนายกำลังเบิกชีวิตมาใช้ล่วงหน้า อาชีพนี้น่ะทำไม่ได้นานเท่าไหร่นักหรอก สังคมในตอนนี้เองก็ไม่ได้ให้การยอมรับอาชีพนี้ด้วย สุดท้ายพวกนายก็ต้องกลับคืนสู่สังคมอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

หลวี่ปินพูดได้ถูกต้อง ตัวจื่ออวี๋เองก็รู้ดีว่าอาชีพนี้ไม่มีทางทำได้นาน แต่จื่ออวี๋ยังคงฟังเจตนาของหลวี่ปินไม่เข้าใจอยู่ดี

“ลูกพี่หมายความว่า?”

“ถือซะว่าเป็นการชดใช้ที่ฉันให้กับพวกนาย หลังจากถึงกำหนดสิ้นสุดสัญญาแล้ว พวกนายสามารถรั้งอยู่ที่บริษัทต่อได้ รับเงินเดือน มีสวัสดิการ ขอแค่บริษัทไม่เจ๊ง พวกนายก็สามารถเป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ ได้”

นี่คือการแลกเปลี่ยน และดูจากตอนนี้แล้วจื่ออวี๋ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร เวลาห้าปีแลกกับงานระยะยาวที่มั่นคง แถมในช่วงเวลาห้าปีนี้พวกเขาแทบจะเท่ากับว่าทำงานดั้งเดิมของตัวเองอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คุ้มค่าทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้จื่ออวี๋ตัดสินใจได้ กลับเป็นใบหน้าที่บาดเจ็บไปทั้งหน้าของหลวี่ปิน

บางทีหลวี่ปินอาจจะพันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรที่จะหลอกลวงพวกเขามาตั้งแต่แรก...หลอกใช้พวกเขามาตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้หลวี่ปินกลับทำได้ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับพวกจื่ออวี๋แล้วจริงๆ...เขาจะคุ้มครองพวกจื่ออวี๋ให้ปลอดภัย ดังนั้นในตอนนี้หลวี่ปินจึงแผลเต็มไปทั้งตัว ส่วนจื่ออวี๋กลับปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน จื่ออวี๋เห็นว่าหลวี่ปินห่วงใยพวกเขาจริงๆ ไม่แค่จะให้พวกเขาทำความฝันให้เป็นจริงแทนเสี่ยวหลงเท่านั้น แม้แต่ความรู้สึกผิดและความเอ็นดูที่มีต่อเสี่ยวหลง ก็ให้พวกเขารับไปแทนด้วยเช่นกัน

“เรื่องที่พูดในคืนนี้ ผมจะบอกพวกอาจ่ายได้หรือเปล่าครับ?”

“ถ้านายเห็นว่าจำเป็นล่ะก็”

“พวกอาจ่ายน่ะเป็นห่วงลูกพี่มากกันทั้งนั้น อยู่ดีๆ ลูกพี่ก็อารมณ์เสีย พวกนั้นไม่ได้รู้กันเลยว่าตัวเองทำผิดอะไร ถ้าบอกพวกเขาไป พวกเขาจะได้พอรู้เรื่องบ้าง”

“งั้นหรือ?” หลวี่ปินยิ้มฝืดๆ “งั้นก็บอกเถอะ พรุ่งนี้ฉันคงจะไปที่ออฟฟิศไม่ไหว ถ้าพวกเขาฟังจบแล้วมีใครอยากจะลาออก ก็ให้โทรมาหาฉันแล้วกัน”

“คิดแผนอะไรไว้รับมือกับพวกนั้นอีกล่ะ?” จื่ออวี๋นึกถึงครั้งก่อนที่โวยวายว่าจะลาออกกัน หลวี่ปินแค่ใช้คอมพิวเตอร์สี่เครื่องก็จัดการพวกเขาเสียอยู่หมัด

“นายนึกว่าฉันทำได้ไปหมดทุกเรื่องจริงๆ รึไง?” หลวี่ปินถามยิ้มๆ “โกหกครั้งแรกอาจจะพอขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้ได้ก็จริง โกหกครั้งที่สองน่ะยากแล้ว”

