พระพุทธศาสนา
Group Blog
 
All Blogs
 
สรุปความ เพื่อนำสู่การปฏิบัติ 93 เมื่อได้กล่าวถึงวิธีคิดที่เป็นโยนิโสมนสิการมา ครบจำนวนที่ตั้งไว้แล

สรุปความ เพื่อนำสู่การปฏิบัติ

93 เมื่อได้กล่าวถึงวิธีคิดที่เป็นโยนิโสมนสิการมา ครบจำนวนที่ตั้งไว้แล้ว ขอย้ำความเบ็ดเตล็ดบางอย่างไว้ เพื่อเสริมความเข้าใจอีกหน่อย

   เท่าที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ถ้าตรวจดูขั้นตอนการทำงานของโยนิโสมนสิการ จะเห็นว่า โยนิโสมนสิการทำงานทั้ง ๒ ช่วง คือ ทั้งตอนรับรู้อารมณ์ หรือประสบการณ์จากภายนอก และตอนคิดค้นพิจารณาอารมณ์ หรือเรื่องราวที่เก็บเข้ามาแล้วในภายใน

   ลักษณะที่พึงสังเกตอย่างหนึ่งของการรับรู้ด้วยโยนิโสมนสิการ คือ การรับรู้เพียงเพื่อเป็นความรู้ (ที่ถูกต้องตามเป็นจริง) และเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับสติจะเอาไปใช้ประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต และทำกิจต่างๆต่อไป

   พูดอีกอย่างหนึ่งว่า   รับรู้ไว้   เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางสติปัญญา ไม่รับรู้ชนิดที่กลับผันแปรจากความรู้ไปเป็นสิ่งกระทบกระทั่งติดค้างเปรอะเปื้อน ที่ก่อปัญหาแก่ชีวิตจิตใจ รับรู้ โดยจิตใจได้ความรู้จากอารมณ์ หรือประสบการณ์ ไม่ใช่รับรู้แล้ว จิตใจถูกอารมณ์หรือประสบการณ์ครอบงำ หรือล่อพาหลงหายไปเสีย ซึ่งแทนที่จะได้ความรู้มาแก้ปัญหา หรือได้ปัญญามาดับทุกข์ กลับได้กิเลส และความทุกข์มาเพิ่มพูนทับถมตน แม้การคิดก็มีลักษณะทำนองเดียวกันนี้ ลักษณะอย่างนี้ คือความหมายส่วนหนึ่งของการเป็นอยู่ด้วยปัญญา

   อาจมีผู้เสียดายว่า   ชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา  ดูจะปราศจากอารมณ์ (อารมณ์ ตามความหมายอย่างสมัยใหม่) มีแต่ความแห้งแล้ง ไร้รสชาติ

    พึงชี้แจงว่า   สำหรับปุถุชน    การเป็นอยู่ด้วยอารมณ์  คอยจะครอบงำคนอยู่แล้วตลอดเวลา โยนิโสมนสิการ มีแต่จะมาช่วยแบ่งเบาแก้ทุกข์ให้ปัญหาบรรเทาลง จึงไม่ต้องห่วงว่า จะขาดอารมณ์

   ส่วนสำหรับผู้ใช้โยนิโสมนสิการสำเร็จผล จนพ้นความเป็นปุถุชนได้แล้ว ก็จะมีคุณภาพทางอารมณ์ใหม่ อย่างบริสุทธิ์ เด่นชัดขึ้นมา กล่าวคือ เกิดคุณธรรมข้อกรุณา มาช่วยสืบต่อคุณค่าทางด้านความงดงาม่อนโยนของชีวิตอยู่ต่อไป พร้อมทั้งแทนที่ความขุ่นมัว หมองเศร้า เหงา กังวล เป็นต้น ก็จะมีแต่ความรู้สึกที่ประณีต เช่น ความสดชื่น ผ่องใส โปร่งโล่ง เบิกบานใจ ความสุข ความสงบ และความเป็นอิสรเสรี สืบต่อไป

   มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมที่เป็นบุพภาคแห่งมัชฌิมาปฏิปทา ๒ อย่าง คือ ปรโตโฆสะที่ดี หรือกัลยาณมิตร และ โยนิโสมนสิการ นี้ เป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างบุคคล กับ โลก หรือสภาพแวดล้อมภายนอก   ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ตัวมรรค   ที่เป็นธรรมภายในเฉพาะตน

   กล่าวคือ กัลยาณมิตร (ปรโตโฆสะที่ดี) เป็นที่เชื่อมให้บุคคลติดต่อกับโลกอย่างถูกต้อง โดยทางสังคม  และโยนิโสมนสิการ   เป็นที่เชื่อมให้บุคคลติดต่อกับโลกอย่างถูกต้อง  โดยทางจิตใจของตนเอง อันได้แก่ ท่าทีแห่งการรับรู้ ความคิด ซึ่งเป็นท่าทีแห่งปัญญา หรือการมองตามเป็นจริง

  231วิธีโยนิโสมนสิการ เท่าที่แสดงมา ได้นำเสนอโดยพยายามรักษารูปร่างตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา   ผู้ศึกษาไม่พึงติดอยู่เพียงรูปแบบ หรือถ้อยคำ แต่พึงมุ่งจับเอาสาระเป็นสำคัญ

    อนึ่ง พึงย้ำไว้ด้วยว่า โยนิโสมนสิการนี้ เป็นหลักธรรมภาคปฏิบัติ ที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกเวลา มิใช่จะต้องรอไว้ใช้ต่อเมื่อมีเรื่องที่จะเก็บเอาไปนั่งขบคิด หรือปฏิบัติได้ต่อเมื่อปลีกตัวออกไปนั่งพิจารณา    แต่พึงใช้แทรกอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน    ที่เป็นไปอยู่ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง

   ทั้งนี้   เริ่มแต่การวางใจ วางท่าที ต่อบุคคลและสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง การตั้งแนวความคิด หรือการเดินกระแสความคิด การทำใจ การคิด การพิจารณา เมื่อรับรู้ประสบการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในทางที่จะไม่เกิดทุกข์ ไม่ก่อปัญหา ไม่ให้มีโทษ แต่ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข ทั้งแก่ตนและบุคคลอื่น เพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญาและกุศลธรรม เพื่อเสริมสร้างนิสัย และคุณลักษณะที่ดี เพื่อความรู้ตามเป็นจริง เพื่อฝึกอบรมตนในแนวทางที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเป็นอิสระ

   เด็กเล็กคนหนึ่งของครอบครัวซึ่งมีฐานะดี    นั่งรถยนต์ไปกับคุณพ่อคุณแม่ ผ่านไปที่แห่งหนึ่ง เห็นเด็กเล็กยากจนหลายคน นุ่งห่มเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่งอยู่ตามข้างทาง เด็กเล็กในรถยนต์สนใจ เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างตน กับ เด็กข้างถนนเหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่สังเกตดูรู้ จึงพูดว่า “นั่นเจ้าพวกเด็กสกปรก ลูกอย่าไปดูมัน”

  228 ในกรณีนี้   คุณพ่อคุณแม่ทำหน้าที่เหมือนดังปาปมิตร ชี้แนะให้เด็กตั้งความคิดที่เป็นอโยนิโสมนสิการ เร้าให้เกิดอกุศลธรรม เช่น ความรู้สึกรังเกียจดูถูกเหยียดหยาม เป็นต้น และความรู้สึกนี้ อาจกลายเป็นทัศนคติของเด็กนั้นต่อคนที่ยากจน ตลอดจนความโน้มเอียงที่จะมีท่าทีเช่นนั้นต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายโดยทั่วไป


