Group Blog
 
All Blogs
 

Looper: วงจรที่ไม่สมบูรณ์

(เฉพาะผู้ที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น)



การเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามกาลเวลาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆคือ การข้ามเวลาเพื่อทำให้วงจรของการข้ามเวลามาบรรจบกันเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ยังขาดหาย โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร กับการข้ามเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเหตุการณ์บางอย่างซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ถัดไป หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างมิติที่แตกต่างไปจากปกติ

Looper เลือกที่จะดำเนินเรื่องในประเภทที่สอง แต่การเล่าเรื่องกลับเต็มไปด้วยการวนกลับมาที่เดิม สมกับชื่อหนัง โดยเฉพาะสองวงจรที่หนังนำเสนอ

วงจรรูปธรรม (โจแก่ VS โจหนุ่ม)
การที่ทั้งสองคือคนๆเดียวกัน แต่อยู่คนละช่วงเวลา โจแก่อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ จากการที่เขารู้จักโจหนุ่มทุกอย่าง ประสบการณ์ที่โจหนุ่มเรียนรู้คือสิ่งที่เขาสัมผัสได้ แต่การที่ตกอยู่ในฐานะผู้ถูกล่า ทำให้เขาไม่สามารถใช้ความได้เปรียบนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ เพราะประสบการณ์ที่เกิดการหักเห จากสมัยเขาที่ลงมือฆ่าอีกหนึ่งตัวตนอย่างไม่ต้องคิดอะไร กับอีก 30 ปีต่อมา ที่เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและเตรียมตัวตั้งรับ ภาระกิจหลักของโจแก่ จึงอยู่ที่การพยายามรักษาความทรงจำและประสบการณ์ของตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้หลงลืมว่าเขาข้ามเวลามาอดีตทำไม (มาจัดการ rainmaker เพื่อหยุดวงจรเสีย) ในขณะที่ภาระกิจรองคือการหลบหนีการไล่ล่า และการคอยคุ้มครองโจหนุ่ม ซึ่งบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นคนไล่ล่าเขาให้ปลอดภัย

วงจรนามธรรม (โจ VS ซิด)
หนังจงใจเน้นย้ำการซ้อนทับกันของตัวละครโจและซิด ราวกับว่าเป็นตัวละครตัวเดียวกัน มีประสบการณ์เหมือนกัน เติบโตมาเหมือนกัน (มากกว่าโจแก่กับโจหนุ่มด้วยซ้ำ) แต่แตกต่างกันที่ปลายทาง คือโจที่กลายเป็น looper และซิดที่กลายเป็น rainmaker แต่การที่ rainmaker ไม่ได้มีอิทธิพลใดๆต่อชีวิตของโจหนุ่มในปัจจุบัน ทำให้โจหนุ่มมีภาระกิจนอกเหนือจากการตามกำจัดโจแก่เพื่อให้วงจรกลับมาสมบูรณ์ คือการปกป้องซิดให้ปลอดภัยอีกด้วย

จากโครงเรื่อง ไอเดีย แนวคิดที่แข็งแรงของหนังเรื่อง Looper ดังที่กล่าวมา นี่น่าจะเป็นหนังไซไฟชั้นดีมากๆได้ แต่น่าเสียดายที่ผู้กำกับไม่เชื่อมั่นกับไอเดียหลักของตัวเอง จึงขนเอาไอเดียอีกหลากหลายมาใส่จนหนังดูสะเปะสะปะ ในขณะที่บางไอเดียก็ไม่ได้รับการสานต่อจนกลายเป็นหนังทั่วๆไปเรื่องหนึ่ง

สิ่งที่หนังใส่มาน้อยไป
-บทบาทของผู้หญิงในชีวิตโจหนุ่ม (ซูซี่ และซาร่า) และโจแก่ (ซูซี่และภรรยาชาวจีน) ที่ดูเหมือนจะมีอะไร แต่หนังเล่าเพียงผ่านๆ โดยเฉพาะซูซี่ ซึ่งเป็นผู้หญิงของทั้งสองโจ
- แอ็พและคิดบลู ตัวประกอบชัดๆ ทั้งที่มีอะไรให้เล่นมากกว่านี้

สิ่งที่หนังใส่มามากไป
- การที่ซิดมีปมเกี่ยวกับแม่ การไม่ยอมรับซาร่าเป็นแม่ ซึ่งระดับซิดแล้ว ไม่น่าแค่ความเข้าใจผิดเฉยๆ จนคนดูคาดหวังว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ จนมาถึงฉากไคล์แม็กซ์ที่อยู่ๆซิดก็เรียกแม่ อ้าว คนดูคิดไปเอง
-การดำเนินชีวิตของโจหนุ่ม โดยเฉพาะการเสพติดยา (หยอดตา) ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องอย่างไร แค่บอกว่าเกือบลงแดงตอนเจอซาร่า
-พลังจิตต่างๆ นอกจากเป็นกิมมิคของหนัง แทบจะไม่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง และยังทำให้เห็นชัดเจนว่าซิดเป็นเด็กไม่ธรรมดา โตไปมีปัญหาแน่ๆ เลยไม่ค่อยเอาใจช่วยโจหนุ่มปกป้องซิดเท่าไร (แค่ให้เห็นว่าซิดเป็นเด็กอัจฉริยะก็พอ)
-การสร้างภาพตัวละคร rainmaker ไม่มีใครเคยเห็นหน้า ไม่รู้ประวัติ ไม่รู้เป็นใคร ทำให้คาดหวังว่าจะมีเซอร์ไพรซ์หรือการหักมุม แต่พอตัวละครซิดโผล่มา คนดูก็เดาได้แล้วว่าใครคอ rainmaker แถมเดาถูกด้วย

