|
Angel Caido Luci ตอนที่ 3
Back to Chapter 1
Back to Chapter 2
-------------------------------------------- Chapter3
“ทำไม ท่านจึงเลือกเส้นทางนี้” เสียงชายผู้หนึ่งแว่วดังออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เพียงเพราะท่านต้องการพิสูจน์ความจริง แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของท่านเองกระนั้นหรือ” เสียงชายคนเดิมกล่าว
รอบ ๆ มีเพียงพื้นที่สีขาวเท่านั้น ขนนกลอยกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ มีละอองน้ำสีแดงกระเซ็นออกมา
“ได้โปรด!!! ข้าหวังเพื่อให้ท่านคงอยู่!” ชายคนเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ได้โปรด!! ท่านลู......”
ตึก..... ......ปิ้บๆ ปิ้บๆ ปิ้บๆ ปิ้บๆ
คาเรนลืมตาขึ้นมาทันทีที่เสียงดังกล่าวดังขึ้น ดวงตาสีฟ้าของเธอเบิกกว้าง เธอค่อย ๆ พลิกตัวเพื่อควานหาที่มาของเสียง เธอพยายามเอื้อมมือไปข้าง ๆ เต็มที่
“ว...ว้าย!!!”
ตึง!!!
ปิ้บ ปิ้บ....
เสียงนั้นหยุดแล้ว พร้อมกับคาเรนที่ตกจากเตียงเช่นเคย
เธอนอนกับพื้นไม่ไหวติง เช้าวันนี้เธอช่างรู้สึกขี้เกียจซะจนไม่อยากลุกไปใหนเลย เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นเอาผ้าห่มออกจากตัว นาฬิกาปลุกที่ดังอยู่เมื่อครู่ มันหล่นลงมาอยู่ที่พื้นคงเพราะเธอนอนดิ้นมากไป เธอหยิบมันขึ้นมาดู ตัวเลขบนนาฬิกาบอกเวลา 8.34 น. สำหรับเธอเป็นเวลาที่ค่อนข้างสายแล้ว เธอจึงลุกขึ้นเก็บผ้าห่ม แล้วจัดแจงเข้าห้องน้ำทันที
มันช่างว่างอะไรเช่นนี้ ว่างมาก ๆ ชีวิตของคนที่เคยตื่นเช้าก็มีงานให้ทำ มา ณ เวลานี้มันกลับว่าง เพราะไม่มีงานที่เธอทำประจำเช่นเคย
เธอออกจากห้องน้ำ มานั่งเปิดทีวีเพื่อดูข่าวอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีข่าวอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ มันก็มีแต่เรื่องเดิม ๆ เศรษฐกิจโลกตกต่ำ สงครามภายในประเทศต่าง ๆ ข้อขัดแย้งระหว่างสองประเทศ สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม
บางทีเธอก็เผลอคิดไปว่า ถ้ามันมีอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกซักที แล้วรีเซ็ททุกอย่างใหม่ อะไรอะไรบนโลกคงดีขึ้นล่ะมั้ง เธอนั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา แต่มันไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง เธอจึงปิดทีวีแล้วไปเปิดหน้าต่างดูผู้คนไปมา จริง ๆ แล้วเธอเองก็รู้ว่า วันนี้เธอค่อนข้างหงุดหงิดพอสมควร มันไม่ใช่วันที่สดใสซักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะเธอตื่นสาย หากแต่เพราะเรื่องที่คุยกับมอเฟียชมันรบกวนจิตใจเธอมาก ๆ
เธอน่าจะพูดคุยกับใครซักคน เผื่อมันจะได้ระบายออกไปบ้าง ว่าแต่ใครกันล่ะ เธอไม่อยากเอาเรื่องแบบนี้ไปโยนใส่คนที่สำนักงาน ฉะนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่ติดต่อคนที่สำนักงาน เพื่อน ๆ ที่รู้จักกัน สำหรับคาเรนแล้วเพื่อน ๆ ของเธอมีครอบครัวไปแล้วหลายคน แน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดว่าใครจะว่างมาคุยกับคนว่างงานอย่างเธอซักเท่าไหร่ เธอนั่งบนโซฟาคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ
กริ้งงงงงงง~~
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น คาเรนแปลกใจเล็กน้อย ที่จะมีใครโทรมาหาเธอในเวลาเช่นนี้ แต่อีกใจเธอก็พาลคิดว่าคงเป็นพวกขายของผ่านโทรศัพท์ เธอค่อย ๆ เขยิบตัวไปรับโทรศัพท์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ โซฟาที่เธอนั่งอยู่
“ฮัลโหล คาเรนพูดสายค่า”
“ฮัลโหล คาเรน นี่ลิซนะ” เสียงปลายทางกล่าวมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
คาเรนนิ่งไปครู่หนึ่ง ลิซ... อ๋อ....อลิซนั่นเอง เพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งที่แต่งงานไปแล้ว เธอไม่ได้พบเจ้าหล่อนเกือบจะ 1 ปีได้แล้ว เพราะระยะหลังคาเรนไม่ได้กลับบ้านที่นิวยอร์คเลย และการที่ต้องอยู่ทำงานแต่ในป่า ก็แทบจะทำให้เธอไม่ได้ติดต่อกับเพื่อน ๆ เลยด้วย
“อลิซ อลิซ ฟรอเรนรึ” คาเรนรีบตอบกลับไป
“อืม ฉันได้ข่าวของเธอตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นยังไงบ้างน่ะคาเรน” เสียงของอลิซค่อนข้างห่วงใยเพื่อนของเธออย่างมากเพราะข่าวที่ออกมาดูจะเป็น เรื่องที่น่ากลัวพอสมควร อลิซจึงไม่คิดว่าคาเรนจะรับกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้า” คาเรนตอบน้ำเสียงสบาย ๆ เธอค่อนข้างดีใจที่ได้พุดคุยกับเพื่อนในเวลาที่เธออยากจะได้ใครซักคนมาคยอ ยู่พอดิบพอดีเช่นนี้
อลิซที่ฟังคำของคาเรนแล้วรู้สึกได้ในน้ำเสียงและคำพูดที่ดูสบายเกินเหตุ เธอจึงจับผิดกลับไป “แสดงว่าเป็น...”
“ก็มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะนะ” คาเรนตอบ เธอรู้สึกว่าคงเผลอปล่อยคำพูดอะไรออกไปจึงโดนเพื่อนสาวไล่หาความผิดซะอย่างนั้น
“ก็คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องคิดมาก เพราะฉันโทรไปที่สำนักงานแล้ว ทางนั้นเขาบอกว่าเธอลาพักร้อน ฉันก็เลยถึงได้โทรมาหาเธอที่บ้านนี่ล่ะ” อลิซอธิบาย
คาเรนที่ฟังอลิซเล่า ก็นิ่งเงียบพลางคิดในใจ
‘ชั้นเนี้ยนะ... ขอลาพักร้อน... เอาเข้าไป’
“คาเรน คาเรน ยังอยู่รึเปล่า?” อลิซร้องทักเพราะเห็นคาเรนเงียบไป
“ยังอยู่” คาเรนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหมือนคนถูกทักในตื่นจากภวังค์
“งั้น เดี๋ยวชั้นไปหาเธอที่บ้านนะ” อลิซกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยมากกว่าเดิม
“ม...ไม่เป็นไรหรอก ชั้นไม่เป็นอะไร” คาเรนปฎิเสธออกไปเพราะเกรงใจเพื่อนของเธอเอง แม้ว่าในใจเธอก็อยากให้อลิซมาที่บ้านเธอเหมือนกัน
“ไม่เอาล่ะ ชั้นว่าชั้นไปหาเธอซักหน่อยดีกว่า” อลิซยังคงยืนยันความตั้งใจ ด้วยความห่วงใยที่มีให้
คาเรนนิ่งคิด ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากพบเพื่อน แต่เธอก็รู้สึกว่ามันเป็นการรบกวนมากไปรึเปล่าที่ต้องให้คนอื่น ๆ มาพลอยวุ่นวายไปด้วยกับปัญหาของเธอเอง คาเรนอยากจะปฎิเสธกลับไปอีกรอบ แต่ก็กลัวจะขัดใจเพื่อน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงจัดการปัญหาตรงหน้าด้วยการ...
