สัมมนานิติปรัชญาแนวพุทธ สัมมนานิติปรัชญาแนวพุทธ
สัมมนานิติปรัชญาแนวพุทธ
สัมมนานิติปรัชญาแนวพุทธ ............................. บทนำ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ปาฐกถาแสดงธรรมพิเศษ ณ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๙ กล่าวถึง “นิติศาสตร์” และ “พุทธศาสตร์” ที่ยังไม่เคยมีนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ท่านใดได้เคยศึกษาแนวดังกล่าวมาก่อนเลย (๑)ซึ่ง “นิติศาสตร์แนวพุทธ” เป็นการแสดงความเชื่อมโยงกันระหว่างศาสตร์ทั้งสองอย่างแยบยล อีกยังอรรถาธิบายถึงที่มาของศัพท์ทางนิติศาสตร์อย่างถ่องแท้และรอบด้าน พร้อมทั้งยกตัวอย่างพุทธพจน์ได้อย่างชัดเจน ศาสตร์ที่ดูผิวเผินอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อได้พิจารณาตามถ้อยธรรมแล้ว จะเห็นได้ว่าศาสตร์ทั้งสองนี้ขาดจากกันเสียมิได้ เพราะนิติศาสตร์และกฎหมายอันเป็นสมบัติทางโลกนี้เกิดขึ้นก็เนื่องที่จะสนองความต้องการธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มีความประสงค์ที่จะให้ช่วยกันแพร่ขยายความรู้เข้าใจให้เกิดความเจริญธรรมเจริญปัญญา อันจะอำนวยประโยชน์สุขแก่พหูชน ตามคติธรรมแห่งพระพุทธจริยา กล่าวโดยสรุป คือ กฎหมายต้องมาจากธรรม ต้องชอบธรรม และต้องเพื่อธรรม กฎมนุษย์(กฎหมาย) ต้องไม่แปลกแยกจากกฎธรรมชาติ พัฒนาคนให้รู้จักเคารพสิทธิกันและกัน แต่ต้องรู้ทันว่าที่แท้มนุษย์ไม่มีสิทธิ บทที่ ๑ ความสำคัญของนิติปรัชญา ความสำคัญของนิติปรัชญา ต้นศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อศาสตราจารย์ James Barr Ames ได้กล่าวอบรมคณาจารย์ในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลับ Harvard ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีในเรื่องวิธีการศึกษากฎหมาย ท่านได้กล่าวว่า”ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกนั้น โดยมากเขาไม่ได้สอนกันแค่ความรู้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากจะต้องสอนให้ซึมซาบเข้าไปในใจของนักศึกษาถึงดวงจิต หรือวิญญาณของกฎหมายกันด้วย” คำกล่าวของ Dean Amesนี้ ส่งผลทำให้คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆได้นำไปประพฤติปฏิบัติเรื่อยมา จนได้นำเอาวิชาการที่จะทำให้นักศึกษาเข้าใจซึ้งถึงวิญญาณของกฎหมาย หรือ วิชานิติปรัชญาไปบรรจุไว้ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งหลาย๒๕ ในประเทศไทยได้มีการเริ่มต้นศึกษาวิชานิติปรัชญาแยกออกมาเป็นเอกเทศจากวิชาธรรมศาสตร์ (Jurisprudence) ในคั้งแรกที่หลักสูตรนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปรับปรุงหลักสูตร พ.ศ.