ฉากที่ชอบที่สุดในหนัง
ฉาก 8 x 3 = 32 ซึ่งนอกเหนือจากการแสดงคาแรกเตอร์และความเกรียนของซิดแล้ว ฉากนี้ยังสะท้อนตัวตนของผู้กำกับได้ดีมากๆ จากตัวหนังดูออกว่าผู้กำกับเป็นคนมั่นใจ และรู้ว่าตัวเองมีไอเดียเจ๋งๆ แต่พอบางอย่างมันเริ่มเยอะไป แต่ก็ยังดึงดันที่จะใส่มันเข้าไปอยู่ดี จนหนังออกมาเป็นอย่างนี้

ถ้า looper ออกมาเป็นหนังแค่ 24 มันจะเป็นหนังที่ดีมากๆของปีนี้เลยครับ แต่เมื่อผู้กำกับยืนยันว่ามันต้องเป็น 32 บางคนอาจจะชอบว่ามันเยอะดี แต่ผมว่ามันเกินครับ




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2555    
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 12:30:22 น.
Counter : 4064 Pageviews.  

รัก 7 ปี/ดี 7 หน: ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ เหมาะกับผู้ที่ชมแล้วเท่านั้น

มีคนบอกเอาไว้ว่า ทุกๆ 7 ปี ชีวิตของคนเราจะพบกับจุดเปลี่ยน อาจเป็นเพราะวิถึโคจรของดวงดาว การเติบโตและการเรียนรู้ การอิ่มตัวจากสิ่งที่เป็น หรือแม้แต่มันเป็นเวลาที่นานพอที่จะเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะเกิดความซ้ำซากจำเจมากไปกว่านี้

 

14  วัยแห่งการหาตัวตน

วัย 14 คือวัยแห่งการเรียนรู้ การค้นหาตัวเอง และต้องการให้คนอื่นยอมรับ รวมถึงป่วน ที่แสวงหาตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ต ที่การยอมรับตัดสินจากยอด view และจำนวนคนกดไลท์ จนละเลยความสัมพันธ์ในชีวิตจริง แม้แต่ตอนที่รู้ตัวและจะแก้ไข ก็ยังต้องผ่านการโพสคลิป การแชร์และถามความคิดเห็นจากเวปบอร์ด ทั้งที่อีกฝ่ายรอแค่การพูดจากันตรงๆก็พร้อมจะให้อภัย แต่ป่วนก็ไม่สามารถเข้าใจได้

 

21/28: โลกที่ซ้อนทับกัน

จากโลกอินเตอร์เน็ตกับโลกความจริงใน 14 สู่โลกของคนรักกันสองคนที่ซ้อนทับกันไปมา

 

โลกของจอนอาจจะอยู่ใต้น้ำ และโลกของแหม่มที่เป็นโลกมายาและชื่อเสียง

 

ในวัย 21 แม้ว่าจอนจะเข้ามาอยู่ในโลกของแหม่มในช่วงหนึ่ง และแหม่มเก็เคยข้าสู่โลกของจอนในช่วงหนึ่ง แต่ความแตกต่างกัน ทำให้เขาและเธออยู่ในโลกที่แตกต่างได้ไม่นาน และกลับคืนสู่โลกของตัวเอง

 

ในวัย 28 แหม่มพยายามดึงจอนสู่โลกของเธออีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จนเธอต้องเป็นฝ่ายเข้าไปยังโลกของจอนแทน และได้เห็นมุมภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่จอนอาจยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาก็ไม่ได้ห่างจากโลกมายาของแหม่มไปไหน (ทะเล ก็ยังเป็นแค่อควาเลี่ยม การทำงาน ก็ยังเป็นการแสดงและสื่อสารกับคนดู)

 

ในที่สุด โลกทั้งสองก็ซ้อนทับกัน ทั้งสองคนอ่านบทละคร (โลกของแหม่ม) ภายใต้อุโมงค์น้ำ (โลกของจอน) และจากบทละครที่เป็นเรื่องแต่ง ก็ค่อยๆกลายเป็นเรื่องจริง

 

42.195 มุมมองที่เปลี่ยนไป

ในวัย 42 หลายคนชีวิตอาจเริ่มหยุดนิ่ง หล่อนก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแว่นตาที่แตกทำให้มุมมองเปลี่ยนไป และรองเท้าที่ขาด นำไปสู่รองเท้าคู่ใหม่ ที่มีแนวทางดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป

 

7 km แรกอาจจะผ่านไปง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

ที่ 14 km หล่อนเริ่มตระหนักว่าตัวเองต้องการอะไร อยากจะทำอะไร

เมื่อถึงครึ่งทาง ที่ 21 km เป็นจุดที่ต้องยูเทิร์นย้อนกลับ แต่จะเป็นไรไป เมื่อยังมองเห็นคนที่จะร่วมทางกับเราอยู่ไม่ไกล

กิโลเมตรที่ 28 แสงแรกของพระอาทิตย์ ให้ทั้งพลัง และความสดใสที่รออยู่ข้างหน้า

ปีศาจที่ 35 km เป็นเหมือนตัวอุปสรรค์ที่มาตั้งคำถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ พร้อมกับพันธนาการหนักอึ้งที่อาจทำให้คนเราท้อง่ายๆ จนหลายคนต้องยอมแพ้

ที่ 42 km เป็นทั้งจุดสิ้นสุดและจุดแสดงความสำเร็จที่พร้อมจะรอทุกคนอยู่ และจะดีขนาดไหนถ้ามีใครสักคนที่คอยประตับประคองเข้าเส้นชัยพร้อมๆกัน

7 ชั้นเชิงของหนังรัก 7 ปี/ ดี 7 หน

 

1. จุดศูนย์กลางและความเชื่อมโยงกันของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ตัวผู้หญิงวัย 42 คนหนึ่ง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งในอดีต (part 21/28) ปัจจุบัน (part 42.195) และอนาคต (part 14) อาจเป็นเพราะในวัย 42 ของเธอ หมายความว่าเธอเคยผ่านช่วงเวลาและชีวิตในแต่ละวัยมาแล้ว เหลือแต่ วัย 42 ที่เธอยังไม่รู้จะลงเอยอย่างไร