“อลิซ อลิซ เดี๋ยว ๆ เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันไปหาเธอที่บ้านดีกว่า” คาเรนบอกออกไป
“เห?” อลิซแปลกใจกับการตัดสินใจของคาเรน
“เธอต้องดูแลบ้านนี่นา อีกอย่างฉันเองก็อยากออกไปเดินเที่ยวดูโลกภายนอกบ้าง แบบนี้ท่าทางจะดีกว่านะ” คาเรนกล่าว
“จ๋ะ แบบนั้นก็ได้ แล้วฉันจะรอก็แล้วกัน จำบ้านฉันได้รึเปล่าน่ะ” อลิซย้ำ
“จำได้สิ คงไปถึงนั่นใกล้ ๆ เที่ยงจะได้ไปหาอะไรกินกันด้วย” คาเรนกล่าว
“อืม เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอกินเอง แล้วเจอกันจ๋ะ” อลิซเสนอตัว
“แล้วเจอกัน” คาเรนวางโทรศัพท์ลง สีหน้าเธอดูสดชื่นกว่าเมื่อครู่มากนัก เธอรีบลุกไปแต่งตัวทันที
นาน ๆ ทีที่เธอจะได้พบเพื่อนสมัยเรียน เพราะตั้งแต่เธอเรียนจบ การที่เธอเลือกงานในกองอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ทำให้เหมือนเธอปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไป แม้ว่าเวลามีข่าวคราว หรืองานใด ๆ เธอจะไปร่วมด้วยทุกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้พบเจอกันได้บ่อย ๆ การได้ไปหาเพื่อนเช่นนี้จึงทำให้เธอรู้สึกดีมากขึ้น แต่กระนั้นเธอก็ยังกังวลนิด ๆ ว่าเธออาจจะนำเรื่องหนักใจไปให้อลิซรึเปล่า แต่ทำยังไงได้ถ้าเธอไม่ไป อลิซคงบุกมาหาเธอแน่ ๆ คาเรนใช้เวลาแต่งตัวไม่นานเธอก็ขับรถตรงไปที่บ้านของอลิซทันที ----------------------------------
บ้านของอลิซนั้นอยู่ห่างจากบ้านของคาเรนพอตัว เพราะค่อนข้างอยู่ในตัวเมือง คาเรนต้องเจอสภาพการจราจรที่วุ่นวายพอควรกว่าจะไปถึงที่หมาย บ้านของอลิซเป็นบ้านชั้นเดียว แต่ก็มีพื้นที่พอสมควรสำหรับเธอและสามี อลิซนั้นเป็นแม่บ้านเพราะสามีเธออยากให้อลิซอยู่ดูแลบ้านซะมากกว่าออกไปทำ งาน คาเรนที่มาถึงเธอจอดรถไว้ตรงจุดจอด
ปิ้งป่อง~
กริ่งในบ้านดังขึ้น ผู้หญิงผมสีทองดัดเป็นลอน รูปร่างค่อนข้างผอมบางวิ่งออกมาจากบ้าน เธอแทบจะอ้าแขนแล้วกระโดดใส่คาเรน “คาเรน ไม่พบกันซะนานเลย เชิญจ๋ะ” เธอทักคาเรนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
คาเรนยกมือเป็นเชิงทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม “เช่นกันจ๋ะ อลิซ”
อลิซจับมือคาเรนแล้วพาเดินเข้าบ้านไป เมื่อครั้งที่อลิซแต่งงานคาเรนเคยมาที่นี่ครั้งนึง แต่ ณ วันนี้ที่นี่เปลี่ยนไปพอควร ข้าวของในบ้านจัดวางใหม่ดูสวยงามมีสไตล์ คงเพราะสามีของอลิซเป็นสถาปนิกออกแบบภายใน และตัวของอลิซเองก็เก่งด้านศิลปะพอตัวทีเดียว
“เอากาแฟ หรือ ชา ดีจ้ะคาเรน” อลิซเดินมาถามทั้งชุดผ้ากันเปื้อน
“ชาก็ได้จ๋ะ” คาเรนกล่าวตอบ แล้วมองภายในบ้านอย่างสนใจ
“แต่งบ้านซะสวยกว่าครั้งก่อนมากเลยนะลิซ” คาเรนกล่าวชม เสียงของเธอค่อนข้างดังเพื่อให้อลิซที่อยู่ในครัวได้ยิน
“อืม บ้านฉันเนี่ย แทบจะแต่งใหม่กันทุก 4 เดือนเลยล่ะ” เธอตอบกลับมา
“ขยันไปรึเปล่า” คาเรนพูดด้วยสีหน้าทึ่งในความขยันของสองสามีภรรยาคู่นี้
“ไม่หรอก เฮาท์เขาลองทดสอบแบบการจัดห้องที่บ้านเราก่อน ออกแบบอะไรใหม่ ๆ น่ะ” อลิซอธิบายถึงเหตุผลที่จัดบ้านบ่อย ๆ พร้อมกับยกชาและคุกกี้ 2 ชุดออกมาจากในครัว
“นี่จ๋ะ เพิ่งอบเสร็จเมื่อเช้านี่เอง ลองดูนะ” อลิซกล่าวพร้อมยกถ้วยชาขึ้นมานิดหน่อย ก่อนวางลงไปที่เดิม คาเรนหยิบคุกกี้ขึ้นทาน ฝีมือของอลิซอร่อยกว่าที่เธอคิดซะอีก เธอเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความอร่อย
