Deleted Scene :: Take II - Tears - [2.2]


Redeem the sin


Deleted Scene ::Take II

-Tears-

(continued) 



ข้าดำรงตนประหนึ่งเงาแห่งท้องพระโรงวาลฮาลลาเฝ้ามองกษัตริย์แห่งแอสการ์ดทรงงานด้วยความเงียบ เสร็จสิ้นราชกิจส่วนกษัตริย์ธอร์กลับไม่ยินยอมให้ตนได้พักผ่อน เพราะทันทีที่มีเวลาพักหายใจเขาจะออกไปตามหา...บางสิ่ง


บางทีข้าควรยอมรับได้แล้วว่าบางสิ่งนั้นคือข้าเอง


ธอร์ไม่เคยยอมหยุดพัก ราวกับมีอะไรบางอย่างผลักดันตลอดเวลาเขาทำราวกับว่าถ้ายอมถอดใจแม้เพียงเสี้ยววินาทีสิ่งนั้นจะหลุดลอยหายไปจากตนตลอดกาล


ท่านจะตามหาผู้ที่ไม่รู้แน่ว่ายังอยู่หรือตายไปเพื่ออะไร...


สหายทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคอยเตือนเขาให้พักผ่อนหากไม่มีแม้สักครึ่งคำที่จะบอกให้ธอร์ถอดใจข้าสงสัย...ว่าคงเคยมีคนพยายามแล้วพบว่าเศียรของกษัตริย์แข็งและหนาหนักยิ่งกว่ามิโอลนิร์


วิธีข้ามมิตินั้นมีอยู่ แน่ล่ะไม่เช่นนั้นข้าจะมาถึงแอสการ์ดได้อย่างไร ธอร์ค้นพบมันด้วยวิธีการบางอย่างจะด้วยค้นหาเอาเองหรือบังคับหักคอเอากับจอมเวทในแอสการ์ดก็สุดจะรู้เมื่อเขาลุกจากบัลลังก์ สิ่งแรกที่เขาทำคือข้ามมิติไปยังสถานที่อันห่างไกล


พระเชษฐาผู้โง่เขลา ท่านคิดว่าทั้งนพโลกนี้มีดวงดาวอยู่กี่ดวงกัน...


“โลกิ!!! โลกิ เจ้าอยู่ไหน!! โลกิ!!!” เสียงตะโกนแหบห้าวนั้นกระทบโสตประสาทข้ายืนเงียบจ้องมองเขาประหนึ่งวิญญาณตามติดไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด...ที่ข้าไม่กล้ามองสบเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของธอร์


...หากเผลอจ้องมองข้าอาจกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นการเปิดเผยตัวตน...


เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปอย่างทรมานสำหรับธอร์แต่ทรมานยิ่งกว่าสำหรับตัวข้าเอง


ทั้งๆที่ข้าควรยินดีต่อความทุกข์ทรมานของพี่ชายผู้ไร้สายโลหิตเดียวกัน หากทว่าทุกครั้งที่เสียงของธอร์ดังใจข้ากลับสั่นคลอน


นานวัน...ข้าพบว่าการควบคุมตัวเองทำได้ยากขึ้นทุกทีเสียงระโหยเอ่ยเรียกนาม “โลกิ” ของข้าไม่ว่าจะจากธอร์หรือเสด็จแม่ มักจะทำให้ข้าเผลอเผยอริมฝีปากขึ้นแทบจะส่งเสียงขานรับ...แต่โชคดีที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง


ข้ารู้...รู้ดี หากตัวเองยังปรารถนาความบ้าคลั่งต่อไปการอยู่เช่นนี้รังแต่จะทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรง ควรจากไปเสีย จากไปให้ไกลวาดฝันถึงวันเวลาอันแสนสงบสุขในแอสการ์ด จินตนาการถึงความหลอกลวงและเย้ยหยันหันหลังให้กับความเป็นจริง


...สมองรู้ดี หากใจข้ากลับถูกพันธนาการ...