 

2. ไม่ใช่เฉพาะตอน 21/28 ที่หนังเล่าเรื่องไม่ตามลำดับเวลา แต่ตัวหนังทั้งเรื่องก็ไม่ได้เล่าตามเวลาเหมือนกัน โดยถ้าจะเรียงหนังเรื่องนี้แบบไทม์ไลน์เหมือนเฟซบุ๊ค จะได้ผลกังนี้

 

อดีต

จอนในวัย 21 ได้เจอกับแหม่มตอนอายุ 21 ในกองถ่ายหนังเรื่อง Sea You และเกิดความรักนอกจอ

แหม่มในวัย 28 มาตามหาจอนในวัย 28 เพื่อกลับไปนำแสดงหนังภาค 2

Sea You ภาค 2 ประกาศสร้างและแสดงนำโดยพระเอกนางเอกคู่ใหม่ (ตามที่หล่อนรายงานข่าว)

สามีของหล่อนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้หล่อนเลิกชีวิตการเป็นผู้ประกาศข่าว

 

ปัจจุบัน

หล่อนเกิดแรงบันดาลใจและหันมาวิ่งมาราธอน

วันที่หล่อนลงแข่งมาราธอนครั้งแรก หล่อนวิ่งผ่านคัทเอาท์หนังเรื่อง Sea You ภาค 2 แสดงว่าหนังกำลังจะเข้าฉายแล้ว

               

อนาคต

หล่อนกลับไปเป็นผู้ประกาศข่าว และได้รายงานข่าวดาวมฤตยูโคจรมาใกล้โลกในรอบ 7 ปี

ป่วนดูข่าว และตัดสินใจเปิดเผยความสัมพันธ์กับมิลล์สู่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค (เหตุผลที่ว่าเป็นอนาคต เพราะมีฉากที่หนังแสดงว่าเป็นปี 2013 และเวปบอร์ดเป็นพันทิปโฉมใหม่ ที่ปัจจุบันกำลังเตรียมเปิดตัว)

 

3. ตัวประกอบที่เคยแจ้งเกิด มีผลงาน หรือเกี่ยวข้องกับ GTH โดยแบ่งออกเป็นตัวประกอบที่โผล่มาให้คนดูสะดุด หรือ คนที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ในตอน 14  ตัวประกอบที่มารับบทตัวเองชื่อจริงเสียงจริงในตอน 21/28 และตัวประกอบที่โผล่มาเติมเต็มหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ในตอน 42.195 จะสังเกตว่าตัวประกอบที่โดดเด่นตั้งแต่ตอนแรกๆ จะกลมกลืนกับหนังมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สะดุดอะไรในตอนท้าย

 

4. การอ้างอิงหนังเด่นๆ ของ GTH ตั้งแต่ แฟนฉันใน 14 (ความจริงตอนนี้อ้างอิงอีกหลายเรื่องมาก) กวนมึนโฮ ใน 21/28 (รวมถึงโปสเตอร์หนังหลายๆเรื่องที่ปรากฏในหนังตอนนี้) และกวนมึนโฮอีกครั้งใน 42.195 (คนดูไม่รู้ชื่อตัวละคร) แต่สังเกตว่าไม่มีการอ้างอิงหนังสยองขวัญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของ GTH

 

5. เป็นหนังไทยที่ฟุ่มเฟือยสัญลักษณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่ง จากสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม ตรงไปตรงมา สะท้อนภายสังคมออนไลน์ใน 14 สู่สัญลักษณ์ที่เป็นนามธรรมและอาศัยการตีความมากขึ้นใน 21/28 (ทะเล ตู้ปลา อควาเลี่ยม กระจก  ตุ๊กตาทอง) สู่สัญลักษณ์ที่ต้องอาศัยการตีความอย่างหนักหน่วงใน 42.195 (ทิศทางการวิ่งทั้งแนวราบและแนวดิ่ง (ขึ้นลงบันได) อายุ 24 กับ 42 ที่สลับเลขกัน รองเท้าแต่ละคู่ และตัวเลข 7)

6.  ชื่อตอนแต่ละตอนมีนัยหรือเปล่า นอกจากสะท้อนอายุตัวละคร

14 ปกติอายุ 14 น่าจะเป็นประมาณ ม.ต้น แต่ตัวละครทั้ง อยู่ ม.ปลาย หนำซ้ำหนังยังบอกด้วยว่าป่วนอายุ 17 แล้ว 14 น่าจะใกล้เคียงอายุมิลล์มากกว่า แต่เรื่องก็ดำเนินตามมุมมองของป่วนไม่ใช่มิลล์ จึงเดาว่า 14 น่าจะเป็นช่วงที่สองคนแอบปิ๊งกันครั้งแรก มีการแอบจีบกัน ให้ของกัน ก่อนที่จะมาเปิดเผยว่าคบกันตอนเวลาในหนัง (แปลว่าป่วนแอบชอบมิลล์ตั้งแต่ ม.2 มิลล์อยู่ม.1)

21/28 เป็นตัวเลขที่ซ้อนทับกัน ชัดเจนว่าสื่อถึงเรื่องราวในหนังที่ซ้อนอดีตกับปัจจุบัน ความจริงกับมายา

42.195 ตัวเลขไม่ลงตัว นอกจากเป็นระยะมาราธอนที่เป็นทางการ ยังสื่อถึงชีวิตหล่อนที่ยังมีเศษ ยังไม่ถูกเติมเต็มอีกด้วย

7. นอกเหนือจากสัญลักษณ์ หนังเรื่องนี้ยังอุดมไปด้วยกิมมิคหรืออีสเตอร์เอ๊กที่สื่อถึง GTH และเลข 7 หรือเลขที่หาร 7 ลงตัว ทำให้หนังพูดได้อย่างเต็มที่ว่านี่คือหนังฉลอง 7 ปี GTH




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2555    
Last Update : 4 สิงหาคม 2555 11:27:39 น.
Counter : 2245 Pageviews.  