“เป็นแม่บ้านเต็มตัวไปแล้วนะลิซ” คาเรนเย้าอลิซเล็กน้อย
“ฮะฮะ ก็อยู่บ้านนี่นา พอไม่มีงานทำความสะอาด มันก็เลยฝึกทำอะไรแบบนี้ ไว้เผื่อตอนที่มีงานเทศกาลก็ทำไปร่วมกับคนในหมู่บ้านได้” อลิซหัวเราะเบา ๆ คาเรนยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะยิ้มและกล่าวออกมา
“ชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
“งั้นก็หาผู้ชายดี ๆ ซักคนแล้วแต่งซะสิ” อลิซพูดน้ำเสียงติดตลก เธอเองก็รู้ดีว่าคาเรนนั้นเป็นพวกบ้างาน ชีวิตแบบเฮฮาปาร์ตี้ที่จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนดูเลือนลางมาก แต่เธอก็แย่บ ๆ ออกไป
ด้านคาเรนที่ได้ยินคำของอลิซก็แทบสำลักชาออกมา เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลยจริง ๆ เพราะเธอยังไม่เจอคนที่เธอคิดว่าใช่ด้วยล่ะ “พูดเป็นเล่นไป ทำยังกับว่าเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วไปหยิบมาได้เลยงั้นล่ะ” คาเรนยิ้มแหย ๆ ออกมา
อลิซได้แต่หัวเราะเบา ๆ พลางมองหน้าของคาเรน
“เธอไม่เป็นอะไรนะคาเรน” เธอถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย คาเรนยิ้ม ก่อนตอบออกมา
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก มันแค่มีอะไรต้องคิดมากหน่อยเท่านั้นเอง”
“ตอนที่ข่าวออกทีวีน่ะ ชั้นเป็นห่วงเธอมากเลยนะ ยิ่งตอนในข่าวบอกว่ามีคนตายด้วยยิ่งตกใจมากเลย” น้ำเสียงอลิซดูตื่นเต้น
‘ข่าวทางทีวีงั้นรึ เรื่องแบบนี้ออกข่าวทางทีวีเนี้ยนะ’ คาเรนคิดพลางฟังที่อลิซพูด
“ไม่คิดเลยนะว่าจะมีคนโรคจิตไปอาระวาดถึงในที่แบบนั้น” อลิซกล่าว
“คนโรคจิต?” คาเรนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เธอประสพมาเลย
“อืม มันทำอะไรพวกเธอน่ะ ชั้นอยากรู้จังเลย” อลิซถามเหมือนว่าไม่รู้จริง ๆ ถึงตัวตนของคนร้าย
“...” คาเรนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเอามือลูบปอยผมตัวเอง “ลืม มันดีกว่านะลิซ” เธอหลับตาพูด ซึ่งมันทำให้อลิซรู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดอะไรที่เป็นการรื้อฟื้นสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้น
“จริงสินะ ขอโทษนะคาเรนที่ทำให้นึกถึงเรื่องแบบนั้นอีก” เธอกล่าวขอโทษ คาเรนจึงส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”
“ว่าแต่ ช่วงประมาณ 1 เดือนมานี่เธอได้ข่าวเหตุฆาตรกรรมต่อเนื่องที่วอชิงตันบ้างไหม?” คาเรนถามขึ้นมาดื้อ ๆ ที่เธอถามเรื่องนี้เพราะอยากรู้ว่าคนทั่วไปได้รับข่าวสารมาอย่างไร จะเหมือนกรณีของเธอหรือไม่
“อืม ข่าวใหญ่พอตัวเลยนะ เธอไม่รู้เรื่องเลยรี?” อลิซซึ่งติดตามข่าวสารต่าง ๆ ถามคาเรนกลับไป
“ไม่เลย สงสัยชั้นจะอยู่แต่ในป่าเลยไม่ได้รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองเท่าไหร่” คาเรนตอบถึงเหตุที่เธอไม่ทราบข่าว
“อินเตอร์เน็ตล่ะ? อย่าบอกนะว่าเธอก็ไม่มี” อลิซซักต่อ
คาเรนทำหน้าตาบ๊องแบ้วใส่อลิซ “ฉันไม่มีคอมพิวเตอร์ประจำตัวล่ะ”
“ไปหาซื้อมาใช้ซะ ทำเป็นพวกคนป่าไม่สนใจโลกภายนอกได้ยังไงกัน” อลิซสั่งสอนคาเรนด้วยสีหน้าหนักใจ
“จ้า ๆ ก็ฉันได้ข่าวจากพวกตำรวจบ้าง แต่ไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ เธอช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ” น้ำเสียงคาเรนออดอ้อนแบบเด็ก ๆ แต่อลิซนั่นเคยชินแล้วกับนิสัยของคาเรนที่เวลาอยากได้ อยากรู้อะไรจะอ้อนเอาให้ได้แบบเด็ก ๆ