    แต่ในกรณีอย่างเดียวกันนั้น   คุณพ่อคุณแม่อีกรายหนึ่ง บอกเด็กว่า “เด็กๆ นั้นน่าสงสาร พ่อแม่เขายากจน จึงไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ เราควรเผื่อแผ่ช่วยเหลือเขา”

 233ในกรณีนี้ คุณพ่อคุณแม่ทำหน้าที่อย่างกัลยาณมิตร ชี้แนะให้เด็กตั้งความคิดที่เป็นโยนิโสมนสิการ เร้าให้เกิดกุศลธรรม เช่น ความรู้สึกเมตตา กรุณา และความเสียสละ เป็นต้น และความรู้สึกเช่นนั้น อาจกลายเป็นทัศนคติของเด็กนั้น ต่อคนยากจนและเพื่อมนุษย์โดยทั่วไป


    แม้ในเรื่องอื่นๆ เช่นการรับฟังข่าวสารทางสื่อมวลชน   เมื่อมีข่าวดี  ข่าวร้าย   เหตุการณ์สร้างสรรค์ หรือทำลาย หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ท่าทีและถ้อยคำที่ผู้ใหญ่แสดงออกต่อสิ่งเหล่านั้น มักมีผลต่อการตั้งแนวความคิดของเด็ก   ถ้าผู้ใหญ่ รู้เข้าใจแล้ว ชี้แนะแนวความคิดถูกต้อง ให้มองตามเป็นจริง หรือมองในแง่ที่จะเกิดกุศลธรรมแล้ว ก็จะเป็นผลดีต่อความเจริญงอกงามของเด็ก

   แม้แต่อาหารที่รับประทาน เสื้อผ้า หนังสือเรียน ถนนหนทาง ผู้คนหรือเรื่องราวที่พบเห็นระหว่างทาง และที่โรงเรียน เป็นต้น ล้วนเป็นที่สำหรับวางใจ และตั้งแนวความคิด ที่เป็นกุศล หรืออกุศล ได้ทั้งสิ้น การหล่อหลอมทัศนคติ และค่านิยมต่างๆ ของเด็ก เกิดขึ้นได้มากจากโยนิโสมนสิการ และอโยนิโสมนสิการ ที่ชี้แนะโดยกัลยาณมิตร หรือปาปมิตรอย่างนี้ จึงควรถือเป็นเรื่องสำคัญ

    ส่วนผู้ใหญ่    เมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว    อาจใช้โยนิโสมนสิการแก้ได้ แม้แต่ทัศนคติ และจิตนิสัยไม่ดี ที่เคยใช้อโยนิโสมนสิการ สร้างจนชินมาเป็นเวลานาน

  231พึงสังเกตด้วยว่า  แม้ในเรื่องราวกรณีเดียวกัน และใช้โยนิโสมนสิการด้วยกัน แต่โยนิโสมนสิการก็อาจต่างกันได้ เป็นคนละอย่างคนละระดับ


   93ยกตัวอย่าง   ในระดับที่เรียกว่าสมถะ และวิปัสสนา เช่น นาย ก. เห็นหน้าหญิงสาวสวยคนหนึ่ง    แต่แทนที่จะเห็นเป็นใบหน้าที่สวยงาม    เขากลับมองเห็นเป็นแผ่นผิวหนัง พร้อมทั้งผม ขน เป็นต้น ที่ปฏิกูลด้วยเหงื่อมัน และฝุ่นละออง เป็นต้น มีกระดูก และเลือดเนื้ออยู่เบื้องหลัง ไม่ทำให้ติดใจใฝ่รัก   โยนิโสมนสิการในกรณีนี้   เรียกว่าเป็นสมถะ (แง่ปฏิกูลมนสิการ) เพราะได้ความรู้สึกเป็นปฏิกูลมาระงับราคะ  ทำให้ใจสงบอยู่ได้

