แบ่งปัน พระธรรม ปัญญาจารย์

ปัญญาจารย์ 1
01 ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม
02 ปัญญาจารย์กล่าวว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง
03 ที่มนุษย์ทำงานตรากตรำกลางแดด เขาได้ประโยชน์อะไรจากงานที่เขาทำนั้น
04 ชาตพันธุ์หนึ่งล่วงไป และอีกชาตพันธุ์หนึ่งก็มา แต่แผ่นดินโลกคงเดิมอยู่เป็นนิตย์
05 ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก แล้วรีบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้น
06 ลมพัดไปทางใต้ แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมา แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
07 แม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใด ก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก
08 สารพัดเหนื่อยกันหมด คนใดๆก็พูดไม่ออก นัยน์ตาก็ดูไม่อิ่ม หรือหูก็ฟังไม่เต็ม
09 สิ่งที่เป็นขึ้นแล้วคือสิ่งที่จะเป็นขึ้นอีกสิ่งที่ทำกันแล้ว คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก และไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์
10 มีสักสิ่งหนึ่งหรือที่เขาจะพูดได้ว่า "ดูซี สิ่งนี้ใหม่" สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในสมัยก่อนเราทั้งหลาย
11 ไม่มีการจดจำถึงสมัยก่อน และไม่มีการจดจำ สิ่งหลังๆที่จะเกิดมา ในท่ามกลางบรรดาผู้ที่มาภายหลัง
12 ข้าพเจ้า ปัญญาจารย์ เคยเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลในกรุงเยรูซาเล็ม
13 และข้าพเจ้าตั้งใจเสาะและแสวงหาโดยสติปัญญา สิ่งที่กระทำกันภายใต้ฟ้าสวรรค์เป็นเรื่องยากลำบาก ซึ่งพระเจ้า ประทานให้มนุษย์ทำกันอยู่นั้น
14 ข้าพเจ้าเคยเห็นการทั้งปวงซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด สารพัดก็อนิจจัง คือกินลมกินแล้ง
15 อะไรที่คดจะทำให้ตรงไม่ได้ และอะไรที่ขาดอยู่จะนับให้ครบไม่ได้
16 ข้าพเจ้ารำพึงว่า "ข้าพเจ้ามีสติปัญญามากยิ่ง มากกว่าใครๆ ที่ครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มมาก่อนข้าพเจ้า ใจข้าพเจ้า ก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง"
17 ข้าพเจ้าก็ตั้งใจรู้สติปัญญา รู้ความบ้าบอ และความเขลา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งด้วย
18 เพราะในสติปัญญามากๆ ก็มีความทุกข์ระทมมากและบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก
.............

ปัญญาจารย์ 2
01 ข้าพเจ้ารำพึงว่า "มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู เอ้า จงสนุกสบายใจไป" แต่ดูเถิด เรื่องนี้ก็อนิจจังเช่นกัน
02 ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับการหัวเราะว่า "บ้าๆ บอๆ" และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า "มีประโยชน์อะไร"
03 ข้าพเจ้าคิดดูว่าจะทำอย่างไร กายจึงจะคึกคักด้วยเหล้าองุ่น และใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญาและจะยึด ความเขลาไว้อย่างไร จนข้าพเจ้าจะเห็นได้ว่า อะไรจะดีสำหรับให้บรรดาบุตรของมนุษย์กระทำภายใต้ท้องฟ้าตลอด ชีวิตของเขา
04 ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และทำสวนองุ่นหลายแปลง
05 ข้าพเจ้าทำสวนผลไม้และสวนหย่อนใจหลายแห่ง ปลูกต้นไม้มีผลหลายอย่างไว้ในสวนเหล่านั้น
06 ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม
07 ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้มีทาสเกิดขึ้นในบ้าน ข้าพเจ้ามีฝูงโคฝูงแพะแกะเป็นสมบัติมากกว่าของบรรดาคนที่อยู่ใน กรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า
08 ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และส่ำสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนัก ร้องชายหญิงสำหรับตัวและเมียน้อย ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจผู้ชาย
09 ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่เป็นโตกว่าบรรดาคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับ ข้าพเจ้าด้วย
10 สิ่งใดๆที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานใดๆ เพราะใจ ข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินในบรรดางานของข้าพเจ้า และนี่เป็นรางวัลจากงานของข้าพเจ้า
11 แล้วข้าพเจ้าหันมาดูบรรดาสิ่งที่มือข้าพเจ้ากระทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าพเจ้าทุ่มเทลงไปและ ดูเถิด ทุกอย่างก็ อนิจจัง คือกินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์
12 ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์ จะทำอะไรได้บ้าง เขาก็กระทำสิ่งที่เขากระทำกันมานานแล้วนั้นได้
13 ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาวิเศษกว่าความเขลาเหมือนความสว่างวิเศษกว่าความมืด
14 คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิด ขึ้นแก่เขาทั้งมวล
15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า "เคราะห์กรรมอันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็คงจะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า" ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน
16 เพราะไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญาเช่นเดียวกับคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว พุทโธ่ คนมี สติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา
17 ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่เขาทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็ อนิจจังคือกินลมกินแล้ง
18 ข้าพเจ้าเกลียดการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้น ไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า
19 แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองบรรดาการงานของ ข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและที่ข้าพเจ้าใช้สติปัญญากระทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย
20 ข้าพเจ้าจึงกลับอัดอั้นตันใจนักถึงเรื่องการงานของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำมาภายใต้ดวงอาทิตย์
21 ด้วยว่ามีคนที่ทำงานโดยใช้สติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ แต่แล้วก็ละการนั้นให้เป็นส่วนของอีกคนหนึ่ง ที่หาได้ออกแรงทำเพื่อการนั้นไม่ นี่ก็อนิจจังด้วยและสามานย์ยิ่ง
22 เพราะว่าเขาได้อะไรจากบรรดางานตรากตรำ และคร่ำเครียดที่เขาต้องทำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า
23 ด้วยว่าปีเดือนของเขามีแต่ความเจ็บปวด และกิจธุระของเขาก่อความสลดใจ ถึงกลางคืนจิตใจของเขาก็ไม่หยุดพัก สงบ นี่ก็อนิจจังด้วย
24 สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่ม กับหาความชื่นบานในการงานของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นว่าเป็น มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า
25 ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า หรือใครจะมีความชื่นบานได้
26 เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย แต่ส่วนคนบาปพระ องค์ประทานงานที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย นี่ก็อนิจจังด้วยคือกินลมกินแล้ง