ชิงหมาเถิด: ความสุขจอมปลอมของคนไทยทั้งแผ่นดิน

(บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง)


จากสุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ที่นำมาซึ่งความสุขของผู้คน ที่ได้คอยเฝ้ามองความเฉลียวฉลาดน่ารักของมัน ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดง หนุ่มสาว วัยกลางคน จนถึงผู้ชรา แต่กลับมีบางคนที่ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับมัน และออกจะหมั่นไส้หรือเกลียดชังเจ้าสุนัขตัวนี้ด้วยซ้ำ โดยสาเหตุหลักๆ มาจากมันมาแย่งความสำคัญเพราะผู้คนที่ให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป ปฏิบัติการชิงหมาจึงเริ่มขึ้น

ทีมชิงหมา
ผู้ชายสามคน อุดมการณ์เดียวกัน ต่างคนต่างมา และจับผลัดจับผลูมาร่วมมือกันได้ยังไงไม่รู้ แต่นอกเหนือจากอุดมการณ์ที่เหมือนกันแล้ว อีกสิ่งที่เหมือนกัน โดยเขาทั้งสามไม่รู้ตัว คือพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะชิงหมามาทำไม เรียกร้องความสนใจ หมั่นไส้ พิสูจน์ตัวเอง ชิงได้แล้วจะเอาไปทำอะไร เอาไปฆ่า เอาไปปล่อย หรือแม้แต่เอาไปคืนภายหลัง สิ่งที่พวกเขารู้ คือแค่การไปชิงหมามาเท่านั้น โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่ามันจะเกิดผลตามมาที่รุนแรง มีผลกระทบต่อผู้คน แม้แต่กับชีวิตของพวกเขาเอง

ผู้ไล่ล่า
ในขณะที่ทีมชิงหมาไม่ได้มีแผนการณ์หรือวัตถุประสงค์เด่นชัด ผู้ไล่ล่าทีมชิงหมาซึ่งไม่มีที่มาที่ไป หรือปูมหลังใดๆ แต่รู้จุดหมายของตัวเองชัดเจน คือการตามไล่ล่าทีมชิงหมาทั้ง 3 และกำจัดทุกสิ่ง ที่มาขวางทางหรือเป็นอุปสรรค์ในการไล่ล่า โดยไม่จำเป็นต้องไถ่ถามอะไร แต่ถ้าถามถึงเหตุผลของการไล่ล่า เขาก็อาจตอบไม่ได้เหมือนกัน นอกเหนือจากการทำตามคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องคิดอะไร หรือรู้สึกอะไร ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะเป็นจะตาย ขอให้งานสำเร็จเท่านั้น

ปัญหาระดับประเทศ
การติดตามจับกุมผู้อุกอาจมาชิงหมาตัวหนึ่ง และการนำมันกลับมา กลายมาเป็นวาระแห่งชาติ อาวุธยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ (ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธและอุปกรณ์ที่พิสูจน์แล้ว ว่าใช้ได้ผลดี) เช่นเดียวกับการระดมกำลังพลเต็มที่เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ แม้ว่านั่นจะเป็นเวลาเดียวกับที่ประเทศกำลังมีปัญหาเรื่องจังหวัดชายฝั่งทะเลกำลังเกิดวิกฤติก็ตาม เพราะเมื่อลำดับความสำคัญแล้ว หมาตัวหนึ่ง มันมีผลกระทบต่อประเทศชาติมากกว่าจังหวัดไกลๆนั่นเสียอีก

รู้ว่าเขาหลอก
ระหว่างการหลบหนี เอาตัวรอด ทีมชิงหมา ก็ได้รู้ความจริงว่าหมาหิมะแท้จริงแล้วเป็นแค่สุนัขธรรมดาๆตัวหนึ่ง ที่ถูกจับมาใส่หัวโขนให้กลายเป็นหมาพิเศษ พวกเขามีทางเลือกระหว่างการเปิดเผยความจริงให้สังคมรับรู้ หรือการปล่อยให้สังคมเชื่ออย่างผิดๆ แต่แลกมาด้วยความสุขของประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่มาชุมนุมเรียกร้องให้นำหมากลับมาอย่างบริสุทธิ์ใจ และเชื่อถือว่ามันคือหมาหิมะของจริง มันคือหมาหิมะที่นำมาซึ่งความสุขและรอยยิ้มของประชาชนอย่างถ้วนทั่ว โดยเฉพาะเด่น ที่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีมากกว่าคนอื่นๆ เมื่อมองว่าเขามีลูกสาวที่เกิดจากเมียที่ผ่านผู้ชายมานับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังมอบความรักให้กลับลูกสาวคนนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยทำเป็นมองไม่เห็นอะไรบางอย่าง เพราะลูกสาวที่เป็นเหมือนน้ำชะโลมหัวใจ ที่เขารักและรักเขาอย่างจริงใจ ท่ามกลางสังคมปัจจุบันที่โหดร้ายกับเขา