“อืม ในข่าวมีผู้เสียชีวิต 4 คน คนแรกน่ะเป็นเด็ก อายุแค่ 10 ขวบเองนะ อีกรายทิ้งระยะห่างกัน 2 วันได้ รู้สึกจะเป็นนักกีฬาซะด้วย อีก 2 รายเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง สภาพศพดูไม่ได้เลยล่ะ ทุกวันนี้ยังตามล่าตัวกันอยู่เลยด้วย” อลิซเล่าออกรสออกชาดเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงในเวลานี้
“ที่นิวยอร์คไม่มีเลยสินะ” คาเรนกล่าวขึ้นมาลอย ๆ
“เอ นิวยอร์ค? ทำไมรึ?” อลิซสงสัยในสิ่งที่คาเรนกล่าว
“ไม่มีอะไรหรอก แต่ยังไงซะ ตอนดีก ๆ อย่าออกไปใหนนะลิซ ปลอดภัยไว้ก่อน” คาเรนกล่าวเตือน น้ำเสียงห่วงใยไม่แพ้ที่อลิซห่วงเธอ
“คาเรนจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เหรอ?” เธอถามเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่คาเรนสนใจอยู่ บางทีเพื่อนของเธออาจจะพยายามทำอะไรซักอย่างในอนาคตที่เป้นเรื่องเสียง อันตรายก็เป็นได้
“บางที น่ะ...นะ” คาเรนตอบช้า ๆ ก่อนยกชามาดื่ม สายตาของเธอมีความกังวลถึงอนาคตของตัวเองอย่างมากทีเดียว
อลิซหลับตาแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอคงทำได้เพียงแค่รับรู้ และให้คำปรึกษาในบางครั้ง เพราะถ้าเป็นสิ่งที่คาเรนตัดสินใจทำ เธอก็คงไม่สามารถเข้าไปห้ามได้เป็นแน่
“จะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวทานอะไรด้วยกันนะคาเรน” อลิซกล่าวชวนเพราะนี่เป็นความตั้งใจของเธอที่อยากจะทำอะไรเลี้ยงเพื่อนที่ ไม่ได้เจอกันนานแล้วซักนิด
“อืม” คาเรนยิ้มรับ เพราะเธอเองก็อยากที่จะได้กินข้าวร่วมกับเพื่อน และได้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เป็นกันเองแบบนี้บ้าง -----------------------------------
หลังจากคาเรนทานอาหาร และพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับอลิซจนถึงบ่าย เพราะเธอมีเรื่องต่าง ๆ ให้เล่ามากมายเหลือเกิน คาเรนจึงขอตัวกลับบ้าน เธอออกจากบ้านของอลิซมุ่งตรงไปยังร้านคอมพิวเตอร์ เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆเพื่อใช้หาข่าวสารบ้าง เธอเลือกอยู่นานจึงได้โน๊ตบุ๊คกลับบ้าน 1 เครื่อง
ไม่ใช่ว่าคาเรนใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น แต่เวลาอยู่ในสำนักงานเธอใช้แต่เครื่องประจำหน่วยงาน เธอจึงไม่ได้ซื้อเครื่องส่วนตัวเลยตั้งแต่เรียนจบมา เธอหิ้วโน๊ตบุ๊คไปไว้ที่รถพลางคิดว่าคืนนี้คงได้หาข้อมูลกันนานแน่ ๆ
ระหว่างทางเธอจึงแวะซื้อทำอาหารอื่น ๆ เพื่อที่ว่าคืนนี้เธอจะได้ไม่ต้องออกไปทานที่ใหน คาเรนกลับมาถึงบ้านก็เย็นพอสมควร เธอเอาของต่าง ๆ ไปจัดวางไว้เรียบร้อย แล้วเข้าครัวทำอาหารทันที เธอก็ยังคงทำสปาร์เก็ตตี้ง่าย ๆ ทานเช่นเคย ทานไปเปิดข่าวดูไป ซึ่งมันก็มีแต่ข่าวเดิม ๆ หากแต่เธอดูไม่เบื่อเหมือนช่วงเช้า นั้นคงเพราะเธออารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว --------------------------
อาหารถูกทานจนหมดและทำความสะอาดในครัวแล้ว เธอจึงอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นหลังจากไปตระเวนมาเกือบทั้งวัน จากนั้นเธอจึงไปจัดการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเจ้าคอมพิวเตอร์ที่เธอซื้อมาเพื่อให้ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ เธอยกมันไปใช้ในห้องนอน ท่าทางของเธอเหมือนจะสนุกกับเจ้าของเล่นชิ้นใหม่นี่น่าดู