“ผมว่าแค่ลูกพี่ใช้หน้านี้ไปรับมือพวกอาจ่าย ไม่ต้องพูดอะไรซักคำ แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็พอ อาจ่ายก็ลืมเรื่องที่คิดจะลาออกไปเลยแล้วล่ะ” จื่ออวี๋เริ่มจินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าถ้าหลวี่ปินโผล่ขึ้นที่ออฟฟิศและเหล่าบอสน้อยได้เห็นใบหน้าสารพัดสีนี่เข้า จะเกิดสถานการณ์แตกตื่นโกลาหลขนาดไหน

“เฮ่ย อนาถขนาดนั้นเลยจริงๆ เรอะ?” หลวี่ปินยกมือขึ้นไปลูบๆ ดูอย่างอดไม่ได้

“ลูกพี่ยังไม่ได้ส่องกระจกดูล่ะสิ?” ดูใบหน้าของหลวี่ปินนั่นแล้วจื่ออวี๋นึกไปถึงสำนวนสุดคลาสสิคประโยคหนึ่งขึ้นมาทันที...อัดจนแม่นายก็จำหน้านายไม่ได้!

“จะว่าไปฉันอาจจะควรไปแต่งหน้าเพิ่มจริงๆ แฮะ แล้วพอกปูนพลาสเตอร์อะไรเทือกนั้นตามตัวอีกนิดหน่อย ไม่แน่อาจจะเอาไอ้เด็กเวรพวกนั้นได้อยู่หมัดก็ได้”

นี่มันคนอะไรกันเนี่ย...จื่ออวี๋ใกล้จะบ้าแล้ว...


<>::<>::<>



ตอนที่จื่ออวี๋ถูกส่งกลับไปบ้านก็เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว คนที่ส่งเขากลับบ้านคือผู้ชายชื่อเสี่ยวซานนั่นตามเคย แน่นอนว่านี่คือคำร้องขอของหลวี่ปิน

ดูเหมือนหลวี่ปินจะมีฐานะสูงมากในกลุ่มคนพวกนี้ นอกจากที่ว่าคนที่ชื่อเฉียงเกอนั่นมีท่าทางเกรงใจหลวี่ปินมากแล้ว คนอื่นที่เหลือต่างก็เรียกหลวี่ปินว่า “ปินเกอ” กันทั้งนั้น ตอนที่จื่ออวี๋ถามหลวี่ปิน คำตอบของหลวี่ปินทำเอาจื่ออวี๋พูดไม่ออกอีกรอบ

“ตอนนั้นที่โดนพวกฉันส่งเข้าคุกไปคือบิ๊กบอสของเฉียงเกอ พอโดนพวกฉันจัดการเข้าแบบนั้น เฉียงเกอก็ฉวยโอกาสยึดตำแหน่ง หลังจากรู้เบื้องหลังของฉันกับเซียวหนานเขาก็พูดอะไรทำนองคนเก่งยากพบพาน ความจริงว่ากันตามตรงก็คือคิดจะให้พวกฉันช่วยทำงานให้เขานั่นแหละ เซียวหนานไม่สนใจเขา ส่วนฉันไม่ได้มีแบ็กแข็งอย่างเซียวหนาน ดังนั้นฉันกับเฉียงเกอจึงต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์กัน”

“ลูกพี่ช่วยเขาทำอะไรเหรอ?”

“ขโมยข้อมูล หาเงิน”

“แล้วเขาล่ะ?”

“เรื่องที่ฉันจัดการไม่ได้จะยกให้เขาจัดการทั้งหมด”

“พูดให้ชัดเจนหน่อย”

“พูดให้ชัดเจนหน่อยก็คือ เวลาฉันหานายทุนมาลงทุน เขาจะช่วยลักพาตัวนายทุนมาให้ฉัน แน่นอนว่าเขารับผิดชอบแค่ลักพาตัวนายทุนเท่านั้น ส่วนฉันรับผิดชอบเกลี้ยกล่อมให้นายทุนพวกนั้นสมัครใจยอมควักเงิน อีกตัวอย่างก็คือ เวลามีคนมาหาเรื่องฉันเขาจะช่วยฉันจัดการซะ อย่างเช่น เวลาฉันกับนายถูกลักพาตัว เขาจะต้องมาช่วย”

“ลูกพี่...”