๒๕๑๕ โดยศาสตราจารย์ ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้บรรจุวิชานี้ไว้ เพื่อวัตถุประสงค์มุ่งแก้ไขข้อตำหนิที่ว่านักกฎหมายเป็นผู้มีความคิดและทัศนคติคับแคบ โดยคาดหวังว่าเมื่อนักศึกษาได้สึกษาวิชานี้แล้วจะทำให้มีความรอบรู้กฎหมายอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น ทำให้มองเห็นสาระแก่นแท้รู้ถึงสถานะและภารกิจของกฎหมายในสงคมอย่างแท้จริงยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับโสเครตีส กล่าวไว้เมื่อสองพันปีก่อนว่า “ชีวิตที่ไม่มีการคิดทบทวนสำรวจตนเองนั้นเป็นชีวิตที่ไม่พึงจะมี”๒๖ และลบทัศนคติของนักกฎหมายไทย โดยเฉพาะสาลหรือผู้พิพากษาไทยซึ่งมีแนวความคิดยึดติดอยู่กับสำนักกฎหมายบ้านเมือง หรือLegal positivism ซึ่งแก่นแท้ของแนวคิดนี้อาจพิเคราะห์จากการให้นิยามคำว่ากฎหมายของThomass Hobbs ว่า “อันว่ากฎหมายคือคำสั่งของรัฐาธิปัตย์ ใครไม่ปฏิบัติตามมรรคคาต้องโทษ” และกฎหมายกับความยุติธรรมเป็นคนละเรื่องที่แยกต่างหากจากกัน ซึ่งสืบทอดเจตนารมณ์แนวความคิดจากนักกฎหมายอังกฤษเป็นสำคัญ เพราะว่านักกฎหมายไทยในอดีตตอรแรกนับแต่พระบิดากฎหมายไทย คือ “กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์”เป็นต้นมา ได้ศึกษากฎหมายจากอังกฤษ จึงทำให้คำสอนและวิธีการศึกษานี้แพร่หลายออกไป จึงสังเกตได้ว่า “ศาลไทยยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร หรือคณะปฏิรูปการปกครองที่ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ศาลไทยถือว่า ประกาศ คำสั่งของคณะรัฐประหาร คำสั่งของคณะปฏิรูป การปกครองเหล่านี้เป็นกฎหมาย แม้ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติตามครรลองการบัญญัติกฎหมายในระบบประชาธิปไตยก็ตาม”๒๗
๒๕รองพล เจริญพันธ์,นิติปรัชญา(ภาคหนึ่ง),(กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๕๔๔),หน้า๓. ๒๖ปรีดี เกษมทรัพย์,นิติปรัชญา,หน้า๑๘. ๒๗ คมกริช วัฒนเสถียร,ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไปพิมพ์ครั้งที่๗,(กรุงเทพมหานคร:บัณฑิตไทย,๒๕๕๔,หน้า๔-๕. บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิติปรัชญา การเรียนการสอนนิติศาสตร์ในประเทศไทย ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงก่อตั้ง “โรงเรียนกฎหมาย” แห่งแรกของประเทศไทยได้ย้ายเรียนการสอนโดยคราจารย์ส่วนใหญ่เป็นตุลาการ ต่อมาจึงมีการจัดตั้ง “คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์”ขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ หลังจากนั้นเพียง๘เดือน คระนิติศาสตร์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔ ได้มีการจัดการเรียนการสอนนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งในคณะรัฐศาสตร์ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ จนถึงปัจจุบัน มีสถาบันอุดมศึกษาได้เปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชานิติศาสตร์ในหลายสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชนไปสังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ปัจจุบันคือขึ้นในกระทรวงยุติธรรมซึ่งเปิดการ อนึ่งวิชานิติปรัชญาเป็นวิชาที่ศึกษากฎหมายในเชิงปรัชญา มีการตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของกฎหมายและถือว่ามีความสำคัญมาก มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งจึงได้บรรลุให้กลายเป็นวิชาบังคับสำหรับการเรียนการสอนในหลักสูตรนิติศาสตร์มหาบัณฑิต