เหตุผลของการเล่นพันทิปแบบแปลกๆของเรา
บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีมนุษย์บางพวก เขียนความคิดเห็นไว้เป็นตับในกระทู้แล้วจรลีหายเข้ากลีบเมฆ ไม่เคยหันกลับมาอ่านกระทู้ที่เขียนความคิดเห็นไว้อีกเลย พวกเขาคงคิดในใจ ไอ้พวกนี้มันไม่คิดจะรับรู้ความคิดเห็นของคนอื่นบ้างหรือไงฟร่ะ? ฮ่าๆ เรายอมรับแต่โดยดีว่าเราเป็นหนึ่งในนั้น ไอ้พวกที่เขียนความคิดเห็นแล้วหายเข้ากลีบเมฆอ่ะแหละ คิดว่าพอเข้าใจเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไมเราจึงทำแบบนั้น

สาเหตุที่หนึ่งคิดว่าคงมีหลายๆคนคิดคล้ายๆเรา เราเคยเขียนความคิดเห็นที่ดูเหมือนเข้าข้างตำรวจในห้องศาลา แล้วจขกท.ก็คัดค้านเรา เถียงกันไปมายืดยาวมากกกก จนคนอื่นๆหายไปจากกระทู้นั้น เหลือแค่เรากับจขกท. อย่างไรก็ตาม เรากับจขกท.ก็เข้าใจกันได้ และจากกระทู้นั้นพร้อมกันด้วยดี จากกันอย่างเป็นมิตร ถึงแม้จะจบสวย แต่เราไม่อยากเปลืองพลังงานไปกับการอธิบายอย่างยืดยาว+ปวดหัว อีกเลย

สาเหตุที่สอง เป็นสาเหตุหลัก มันเป็นเหตุผลของการเล่นพันทิปแบบแปลกๆของเรา เพราะเราจะ
- พยายามตั้งกระทู้ให้น้อยที่สุด ถ้าไม่คิดว่าจะเผยแพร่ความรู้ แบ่งปันข้อมูล หรือถามเรื่องที่เราจนปัญญาละก็ เราไม่ทำเด็ดขาด
- ไม่กลับไปดูความคิดเห็นที่เขียนหรือกระทู้ที่ตั้งไว้ ใครเห็นสิ่งที่เราเขียนหรือแบ่งปันแล้วอยากแสดงความเห็น หรือถามเพิ่ม หลังไมค์อย่างเดียวโลด (ยกเว้นบางกระทู้ที่เราบอกไว้แล้วว่าจะกลับมา เราจะกลับมาในเวลาประมาณ 1 อาทิตย์เป็นอย่างช้า)
- สิ่งที่ปวดใจมากที่สุดสำหรับเราก็คือ ชื่อล็อกอินเราโผล่ในกระทู้แนะนำ (สินธรจัดให้เรียบร้อยค่ะ)
สาเหตุนั้นก็คือ เราไม่อยากเห็นชื่อล็อกอินตัวเอง ถ้าจะเห็น ขอให้เห็นน้อยที่สุด หรือเป็นกรณีที่คนอื่นมองเห็นไม่ได้ (ที่ที่เราที่โคตรชินที่จะเห็นชื่อตัวเองคือในเฟสบุ๊คกับเอ็มเอสเอ็นเท่านั้น)

มันเหมือนการเกลียดตัวเองอย่างหนึ่ง นิสัยนี้เราเป็นตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่ใช่ดัดจริตเป็นตอนโตแต่อย่างใด เราเกลียดการถ่ายรูปตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเรา (ถ้าเพื่อนเราอยากถ่ายก็ปล่อยมันไป เราไม่กล้าห้าม เลยกลายเป็นว่าเครื่องเราไม่มีรูปเรา รูปเราอยู่เครื่องเพื่อนหมด) ไม่ชอบมองรูปถ่ายของตัวเอง เกลียดการส่องกระจก เวลาเล่นเฟสบุ๊คเราก็ไม่บอกว่าเราทำอะไร อยู่ที่ไหน ใครไม่เคยเจอตัวจริงของเรา เราจะไม่บอกช่องทางติดต่ออื่นๆให้เลย เจอสังคมออนไลน์ไหน ก็ติดต่อตรงนั้นอ่ะแหละ มันเหมือนกับว่า เราไม่ต้องการให้คนอื่นรู้อย่างชัดเจนว่าเราเป็นใคร ทำอะไร อย่างไรบ้าง เนื่องจากมันเป็นนิสัยที่เราเป็นตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เราจำความได้อ่ะ ใกล้จะเป็นสันดานของเราเต็มทน