นับวัน...นับเดือน...ที่ข้าดำรงตนประหนึ่งเงาของธอร์ --เงา...ที่ข้าเคยคิดว่าตัวเองเป็น แต่มาบัดนี้ข้าจึงได้รู้ธอร์ไม่เคยหันมองเงาของตน เพราะเขาไม่เคยก้มหน้าคอตกด้วยความท้อแท้สิ้นหวังหากพี่ชายไม่เคยละสายตาจากข้าแม้สักวินาที แม้ในยามที่เขามองไม่เห็นแม้เพียงปลายผมของข้าก็ตาม


นานวัน...ข้าพบว่าหัวใจของข้าสั่นคลอนเกินกว่าจะบังคับให้ตัวเองคิดเรื่องจากไปเมื่อเห็นพระมารดาร่ำไห้อย่างเงียบๆ เพียงลำพังในสวนอันเปล่าดายบ่อยครั้งที่ข้าเผลอยื่นมือออกไป...เกือบจะสัมผัสร่างผ่ายผอม แล้วโอบกอดเอาไว้กระซิบว่าข้ากลับมาแล้ว


...หากมันก็ยังเป็นเพียงแค่คำว่า ‘เกือบ’


บางสิ่งบางอย่างในใจข้ายังฉุดรั้งไม่ให้กระทำการอันอุกอาจเอาไว้สิ่งนั้น...ข้าเรียกมันว่าสติยั้งคิด หากมนุษย์กลับเรียกมันว่าความหวาดกลัว


ขณะเดียวกัน...เสียงตะโกนของธอร์กลับแทรกซึมลึกลงในใจข้ามากขึ้นอย่างมิอาจต้านทานไม่ต่างจากพิษร้ายที่กัดกินวิญญาณให้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนดิ้นรนใจหนึ่งร้องตะโกนให้ยอมจำนน หากอีกใจกลับร้องระงมให้รีบหนีไป


...ข้าเคยบอก...ข้าไม่อาจหนีได้ข้าไม่อาจทนต่อความอัปยศอดสูที่ต้องหันหลังให้ศัตรูวิ่งหนีหากจุกตูดไม่ต่างจากเดรัจฉานยามเผชิญหน้าต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตน --ธอร์มีคุณสมบัติตรงตามที่ว่าทุกประการ หนึ่งคือเป็น...ศัตรู และสองคือ...ยิ่งใหญ่กว่าข้ามากมาย


ธอร์ดำรงหน้าที่เป็นทั้งกษัตริย์และพี่ชาย หากไม่ว่าจะในฐานะใดทั้งเขาและข้าก็รู้มากพอกันว่าภารกิจนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุดลง ตราบจนวันสุดท้าย...ของลมหายใจ


นับวัน เสียงร้องเตือนให้หนีไปเริ่มจางหายและถูกแทนที่ด้วยเสียง...ซึ่งข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงของ...ข้าเอง


แรกเริ่มมันแผ่วเบามากจนข้าไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง...ในหัวของข้าก็มีแต่เสียงนั้นดังประโคมจนทำให้หูอื้อตาลาย


ท่ามกลางความขัดแย้งสับสนนั้น สัมผัสในฐานะจอมเวทของข้าไม่ได้ด้อยลงข้าสะดุ้งเฮือก รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดผ่านแผ่นหลังเสี้ยววินาทีที่สัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างได้นั้นทำให้เหงื่อออกโทรมกาย


ข้าค่อยๆ ผินหน้าไปมอง


สถานที่แห่งนั้นคือมิดการ์ด


ดินแดนที่ไม่เคยรู้จักคำว่าสงบสุขและหยุดอยู่เพียงแค่ที่ตนเอื้อมถึง


พวกมนุษย์พยายามปลุกเทซเซอแรคต์ข้าเขม้นมองผ่านห้วงมิติเพื่อยืนยันให้แน่ใจ


ใช่...และสิ่งที่ข้ารู้สึกนั้นก็ได้รับการยืนยันด้วยสองตาของข้าเอง


ข้าผละกายออกมาจากนิวาสสถานอันเป็นถิ่นฐานแห่งตนเดินทางจากไปไกลแสนไกลด้วยเวทมนต์ที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ข้าปรากฏตัวต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ชาวมนุษย์ และแน่นอน...เขาไม่เห็นข้า


ดวงตาของมนุษย์ตรงหน้าแฝงความกลัดกลุ้มกังวลข้าแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของเขาได้อย่างง่ายดาย นี่ล่ะหนามนุษย์ หัวใจช่างเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมายยิ่งกว่ารังผึ้งดำมืดยิ่งกว่าห้วงอนธการ ซับซ้อนยิ่งกว่าทางวงกต และกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดซึ่ง...ไม่ว่าจะถมความพอใจลงไปมากเพียงใดก็ไม่มีวันเต็ม


จะมีอะไรชักจูงง่ายไปกว่ามนุษย์อีกหรือ...ข้ามิเคยพบพาน


ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาเชิญตัวชายผู้นั้นไปผ่านทางเดินซับซ้อน มืดมิด และเต็มไปด้วยห้องหับซึ่งบรรจุวิทยาการมากมาย


“ด็อกเตอร์เซลวิก?”