ซึ่งการศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวจะมุ่งเน้นการทำวิจัยปรับปรุงแก้ไขตัวบทกฎหมายที่มีผลบังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการมองเห็นปัญหาของกฎหมายที่อยู่ในปัจจุบันดังกล่าว อาจเป็นการยากต่อนักศึกษาที่เคยศึกษามา แต่ว่าการศึกษากฎหมายแบบนิติศาสตร์โดยแท้ ที่มีการศึกษาแบบยึดหลัก Dogmatic ที่ต้องยอมรับนับถือกันเป็นมูลบทเท่านั้น จึงเป็นการยากที่จะเห็นเป็นข้อบกพร่องของหลักDogmaticดังกล่าว วิธีการมองข้อบกพร่องทางกฎหมายได้ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือวิธีมุมมองภายนอกระบบกฎหมายวึ่งคือมุมมองแบบนิติปรัชญานั่นเอง ๑.๔ วัตถุประสงค์ของนิติปรัชญา วัตถุประสงค์ของการศึกษาของวิชานิติปรัชญา เพื่อให้รู้และเข้าใจแนวความคิดทางปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย -เพื่อให้รู้จักมองกำหมายในเชิงปรัชญา -เพื่อให้เข้าถึงวิญญาณของกฎหมาย เป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจเป็นนักกฎหมายอย่างแท้จริง -เพื่อให้ผู้ศึกษามีความเข้าใจในบทบาท หรือความสำคัญของกฎหมายในสังคม -เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จักใช้ดุลยพินิจ และหาเหตุผลกำกับการใช้ดุลยพินิจ -เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายคำว่า “ทำนองคลองธรรม” เข้าใจว่าทำอย่างไรจะได้กฎหมายที่ดีมาใช้ในสังคม ทำอย่างไรจึงจะทำให้สังคมมีความสงบสุขได้ภายใต้กฎหมาย๒๘ ฯลฯ
๒๘ดูรายละเอียดใน สิวลี ศิริไล,ปรัชญญากฎหมาย,(กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยมหิดล,๒๕๒๕),หน้า๒-๓. สรุปวิชานิติปรัชญาว่า เป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมเรื่องธรรมชาติของกฎหมายโดยส่วนรวม และนอกจากนั้นยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับหลักคุณค่าอื่นๆในสังคม เช่นศีลธรรม อิสรภาพ ความเสมอภาค หลักเรื่องอรรถประโยชน์ หรือประโยชน์สุขของสังคม ซึ่งเป็นการพิจารณาในเชิงมิติทางสังคมของกฎหมาย หรือบริบททางสังคมภายในกฎหมาย ภายในปริมณฑล เกี่ยวกับการศึกษาเชิงปรัชญาดังกล่าว จึงมีเรื่องราวหรือคำถามหลักๆ ที่ควรคิดมากมาย เช่น กฎหมายคืออะไร -อะไรคือเงื่อนไขความสมบูรณ์ของกฎหมาย -กฎหมายกับความยุติธรรมสัมพันธ์กันอย่างไร -เป็นไปได้ไหมที่กฎหมายจะขัดแย้งกับความยุติธรรม ถ้าได้ผลจะเป็นอย่างไร _จริงหรือว่าเราทุกคนต่างล้วนมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องเคารพเชื่อฟังกฎหมายในทุกกาลเทศะโดยไม่ต้องคำนึงว่ากฎหมายนั้นๆจะมีเนื้อหาสาระที่ชอบธรรมหรือไม่ประการใด -สิ่งที่เรียกว่า หลักนิติธรรม(The Rule of Law) มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือคุณค่าในตัวของมันเองเสมอไปหรือ -หลักนิติรัฐ คืออะไร มีความหมายในทางลบได้หรือไม่ -กฎหมายมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจหรือการเมืองเพียงใด เหล่านี้ นับว่าเป็นตัวอย่างคำถามสำคัญที่อาจถือเป็นหัวใจศึกษาในวิชานิติปรัชญาจะได้พฤดกันต่อไป และการตอบคำถามดังกล่าวต่างมีแง่มุมหรือวิธีการเข้าสู่คำตอบอย่างเป็นระบบต่างๆกันสุดแล้ว