จุดที่เราคิดว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นก็คือ ตอนที่เราเขียนความคิดเห็นในกระทู้ แล้วเราเขียนกวนประสาทขึ้นมา แหะๆ อืม จุดนี้เราพอรู้ตัวว่าบางเวลาก็กวนๆ ก็พยายามห้ามหมามาเพ่นพ่านบนคีย์บอร์ดอยู่ตลอด ผลของการห้าม ถ้าผู้ร่วมบอร์ดยังไม่พอใจ เราก็ขอโทษละกัน เราสัญญาว่าจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยอ่านเจอว่าคนอื่นคิดอย่างไรบ้าง แต่ความพยายามมันต้องผล ต้องพัฒนาบ้างแหละ (แอบลักไก่)

สาเหตุที่สาม นี่แตกย่อยมาจากสาเหตุที่สอง คือเวลาเราเขียนความคิดเห็นในกระทู้เยอะๆ ตื่นเช้ามาเรามักจะรู้สึกผิดที่เขียนความคิดเห็นเยอะๆไปเมื่อคืนหรือเมื่อวาน ไม่ใช่เราคิดว่าสิ่งที่เราเขียนมันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรืออะไร แค่คิดว่าเราเขียนอะไรไม่เข้าท่า นี่เป็นสาเหตุที่เราลดการเขียนกระทู้ โดยเฉพาะในห้องสินธร ตั้งใจลดมากเป็นพิเศษ ส่วนห้องสมุดนั้น เรายังเขียนได้ค่อนข้างสบายใจ(แต่ก็ไม่มากกว่าสินธรหรอก ฮ่าๆ) เพราะคิดว่าเวลาเราเขียนความคิดเห็นในห้องสมุด มันไม่ซับซ้อนเหมือนกับในห้องสินธร

เขียนแล้วสบายใจดี อิอิ
ยังดีว่าเราชอบการเขียนบล็อกพอสมควร ไม่งั้นไม่รู้จะระบายเรื่องบ๊องๆแบบนี้ที่ไหนแล้ว



Create Date : 27 เมษายน 2555
Last Update : 27 เมษายน 2555 21:47:14 น.
Counter : 492 Pageviews.

0 comment
ข้อเสียของการแต่งงาน ข้อดีของการไม่แต่งงาน
หากอยากเป็นภรรยาแสนดี ผู้หญิงควร...
นอกเวลางานผู้หญิงควรเป็นคนรับใช้
ในเวลางานผู้หญิงควรเป็นเครื่องผลิตเงิน
ครั้งสองครั้งในชีวิตผู้หญิงควรเป็นโรงงานผลิตลูก
เรือนร่างผู้หญิงควรเป็นเครื่องระบายทางเพศทั้งสัมผัสทั้ง5แก่ผู้ชาย
ผู้หญิงต้องสงวนให้ผู้ชายคนหนึ่งใช้แต่เพียงผู้เดียว
หากเขามีหญิงอื่นหรือเขาทำเราช้ำใจควรปิดปาก หย่ามิได้

ทุกข์ที่ผู้หญิงได้รับต่างหากจากผู้ชาย
๑. สตรีเมื่อเป็นสาวไปสู่สกุลแห่งสามี ย่อมพลัดพรากจากญาติทั้งหลาย นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะของสตรีข้อแรก ซึ่งสตรีได้รับต่างหากจากบุรุษ
๒. สตรีย่อมมีระดู (ประจำเดือน) นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะสตรีข้อที่สอง ซึ่งสตรีได้รับต่างหากจากบุรุษ
๓. สตรีย่อมมีครรภ์ (ตั้งครรภ์) นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะของสตรีข้อที่สาม ซึ่งสตรีได้รับต่างหากจากบุรุษ
๔. สตรีย่อมคลอดบุตร นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะของสตรีข้อที่สี่ ซึ่งสตรีได้รับต่างหากจากบุรุษ
๕. สตรีย่อมทำหน้าที่บำเรอบุรุษ นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะของสตรีข้อที่ห้า ซึ่งสตรีได้รับต่างหากจากบุรุษ