สังคมที่บิดเบี้ยว
ในขณะที่เด่นต้องดิ้นรนต่อสู้กับสังคมแห่งการแข่งขัน อาร์ตอาจยังไม่ได้อยู่ในโลกนั้น แต่สังคมของเขาก็โหดร้ายไม่แพ้กัน กับสังคมที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใส่ใจกันและกัน (สะท้อนผ่านบ้านของเขา ที่ผู้คนสนใจแต่เกมส์หน้าจอมากกว่าผู้คนจริงๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างๆกำลังเกิดอะไรขึ้น) ทำให้อาร์ตเลิกที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้คน หันมาใช้ BB เป็นสื่อในการแสดงความรู้สึก ไปจนถึงการถูกละเลยจากสังคม ทั้งที่เขามีศักยภาพหรืออะไรดีๆในตัวมากกว่านั้น และถ้าคิดว่าสังคมของเด่นและอาร์ตโหดร้ายแล้ว สังคมของแบงค์ก็ยังโหดร้ายยิ่งไปอีก เมื่อคนที่ทำให้สังคมเลวร้าย คือคนในครอบครัวของเขาเอง ที่เลี้ยงลูกด้วยเงินและการรักษาหน้าตาสถานะภาพ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกลับเฉยชาและแสนจะเปราะบาง

ขบวนการขายฝัน
การที่หมาหิมะปลอมๆกลายมาเป็นขวัญใจประชาชน ไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือเพราะตัวของหมาเอง แต่เกิดจากการขายฝันที่ผ่านการวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี และไม่ใช่แค่หมาหิมะ แต่สังคมทุนนิยมแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยการขายนานาชนิด สะท้อนจากบิลบอร์ดและแผ่นป้ายโฆษณาต่างๆ ที่วาดฝันสวยหรูให้กับสังคม หลอกลวง ไปจนถึงการล้างสมองให้เชื่อว่านี่คือสิ่งถูกต้อง เหมาะสม และยอมรับกันทั่วไป เราจึงได้เห็นประชาชนที่แต่งตัวให้เหมือนหมาหิมะ เราจึงได้เห็นคลีนิครักษาสัตว์ที่มีการทำศัลยกรรมตบแต่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยตอกย้ำความบิดเบี้ยวของสังคม ที่กำลังถูกกัดกินทีละน้อย โดยผู้คนยังไม่ทันได้ตระหนัก

บทสรุปทีมชิงหมา
แม้ว่าปฏิบัติการจะไม่ลุล่วง แต่สิ่งที่น่าจะทำร้ายจิตใจของทีมชิงหมามากที่สุด ถ้าพวกเขาได้มีโอกาสได้รับรู้ คือการถูกตัดสินจากสังคมถึงการเป็นประชาชนที่มีปัญหา ล้มเหลว ต่อต้านสังคม เรียกร้องความสนใจ โดยที่สังคมที่ถูกตัดสินก็ไม่ได้รู้เห็นหรือเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นเลย แม้จะทิ้งท้ายด้วยการแสดงความเห็นใจ เป็นห่วงใย และหวังดี แต่ลึกๆก็คือการตอกย้ำว่านี่คือจุดจบของคนที่ฝ่ากระแสของสังคม เหมือนกับที่อาร์ตได้เห็นรายการทีวีที่สรุปชีวิตของเขาเสร็จสรรพ โดยที่เขาไม่มีโอกาสแก้ตัวหรือชี้แจงด้วยซ้ำ

เก่าไปใหม่มา
หมาหิมะอาจสร้างความสุขและได้รับความนิยมจากมหาชน แต่ประชานิยมนี้ก็มีวันจืดจาง เมื่อวันหนึ่งข่าวของหมาหิมะเริ่มถอยลงจากพาดหัวข่าวหลักในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ไม่ต้องกังวล ถึงความนิยมนี้จะลดลง สังคมก็ยังสามารถหาสิ่งใหม่ๆมาล่อตาล่อใจประชาชนได้เสมอ และวงจรนี้ก็จะยังคงอยู่ในสังคมต่อไป แม้ว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปแล้วก็ตาม




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2553    
Last Update : 31 ตุลาคม 2553 16:29:59 น.
Counter : 1096 Pageviews.  

อภิชาติพงศ์ระลึกชาติ

บทความนี้ เปิดเผยเนื้อหาของหนัง



อดีตชาติอภิชาติพงศ์

สุดเสน่หา เล่าเรื่องราวของรุ่ง สาวโรงงานที่แอบพาคนรักชาวพม่าหนีความวุ่นวายจากในเมืองเข้าไปพลอดรักกันในป่าและแสดงความเสน่หาต่อกัน โดยไม่รังเกียจว่าชายคนนั้นจะอัปลักษณ์ เป็นคนต่างด้าว หรือเป็นโรคผิวหนัง ก็ตาม

สัตว์ประหลาด เล่าเรื่องราวของโต้ง เกย์หนุ่มที่มีโอกาสสานสัมพันธ์กับนายทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่แถวบ้านเพราะมีศพถูกสัตว์ป่าทำร้าย และนิยายปรัมปราเกี่ยวกับเสือสมิง ความลึกลับ และวิญญาณของป่า

แสงศตวรรษเล่าเรื่องถึงชีวิตหมอ และผู้คนรอบข้างในโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าเรื่องนั้นซ้ำอีกรอบในบรรยากาศสังคมเมืองแห่งอนาคต ที่วัตถุและพลาสติกกำลังเข้ามามีบทบาทแม้แต่กับร่างกายผู้ป่วย

อภิชาติพงศ์บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยการเรียงร้อยเรื่องราว และถ่ายทอดออกมาอย่างเนิ่บช้าเพื่อให้ผู้ชมได้ซึมซับ ธรรมชาติเป็นตัวละครที่มีบทบาทชัดเจนในหนังของเขาเสมอ โดยมักเป็นฉากหลังสวยงามให้ตัวละครได้ปลดปล่อย เป็นตัวของตัวเอง สงบ แม้จะแฝงไว้ด้วยความลึกลับ คาดเดาไม่ได้ ซึ่งจะขัดแย้งกับความวุ่นวาย สับสน พิธีรีตอง และการใส่หน้ากากเข้าหากันของสังคมเมือง

อดีตชาติลุงบุญมี
ควายที่ออกแรงดึงจนหลุดออกจากหลัก และวิ่งหนีเข้าไปในป่า เจ้าของที่เข้ามาตามหา และลิงยักษ์นัยน์ตาสีแดงที่เฝ้าแอบมอง