“หือ?”

“ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว”

ขณะที่จื่ออวี๋ยังคงนั่งเหม่อ รถก็หยุดลง เสี่ยวซานเห็นจื่ออวี๋ยังคงไร้ปฏิกิริยา ก็พูดเสียงดังอย่างรำคาญ

“ถึงแล้ว!”

จื่ออวี๋หันไปมองนอกหน้าต่าง รถได้จอดลงตรงหน้าประตูเขตหมู่บ้านของบ้านเขาแล้ว จื่ออวี๋เพิ่งจะลงจากรถ รถก็เลี้ยวหัวกลับแล่นฉิวจากไป

ขืนกลับไปบ้านตอนนี้ คุณแม่ที่เคารพมีหวังถามโน่นถามนี้ไม่รู้จบอีกแน่ จื่ออวี๋มองไปทางทิศที่บ้านของเขาเองตั้งอยู่ แล้วหันตัวกลับมุ่งหน้าไปยังห้องที่พวกเอ้อร์เลิ่งเช่าพัก

“นี่มันอะไรกันน่ะ?” เอ้อร์เลิ่งเปิดประตูปุ๊บก็เห็นจื่ออวี๋ที่ยืนหิ้วถุงใบเล็กใบใหญ่เต็มมือ

“เอาข้าวเช้ามาส่งให้พวกนายไง!” จื่ออวี๋ยิ้ม เอ้อร์เลิ่งเปิดทางให้ จื่ออวี๋จึงเข้าไปในห้องอย่างราบรื่น

พูดตามตรงห้องที่เอ้อร์เลิ่งกับต้าส้าวเช่าพักไม่เลวเลยจริงๆ พื้นที่ไม่กว้างมาก แต่อยู่สบายมาก ของที่ควรมีก็มีครบหมด จื่ออวี๋วางน้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋ลงบนโต๊ะ แล้วหยิบปาท่องโก๋เส้นหนึ่งยัดใส่ปากก่อนใครเพื่อน เหนื่อยมาทั้งคืน นอกจากไวน์ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย จื่ออวี๋จึงหิวมาตั้งนานแล้ว

“โหยวอวี่ เช้างี้เชียว?” ต้าส้าวเองก็หาวหวอดพลางเดินออกมาจากห้องของตัวเอง หลับตาลงครึ่งหนึ่งอย่างยังไม่ตื่นดี

“ต้องเช้าแน่ล่ะ ไม่ได้นอนทั้งคืนนี่”

“ไปเป็นนักสืบอีกแล้วเรอะ?” เอ้อร์เลิ่งกับต้าส้าวเข้ามานั่งล้อมวงด้วยคน หยิบปาท่องโก๋ขึ้นมาพลางดื่มน้ำเต้าหู้ เอ้อร์เลิ่งดื่มไปพลางบ่นอุบอิบไปพลางว่า “น้ำเต้าหูเมือง S นี่รสชาติพิกลจริงๆ”

ก็พอๆ กับนักสืบแล้วนั่นแหละ จื่ออวี๋แอบถอนหายใจ พอเบนสายตาไป ก็มองเห็นคอมพิวเตอร์สองเครื่องในห้องโถง เนื่องจากในเมืองดินไม่มีคน เจ้าสองหน่อนี้เลยเปิดบอททิ้งไว้อย่างไม่ต้องกลัวว่าใครจะรู้ ตอนนี้บอทยังตีมอนสเตอร์อยู่เลย หนอนเขียวของต้าส้าวใกล้จะไต่ขึ้นไปถึงขั้นห้าแล้ว

แค่ชั่วเวลาสั้นๆ คืนเดียว พอได้เห็นหน้าจอสงครามเทพฯอีกครั้ง จื่ออวี๋อุปาทานเหมือนผ่านไปแล้วหนึ่งชาติยังไงยังงั้น อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ต้องกลับไปที่ออฟฟิศแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะบอกพวกอาจ่ายยังไงดี? ชายหนุ่มคิดว่าหลวี่ปินไม่มีทางเล่าเรื่องของตัวเองซ้ำให้พวกนั้นฟังอีกรอบเหมือนอย่างคืนที่ผ่านมาแน่ๆ และถ้าไม่ใช่เพราะผ่านอันตรายมาด้วยกันกับหลวี่ปินแบบนั้นละก็ ตัวเขาเองก็ไม่มีทางยอมยกโทษให้ในเรื่องที่หลวี่ปินทำง่ายๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่ในเมื่อยกโทษให้ไปแล้ว จื่ออวี๋เองก็ไม่อยากจะให้ความพยายามเนิ่นนานขนาดนี้ของหลวี่ปินต้องสูญเปล่า