   นาย ข. เห็นหน้าหญิงสาวสวยคนเดียวกันนั้น แต่มองเห็นเป็นเยาวชนคนหนึ่ง ที่ควรเอาใจใส่ดูแลให้เจริญงอกงาม เกิดความรู้สึกเมตตา นึกเหมือนเป็นน้อง หรือลูกหลาน กรณีนี้  ก็เป็นโยนิโสมนสิการตามแนวสมถะ (แง่เมตตาพรหมวิหาร) เพราะทำให้จิตใจสงบเยือกเย็น เป็นกุศล

   นางสาว ง. เห็นหน้าหญิงสาวสวยคนเดียวกันนั้น แต่มองด้วยความรู้สึกที่นึกไปว่า หญิงนั้น สวยเกินหน้าตน เกิดความรู้สึกริษยา และชักจะชังหน้า กรณีนี้ เป็นอโยนิโสมนสิการ เพราะคิดปลุกเร้าอกุศลธรรมขึ้นมาบีบคั้นใจ ก่อทุกข์ทรมานตนเอง

   ส่วน นาย จ. เห็นหน้าหญิงสาวสวยคนเดียวกันนั้น   แต่มองเห็นเป็นที่ประชุมแห่งองค์อวัยวะ อันเกิดจากธาตุต่างๆ มาประกอบกันเข้า รวมสมมติเรียกกันว่า หน้าคนชื่อนั้น เป็นเพียงรูปธรรม ซึ่งไม่เที่ยง ไม่คงที่ จะต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่ใช่สวย ไม่ใช่น่าเกลียดอะไรทั้งนั้น   กรณีนี้  เป็นโยนิโสมนสิการ แนววิปัสสนา  เพราะมองตามสภาวะ หรือมองตามที่เป็นจริง * (เทียบ วิสุทฺธิ. 2/20)

กรณีอื่นๆ ก็พึงเข้าใจตามแนวนี้

5



   โยนิโสมนสิการเป็นตัวนำ ที่ทำให้การศึกษาเริ่มต้น หรือเป็นแกนนำของการพัฒนาปัญญา ในการศึกษา โดยเฉพาะที่จัดกันเป็นระบบ หรือเป็นงานเป็นการ จึงควรใส่ใจให้ความสำคัญแก่โยนิโสมนสิการให้มาก เพื่อจะได้เป็นการช่วย “ให้คนศึกษา “ มิใช่ “ให้การศึกษา” แก่คน อย่างที่มักพูดกัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นความถูกต้อง และน่าจะทำไม่ได้จริง

    เริ่มแรก อาจจะพัฒนาคนวิธีเรียนวิธีสอน และกิจกรรมการเรียนการสอน ที่จะส่งเสริมกระตุ้นเร้าให้ผู้เรียน ได้ฝึกฝนใช้โยนิโสมนสิการแบบพื้นฐาน คือ วิธีคิดแบบสาวเหตุปัจจัย และวิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ

    เมื่อมีเรื่องราวเหตุการณ์ที่ต้องพิจารณา ก็โยงวิธีคิดแบบนั้นเข้าไปเชื่อมต่อกับวิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ และวิธีคิดแบบแก้ปัญหา จากนั้น วิธีคิดแบบอื่นๆ ก็จะเข้ามาสนองรับใช้บุคคลที่มีโยนิโสมนสิการนั้นตามช่วงจังหวะ ที่เหมาะสม แล้วความเป็นคนมีโยนิโสมนสิการ หรือรู้จักใช้โยนิโสมนสิการ ก็จะเกิดตามมาเอง นำให้การศึกษาดำเนินไปอย่างถูกต้อง ตามความหมายที่แท้จริงของมัน