เจ้าหญิงอัปลักษณ์ ใบหน้าคล้ายเป็นโรคผิวหนังผู้แสนเศร้า และปลาดุกที่เฝ้ามองด้วยความเสน่หา และบทอัศจรรย์ระหว่างคนกับสัตว์กลางสายน้ำ

ภาพถ่ายทหารพรานกลุ่มหนึ่ง กับวัวควายที่โดนทำร้าย และลิงยักษ์นัยน์ตาแดง ที่ถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนิทสนม

อดีตนายทหารที่ต้องเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่หนีเข้าป่า

วิญญาณที่เดินทางข้ามกาลเวลา และเมืองแห่งอนาคตที่ผู้ปกครองมีอำนาจจะทำให้ใครหายไปจากโลกก็ได้

ลุงบุญมีระลึกชาติที่ผ่านมาทั้งชัดเจนเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นภาพนิ่ง หรือแม้แต่การบอกเล่าโดยวาจา โดยไม่มีการเจาะจงลงไปชัดเจนว่าลุงบุญมีเป็นใคร หรือเป็นอะไรในแต่ละชาติ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ของชาติภพต่างๆกับตัวลุงบุญมีในชาติปัจจุบัน ก็ไม่ชัดเจน นอกจากความเชื่อของลุงบุญมีที่ว่าแกกำลังชดใช้กรรมที่เกิดในอดีตชาติของตัวเอง

แบบแผนของอภิชาติพงศ์

หนังสามเรื่องที่ผ่านมาของอภิชาติพงศ์ แบ่งเรื่องราวออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือเรื่องที่ต่อเนื่องกัน หรือแม้แต่จะเป็นคนละเรื่องก็ตาม ทำให้มองเห็นความขัดแย้งของเรื่องราวในแต่ละส่วนชัดเจน และเป็นเหมือนกับลายเซนต์ของเขา

แบบแผนของลุงบุญมี
หนังลุงบุญมีระลึกชาติ ไม่ได้แบ่งชัดเจนเหมือนหนังอภิชาติพงศ์เรื่องก่อนหน้านี้ แต่เป็นการผสมผสานการเล่าเรื่องสองแบบเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน และสลับการเล่าทั้งสองแบบต่อเนื่องกันตลอดตัวหนัง แม้จะเป็นในฉากเดียวกัน คือการเล่าเรื่องแบบสมจริง และการเล่าเรื่องแบบเหนือจริง

ส่วนที่น่าสนใจและเป็นเสน่ห์ของหนังคือ ส่วนเหนือจริงที่หนังทำเอาคนดูอึ้งได้เป็นพักๆ เพราะความเหนือชั้นของฉากเหนือจริงเหล่านี้ คือการตอบสนองของตัวละครในฉาก ที่ตอบรับรวดเร็ว ไม่แตกตื่นตกอกตกใจไปก่อน ทำให้ต้องกลับมาคิดว่าทำไม และได้คำตอบว่าเพราะฉากเหนือจริงเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ นอกจากเกิดในสมอง หรือความคิดของตัวละครบางตัว

เรื่องที่เกิดขึ้นจริง: ลุงบุญมี พ่อหม้ายเมียตาย ลูกชายหนีออกจากบ้าน กำลังจะตายจากโรคไตวาย ซึ่งต้องอาศัยคนงานหนุ่มชาวลาวคอยฟอกไตให้ และมีน้องเมียกับหลานชายมาอยู่ด้วยในวาระสุดท้ายของชีวิต ในที่สุดแกก็ตาย หลานชายบวชหน้าไฟให้ และขณะบวช หลานก็แอบหนีกลับมาหาป้า ตอนกลางคืน

เรื่องที่เป็นจินตนาการของลุงบุญมี: ในวาระสุดท้าย วิญญาณของคนรอบข้างที่ตายหรือสาบสูญไปได้กลับมาอยู่ร่วมกัน พูดคุยกันเหมือนสมัยทุกคนอยู่ด้วยกัน เหตุการณ์ในอดีตชาติแจ่มชัดขึ้น ความรู้สึกว่าตัวเองกำลังรับกรรมที่ได้ก่อเอาไว้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณของสิงสาลาสัตว์มาห้อมล้อมและเฝ้ามอง และการออกเดินทางไปในป่าที่มืดมิด จนสิ้นสุดในถ้ำที่เหมือนกับการย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นของชีวิต และตายไปจากโลก

เรื่องที่เป็นจินตนาการของโต้ง: ร่างกายที่แยกเป็นสองส่วน วิญญาณที่ออกจากร่างจนแยกไม่ถูกว่าอะไรคือร่างกาย อะไรคือจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่โต้งกำลังอยู่ในเส้นกั้นบางๆระหว่างความเป็นพระและฆราวาส หรือความเป็นพระกับความอาบัติ

สิ่งที่เห็นได้ในหนังอภิชาติพงศ์
คนหน้าตาธรรมดาๆ พูดจาภาษาชาวบ้าน เป็นธรรมชาติ กิจกรรมที่พบเห็นทั่วไปในสังคมจนไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมเพราะคุ้นเคยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก การร้องเพลงคาราโอเกะในบาร์ ฉากหลังที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นที่เคารพบูชาตามความเชื่อของคนในเรื่อง เรื่องเล่าปรัมปรา นายทหารหนุ่มที่เป็นมิตรกับชาวบ้าน ฉากหน้าและฉากหลังของรถที่กำลังเคลื่อนที่ พระที่มีความเป็นคนธรรมดาสูง เพลงที่ตัวละครในเรื่องฟัง ที่ดูขัดแย้งกับบรรยากาศ การเดินทางเข้าป่า ลอดถ้ำ สัตว์พูดได้ การถ่ายภาพที่เห็นแสงแดดนุ่มนวล และกาพที่มีป่าเป็นกรอบให้กับแสงสว่างภายนอก ไปจนถึงนักแสดงที่ใช้ชื่อจริงเสียงจริงมาเป็นตัวละครในหนัง