สามิกตา ปรมา ทุกขา = การมีสามีเป็นทุกอย่างยิ่ง
อัสสามิกตา ปรมาลาภา = การไม่มีสามีเป็นลาภอันประเสริฐ
ดูดิ ตัดทุกข์ที่พวกเราได้รับต่างหากจากผู้ชายไปตั้ง 80 เปอร์เซ็นต์ สบายๆ
เรื่องนี้แหละ จะเป็นความสำเร็จที่ไม่ต้องใช้ความพยายามของฉัน

ตอนนี้ไม่ได้แอบชอบใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความผิดปกติ+ปมด้อยทางจิตของเราสำแดงเต็มที่
เลยหาข้อมูลและเขียนออกมาอย่างที่เห็น
อย่าแปลกใจ



Create Date : 13 ธันวาคม 2554
Last Update : 13 ธันวาคม 2554 20:42:17 น.
Counter : 1933 Pageviews.

6 comment
ไม่อยากให้โลกนี้มีพ่ออารมณ์ร้าย
เราอยากให้พ่อแม่หย่ากันมากๆๆๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อเราบีบคอแม่เรา(ปกติจะตบที่หัวเฉยๆ เจ็บ แต่ไม่เห็นแผล ฉลาดมั้ย?)
เราก็โทรเลย191 เบอร์ตำรวจ ใจอยากให้ตำรวจมาจัดการอย่างจริงๆจังๆ
ตอนนั้นเหมือนพ่อเรากะให้แม่เราตาย ตะโกนด้วยว่า กุจะฆ่าเมิง
เราจำภาพได้ติดตาเลย ถึงผ่านสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
แม่เราบอกพ่อเราคลายมือนิดหน่อยตอนที่เราตะโกนให้หยุด
แม่เราโกรธมากและหนีออกจากบ้านไป
เนื่องจากแม่เราเป็นคนดูแลการเงินและกิจการที่บ้าน เลยทำไงก็ได้ หุหุ ไม่กลัวขาดเงิน
แม่เราพาเราหนีไปอยู่เชียงใหม่1อาทิตย์
เป็นการหนีที่มีความสุขมากๆๆ ได้เที่ยวด้วย เย้ๆ
ต่อมาแม่เรากลับกรุงเทพ ไปอยู่บ้านอาม่า
พ่อเราตามมาง้อ สัญญาว่าจะไม่ทำอีก
ลุง น้าเราก็บอกว่าถ้าพ่อเราทำอีกจะไปจัดการให้
จริงครึ่งนึงนะ คือพ่อเราไม่ตบแม่เราอีก แต่ยังด่าเหมือนเดิม
แต่แค่นี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ด่าอย่างเดียวก็ยังดี

พอแม่เราเครียดก็มาระบายกับเรา
เรารับปัญหานี้ตั้งแต่เด็ก ทำให้เราเกลียดพ่อเรามากกว่าเดิม
แค่เห็นจะๆก็เกินจะทนแล้ว แม่เราก็ย้ำกับเราทุกครั้งที่ถูกตบหรือด่า
ซ้ำไป ซ้ำมา เด็กจะเห็นพ่อเป็นตัวแทนของผู้ชายทั้งโลก เราก็เลยมีอคติกับผู้ชายตั้งแต่นั้น
ไม่ต้องถาม เราเกลียดพ่อเราขนาดไหน
เราโทษทุกอย่างที่เราสามารถโทษได้
ตั้งแต่วัฒนธรรมจีนที่หล่อหลอมให้พ่อเราคิดว่า ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง
อาม่า(ย่า)ที่ใจดีกับพ่อสุดๆ
เคยคิดอยู่ว่าไม่อยากพูดคุยกับผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้
เพียงเพราะเขามีเพศเดียวกับพ่อเรา
หลังๆต้องปรับตัว เรารู้ว่าทำตามใจอยากทุกอย่างไม่ได้
ก็ลดๆลงมา