    เมื่อรู้จักนำวิธีโยนิโสมนสิการไปใช้ในการเรียนการสอน   แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็จะมีความคิด และมีทรรศนะที่ลึกซึ้งกว้างไกล เช่น จากกระดาษสมุด และในโต๊ะเขียนหนังสือ เด็กจะมองเห็นความสัมพันธ์อิงอาศัยกันของทุกสิ่งในสากลจักรวาล มองเห็นความเกิดมี และความดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่งๆ ไม่โดดเดี่ยวขาดลอย และไม่ขาดตอนจากการเกิดขึ้น และการดำรงอยู่ ของสิ่งทั้งหลายอื่น

    จากคำถามว่า โต๊ะตัวนี้เกิดมีขึ้นได้อย่างไร จะต้องมีอะไรบ้าง โต๊ะตัวนี้จึงเกิดขึ้นได้ เด็กก็จะสืบสาวโยงโต๊ะนั้นไปหาปัจจัย หรือตัวประกอบทั้งหลาย ที่ทำให้โต๊ะเกิดขึ้น ทีละอย่างจนครบ มีทั้งไม้ เลื่อย ตะปู ค้อน ตลอดมาถึงคน และจากปัจจัยเหล่านั้น ก็สืบสาวต่อไปอีก เช่น จากไม้ ไปถึงต้นไม้ จากต้นไม้ ไปยังดิน น้ำ ฝน ป่า ฟ้า อากาศ ฯลฯ

   เมื่อฝึกคิดอย่างนี้ นอกจากจะเกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจนต่อสิ่งที่พิจารณา ตลอดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นปัจจัยเกี่ยวโยงกันไปทั่วทั้งหมดแล้ว ยังทำให้เกิดความหยั่งรู้ ตระหนักความจริง ถึงขั้นที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อทัศนคติและบุคลิกภาพได้ด้วย เช่น เกิดความหยั่งรู้ตระหนักความจริงว่า ชีวิตของเราจะเป็นอยู่ด้วยดี และมีความสุขแท้จริงได้ จะต้องเกื้อกูลกันกับธรรมชาติ และเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนต้องรู้จักใช้ รู้จักสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยความไม่ประมาท เป็นต้น

   คนที่มีโยนิโสมนสิการ รู้จักคิด รู้จักมอง ย่อมมองเห็น และหาแง่ที่เป็นประโยชน์ มาใช้ในการพัฒนาส่งเสริมความเจริญงอกงามของชีวิตได้ตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์

   แม้แต่จะประสบความยากจน ความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือสิ่งที่เรียกกันว่าเป็นเคราะห์หามยามร้ายอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ไม่ทำให้เขามืดบอด หรืออับจน สภาพเลวร้ายที่ได้ประสบ มักเป็นจุดกระทบให้เขาเกิดปัญญาหรือคุณธรรม และการพัฒนาคุณสมบัติต่างๆได้มากยิ่งขึ้น เข้าทำนองที่บางครั้ง เราได้ยินบางคนพูดว่า ข้าพเจ้าโชคดีที่เกิดมายากจน เป็นโชคดีของข้าพเจ้าที่ได้ป่วยหนักครั้งนั้น แม้ตลอดกระทั่งอย่างที่มีเรื่องเล่าในคัมภีร์ว่า บางท่านได้ยินคำพูดของคนบ้าแล้ว เกิดความเห็นแจ้งสัจธรรม ดับกิเลสหมดไปได้ ก็มี

    ในทางตรงข้าม บางคน ทั้งที่เกิดมาสวย ร่ำรวย หรือมีศักดิ์สูง แต่ขาดโยนิโสมนสิการ มีแต่อโยนิโสมนสิการ แทนที่สภาพชีวิตที่เป็นเหมือนโชคลาภนั้น จะเป็นทุน หรือเป็นเครื่องเสริมโอกาสให้เขาสามารถพัฒนาชีวิตได้สะดวกรวดเร็วผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่กลับเป็นตัวเร้า เร่งตัณหา มานะ ทิฏฐิ ให้หนาแน่น รุนแรง พร้อมด้วยความเกียจคร้าน ลุ่มหลงมัวเมาติดตามมา แย่งชิงพรากเอาความโชคดีไปจากเขา โชคดีมีค่าเป็นโชคร้าย และชีวิตก็ไม่เจริญงอกงาม