สิ่งที่เห็นได้ในหนังลุงบุญมีระลึกชาติ
ทุกสิ่งที่เคยเห็นในหนังเรื่องก่อนๆของเขา (ที่น่ารักมาก คือในกลุ่มสิ่งแปลกปลอมที่กลายมาเป็นความคุ้นเคยในงวดนี้ มีไม้ช็อตแมลงอยู่ด้วย) จนเหมือนหนังลุงบุญมีเป็นการรวมฮิตครั้งใหญ่ของอภิชาติพงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักแสดงสามคนในฉากช่วงท้ายๆ ที่มาจากหนังสามเรื่อง และขึ้นจอด้วยชื่อเดิมจากหนังทั้งสามเรื่อง คือรุ่งจากสุดเสน่หา โต้งจากสัตว์ประหลาด และป้าเจน จากแสงศตวรรษ (ซึ่งป้าเจนไม่น่าจะเป็นคนเดียวกับในสุดเสน่หา เพราะตอนนั้น เธอรับบทเป็นพี่อร และโต้งอาจเป็นหรือไม่เป็นคนเดียวกับพระในแสงศตวรรษ เพราะพระรูปนั้นชื่อศักดา ซึ่งเป็นชื่อจริงๆของนักแสดง) ทำให้เห็นจุดประสงค์ว่างานชิ้นนี้ของอภิชาติพงศ์คือการหยุดทบทวน และดึงจุดเด่นของงานตัวเองมาเรียบเรียงใหม่ให้ชัดเจนอีกรอบหนึ่ง และสะท้อนตัวตนของเขาผ่านตัวละครในหนังคือลุงบุญมี โดยมีชาติต่างๆเป็นตัวแทนหนังเรื่องก่อนๆ (คล้ายๆกับกรณีของหว่องการ์ไวกับ 2046 ที่เป็นการทบทวนผลงานก่อนๆของตัวเอง โดยผ่านตัวละครเหลียงเฉาเหว่ย และให้ผู้หญิงในหนังเป็นตัวแทนหนังเรื่องก่อนๆ)

ดังนั้น เอาเข้าจริงๆแล้ว ลุงบุญมีระลึกชาติ อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอภิชาติพงศ์ระลึกชาติ ก็คงไม่เกินความจริงนัก

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สุดเสน่หา
2046




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 20:23:46 น.
Counter : 1148 Pageviews.  

Vantage Point: มุมมองทั้งแปด



(คำเตือน สำหรับผู้ที่ดู Vantage Point แล้วเท่านั้น)
มุมมองที่ 1: เรื่องจริงผ่านจอ
หน้าที่ของเร็กซ์ บรู๊คในฐานะบรรณาธิการข่าวคือการเลือกมุมมองที่ดีที่สุดในการนำเสนอต่อผู้ชม ในขณะที่ภาพจากมุมมองต่างๆส่งมาตรงหน้าเธอ เธอคือผู้เลือกว่าจะให้ภาพไหนปรากฏออกไป ในขณะเดียวกัน ก็ต้องควบคุมให้ทุกมุมมองจับภาพที่ดีที่สุดเพื่อวัตถุดิบดีๆที่เธอจะเลือกไปนำเสนอ ดูเหมือนว่าบรู๊คคือผู้ที่มีโอกาสเห็นมุมมองที่แตกต่างกันได้มากที่สุด แต่การที่เธอแค่นั่งอยู่ในห้อง มุมมองที่เธอเห็นและส่งต่อ เธอจะแน่ใจได้แค่ไหน ว่ามันเป็นอะไรที่ถูกต้อง และเกิดขึ้นจริง

มุมมองที่ 2: บอดี้การ์ดผู้เป็นหมาก
การทำหน้าที่บอดี้การ์ดของโทมัส บานส์อาจทำให้เขาเป็นจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก็จริง เหตุการณ์ต่างๆอาจเกิดขึ้นจะจะตา จนยากที่จะเชื่อว่านั่นก็ยังไม่ใช่ของจริงเพราะการที่เขาโดนลวงเอาไว้โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคนที่เขาต้องคุ้มครอง สถานการณ์ที่สร้างให้เขาไขว้เขว ทีมงานที่เขาไว้วางใจ ล้วนแล้วแต่เป็นการวางหมากเอาไว้เพื่อให้เขาหลงทาง น่าตลกที่ว่าเขาไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้อีกต่อไป จนกว่าจะได้รับการยืนยันจากภาพที่บันทึกไว้โดยบุคคลที่สาม การอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ ก็ใช่ว่าเขาจะอยู่ใกล้ความจริงมากกว่าคนอื่น

มุมมองที่ 3: ตำรวจลับกับหมากอีกตัว
เอนริเก้เป็นตำรวจลับ เขาจึงต้องหลอกลวงคนรอบข้างโดยการแฝงตัวให้เหมือนกับคนธรรมดา เขาเหมือนมีจุดแข็งที่มีอภิสิทธิ์ของการเป็นตำรวจแต่ไม่ได้เป็นจุดสนใจในสายตาใคร แต่นั่นกลับเป็นจุดอ่อนให้เขาต้องโดนหลอกให้มาเป็นหมากอีกตัวของเหตุการณ์ เอนริเก้ยังดีกว่าบานส์ที่เขารู้ตัวว่าถูกหลอกเร็วกว่า เอนริเก้อาจมีมุมมองเป็นภาพที่ชัดเจนกว่า แต่ปัญหาของเขาคือเขายังไม่เชื่อถือมุมมองนั้น และยังต้องการการพิสูจน์ ยืนยันว่าภาพที่เห็นคือเรื่องจริงหรือลวง