.................................
ปัญญาจารย์ 3
01 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
02 มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง
03 มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น
04 มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ
05 มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด
06 มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป
07 มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูด
08 มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ
09 คนงานได้กำไรอะไรจากการงานของเขา
10 ข้าพเจ้าเห็นธุรกิจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำ
11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่ มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
12 ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิต
13 และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา
14 ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไร ออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์
15 อะไรๆซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว อะไรๆที่จะเป็นมาก็เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว และพระเจ้าทรงแสวง อะไรๆที่ล่วงไปนั้น
16 ยิ่งกว่านั้นอีก ที่ภายใต้ดวงอาทิตย์ข้าพเจ้าเห็นว่า ในที่ของความยุติธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย และในที่ของความ ชอบธรรมมีความอธรรมอยู่ด้วย
17 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะมีกาลกำหนดไว้ สำหรับทุกเรื่อง และสำหรับการงานทุกอย่าง
18 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับบรรดาบุตรของมนุษย์ว่า พระเจ้าทรงทดสอบเขาเพื่อจะสำแดงว่าเขาเป็นเพียง สัตว์
19 เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษยชาติกับเคราะห์ของสัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตาย เหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน เพราะสารพัดก็อนิจจัง
20 ทุกอย่างไปยังที่เดียวกัน ทุกอย่างเป็นมาจากผงคลีดิน และทุกอย่างกลับเป็นผงคลีดินอีก
21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า
22 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่มนุษย์จะเปรมปรีดิ์ในการงานของตน ด้วยว่านั่นเป็นส่วนของ เขา ใครจะนำเขาให้เห็นว่าอะไรจะเป็นมาภายหลังเขา

..........................

ปัญญาจารย์ 4
01 ข้าพเจ้าเห็นบรรดาการข่มเหงที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีก และดูเถิด น้ำตาของผู้ที่ถูกข่มเหงไม่มีคนเล้าโลมเขา ฝ่ายผู้ข่มเหงเขานั้นกุมอำนาจ แต่หามีผู้ใดเล้าโลมเขาไม่
02 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าแสดงความยินดีว่า คนตายที่ตายไปแล้วมีโชคดีกว่าคนเป็นที่ยังเป็นอยู่
03 เออ คนที่ยังไม่เป็นมา ที่ไม่เห็นการชั่วที่อุบัติขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ ก็ยิ่งดีกว่าคนทั้งสองจำพวกนั้น
04 แล้วข้าพเจ้าเห็นว่าบรรดาการงานตรากตรำ และบรรดาฝีมือในการงานมาจากความริษยาของคนที่มีต่อเพื่อนบ้านของ ตน นี่ก็อนิจจังด้วย คือกินลมกินแล้ง
05 คนโง่งอมือ และกินเนื้อของตนเอง
06 ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการงานตรากตรำสองกำมือและการกินลมกินแล้ง
07 แล้วข้าพเจ้าเห็นอนิจจังภายใต้ดวงอาทิตย์อีก
08 คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาทำการงานไม่หยุดหย่อน ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า "ข้าตรากตรำทำงานและตัวข้าอดๆอยากๆเพื่อผู้ใด" นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์
09 สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี
10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น
11 อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า
12 แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้
13 คนหนุ่มยากจนและมีสติปัญญาก็ดีกว่ากษัตริย์ชราและโฉดเขลาผู้รับคำแนะนำอีกไม่ได้แล้ว
14 ถึงแม้ท่านออกมาจากเรือนจำแล้วขึ้นเป็นกษัตริย์ หรือเกิดเป็นคนจนในราชอาณาจักรของท่านเอง
15 ข้าพเจ้าเห็นบรรดาคนที่มีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ทั้งหนุ่มคนนั้นที่จะขึ้นไปแทนท่าน
16 ประชาชนผู้ซึ่งท่านอยู่เหนือนั้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่บรรดาคนที่มาภายหลังก็ไม่เปรมปรีดิ์ในท่านได้ แน่นอน นี่ก็ อนิจจังด้วย คือกินลมกินแล้ง

............................