เธอค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เธอต้องการ ณ เวลานี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้รายละเอียดมากนัก แต่ก็พอที่เธอจะเห็นอะไรแปลก ๆ เธอนั่งเปิดคลิปวีดิโอภาพข่าวย้อนหลัง อย่างละเอียด
ตามที่อลิซถามเธอ โทรทัศน์นำเสนอข่าวโดยบอกว่า คนร้ายในคดีที่เพนซิลวาเนียเป็นคนโรคจิต ในส่วยรายละเอียดการเสียชีวิตของฟิลลิปนั้นไม่ได้กล่าวมากนัก และเรื่องการวิสามัญคนร้ายด้วยฝีมือของเธอก็ กล่าวเพียงสั้น ๆ จนคาเรนทึ่งในความสามารถปิดข่าวของ FBI อย่างมาก ไม่สิ บางทีหน่วยงาน หรือ องค์กรที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อาจจะใหญ่โตกว่า FBI ก็เป็นได้ แต่เธอไม่อยากคาดเดาอะไรมากให้เปลืองหัวสมอง เพราะเรื่องของเธอจะว่าจบลงไปแล้วก็ได้ เธอหันมาสนใจในเรื่องของพวก ‘มัน’ ที่ยังมีหลงเหลืออยู่
เธอนั่งหาข่าวและภาพข่าวต่าง ๆ จนได้รายละเอียดพอสมควรทีเดียว “....เหตุการณ์แรกเกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลา งั้นรึ” คาเรนพึมพำออกมาเบา ๆ ช่วงเวลาของเหตุการณ์แรกที่วอชิงตันดีซี กับ ที่เพนซิลวาเนีย ไล่เลี่ยกันมาก แทบจะห่างกันแค่หลักชั่วโมง เพียงแต่ในเพนซิลวาเนียร์นั้นเกิดในพื้นที่อุทยานจึงไม่มีมนุษย์เสียชีวิต มีเพียงสัตว์ป่าเท่านั้น
คาเรนยังคงไล่ดูคลิปข่าวต่อไปเรื่อย ๆ ครั้งที่สองเป็นนักกีฬา เป็นนักวิ่งซึ่งเสียชีวิตในช่วงเช้า “เสียชีวิตในเมือง....” คาเรนหรี่ตาพลางเอามือลูบปอยผมของเธอ สีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
‘ในเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน แม้จะบอกว่ามันเป็นตอนเช้าที่คนไม่มากนัก หากแต่ที่เกิดเหตุเป็นสวนสาธารณะ คนก็ไม่น่าจะน้อยมากไป แถมยังเกิดในพื้นที่ ๆ น่าจะมีการตรวจสอบแน่นหนาซะด้วย หมายความว่า เจ้านั้นมันว่องไวมาก อาจจะไวกว่าเจ้าตัวที่เราเคยเจออีก’
คาเรนคิดในใจเรื่อย ๆ
เธอค่อย ๆนั่งดูเคสที่สามและสี่ ซึ่งเกิดไล่เลี่ยกัน เธอหยิบเอาคุกกี้ที่อลิซทำเผื่อไว้มาเคี้ยวไปดูข้อมูลไป
‘อืม เจ้าหน้าที่ของ FBI ทั้งคู่เลยแฮะ แสดงว่า FBI รู้ตัวบ้างแล้ว ถึงได้มีการตั้งหน่วยไล่ล่า แต่ดันเสียท่าไปซะก่อน’
เธอกลิ้งไปมาบนเตียง พลางคิดทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกครั้ง
จู่ ๆ เธอก็ลุกขึ้นอย่างกระทันหัน ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างได้ เธอนั่งหาข้อมูลต่อทันที
เหตุการณ์เกี่ยวกับเจ้านั่นในนิวยอร์ค เธอใช้เวลาหาอยู่นาน สิ่งที่ได้มีเพียงภาพถ่ายที่ไม่ชัดเจนของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่โผล่ในยาม ราตรี ซึ่งทางรัฐในข่าวกับประชาชนว่า เป็นลิงกอริล่าที่หนีออกมาจากสวนสัตว์
“มีคนเชื่อด้วยรึเนี้ย...” คาเรนบ่นต่อการให้ข่าวของทางรัฐ
หากแต่เธออ่านความเห็นข่าวในเว็บต่าง ๆ เธอถึงกับทำหน้าเซ็ง ๆ “เอ ประชาชนเชื่อจริง ๆ แฮะ” เธอพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแหย ๆ
เธอพยายามไล่ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 18 ตุลา จนกระทั้งถึงวันที่ 25 พฤศจิกา ซึ่งก็คือวันที่เธอนั่งหาข้อมูลนี่เอง “ไม่มีผู้เสียชีวิตเลย” คาเรนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
หมายความว่ายังไง?