มุมมองที่ 4: นักท่องเที่ยวผู้กลายเป็นพยาน
โฮเวิร์ด ลิวอิส อาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้อยที่สุดแล้ว แต่ความช่างสังเกต ช่างบันทึก และความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ต่างๆมากกว่าคนอื่น และการเป็นแค่คนธรรมดา มองอะไรตรงไปตรงมา ทำให้การบันทึกของเขากลายเป็นหลักฐานชั้นดีและเป็นกลาง แต่ถ้าลองถามลิวอิสดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอาจจะตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาบันทึกแทบทุกเหตุการณ์ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ จนถึงจุดสุดท้ายไว้กับมือแท้ๆ อานุภาพของเทคโนโลยีการบันทึก ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจความจริงอะไรเลย

มุมมองที่ 5: ประธานาธิบดีผู้กลายเป็นเหยื่อ
ถึงแม้รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไร ถึงแม้จะมีการป้องกันไว้แล้ว แต่ประธานาธิบดีแอชตันก็ยังหนีไม่พ้นจากการเป็นเหยื่อ การมองของ(เหล่าบอดี้การ์ดของ)แอชตัน เป็นการมองแบบคาดการณ์ในอนาคต จากหลักฐาน ข้อมูล และนำไปสู่การป้องกันสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่เป็นการมองแค่ชั้นเดียว ในขณะที่ความจริงที่ฝ่ายตรงข้ามเตรียมไว้มันมากกว่าหนึ่งชั้น ในที่สุด เขาก็ไม่รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อ เพราะการมองที่ไม่ลึกเท่าทัน

มุมมองที่ 6: ผู้ก่อการร้ายกับตัวแปรที่ไม่คาดคิด
ในฐานะคนวางแผน กลุ่มผู้ก่อการร้ายคิดเสมอว่าพวกตนมีมุมมองที่แม่นยำกว่ามุมมองอื่นๆ อยู่ใกล้ความจริงที่สุดและสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามมุมมองของตัวเองได้ แต่แล้วตัวแปรที่ไม่คาดคิดต่างๆก็ทำให้มุมมองที่น่าจะเป็นจริงนี้ กลายเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอยู่ๆก็โดนเรียกไปทำอะไรที่ไมอยู่ในแผนสักนิด อย่างการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ อยู่ๆก็โดนจับภาพโดยบังเอิญ อยู่ๆก็มีไอ้บ้าคนหนึ่งกัดไมปล่อย ไปจนถึงอยู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆพรวดพลาดออกมาบนถนน ในที่สุด ความจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้เข้าใกล้กับแผนการณ์หรือมุมมองที่วางไว้เลย

นั่นคือ 6 มุมมองที่ Vantage Point นำเสนอโดยใช้เทคนิคการจำกัดมุมมอง และค่อยๆเผยออกมาเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของแต่ละมุมมอง และความจริงความลวงที่ปรากฏ จึงไม่มีมุมมองใดมุมมองหนึ่งเลยที่จะให้ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองอีกอย่างน้อย 2 มุมมองที่หนังไม่ได้แสดงให้เห็นตรงๆ แต่อาจบอกได้ว่ามันอาจเกิดขึ้น

มุมมองที่ 7: ประชาชนตาดำๆ
ถึงแม้ตัวละครใน Vantage Point หลายๆตัวจะน่าสงสารที่โดนหลอกลวงไปมา แต่ในที่สุดแทบคนก็ได้รู้ความจริง ต่างจากประชาชนทั่วไป ที่ถึงแม้หนังจะไม่ให้เห็นตัวจริงๆ นอกจากมีตัวแทนคือเมียของลิวอิสที่โทรมาในตอนจบ สิ่งที่ประชาชนรับรู้คือการก่อการร้าย และประธานาธิบดีโดนลอบยิงเพียงเท่านั้น (ผู้ก่อการร้ายอาจถูกสื่ออุปโลกให้เป็นใครสักคนก็ได้) แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม แต่รายละเอียดที่หายไป ไปจนถึงการบิดเบือนเหตุการณ์เพื่อให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่รัฐอยากให้เชื่อ ดีไม่ดี ประชาชนอาจน่าสงสารกว่าตัวละครในเรื่องก็ได้

มุมมองที่ 8: มุมมองคนดูหนัง Vantage Point
อาจเป็นการขี้โกง แต่มุมมองที่น่าจะครบถ้วน และถูกต้องที่สุดย่อมหนีไม่พ้นมุมมองจากคนดู หรือที่เรียกว่ามุมมองพระเจ้า ที่สามารถรับรู้ได้มากกว่าตัวละครในเรื่องได้รู้เสียอีก (คนดูรู้ว่าเด็กจะก้าวออกมาตั้งแต่มุมมองที่ 4 แล้ว แต่ผู้ร้ายในเรื่องไม่รู้) หนังโดยทั่วๆไป จะใช้มุมมองพระเจ้าเป็นหลักในการเล่าเรื่อง Vantage Point อาจปฏิเสธมุมมองนี้ในการเล่าเรื่องแต่ละตอน แต่ถ้าดูโดยภาพรวมของหนังทั้งเรื่องมันก็หนีไม่พ้นมุมมองนี้อยู่ดี ปัญหาคือแล้วตกลงมุมมองนี้มันจริงไหม จริงในบริบทของหนัง แต่ความที่หนังก็คือ fiction อย่างหนึ่ง มุมมองนี้ก็อาจบิดเบือนเรื่องราวไปขนาดไหนก็ได้

ถึงตรงนี้ คุณมั่นใจหรือเปล่าว่าอะไรๆที่คุณรู้ คุณเห็น มันคือความจริงหรือลวง




 

Create Date : 09 เมษายน 2551    
Last Update : 9 เมษายน 2551 1:24:49 น.
Counter : 1319 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

I'm wu
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add I'm wu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.