“ต้าส้าว นายว่าในบรรดาคนที่พวกเรารู้จัก ใครหลอกอำคนอื่นเก่งที่สุด”

“นาย!”

“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?”

“นายนึกว่าฉันเชื่อจริงๆ รึไงว่านายไปเป็นนักสืบเอกชน?”

ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าฉันเป็นนักสืบเอกชน...เซ็งสุดขีด...

“งั้นใครแถเก่งที่สุด? ตายพูดซะกลายเป็นเป็น ดำพูดซะกลายเป็นขาว แล้วยังทำให้นายเชื่อได้จริงๆ?” ดีไม่ดีอาอิ่งอาจจะพอทำได้ก็ได้...น่าเสียดายที่อาอิ่งเองก็เป็นหนึ่งเป้าหมายที่จำเป็นต้องอำด้วยเหมือนกัน

“เครื่องล้างสมองเป่าจูนั่นไง” เอ้อร์เลิ่งพูดพลางชูนิ้วมันแผล็บ

เจ๋งเป้ง! ยายหมูไร้เทียมทานตัวนั้น!

จื่ออวี๋รีบพุ่งไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ของเอ้อร์เลิ่งทันที คลิกเปิดหน้าต่างเพื่อน ยายเป่าจูนั่นออนไลน์อยู่จริงๆ ด้วย

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : เป่าจู โทรศัพท์เธอเบอร์อะไรน่ะ?’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : สหายเอ้อร์เลิ่ง มีเรื่องอะไรรึ?’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ฉันคือโหย่วสือโหยวอวี่ มีเรื่องอยากจะขอให้เธอช่วย’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : เสี่ยวอวี่เหรอ เมื่อวานนายไปไหนน่ะ? ไปจีบน้องหนูอีกแล้วใช่รึเปล่า? ไม่พูดไม่จาทั้งวันเชียว ทำเอาฉันเบื่อแทบตาย...ถ้านายคิดจะถามกลยุทธ์ในการจีบน้องหนูจากฉันล่ะก็ ฉันน่ะคิดค่าบริการนะจ๊ะ!’

เงียบ...

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ฉันมีเรื่องซีเรียส!’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : เรื่องซีเรียสอะไร? น้องหนูนั่นท้องแล้วเรอะ?’

เปรี้ยง!

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : เธอจะช่วยตั้งใจจัดการเรื่องซีเรียสให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดเล่นได้มั้ย?’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : จัดการเรื่องซีเรียสเสร็จนายก็เลิกสนฉันอีกน่ะสิ’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ......’

กรรมตามสนองเอ๋ยกรรมตามสนอง...นี่ถ้าเขาพูดเก่งเหมือนอย่างยายอู๋ตี๋จูนี่ละก็ ดีไม่ดีแม้แต่หลวี่ปินยังต้องสะอึกพูดไม่ออกก็ได้

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : จริงสิ ไอดีของนายเองล่ะ?’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ฉันอยู่ที่บ้านเอ้อร์เลิ่ง เธอจะเอายังไงถึงจะยอมช่วยฉัน?’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : นั่นก็ต้องดูแหละนะว่าเธออยากจะให้ฉันช่วยทำอะไร’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ช่วยคิดหาวิธีให้ฉันหน่อยว่าจะพูดเรื่องที่เป็นฝ่ายผิดอย่างแรงให้ฟังดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกอย่างแรงได้ยังไง’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : อ๋า เสียวอวี่ นี่นายกะจะกินกลางตลอดตัวแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องงั้นเรอะ!’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : ปัญหานี้ซีเรียสมากนะสำหรับฉัน!’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : เป๋าเป่า กี่เดือนแล้ว?’