ไอ้ตัวประหลาดที่ไล่ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ อยู่ในเมืองแท้ ๆ หากแต่ไม่มีสัตว์ หรือ มนุษย์เสียชีวิตแบบประหลาด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว มันทำให้เธองงต่อเหตุการณ์มากขึ้น จะบอกว่าเจ้าตัวที่อยู่ในนิวยอร์คนี่มีคนจัดการไปแล้วยังงั้นรึ รึใครจะมาบอกว่า ไอ้ตัวที่อยู่ในนิวยอร์คนี่เป็นพวกรักสงบ เธอคงไม่ค่อยอยากเชื่อซักเท่าไหร่ เธอนั่ง ๆ นอน ๆ หาข้อมูลต่อไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่อาจะตอบข้อสงสัยเธอได้มากนัก
คาเรนเอามือลูบปอยผมเธออีกครั้ง เวลาเธอเธอคิดมาก หรือจะตัดสินใจอะไร เธอมักจะทำเช่นนี้เสมอจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
‘รึจะตอบตกลงทาง FBI ไปดีหว่า?’ เธอคิดถึงข้อตกลงที่ทาง FBI เสนอมา
เธอลุกขึ้นมาเกาหัวตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าของเธอ
สิ่งที่อยู่ในตู้นอกจากเสื้อผ้าของเธอแล้ว ยังมีตู้เหล็กใบหนึ่งซึ่งเป็นตู้นิรภัย เธอนั่งกดรหัสเพื่อเปิดตู้ออกมา ของภายในไม่มีอะไร นอกจากกล้องไม้มะค่าสีดำกล่องหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่พอดูทีเดียว
เธออุ้มมันออกมา วางไว้ที่เตียงของเธอ จากนั้นเธอเดินไปที่กระเป๋าของเธอ หยิบจี้ห้อยคออออกมา จี้รูปดาวซึ่งสามารถเปิดภายในได้ ในจี้มีกุญแจอันเล็ก ๆ เธอนำมันมาไขแม่กุญแจที่ล็อคกล่องไม้มะค่าออก
“นี่ต้องงัดมันเอามาใช้จริง ๆ รึนี่เรา” เธอบ่นพึมพำแล้วเปิดกล่องขึ้น
สิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นปืนสองกระบอก กระบอกหนึ่งมีสีแดงเลือดหมู อีกกระบอกมีสีดำสนิท ทั้งสองกระบอกมีปากกระบอกแบบคู่แนวตั้ง และมีอัญมณีที่ส่องประกายสีรุ่งติดไว้เหนือด้ามปืน ดู ๆ ไปมันคล้ายปืนเด็กเล่น
คาเรนหยิบมันออกมาจากกล่อง สภาพของมันยังดูเหมือนของใหม่ หากแต่มันอยู่ในกล่องนี้มานานหลายสิบปีแล้วก็ว่าได้ เธอลองเปิดส่วนของรังเพลิงออกมาดูความเรียบร้อย หากแต่เจ้าปืนสองกระบอกนี้กลับไม่มีส่วนที่ให้ใส่กระสุนเลย ภายในรังเพลิงเหมือนแค่เป็นส่วนว่าง ๆ เพื่อให้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่กระสุนปืนอยู่
“อืม สภาพดีอยู่แฮะ” คาเรนที่ตรวจดูปืนทั้งสองกระบอกแล้วเอ่ยขึ้น
เธอเก็บมันเข้ากล่องตามเดิม หากแต่เธอไม่ได้ล็อคกุญแจกล่องแล้ว เธอเดินไปปิดตู้นิรภัย และตู้เสื้อผ้า จากนั้นเธอถือกล่องลงไปที่ชั้นล่างของบ้านเธอเอง
ที่ห้องครัว เธอเดินไปตรงพื้นใกล้ ๆ ตู้เย็นมีลักษณะเป็นเหมือนบานพับ เธอเปิดมันขึ้นมา ปรากฏทางเดินลงไปยังใต้ดินได้ เธอหยิบไฟฉายมาส่องแล้วค่อย ๆ ลงไปตามบันไดอย่างช้า ๆ
แม้ว่าห้องใต้ดินนี้จะถูกปิดมานานหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังดูไม่ได้โทรมมากนัก คาเรนเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟห้องใต้ดิน ที่ติดไว้ที่พนังห้อง ดวงไฟค่อย ๆ สว่างขึ้น แต่มันก็ไม่ได้สว่างอย่างที่ควรจะเป็น คงเพราะหลอดไฟเก่ามากแล้ว