ปัญญาจารย์ 5
01 เจ้าจงระวังเท้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เพราะการเข้าใกล้ชิดเพื่อจะฟังก็ดีกว่าคนเขลาถวายสักการ บูชา ด้วยว่าเขาไม่รู้ว่าตนกำลังทำชั่ว
02 อย่าให้ใจของเจ้าเร็วและอย่าให้ปากของเจ้าพูดโพล่งๆต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ
03 ฝันเมื่อมีงานมาก และมีเสียงคนเขลาเมื่อพูดมาก
04 เมื่อเจ้าปฏิญาณบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์หาชอบพระทัยในคนเขลาไม่ จง แก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด
05 ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้
06 อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้กระทำผิดไป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่แหละเป็นความ พลั้งเผลอ เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพิโรธเพราะเสียงพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า
07 เพราะว่าเมื่อฝันมาก คำพูดพล่อยๆก็มาก เจ้าจงยำเกรงพระเจ้าเถิด
08 ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและสิทธิถูกคร่าเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าหลากใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น
09 ยิ่งกว่านั้นอีก ผลประโยชน์แห่งแผ่นดินโลก ก็อยู่ที่เขาเหล่านั้นทั้งหมด ไร่นาใดๆก็ย่อมมีกษัตริย์อยู่เหนือ
10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย
11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็น ขวัญตาเท่านั้น
12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ
13 ยังมีสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือทรัพย์สมบัติที่เจ้าของได้เก็บไว้จน เกิดเป็นภัยแก่ตน
14 และทรัพย์สมบัตินั้นสูญเสียไปโดยการลงทุนที่ไม่ดี และได้บุตรชายคนหนึ่งเขาก็เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว
15 เขาได้คลอดมาจากครรภ์มารดาตัวล่อนจ้อนฉันใด เขาจะกลับไปอีกเช่นเดียวกันฉันนั้น และเขาจะเอาอะไรซึ่งเป็น ผลงานของเขาติดมือไปไม่ได้สักอย่างเดียว
16 นี่เป็นสิ่งสามานย์อันน่าสลดใจอีก คือเขาได้เกิดมาอย่างไรเขาก็ต้องไปอย่างนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไรเล่า ที่เขา ได้ลงแรงเพื่อลมแล้ง
17 อนึ่ง เขามีชีวิตอยู่ในความมืดตลอดปีเดือนของเขา เขามีความยุ่งใจอย่างสาหัส มีความเจ็บไข้ และมีโทโส
18 ดูเถิด ที่ข้าพเจ้าเห็นชอบและสมควร คือให้กินและดื่ม กับปรีดาในบรรดากิจการของตน ที่ตนกระทำภายใต้ดวง อาทิตย์ ตลอดชั่วอายุไม่กี่วันของตนที่พระเจ้าประทานแก่ตนเพราะการนี้แหละเป็นส่วนของตน
19 อนึ่งทุกๆคนที่พระเจ้าประทานทรัพย์สมบัติให้ ก็ได้ทรงโปรดให้รับประทานของเหล่านั้นได้รับส่วนของตน และ ยินดีปรีดาในการงานของตนได้ นี่แหละเป็นของประทานจากพระเจ้า
20 เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงปีเดือนแห่งชีวิตของตนมาก เพราะพระเจ้าให้ใจเขาสาละวนอยู่กับความชื่นใจ

.............