เสียงเรียกนามของชายชราทำให้เขาชะงักก่อนหันไปมองเซลวิกนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากทักทายชายผู้นั้นด้วยคำถาม“คุณอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้เหรอ?”


เบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่ของชายชาวมนุษย์ผู้ปกปิดดวงตาข้างซ้ายด้วยผืนผ้าสีดำ


“ผมได้ข่าวสถานการณ์ที่นิวแม็กซิโกแล้วผลงานคุณประทับใจคนมากมายที่ฉลาดกว่าผม”


“ผมมีงานต้องทำอีกเยอะ ทฤษฏีฟอสเตอร์ ประตูข้ามมิติยังไม่มีใครทำมาก่อน” ชายผิวดำขยับเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยหากนั่นก็มากเพียงพอที่จะทำให้นักดาราศาสตร์รู้สึกไม่ใคร่แน่ใจ “ใช่รึเปล่า?”


ชายตรงหน้าไม่เอ่ยตอบคำถามนั้นหากกลับผินหลังแล้วเดินนำไปยังโต๊ะตัวหนึ่งพลางกล่าวถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาก่อนหน้า“ตำนานเล่าอย่าง ประวัติศาสตร์เล่าไปอีกอย่าง แต่นานๆครั้งเราจึงพบสิ่งที่...ถูกต้องตรงกันทั้งสองทาง”


คำเอ่ยของชายเบื้องหน้าทำให้ข้านึกขำมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่คิดบิดเบือนประวัติศาสตร์ไปจากความเป็นจริงปกปิดสิ่งเน่าเหม็นและโสมมไม่ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้เพราะเกรงความอับอายแทนที่จะสอนสั่งและอบรมไม่ให้ก้าวเดินไปในทางที่นำพาไปสู่หายนะกลับน้อมนำชักจูงให้ก้าวเดินเป็นวงกลมด้วยเหตุนั้นมนุษย์จึงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดมา


เช่นนั้นจะให้ประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์และตำนานถูกต้องตรงกันได้อย่างไร


เขายื่นมือไปเปิดกระเป๋าสีเงินออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นมันคือลูกบาศก์สีน้ำเงินที่บรรจุไปด้วยพลังงาน...มันคือเทซเซอแรคต์นั่นเอง


“มันคืออะไร”


“พลังอำนาจ ด็อกเตอร์ หากเราพบวิธีเข้าถึงมันได้มันอาจเป็นพลังที่ไร้ขีดจำกัด”


ข้าผินหน้ามองกระจกที่สะท้อนเงาซึ่งไม่มีผู้ใดมองเห็น ชักสายตาหลบจากขุมอำนาจทรงลูกบาศก์แล้วจึงขยับยิ้มอย่างไร้ความหมายหรือบางทีมันอาจจะมีเหตุผลมากมายเกินไปจนข้าไม่รู้จะเลือกข้อไหนมาอธิบาย


“เช่นนั้น...ก็น่าลองดู”



---† --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---





จัดหน้าให้อ่านง่ายๆ แล้วปรากฏว่า 2 พาร์ทไม่พอ...





Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 13:28:22 น.
Counter : 888 Pageviews.

2 comments
  
ชอบฟิคนี้มากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวมันต่อกันดี ได้จินตนาการสานต่อ 555+
ภาษาสวยมาก//ปลื้ม
อ่านแล้วเศร้า สงสารโลกิ ... แต่ชอบสุดๆ!
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆค่ะ
โดย: Vincent-Mist IP: 27.130.26.82 วันที่: 22 พฤษภาคม 2555 เวลา:20:19:55 น.
  
เป็นฟิคที่ภาษาสวยมากๆ
และรู้สึกว่าไม่อยากอ่านให้จบเลย...
สงสารทั้งคนพี่คนน้อง อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกปวดใจไปด้วยเลย
ในขณะเดียวกันกูรู้สึกอบอุ่นในความรู้สึกลึกๆของทั้งคู่
เพราะฉะนั้นอยากอ่านต่อแล้ว :D 55

ขอบคุณมากค่ะ
พยายามเข้านะไรเตอร์ !
โดย: luna.k IP: 110.168.76.104 วันที่: 23 พฤษภาคม 2555 เวลา:0:04:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SM.tale
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]