‘เอ้อร์เลิ่งจื่อ : อะไรกี่เดือนแล้ว’

‘อู๋ตี๋เป๋าเป่าจู : เด็กไงเล่า! พูดเรื่องที่เป็นฝ่ายผิดอย่างแรงให้ฟังดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกอย่างแรง นายไม่ได้คิดจะได้แล้วทิ้งหรอกเรอะ? ถ้าเด็กโตเกินไปก็ยุ่งยากเอาการล่ะนะ’

แม่ง! พระเจ้าทรงเป็นพยาน ถ้าเขาไปขอให้ยายหมูตัวนั้นช่วยอีกก็ขอให้ฟ้าผ่าเลย!

ขณะที่จื่ออวี๋กำลังคิดจะทุบคอมพิวเตอร์ทิ้ง ต้าส้าวก็เดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ

“พี่น้อง ทนต่ออีกหน่อยเถอะ! รอจนคุณเธอเล่นพอแล้วก็จะช่วยนายคิดหาวิธีอย่างจริงจังเองแหละ”

จื่ออวี๋หันไปมองต้าส้าวอย่างสงสัย อย่าบอกนะว่าต้าส้าวมีประสบการณ์มาก่อน?

“นายเปิดเครื่องทิ้งไว้ทุกวัน พอเข้ามาก็ไม่ค่อยสนใจคุณเธอ คุณเธอเลยหงุดหงิดน่ะสิ!”

กรรมตามสนองจริงๆ ด้วย...

พูดแถนอกเรื่องเป็นเพื่อนยายหมูตัวนั้นยู่สิบกว่านาที ตาที่ถลึงจ้องหน้าจอของจื่ออวี๋แทบจะเหลือกด้านเป็นตาปลาตายอยู่รอมร่อ ถึงค่อยอดทนรอจนได้เบอร์มือถือของยายหมูตัวนี้มาจนได้

“บอกมาเถอะ นายไปทำอะไรไว้?” เสียงหวานใสจากปลายสายอีกด้านพูดขึ้น ถ้าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของยายหมูตัวนั้น จื่ออวี๋คงจะคิดว่าเพราะมากอยู่หรอก

“ช่วยแต่งเรื่องให้ฉันซักเรื่อง ยิ่งซึ้งยิ่งดี”

“นายไม่อธิบายให้ชัดเจนแล้วจะให้ฉันแต่งเรื่องได้ยังไง?”

เรื่องนี้จื่ออวี๋เองก็รู้ดี ปัญหาคือเขาจะบอกอู๋ตี๋จูยังไงดี? เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ควรให้คนนอกรู้อยู่แล้วเสียด้วย หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จื่ออวี๋ตัดสินใจใช้วิธีบอกเล่าแบบตรงไปตรงมาที่สุด

“ตัวอย่างเช่นมีคนคนหนึ่งชื่อว่านายก. ได้หลอกใช้นายข.เนื่องจากเหตุผลบางอย่าง ก.ถือข.เป็นตัวแทนของคนที่ตายไปแล้ว ให้ข.ไปทำให้ความฝันของคนที่ตายไปแล้วคนนั้นซึ่งก่อนตายทำไม่สำเร็จให้สำเร็จเป็นจริง ตอนนี้ก.จำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องนี้กับข.อย่างไม่มีทางเลี่ยง และอยากจะได้รับการยอมให้อภัยอย่างใจกว้างที่สุดจากข. เรื่องราวก็คงจะประมาณนี้แหละ ถ้าเนื้อหาตรงไหนในที่กล่าวมาข้างต้นไปซ้ำกับอะไร นั่นเป็นการแต่งขึ้นทั้งนั้น”

“นายคิดจะเปลี่ยนอาชีพไปเขียนบทละครโทรทัศน์เรอะ?”

“คุณหนูครับ...”

“รู้แล้วน่า! นายก. นายข. แล้วก็คนที่ตายนั่นเป็นผู้ชายล้วนหรือว่าผู้หญิงด้วย?”

“ผู้ชายล้วน”

“อ้อ งั้นก็เป็นแนววัยรุ่นไฟแรงน่ะสิ แต่งง่ายออกนี่ นายเคยดูสแลมดังค์มั้ย? ไม่งั้นก็ไซยูกิ ฮันเตอร์ วันพีซ คงจะเคยดูซักเรื่องหรอกนะ? แต่งตามนั้นแหละ”

“แล้วถ้ามีผู้หญิงอยู่ด้วยล่ะ?”