ปัญญาจารย์ 6
01 มีสิ่งสามานย์อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ และสิ่งนั้นหนักแก่มนุษย์
02 คือมนุษย์คนใดที่พระเจ้าประทานทรัพย์สมบัติ สิ่งของและยศถาบรรดาศักดิ์ให้ จนสิ่งใดๆ ที่เขาปรารถนาสำหรับตัว เขาก็มีครบไม่ขาดเลย แต่พระเจ้ามิได้ทรงโปรดให้เขาชื่นใจใช้สิ่งนั้น คนนอกบ้านนอกเมืองกลับเอาไปชื่นใจใช้เสีย นี่ก็อนิจจังและเป็นความทุกข์ใจอย่างร้ายแรง
03 แม้ว่ามนุษย์คนใดมีลูกสักร้อยคน และมีอายุอยู่หลายปีจนปีเดือนของเขาก็มากมาย แต่จิตใจของเขาหาได้อิ่มด้วยของ ดีไม่ ยิ่งกว่านั้นอีกเขาไม่มีงานฝังศพของตนด้วย ข้าพเจ้าว่าลูกที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น
04 เพราะเด็กนั้นเกิดมาอนิจจังและตายไปในความมืด และชื่อของเขาถูกปิดไว้ในความมืด
05 ยิ่งกว่านั้นอีก ยังไม่ทันเห็นตะวันหรือยังไม่ทันรู้เรื่องราวอะไรเด็กคนนี้มีความสงบสุขยิ่งกว่าผู้ใหญ่นั้นเสียอีก
06 เออ แม้ว่าเขามีชีวิตอยู่พันปีทวีอีกเท่าตัว แต่ไม่ได้เห็นของดีอะไร ทุกคนมิได้ลงไปที่เดียวกันหมดดอกหรือ
07 บรรดาการงานของมนุษย์ก็เพื่อปากของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้จักอิ่ม
08 ด้วยว่าคนมีสติปัญญาได้เปรียบอะไรกว่าคนเขลาเล่า หรือคนยากจนที่รู้จักประพฤติตัวอยู่ต่อหน้าคนที่มีชีวิตก็ได้ เปรียบอะไร
09 เห็นแล้วกับนัยน์ตาก็ดีกว่าความปรารถนาที่ตระเวนไป นี่ก็อนิจจังด้วยคือกินลมกินแล้ง
10 สิ่งใดซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ เขาได้ใช้ชื่อเรียกสิ่งนั้นนานมาแล้ว และก็ทราบกันแล้วว่ามนุษย์คืออะไร และเขาไม่อาจโต้ เถียงกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์เดชากว่าตนได้
11 ยิ่งพูดมากก็ยิ่งอนิจจังมากแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เล่า
12 ใครคนไหนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ในชีวิตนี้ คือในระยะวันเดือนปีทั้งหลายแห่งชีวิตอันเหลวๆของตนที่ ได้เสียไปดุจดังเงาเล่า หรือใครผู้ใดอาจบอกกับมนุษย์ได้ว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังตนที่ภายใต้ดวงอาทิตย์

............

ปัญญาจารย์ 7
01 ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษและวันตายก็ดีกว่าวันเกิด
02 ไปยังเรือนที่มีการไว้ทุกข์ ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน เพราะนั่นเป็นวารสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง และผู้ที่ยัง มีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจ
03 ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ เพราะความโศกเศร้าในใบหน้า ทำให้จิตใจยินดี
04 จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีความโศกเศร้า แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการสนุก สนาน
05 ฟังคำตำหนิของคนที่มีสติปัญญา ยังดีกว่าฟังเพลงของคนเขลา
06 มีเสียงแตกของเรียวหนามอยู่ใต้หม้อฉันใด เสียงหัวเราะของคนเขลาก็ฉันนั้น นี่ก็อนิจจังด้วย
07 แท้จริงการกดขี่ข่มเหงกระทำให้ผู้มีสติปัญญาโง่ไป และสินบนก็กระทำให้ความเข้าใจเสียไป
08 เบื้องปลายแห่งสิ่งใดๆก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้นๆ มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ
09 อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา
10 อย่าว่า "อะไรหนอเป็นเหตุให้กาลก่อนดีกว่ากาลบัดนี้" เพราะที่เจ้าไต่ถามนั้นไม่ได้ถามด้วยสติปัญญา
11 สติปัญญาประกอบกับมรดกก็เป็นของดี เป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน
12 เงินเป็นเครื่องป้องกันฉันใด สติปัญญาก็เป็นเครื่องป้องกันฉันนั้น และผลประโยชน์ของความรู้ คือสติปัญญา ย่อมรักษาชีวิตของผู้ที่มีสติปัญญานั้น
13 จงพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งใดๆที่พระองค์ทรงกระทำให้คดอยู่แล้ว ใครจะเหยียดสิ่งนั้นๆให้ตรงได้เล่า
14 เมื่อเวลามีความเจริญก็จงชื่นชมยินดี แต่เมื่อถึงเวลาอับจนก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะไม่ค้นได้ว่า เมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรมา
15 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นในชีวิตอนิจจังของข้าพเจ้า คือคนชอบธรรมพินาศในความชอบธรรมของตัว และมีคน อธรรมมีชีวิตยืนยาวในการกระทำชั่ว
16 อย่าเป็นคนชอบธรรมเกินไป และอย่าฉลาดเกินตัว เหตุใดเจ้าจะทำตัวให้พินาศเสียเล่า
17 อย่าอธรรมมากนัก หรืออย่าเป็นคนเขลา ทำไมเจ้าจะไปตายเสียก่อนถึงวารของเจ้าเล่า
18 ก็ดีอยู่แล้วที่เจ้าจะยึดถือสิ่งเหล่านี้ไว้ เออ เจ้าอย่าแบมือปล่อยสิ่งนั้นให้หลุดลอยเสียทีเดียว เพราะว่าผู้ที่เกรงกลัว พระเจ้าจะพ้นจากบรรดาสิ่งที่กล่าวมานี้
19 สติปัญญาเป็นกำลังแก่คนฉลาดดีกว่าผู้ครอบครองสิบคนที่อยู่ในเมือง
20 แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย
21 อย่าสนใจฟังบรรดาถ้อยคำที่ใครๆกล่าว เกรงว่าเจ้าจะได้ยินทาสของเจ้าแช่งด่าตัวเจ้า
22 ด้วยว่าเจ้าก็แจ้งอยู่กับใจของเจ้าเองหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตัวเจ้าเองได้แช่งด่าคนอื่นเหมือนกัน
23 บรรดาข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ชันสูตรดูด้วยใช้สติปัญญาแล้ว ข้าพเจ้าว่า "ข้าพเจ้าจะได้ปัญญา" แต่ปัญญานั้น กลับอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า
24 สิ่งที่เป็นอยู่ก็อยู่ไกล และที่ลึกก็ลึกล้ำเหลือเกิน ใครผู้ใดจะค้นออกมาได้
25 ใจข้าพเจ้าหวนกลับมาเรียนรู้และเสาะกับแสวงหาสติปัญญา และมูลเหตุของสิ่งต่างๆเพื่อให้รู้ว่าความอธรรมเป็น ความเขลา และความเขลาเป็นความบ้าบอ
26 ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย คือผู้หญิงที่มีใจเป็นบ่วงแร้วและข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนใดเป็นคนที่พอพระทัยพระเจ้าคนนั้นจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป
27 ปัญญาจารย์กล่าวว่า ดูเถิด ข้าพเจ้าพบดังต่อไปนี้ โดยเอาเรื่องหนึ่งมาประดิษฐ์ติดต่อเข้ากับอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อหามูล เหตุ
28 ซึ่งจิตใจของข้าพเจ้ายังกำลังหาแล้วหาอีก แต่ข้าพเจ้าหาได้พบปะไม่ ในชายพันคนจะพบชายจริงสักคนหนึ่ง แต่ จะหาหญิงแท้สักคนหนึ่งในจำนวนพันคนก็หาไม่พบ
29 ดูเถิด ข้าพเจ้าพบแต่ความนี้ต่างหาก คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม แต่มนุษย์ทั้งหลายได้ค้นคว้า กลอุบายต่างๆออกมา