   คนทั่วไป ซึ่งได้สั่งสมความเคยชิน ให้จิตมีนิสัยแห่งการคิดในแนวทางของการสนองตัณหา หรือคิดโยมีความชอบใจ ไม่ชอบใจ ยินดี ยินร้าย ชอบ ชัง เป็นพื้นฐาน มาเป็นเวลายาวนาน วิธีโยนิโสมนสิการแบบต่างๆ นี้ จะเริ่มเป็นเครื่องฝึกในการสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิต

   การสร้างนิสัยใหม่นี้ อาจต้องใช้เวลานานบ้าง เพราะนิสัยเดิมเป็นสิ่งที่สั่งสมมานานคนละเป็นสิบๆปี แต่เมื่อได้ฝึกขึ้นบ้างแล้ว ก็ได้ผลคุ้มค่า เพราะเป็นการคิดที่ทำให้เกิดปัญญา ทำให้แก้ปัญหา ดับความมืดและความทุกข์ สร้างเสริมความสว่างและความสุขได้

    แม้จะยังทำไม่สมบูรณ์ ก็ยังพอเป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมดุล และได้มีทางออก ในยามที่ถูกความคิดตามแนวนิสัยเดิมชักนำไปสู่ความอับจน สู่ความทุกข์ และปัญหาบีบคั้นต่างๆ ก็พลิกผันหันไปสู่ความรอดพ้นปลอดภัย

    ตามนัยที่กล่าวมา เมื่อพูดเชิงวิชาการ ในแง่การทำหน้าที่ วิธีโยนิโสมนสิการทั้งหมด สามารถสรุปลงได้ เป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ

     ๑. โยนิโสมนสิการ ประเภทพัฒนาปัญญาบริสุทธิ์  มุ่งให้เกิดความรู้แจ้งตามสภาวะ คือ รู้เข้าใจ มองเห็นตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น เน้นที่การขจัดอวิชชา เป็นฝ่ายวิปัสสนา มีลักษณะเป็นการส่องสว่างทำลายความมืด หรือชำระล้างสิ่งสกปรก ให้ผลไม่จำกัดกาล หรือเด็ดขาด นำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิ

    ๒. โยนิโสมนสิการ ประเภทสร้างเสริมคุณภาพจิต   มุ่งปลุกเร้าให้เกิดคุณธรรม หรือกุศลธรรมอื่นๆ เน้นที่การสกัดหรือข่มตัณหา เป็นฝ่ายสมถะ มีลักษณะเป็นการเสริมสร้างพลังหรือปริมาณฝ่ายดีขึ้นมากดข่มทับ หรือบังฝ่ายชั่วไว้ ให้ผลขึ้นกับกาล ชั่วคราว หรือเป็นเครื่องตระเตรียมหนุนเสริมความพร้อม และสร้างนิสัย นำไปสู่โลกิยสัมมาทิฏฐิ

 


  *พึงทราบกันสับสนว่า กรรมฐานบางอย่าง ที่ให้มองเห็นคน หรืออะไรๆ เป็นอสุภะ เป็นปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม เรียกว่า  อยู่ขั้นสมถะ   ยังมองไปตามสมมติบัญญัติ เพียงแต่ถือเอาสมมติแง่ที่จะมาใช้แก้กิเลสของตน

   ส่วนวิปัสสนา   มองเห็นตามสภาวะแท้ๆ   ตรงตามที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมัน ตามเหตุปัจจัย เรียกว่า ตามเป็นจริง  ที่สิ่งทั้งหลายไม่มีงาม หรือไม่งาม ไม่มีสวย ไม่มีน่าเกลียด