จบมัธยมเราก็ดิ้นรนไปเรียนที่จีน
ไม่ใช่อะไรหรอก เราอยากหนีพ่อเรา
ตอนเรียนนอกมันก็ดีนะ ไม่ค่อยเห็นพ่อเรา
พอเรากลับมาบ้านตอนปิดเทอม พ่อเราก็ไม่ค่อยใส่อารมณ์กับเรา
ตอนนี้เรียนจบแล้ว ปัญหาเริ่มเกิด
เราอยู่เมืองไทยยาวมากๆ ประมาณปีกว่า ยาวที่สุดเท่าที่เรียนจบมัธยมมา
ทะเลาะกับพ่อหลายครั้ง เมื่อก่อนจากไม่เคยเถียงตอบ เริ่มมีพูดสวนบ้างแล้ว(พูดเข้าข้างแม่)
ซึ่งเป็นอะไรที่แทงใจดำพ่อเรา
เรารู้เลย เราไม่สามารถอยู่กับพ่อได้
ตอนนี้อยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่พูดกัน พูดเท่าที่จำเป็น
ยอมทุกอย่าง ไม่กินข้าวเย็นนอกบ้าน ไม่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด
พ่อเราก็เพลาๆอารมณ์นิดนึง คงเห็นว่าเราเอาจริง
และเขาไม่เหลือใคร(มีรายละเอียดอีกค่ะ แต่เผาแค่นี้พอ ถ้ามีโอกาสวันหลังก็...)
พ่อเราเป็นคนโมโหร้าย แต่เย็นค่อนข้างเร็ว(แน่นอน ไม่ใช่เขาที่ถูกด่าแรงๆนิ)
เขานึกว่าคนอื่นจะให้อภัยเหมือนอาม่า แต่เราทำไม่ได้ เหอะๆ
เราไม่คิดจะทิ้งพ่อเราตอนแก่หรอก ไม่ว่าเขาจะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นแค่ไหน
ชาตินี้เราขอตอบแทนให้หมด อดทนให้มาก
แล้วภาวนาว่าชาติหน้า ถ้าพ่อเรายังเป็นแบบนี้อีก ก็ขออย่าให้เจอกันอีกเลย จบ
แต่เราไม่บอก ตอนพ่อบ่นน้อยใจก็ช่างเขา นิ่งไว้ไม่อยากให้อารมณ์ปะทุขึ้นมาอีก
เราพยายามพูดกับพ่อน้อยที่สุด เพื่อที่อารมณ์พ่อเราจะได้ไม่ปะทุ
แสดงความรัก อ้อน มันอาจจะมีอยู่บ้างแหละ แต่ยากอ่ะ แสดงไม่ออก
คงซ่อนอยู่แถวๆจิตใต้สำนึก หุบปาก เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่เราพอทำได้

คุณแม่ทั้งหลายชอบบอกว่าหย่าแล้วเด็กมีปัญหา
แต่กรณีเรา ไม่หย่าต่างหากที่ทำให้เกิดปัญหาที่หนักขึ้น
ถ้าแม่เราหย่ากับพ่อเราตั้งแต่เรายังเด็ก
เราก็คงไม่ต้องเจออารมณ์ร้ายๆของพ่อมาสิบกว่าปีจนกลัวการแต่งงานหัวหดแบบนี้
ตอนนี้พูดถึงคำว่าแต่งงาน เราไม่ดีใจนะ แต่จะขยะแขยงยิ่งกว่าเห็นแมลงสาปอ่ะ
ใครมาบอกว่าจะแต่งงาน เราไม่ดีใจด้วยหรอกถ้าเป็นผู้หญิง
คำว่า นรกจะผุดขึ้นมาในหัว
ถ้าเป็นผู้ชายจะยินดีด้วย นึกในใจว่า ดีใจด้วยนะ
หาคนรับใช้ นางทาสส่วนตัวได้แล้ว อะไรประมาณนั้น
เรารู้ว่าความผิดปกติทางจิตเกิดขึ้นแล้ว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการที่ว่าทุเลาลงตอนที่เราเรียนอยู่นอก ช่วงที่เราห่างพ่ออ่ะแหละ
ตอนนี้ก็กำลังหาทาง+รอเวลาที่จะไปอีก หึหึ
ถ้ากลับไทย จะไปซื้อคอนโดอยู่ อย่างน้อยๆมีที่หลบพ่อใช้กับแม่2คน
ไว้พ่อเราแก่มากกว่านี้ แรงหมด ด่าไม่ค่อยออกค่อยกลับไปหาพ่อเรา

ไม่ใช่จู่ๆอยากเขียนขึ้นมาหรอก
แต่ตระเวนอ่านกระทู้แนะนำ เจอกระทู้แนะนำของห้องชานเรือนแล้วปรี๊ด
คันมืออยากเขียนทันควัน อุอุ
เข้ากับบรรยากาศวันพ่อ(รึเปล่า)ด้วย

เราขออภัยผู้ชายทุกท่านที่เราแสดงอะไรที่อคติออกไป
โดยเฉพาะกรณีที่เกินควรทั้งหลาย
ห้องที่โดนเยอะสุดน่าจะเป็นห้องสมุด รองมาก็สินธรนะ แหะๆ



Create Date : 03 ธันวาคม 2554
Last Update : 3 ธันวาคม 2554 21:17:22 น.
Counter : 687 Pageviews.