แต่แนวคิทฤษฎีความเชื่อถือในสำนักความคิดทางปรัชญากฎหมาย ซึ่งมีกฎหลายทฤษฎีสำนัก ได้แก่ -สำนักกำหมายธรรมชาติ -สำนักปฏิฐานนิยม -สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ -สำนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา -สำนักสัจนิยมทางกฎหมาย -สำนักมาร์กซิสต์ เป็นต้น การศึกษาปรัชญากฎหมาย หรือแนวคิดทางกฎหมายในบทต่อไป โดยเฉพาะการสึกาเชิงเปรียบเทียบ ความคิด หรือปรัชญากฎหมายของสังคมไทยกับสังคมตะวันตก ซึ่งปรากฏสำนักคิดทางปรัชญา กฎหมายสำนักหนึ่งที่มีอิทธิพลและมีอายุยาวนานมานับพันๆปี ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ กล่าวคือสำนักกฎหมายธรรมชาติ(Natural Law School) อันเป็นสำนักคิดที่เชื่อว่ามีกฎแห่งธรรมชาติหรือกฎศีลธรรมในธรรมชาติ ๑.๘ ประโยชน์ของการศึกษานิติปรัชญา ๑.นิติปรัชญาทำให้เราคิดถึงคุณค่าพื้นฐานในทางกฎหมายมากขึ้นกว่าเดิม มีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์(Critical Mind)มากขึ้น เพราะฉะนั้นในแง่นี้ นิติปรัชญาจึงมีประโยชน์ในทางนิตินโยบาย คิดทำให้เราสามารถหาคำตอบได้อย่างมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เราอาจจะเห็นกฎหมายบางฉบับไม่ถุกต้อง แล้วเราว่ามันควรที่จะต้องปรับแก้ อันนี้เราอาจวิจารณ์มากจากในมุมนิติปรัชญาเพื่อผลักดันให้มันมีการไขตัวกฎหมายเหล่านั้น ๒.นิติปรัชญาทำให้เรามีจิตใจที่กว้างขวางขึ้น ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้มากขึ้น อีกนัยหนึ่งประโยชน์ของการศึกษาวิชานิติปรัชญา มีผู้รู้กล่าวอิบายไว้มีหลายประการ ดังนี้ ๑.เพื่อให้รู้และเข้าใจแนวความคิดทางปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย ๒.เพื่อให้รู้จักมองกฎหมายในทางปรัชญา และสามารถจำแนกแนวความคิดของสำนักกฎหมายต่างๆได้ ๓.เพื่อให้เข้าถึงวิญญาณของกฎหมาย เป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจเป็นนักกฎหมาย(Legal mind)อย่างแท้จริง ๔.เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหรือความสำคัญของกฎหมายในสังคม โดยเข้าใจถึงต้นกำเนิดของแนวความคิดทางนิติปรัชญาและสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง ๕.เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จักใช้ดุลยพินิจและหาหาเหตุผลกำกับการใช้ดุลยพินิจ ๖.เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจคำว่า”ทำนองคลองธรรม” ด้วยความเข้าใจที่ว่า อย่างไรจึงจะได้กฎหมายที่ดีมาใช้ในสังคม ทำอย่างไรจึงจะทำให้สังคมมีความสงบสุขภายใต้สังคม ๗.เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในความหมายและขอบเขตปรัชญากฎหมายความเป็นมาของกฎหมาย ลักษณะที่ถูกต้องของกฎหมาย ความยุติธรรม และกฎหมายกับศีลธรรม ๘.เพื่อให้นักศึกษานำความรู้ที่ได้จากนิติปรัชญาไปปรับใช้กับการเรียนกฎหมายในวิชาอื่นๆนับว่าการศึกษาวิชานิติปรัชญาเป็นการศึกษาเพื่อก่อให้เกิด
Create Date : 16 กรกฎาคม 2564 |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2564 6:48:34 น. |
|
0 comments
|
Counter : 432 Pageviews. |
|
|
|
| |