    ตัวอย่างนี้  450 เป็นอารมณ์ขั้นสมถะ  คือ อารมณ์ยังไม่เป็นกลางต่อสังขาร  เพราะฉะนั้น ยังต้องพัฒนาจิตต่อไป  ไปให้ถึงขั้นวิปัสสนาซึ่งเห็นตามเป็นจริง

 93ทำยังไงดีคะ   ทำไมถึงรู้สึกว่า   ตัวเองทำไมมันสกปรกจังเลย  ใจเราก็สกปรกปะปนไปด้วยกิเลสต่างๆ รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนบาปหนามากๆ ทั้งๆที่ก็ไม่ปรารถนาทำบาปทำชั่ว มีรักมีห่วงมีหวงมีหึง ไม่โลภไม่อยากได้ของๆใคร มีโกรธบ้าง แต่ก็ไม่แค้นหรือคิดอาฆาตใคร (โกรธแป๊บๆ) ไม่ถึงกับหลงหรือมัวเมามาก..ข้อนี้ไม่กล้าจะฟันธง แต่จะใช้สติพิจารณาเพื่อไม่ให้หลงหรือมัวเมา และก็มีพรหมวิหาร 4 อยู่กับตัว

    ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกเหล่านี้ขึ้น จะรู้สึกหดหู่ใจ รู้สึกอึดอัดขัดจิตไปหมดเลยค่ะ นึกรู้ขึ้นมาทีไรแล้วรู้สึกคลื่นไส้    บางทีก็นั่งร้องไห้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเฉยเลย   (เวลาร้องไห้ด้วยอารมณ์แบบนี้จะร้องไปคิดถึงพระพุทธเจ้าไป เพราะรู้สึกเป็นทุกข์ใจ และสับสนไม่รู้ว่าคืออะไร ? และต้องทำอย่างไร?)   อารมณ์แบบนี้  จะขึ้นมาเป็นพักๆค่ะ ไม่ได้เกิดขึ้นตลอด จนทำให้เกิดอาการสับสน    ทำอะไรไม่ถูก   หาทางออกให้กับอารมณ์ใจของตัวเองไม่ได้  รู้แต่โดยปกติจะนึกถึงความตายไว้กับตัวตลอด  หลังๆจะฝึกการภาวนานึกถึงพระนิพพานอยู่บ่อยๆ เพราะภาวนานึกถึงพระนิพพานแล้วจะรู้สึกสงบเย็น  (มีบ้างอยู่บ่อยๆที่ลืมภาวนา พอนึกได้ก็จะภาวนา แต่เรื่องความตายจะนึกอยู่ตลอด แล้วก็ตั้งใจจะถือศีล 5 ตลอดชีวิตมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาน่ะค่ะ)    ใคร่ขอคำแนะนำจากผู้รู้ค่ะ ว่าเมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดจนทำให้เรารู้สึกอึดอัดไม่สบายกายไม่สบายใจไปหมด ควรทำอย่างไรดีคะ สิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร ทำไมถึงทำให้มีความรู้สึกแบบนี้. 


ยังนึกภาพอุเบกขาไม่ออก ดู สังขารุเปกขาญาณ   450

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=04-2021&date=06&group=1&gblog=12

นี่ก็ยังอารมณ์สมถะ

https://www.facebook.com/photo?fbid=10220760325946713&set=gm.2074824382676833

นี่ก็ขั้นอารมณ์ของสมถะ  450

   ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ   น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนนี้มาตลอดครับ
   เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดัวเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่   ผมก็มองดูเอ..หรือเราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด   
ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ    ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ   จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด    แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม.
พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น    ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว  แต่ใจนึงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้
เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญา ตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ...


Create Date : 21 มิถุนายน 2564
Last Update : 21 มิถุนายน 2564 15:52:27 น. 0 comments
Counter : 204 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 5378236
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ดี
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5378236's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.