12 comment
ถึงคนที่อยากหลังไมค์เพราะล็อกอินของเรา
เราเข้าใจว่าที่คุณคุยกับเราหลังไมค์เพราะล็อกอินเรา คงคิดว่าเราไม่จริงจัง เพราะน้อยนักที่จะเจอผู้หญิงแบบนี้ อยากรู้จัก เห็นเป็นผู้หญิงแปลก

เราอาจจะแปลกสำหรับคุณ แต่คุณไม่แปลกสำหรับเรา เราเจอคำถามพวกนี้เป็นสิบๆครั้งแล้วในชีวิตจริง ตอนแชทกับคนจีนผ่านคิวคิวก็เจอคำถามพวกนี้เป็นสิบแล้วเช่นกัน เพื่อการประหยัดเวลาเขียนไว้ในนี้แหละ บอกตรงๆเลยว่าขี้เกียจเขียนหลายรอบ

เราขออธิบายสั้นๆว่า เราเกลียด กลัว ปฏิเสธการแต่งงานหรือการมีคู่เหมือนคนอื่นๆกลัวแมลงสาป จิ้งจก ตุ๊กแกนั่นแหละค่ะ เคยสาบานไว้ด้วย ถ้าเราแต่ง นอกจากจะตายเร็วแล้วยังตายแบบทรมาน+ศพไม่สวย เรากล้าสาบานเพราะเราแน่ใจว่าเราจะไม่เผลอทำแบบนั้น สาบานแรงแค่ไหนก็ได้ สาบานตั้งแต่เราเรียนอยู่ ป.6 มีสาบานแบบนี้เป็นระยะๆแสดงถึงความตั้งใจของเรา

สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ไม่รู้ว่าจะมีคนหลังไมค์อยากรู้เรื่องเรามากขนาดนี้ บางห้องคนเขาถามเรื่องอื่น แต่ลากไปหาเรื่องนี้ซะงั้น นึกว่าใช้แทนชื่อก็แล้วกันไป ประกาศตัวนิดๆหน่อยๆ ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของเราเอง ประมาทชื่อนี้มากไป

ส่วนตัวไม่ต้องการติดต่อใครนอกจากที่พันทิป เรามีกฏส่วนตัวว่าจะไม่บอกเมล เบอร์มือถือ เฟสบุ๊ค หรือชื่อจริงเด็ดขาด เพราะเรากลัว บางคู่เขาหาแฟนจากพันทิป กลัวมีการเข้าใจผิด ฯลฯ เพราะชื่อล็อกอินเรามันทำให้คนอยากรู้จักดีนักแล จึงตัดไฟแต่ต้นลม

หลังไมค์เพื่อถามเรื่อง ภาษาจีน หุ้น หรืออะไรก็ตาม ตั้งกระทู้ที่ห้องสมุดหรือห้องสินธรดีกว่าค่ะ
ถ้าเราเห็นว่าเราตอบได้ เดี๋ยวเราเข้าไปตอบเอง
ถ้าเราตอบกระทู้ไม่ชัดเจนค่อยหลังไมค์ดีกว่าค่ะ
เพิ่งเถียงกับคนอื่นที่หลังไมค์ จบไม่เลวร้ายนัก แต่ไม่อยากเจอรอบสอง
แค่เสียความรู้สึกนิดหน่อย เหอะๆ



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 14:30:54 น.
Counter : 350 Pageviews.