...................

ปัญญาจารย์ 8
01 ใครผู้ใดจะเหมือนนักปราชญ์ หรือใครเล่าจะอธิบายอะไรๆก็ได้ สติปัญญาของมนุษย์กระทำให้ใบหน้าของเขาผ่องใส และใบหน้าของเขาที่แข็งกระด้างก็เปลี่ยนไป
02 จงถือรักษาพระบัญชาของกษัตริย์และที่เกี่ยวข้องกับคำปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้น อย่าเพิกเฉยเสีย
03 อย่ารีบออกไปให้พ้นพระพักตร์กษัตริย์ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นอย่ารั้น เพราะกษัตริย์ย่อมทรงกระทำอะไรๆตาม ชอบพระทัยพระองค์
04 ด้วยว่าพระดำรัสของกษัตริย์นั้นมีอำนาจ และใครผู้ใดจะกราบทูลถามพระองค์ได้ว่า "ฝ่าพระบาททรงกระทำอะไร เช่นนั้น"
05 ผู้ที่กระทำตามพระบัญชาจะไม่ประสบอันตราย และจิตใจของคนที่มีสติปัญญาก็เข้าใจ วารและวิธีการ
06 ด้วยว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้นย่อมมีวารและวิธีการ แม้ว่าความลำบากของมนุษย์เป็นภาระหนักแก่ตัวเขา
07 ด้วยเขาไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น ด้วยใครจะบอกแก่เขาได้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร
08 หามีมนุษย์คนใดรั้งจิตวิญญาณได้ไม่ หรือหามีอำนาจอันใด เหนือวันตายไม่ การสงครามย่อมไม่มีการปลดปล่อย ความอธรรมย่อมไม่ช่วยผู้ที่ถูกมอบให้ไว้
09 บรรดาการนี้ข้าพเจ้าเห็นหมดแล้ว เมื่อข้าพเจ้าสนใจกิจการทุกอย่างที่เขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ มีวารซึ่งให้คน หนึ่งมีอำนาจเหนืออีกคนหนึ่งที่จะมาทำอันตรายเขา
10 ข้าพเจ้าได้เห็นเขาฝังคนอธรรม ผู้ซึ่งเคยเข้าออกที่สถานบริสุทธิ์ และมีคนสรรเสริญ {หรือ ลืม} เขาในเมืองที่คน อธรรมนั้นเองกระทำสิ่งเช่นนั้น นี่ก็อนิจจังด้วย
11 เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจบรรดาบุตรของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะ กระทำความอธรรม
12 แม้ว่าคนบาปทำชั่วตั้งร้อยครั้งและอายุเขายังยั่งยืนอยู่ได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังรู้แน่ว่าความสวัสดิมงคลจะมีแก่เขาทั้ง หลายที่ยำเกรงพระเจ้า คือที่มีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์
13 แต่ว่าจะไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่คนอธรรม อายุของเขาที่เป็นดังเงาก็จะไม่มียืดยาวออกไปได้ เพราะเขาไม่มีความยำ เกรงต่อพระพักตร์พระเจ้า
14 ยังมีอนิจจังอีกอย่างหนึ่งที่กระทำกันบนแผ่นดินโลก คือมีคนชอบธรรมรับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่คนอธรรมควร รับ และมีคนอธรรมรับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่คนชอบธรรมควรรับ ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่า นี่ก็อนิจจังด้วย
15 แล้วข้าพเจ้าจึงสนับสนุนให้หาความสนุกสนาน ด้วยว่าภายใต้ดวงอาทิตย์ มนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่มกับ ชื่นชมยินดี ด้วยว่าอาการนี้คลุกคลีไปในการงานของตนตลอดชีวิตของตน ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่ตนภายใต้ ดวงอาทิตย์
16 เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้าใจสติปัญญาและทราบธุรกิจที่กระทำกันในโลก ที่เขาอดหลับอดนอนทำกันตลอดวันตลอด คืน
17 แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นภารกิจของพระเจ้าว่า มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระภารกิจที่บังเกิดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์หา ได้ไม่ เพราะว่ามนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบไม่ได้ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใด นึกเอาว่าเขาจะเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ

...........................

ปัญญาจารย์ 9
01 ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาคิด ตรวจพิจารณาให้สิ้นว่า คนชอบธรรมและคนมีสติปัญญารวมทั้งกิจการของเขาทั้ง หลาย ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า จะทรงรักหรือทรงเกลียดก็ตาม มนุษย์หารู้ไม่ ทุกอย่างก็อยู่ต่อหน้าเขาทั้งหลาย
02 เคราะห์อันเดียวกันตกแก่คนทั้งปวงเหมือนกันหมดคือตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม ตกแก่คนดี ตกแก่คน สะอาดและคนที่มีมลทิน ตกแก่ผู้ที่ถวายสัตวบูชา และแก่ผู้ที่ไม่ถวายสัตวบูชา ตกแก่คนดีอย่างไรก็ตกแก่คนบาป อย่างนั้น ตกแก่คนสาบานอย่างไรก็ตกแก่คนไม่กล้าสาบานอย่างนั้น
03 นี่แหละเป็นสิ่งสามานย์ที่มีอยู่ในบรรดาการที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ คือว่ามีเคราะห์อันเดียวกันที่ตกแก่คนทั้ง ปวง เออจิตใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความชั่วและความบ้าบออยู่ในใจของเขาเมื่อมีชีวิตและต่อจากนั้น เขาก็ไปอยู่กับ คนตาย
04 ส่วนคนใดที่มั่วสุมอยู่กับคนที่มีชีวิต คนนั้นก็มีความหวังใจได้ ด้วยว่าสุนัขที่เป็นก็ยังดีกว่าสิงห์ที่ตายแล้ว
05 เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยเขาหาได้รับรางวัลอีกไม่ ด้วยว่าใครๆก็พากัน ลืมเขาเสียหมด
06 ความรักของเขาไม่น้อยกว่าความชัง และความอิจฉาของเขาได้สาปสูญไปตามกันนานแล้ว ในบรรดาการที่บังเกิด ขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ เขาทั้งหลายหามีส่วนร่วมอีกต่อไปไม่
07 ไปเถิด ไปรับประทานอาหารของเจ้าด้วยความชื่นชม และไปดื่มเหล้าองุ่นของเจ้าด้วยความร่าเริงเพราะพระเจ้าทรง เห็นชอบกับการงานของเจ้าแล้ว
08 จงให้เสื้อผ้าของเจ้าขาวอยู่เสมอและน้ำมันที่ศีรษะของเจ้าก็อย่าให้ขาด
09 เจ้าจงอยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยาซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังของเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ ดวงอาทิตย์ ตลอดปีเดือนอนิจจังของเจ้า ด้วยว่านั่นเป็นส่วนในชีวิตและในการงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ออกแรงกระทำ ภายใต้ดวงอาทิตย์
10 มือของเจ้าจับทำการงานอะไร จงกระทำการนั้นด้วยเต็มกำลังของเจ้า เพราะว่าในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มี การงานหรือแนวความคิด หรือความรู้ หรือสติปัญญา
11 ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนเร็วไม่ชนะในการวิ่งแข่งเสมอไป หรือฝ่ายมีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอ ไป หรือคนฉลาดไม่รับประทานเสมอไป หรือคนมีความเข้าใจไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือผู้ที่เชี่ยวชาญไม่ได้รับความ โปรดปรานเสมอไป แต่วารและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน
12 เพราะว่ามนุษย์ไม่รู้วารของตน ปลาติดอยู่ในอวนอันร้ายฉันใด และนกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด วารอันร้ายก็ มาถึงบรรดาบุตรของมนุษย์ เขาก็ถูกวารอันร้ายนั้นดักจับติดโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น
13 ข้าพเจ้าเห็นเรื่องสติปัญญาภายใต้ดวงอาทิตย์ เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตดังต่อไปนี้
14 ยังมีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง มีคนอยู่ในเมืองนั้นน้อยคน แล้วมีมหาราชามาตีเมืองนั้น และล้อมเมืองนั้นไว้ และสร้าง เครื่องล้อมไว้รอบเมือง
15 แต่ในเมืองนั้นมีชายฉลาดแต่ยากจนอยู่คนหนึ่ง และชายคนนี้ช่วยเมืองนั้นไว้ให้รอดด้วยปัญญาของตน แต่หามีใคร จดจำรำลึกถึงชายยากจนคนนี้ไม่
16 แต่ข้าพเจ้าว่า สติปัญญาก็ดีกว่ากำลังวังชา ถึงสติปัญญาของชายคนนั้นถูกดูแคลน และถ้อยคำของเขาไม่มีใครฟังก็ ตามที
17 ถ้อยคำของคนฉลาดซึ่งได้ยินในที่สงัดดีกว่าสิงหนาทของผู้ครอบครองคนเขลา
18 สติปัญญาดีกว่าเครื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่คนบาปคนเดียวย่อมบั่นรอนความดีเสียเป็นอันมากได้
....................................