“งั้นก็แต่งตามหนังของฉงหยาว ละครน้ำเน่าสมัยนี้น่ะไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล ดูแล้วไม่ค่อยจะอิน แต่มีคนตายอยู่ด้วยนี่เนอะ งั้นก็เรียกน้ำตาได้ง่ายมาก พล็อตหลักนี้ของนายไม่เลวเลย ปมสำคัญที่ควรมีก็มีครบหมด ถ้าแต่งได้ดีนี่ไม่แน่ว่านิยายนายอาจจะกลายเป็นละครดังหลังข่าวไปเลยก็ได้นะ”

......

ลูกพี่ครับ ผมขอโทษ!

นี่ถ้าหลวี่ปินมาได้ยินคำพูดที่เป่าจูพูดเมื่อกี้ละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งคนมาเชือดคุณเธอทิ้งก็ได้

อู๋ตี๋จูสมแล้วที่โตมากับการกล่อมเกลาของนิยาย ละครโทรทัศน์ และการ์ตูนอนิเมชันมากมายมหาศาล แถมยังควบทำอาชีพด้านขีดๆ เขียนๆ ที่ได้เปรียบอีกต่างหาก แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จัดแจงแต่งเรื่องแนวไฟแรงกับแนวรักเสร็จสมบูรณ์ทั้งคู่

“เป่าจู”

“หือ?”

“เธอไม่ไปเขียนนิยายนี่เสียของเวลาชาติกำลังขาดคนจริงๆ”




<>::<>::<>::<>::<>::<>



Create Date : 09 กรกฎาคม 2554
Last Update : 11 กรกฎาคม 2554 10:31:53 น. 10 comments
Counter : 370 Pageviews.

 
ลูกพี่ นายนี่มัน...


โดย: chaluntharee IP: 202.28.182.5 วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:59:38 น.  

 
ลูกพี่มองไปไกลมาก.............


โดย: Valenta IP: 124.121.215.13 วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:11:42:15 น.  

 
เฮ้อ จะคิดมากไปทำไมกันนะ

ความคิดของคนอ่านที่คิดน้อย

ขอบคุณค่า


โดย: ซาลาสซา IP: 110.168.201.127 วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:27:33 น.  

 
ต่อไปเรื่องจะเป็นไงเนี่ย


โดย: Phanu IP: 124.120.107.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:23:36:42 น.  

 
ลูกพี่...สุดยอดจริงๆ (T-T)o


โดย: วาตะ IP: 125.25.168.83 วันที่: 9 กรกฎาคม 2554 เวลา:23:49:11 น.  

 
ลูกพี่.....
อิอิ เหอๆๆ ขอจิ้นวายแล้วกัน


โดย: เก็นคุง IP: 58.11.165.242 วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:58:33 น.  

 
รักรุ่นพี่ ^^


โดย: พายส้ม IP: 124.121.163.205 วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:22:03:26 น.  

 
ฮา...

อ่านเมามันดีนะคะเรื่องนี้

แต่ออกจะ Y มาเลย ฮ่าๆ ๆ

อยากให้เล่มสามออกไวๆ เหลือเกิน ซื้อเล่มสองมาพลิกอ่าน ลูบๆ คลำๆ ได้พักใหญ่ละ


โดย: ผสมสารกันบูด IP: 119.42.117.152 วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:23:52:08 น.  

 
ขำวุ้ย อยากอ่านทั้งเล่มไวๆจัง


โดย: Phanu IP: 110.169.227.204 วันที่: 14 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:39:05 น.  

 
หลวี่ปิน พี่ชอบเขียน Assembly แต่ผมโคตรเกลียดมันเลยครับ T^T (เกลียดแต่ก็ยังเจอ เพราะมันลงตัว Assembler ยาก...)


โดย: Darkerisis IP: 192.168.1.12, 180.183.110.116 วันที่: 15 กรกฎาคม 2554 เวลา:0:14:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ซีเรีย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add ซีเรีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.