3 comment
ที่มาของล็อคอินนางสาวคานทอง (ยาวมาก)
ตั้งแต่ใช้ล็อกอินใหม่ก็มีคนสนใจชื่อล็อกอินมากขึ้น บางคนหลังไมค์มาถามว่าทำไม
เลยคิดว่าเขียนไว้ที่นี่แหละ ใครมาถามก็ให้มาอ่านที่นี่เอาเอง
ขี้เกียจพิมพ์หลายรอบ

ที่มา
นาง หมายความว่า เจ้าของล็อกอินนี้เป็นผู้หญิง

สาว เราอยากจะสื่อว่า เรายังไม่เคยมีอะไรกับใคร
ไม่ได้มีเจตนาให้คนมาจีบนะคะ แต่อยากประชด
เจอบ่อยมากเลย พวกผู้ชายชอบคิดว่าผู้หญิงสมัยนี้เสียตัวไปหมดแล้ว
ร่ำร้องหาแต่ของมือหนึ่ง น่ารำคาญเป็นที่สุด
เราอยากใช้ล็อคอินเราบอกคนพวกนั้นว่า ผู้หญิงที่ไม่เคยมีอะไรกับใครยังมีชีวิตอยู่
และสามารถอยู่ได้อย่างปกติสุขอีกด้วย

คาน หมายความว่า ไม่ต้องการแต่งงานตลอดชีวิต ย่อมาจากคำว่าขึ้นคาน

ทอง หมายความว่า ทั้งหมดนี้เป็นเจตนาของเจ้าของล็อกอิน ไม่มีใครมาบังคับ
ทางเลือกนี้ สำหรับเจ้าของล็อกอินแล้ว มันมีค่ามากดั่งทอง

คนส่วนมากคิดว่าผู้หญิงทุกคนอยากมีใครสักคนอยู่ข้างกาย มีใครมาปกป้อง
เราก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่เราไม่อยากเชื่อใจใคร
เรามองว่าผู้ชายเป็นอะไรที่เชื่อใจไม่ได้(เฉพาะความสัมพันธ์ชายหญิง)
เขาจะเปลี่ยนใจอะไรเมื่อไหร่ได้ทั้งนั้น
ต้นเหตุมาจากพ่อแม่เรา เราขอไม่เล่ารายละเอียดนะคะ ไม่อยากเอาเรื่องในตระกูลมาเผา
มันโคตรส่วนตัวมากเกินไป

หลายๆปีที่ผ่านมาเราใช้หลากหลายวิธีมากที่จะไม่ทำให้เราชอบใครมากเกินไป
ก็ได้ผลนะ อย่างน้อยเราก็ไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร
เราเสียน้ำตาให้ครอบครัว ให้อาม่า ให้เพื่อน ให้สัตว์เลี้ยงเรา
แต่เราไม่เคยเสียน้ำตาในกรณีนั้น
ไม่เคยทำให้ตัวเองทำอะไรแย่ๆ ไม่เข้าท่าเพื่อคนบางคน
ถ้าจะมี เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อชีวิตเราเท่านั้นเราถึงจะทำ
ถ้าจะให้เราเสียสละ เราไม่ทำเด็ดขาด
มิเช่นนั้นมันจะเหมือนเราทุ่มเทให้เขา และตัดใจยากมากขึ้น

ถามว่าเราจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั่งๆนอนๆอยู่ในห้องของเพื่อนอินโด
มีเรา เพื่อนคนไทย เพื่อนอินโด เพื่อนเกาหลี 4 คน
เพื่อนอินโดกับเพื่อนเกาหลี2คนพยายามกล่อมเราให้ยกเลิกความคิดจะครองตัวเป็นโสดตลอดชาตินี้ซะ
เนื่องจากเพื่อนอินโดกับเพื่อนเกาหลีมัวแต่กล่อมเรา
แต่เพื่อนคนไทยไม่สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ มันก็หลับไป
เหลือแต่เรากับเพื่อนอินโดและเพื่อนเกาหลี
วันนั้นเราจำได้ เพื่อนเกาหลีมันถึงขนาดเสนอตัวจะช่วยหาแฟนให้ เหอะๆ
เพื่อนเรา2คนนี้เรียนป.ตรีชั้นเดียวกันกับเรา แต่แก่กว่าเรา5ปีทั้งคู่
สำหรับเพื่อนแล้ว เราก็เหมือนเพื่อน+น้องสาวคนหนึ่ง
เราเข้าใจค่ะว่าเพื่อนเราพยายามกล่อมด้วยความหวังดีตามความคิดของตัวเอง

วันนั้นเราจำได้ดี เพื่อนอินโดเอาพ่อแม่เรามาขู่
มันถามเราว่าถ้าเราเกิดเป็นอะไรไปหรือป่วยดูแลพ่อแม่ไม่ได้
แล้วพ่อแม่เราจะทำอย่างไร?
ณ เวลานั้นเรายอม เพราะเราก็ห่วงพ่อแม่เรามากอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้ไม่น่าห่วงหรอก ตอนนี้พ่อเรามีแรงมากกว่าเราอีก
เราห่วงตอนที่พวกท่านแก่มากแล้วต่างหาก
และบอกเพื่อนทั้งสองว่า เออ ก็ได้ แต่งก็แต่ง กัดฟันพูด