ในห้องใต้ดิน ที่ไฟเปิดแล้วนั้นมันคือ ห้องซ้อมยิงปืนนั่นเอง มีข้าวของวางอยู่บ้างพอควรคงเพราะป้าของเธอก่อนที่จะเสียได้เอาห้องนี้มาใช้ เก็บของต่าง ๆ ที่รก ๆ จากชั้นบน
คาเรนไปยังสวิตซ์ควบคุมเป้ายิง เธอลองกดแล้วดูการเคลื่อนไหวของมันหลังการกด เป้าเคลื่อนตัวไปมาได้ค่อนข้างราบรื่น แม้จะมีบางตัวที่เหมือนจะติดขัดบ้าง
“ท่าจะต้องซื้อน้ำมันมาหยอดซักหน่อยแฮะ” คาเรนบ่นขึ้น
เธอค่อย ๆ ควบคุมเป้าต่าง ๆ ให้กลับเข้าที่ ยกเว้นตัวนึง เธอขยับมันออกไปจากจุดยิงประมาณ 20 เมตรเศษ ๆ เธอเปิดกระเป๋าที่ใส่ปืน คาเรนหยิบทั้งสองกระบอกออกมาแล้วจึงเดินไปยังจุดยิงปืน
เธอเล็งอยู่ครู่หนึ่ง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งหมด 6 นัดที่เธอยิงมันออกไป ทั้ง ๆ ที่ไม่มีกระสุนปืน ไม่มีเศษปลอกกระสุน หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นวัตถุว่าเป็นกระสุนเลย แต่เป้าก็ยังทะลุออกไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
เธอเดินไปกดสวิตซ์ควบคุมเป้าให้ขยับเข้ามาหาเธอ รอยกระสุนที่ปรากฏที่เป้าทั้งหมด มีเพียงแค่จุดเดียว คือกึ่งกลางส่วนหัวของเป้า รูของมันมีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลักษณะของการถูกกระหน่ำยิงไปที่จุดเดียว
“ยังใช้ได้ดีแฮะ” คาเรนกล่าวพลาง เอามือลูบปืนทั้ง 2 กระบอกช้า ๆ
“กาลิอ้อน เบลิอ้อน ชั้นต้องพึ่งพวกเจ้าอีกครั้งแล้วนะ” คาเรนกล่าวขึ้นมาในระหว่างที่ลูบปืนทั้ง 2 กระบอกแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าตามเดิม
เธอหันไปสำรวจความเรียบร้อยภายในห้องก่อนเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ “นี่ต้องทำความสะอาดกันพอดูเลยนะเนี่ย” หลังจากนั้นเธอเดินไปปิดไฟห้องใต้ดิน แล้วเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอน
หลังจากนั้นเธอเดินไปยังหน้าต่างห้องนอน มองไปยังเมืองที่เธออาศัยอยู่ แสงไฟยามราตรีทำให้ทั้งเมืองส่องสว่างอยู่ ผนวกกับในคืนนี้ท้องฟ้าเปิด เผยให้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด สีหน้าของเธอดูเป็นกังวล กับเส้นทางที่เธอต้องเลือกเดิน
เธอเดินกลับไปปิดคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ และเก็บของกินที่วางไว้ข้าง ๆ คอมพิวเตอร์ไปไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วจัดที่นอนเพื่อเตรียมเข้านอน ก่อนเอานิ้วมาขยี้ตานิดหน่อย แล้วพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะ มิคาเอล”
หลังจากปิดไฟ ทุกอย่างเข้าสู่ความมืดมิด เสียงภายในบ้านเธอเงียบสงบ หากแต่เสียงภายนอกยังคงอึกทึก ซึ่งคาเรนก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติของเมืองใหญ่
‘มันไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดหรอก’
เธอคิดก่อนที่จะหลับตาลงนอน..............
--------------------------------------Next to Chapter 4
Create Date : 24 มกราคม 2553 |
Last Update : 24 มกราคม 2553 9:45:39 น. |
|
0 comments
|
Counter : 809 Pageviews. |
|
|
|
| |
|