ปัญญาจารย์ 10
01 แมลงวันตาย ย่อมทำให้น้ำมันที่มีกลิ่นหอมบูดเหม็นไป ความเขลานิดหน่อย ก็หนักกว่าสติปัญญาและเกียรติยศ
02 จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ย่อมอยู่ที่ข้างขวามือของตน แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ที่ข้างมือซ้ายของตัว
03 แม้เมื่อคนเขลากำลังเดินไปตามทาง เขาก็ขาดสำนึก และตัวเขามักแสดงแก่ทุกคนว่า ตนเป็นคนเขลา
04 ถ้าใจของเจ้านายเกิดโมโหขึ้นต่อท่าน อย่าออกเสียจากที่ของท่าน เพราะว่าอารมณ์เย็นย่อมระงับความผิดใหญ่หลวง ไว้ได้
05 มีสิ่งสามานย์ที่ข้าเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ ประหนึ่งว่าเป็นความผิดซึ่งมาจากผู้มีอำนาจ
06 คือคนเขลาถูกแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งสูงใหญ่ และคนมั่งคั่งรับตำแหน่งต่ำต้อย
07 ข้าพเจ้าเห็นทาสขี่ม้า และเจ้านายเดินที่พื้นแผ่นดินอย่างทาส
08 ผู้ใดขุดบ่อไว้ ผู้นั้นจะตกลงในบ่อนั้นผู้ใดพังกำแพงทะลุเข้าไป งูจะขบกัดผู้นั้น
09 ผู้ใดสกัดหิน ผู้นั้นอาจเจ็บเพราะหินนั้นผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้
10 ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ
11 ถ้างูขบเสียก่อนที่ทำให้มันเชื่อง หมองูก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรแล้ว
12 ถ้อยคำจากปากของผู้มีสติปัญญาก็มีคุณ แต่ริมฝีปากของคนเขลาจะเผาผลาญตัวเองเสีย
13 ถ้อยคำจากปากของเขาเป็นความเขลาตั้งแต่เริ่มปริปาก ตอนจบก็เป็นความบ้าบออย่างร้าย
14 คนเขลาพูดมากซ้ำซาก มนุษย์หารู้ไม่ว่าเหตุอันใดจะบังเกิดขึ้น ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงไป
15 การงานของคนเขลากระทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย ด้วยว่าเขาไม่รู้จักทางที่จะเข้าไปในกรุง
16 โอ บ้านเมืองเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นเด็ก และเจ้านายทั้งหลายของเจ้า มีการเลี้ยงกันสนุกสนานแต่ เช้า
17 โอ บ้านเมืองเอ๋ย ความสำราญจะมีแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นเชื้อขุนนาง และเจ้านายของเจ้ามีการเลี้ยงตามกา ละเทศะ เพื่อจะมีกำลังวังชา มิใช่จะดื่มให้มึนเมา
18 เพราะความขี้เกียจ หลังคาจึงหักพังลง และเพราะความเกียจคร้าน เรือนจึงรั่วเฉอะแฉะ
19 เขาทำอาหารไว้เพื่อให้คนหัวเราะ และเหล้าองุ่นทำให้ชีวิตชื่นบาน และเงินก็จัดให้ได้ทุกอย่าง
20 อย่าแช่งด่าพระราชา เออ แม้แต่คิดแช่งด่าในใจก็อย่าเลย และอย่าแช่งคนมั่งมีที่ในห้องนอนของเจ้า เพราะนกใน อากาศจะคาบเสียงของเจ้าไป หรือตัวที่มีปีกจะเล่าเรื่องนั้น

......................

ปัญญาจารย์ 11
01 จงโยนขนมปังของเจ้าลงบนน้ำ อีกหลายวันเจ้าจะพบมันได้
02 จงปันส่วนหนึ่งให้แก่คนเจ็ดคน เออ ถึงแปดคนก็ให้เถอะ เพราะเจ้าไม่ทราบว่าสิ่งสามานย์อย่างใดจะบังเกิดขึ้นบน พื้นแผ่นดิน
03 ถ้าบรรดาเมฆมีฝนอยู่เต็ม มันก็จะเทหมดลงมาบนแผ่นดินโลก และถ้าต้นไม้ล้มลงทางใต้หรือทางเหนือ มันล้มลง ตรงไหนมันก็นอนอยู่ตรงนั้น
04 ผู้ใดมัวสังเกตลมก็จะไม่หว่านพืช และผู้ที่มองเมฆก็จะไม่เกี่ยวข้าว
05 เจ้าไม่ทราบทางลมว่าไปทางไหน และกระดูกมีขึ้นในมดลูกของหญิงที่มีครรภ์อย่างไรฉันใด เจ้าก็จะไม่ทราบถึงกิจ การของพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัดฉันนั้น
06 เวลาเช้าเจ้าจงหว่านพืชของเจ้าและพอเวลาเย็นก็อย่าหดมือของเจ้าเสีย เพราะเจ้าหาทราบไม่ว่าการไหนจะเจริญ การนี้ หรือการนั้น หรือการทั้งสองจะเจริญดีเหมือนกัน
07 แสงสว่างเป็นที่ชื่นใจ และการที่นัยน์ตาเห็นดวงตะวันก็เป็นที่ชื่นบาน
08 เออ ถ้าคนใดมีชีวิตอยู่ได้ตั้งหลายปี จงให้เขาเปรมปรีดิ์ในปีเดือนเหล่านั้น แต่ให้เขาระลึกถึงว่า วันมืดก็มีมาก บรรดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นก็อนิจจัง
09 โอ เยาวชน จงเปรมปรีดิ์ในปฐมวัยของเจ้า และให้จิตใจของเจ้ากระทำตัวเจ้าให้ร่าเริงในปฐมวัยของเจ้า เจ้าจง ดำเนินในทางแห่งใจของเจ้าและตามสายตาของเจ้า แต่จงทราบว่าเนื่องด้วยกิจการงานทั้งปวงเหล่านี้พระเจ้าจะทรงนำ เจ้าเข้ามาถึงการพิพากษา
10 จงตัดความเศร้าหมองเสียจากใจของเจ้า และจงสลัดความเจ็บปวดเสียจากเนื้อหนังของเจ้าเพราะความหนุ่มสาวและ วัยฉกรรจ์นั้นเป็นอนิจจัง

...........................

ปัญญาจารย์ 12
01 ในปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงระลึกถึงพระผู้เนรมิตสร้างของเจ้า ก่อนที่ยามทุกข์ร้อนจะมาถึง และปีเดือนใกล้เข้ามา เมื่อ เจ้าจะกล่าวว่า "ข้าไม่มีความเพลิดเพลินในปีเดือนนั้นเลย"
02 ก่อนที่ดวงอาทิตย์ แสงสว่าง ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายอับแสง และก่อนที่เมฆกลับมาเมื่อหมดฝนแล้ว
03 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
04 และประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย เมื่อเสียงโม่อ่อยลงมีเสียงนกเสียงกาเขาจะลุกขึ้น และเสียงเพลงก็เพลาลง
05 เออ เขาทั้งหลายกลัวที่สูง และสิ่งน่าสยดสยองก็อยู่ในหนทาง ต้นอัลมันด์มีดอก และตั๊กแตนโมเป็นภาระ ความ ปรารถนาก็ประลาตไปเสีย เพราะมนุษย์กำลังไปบ้านอันถาวรของเขา ส่วนผู้ไว้ทุกข์ก็เวียนไปมาตามถนน
06 ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสียณที่ขังน้ำ
07 และผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น
08 ปัญญาจารย์ว่า อนิจจัง อนิจจัง สารพัดก็อนิจจัง
09 นอกจากท่านเป็นคนฉลาดแล้ว ปัญญาจารย์ยังสอนความรู้ให้ประชาชนอีกด้วย เออ ท่านพิเคราะห์ ท่านค้นคว้า และท่านเรียบเรียงสุภาษิต
10 ปัญญาจารย์เสาะหาถ้อยคำที่เพราะหูและท่านเขียนถ้อยคำแห่งความจริงไว้อย่างเที่ยงตรง
11 ถ้อยคำของนักปราชญ์เป็นประดุจปฏัก และถ้อยคำที่ท่านเมษบาลรวบรวมไว้ก็ตรึงแน่นอย่างตะปู
12 และยิ่งกว่านั้นอีก บุตรชายของข้าพเจ้าเอ๋ย จงรับคำตักเตือนเถิด ซึ่งจะทำหนังสือมากก็ไม่มีสิ้นสุด และเรียนมากก็ เหนื่อยเนื้อหนัง
13 จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว

........................
จากคุณ : nawapol1 - [ 3 เม.ย. 50 09:58:06 ]
//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5285478/Y5285478.html#12

ขออนุญาตเอามาเก็บไว้ที่บ็อกผมด้วยนะครับ คุณ nawapol1


Create Date : 14 เมษายน 2553
Last Update : 14 เมษายน 2553 1:26:06 น. 0 comments
Counter : 1850 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

<< ปัญญาจารย์ >>
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add << ปัญญาจารย์ >>'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com