คืนนั้นได้เรื่องเลยค่ะ
ไม่ได้ฝันถึงหนุ่มนะ
เราฝันร้าย ยิ่งกว่าฝันร้ายอีก
มันเริ่มตอนเรากำลังจะหลับ
เหมือนความคิดจะต้องแต่งงานมันเข้ามาหลอกหลอนตลอดเวลา
เหมือนถูกตัวอะไรสักอย่างไล่ตาม+จู่โจม อารมณ์เหมือนตัวเอกในหนังกำลังถูกตามไล่ฆ่า
จำได้ว่าช่วงที่กำลังจะหลับเราส่ายหัวไปมาเหมือนจะหลบหรือปฏิเสธอะไรซักอย่าง
จากนั้นก็เผลอหลับไป
คืนนั้นไม่ได้นอนอย่างเป็นสุขเลยค่ะ
มันเหมือนกึ่งหลับ กึ่งตื่น ถูกจู่โจม ไล่ล่าตลอดทั้งคืนจนกระทั่งตื่นในตอนเช้า
เราเป็นคนที่ไม่ตื่นกลางดึก เลยกลายเป็นว่าฝันร้ายในคืนนั้นไม่มีการพักยกเลย

ตื่นเช้ามาเราจำความรู้สึกอันแสนน่ากลัวนั่นได้
ทั้งตอนก่อนหลับ และระหว่างที่หลับอยู่
ตอนนั้นพอจำได้ว่ากลัวมาก แล้วเราก็บอกกับตัวเอง
เรื่องนี้เราขอก็แล้วกัน ขอทำตามใจอยาก
เรารับไม่ได้จริงๆ

เนื่องจากเรากับเพื่อนอินโดและเพื่อนเกาหลีสนิทกัน
กินข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน เราก็หาโอกาสตอนที่อยู่กับเพื่อนตัวแสบทั้งสอง พร้อมเล่าว่าหลังจากที่พวกคุณๆกล่อมเราสำเร็จแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง
เพื่อนเราอึ้ง พูดอะไรไม่ออกพักนึง
จากนั้นก็พูดประมาณว่า ไม่เป็นไร เธอเป็นโสดไปเถอะ เรื่องพ่อแม่อีกหน่อยก็จัดการได้
ตั้งแต่นั้นมาก็สบายหน่อย เพราะมันสองคนไม่กล่อมเราเรื่องแต่งงานอีกเลย
เพราะรู้ว่าเราจริงจังมาก
คงจำหญิงไทยคนนี้ไปตลอดชีวิต ต่อให้เราไม่ติดต่อกับมันเลยหลังจากเรียนจบก็ตาม

ถามว่าถ้าเราแต่งงานไปจะเป็นยังไง
เราว่าถ้าสามีเรามันไม่งี่เง่าก็โอเคอยู่
แต่ถ้ามันทำอะไรไม่ถูกใจเรา หรือเราทะเลาะกับมัน(ลิ้นกับฟัน ต้องมีทะเลาะกันบ้าง)
แน่นอนเราจะโทษนู้น โทษนี่ไม่หยุด
โทษทุกอย่างที่ทำให้เราหลวมตัวมาแต่งงาน
เราอาจจะเกลียดคนทั้งโลกที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
คิดอย่างไร้เหตุผล พร้อมจะโยนความผิดไปให้คนทั้งโลกยกเว้นตัวเอง

ความจริงเราเกลียดการแต่งงานมันก็เหมือนคนอื่นๆเกลียดแมลงสาบ จิ้งจก ตุ๊กแกหรืองูนั่นแหละ
เพียงแต่สิ่งที่เราเกลียดมันเป็นคนที่ทั้งโลกชอบ
ไม่มีวัฒนธรรมไหนปฏิเสธการแต่งงาน แม้กระทั่งในแง่ศาสนา
พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงปฏิเสธการแต่งงานด้วยเหตุผลแบบเดียวกับเรา
แปลกยิ่งกว่าพวกที่รักเพศเดียวกันอีก
มันเลยยากที่จะทำให้คนอื่นๆเข้าใจได้ คนอื่นๆก็มองว่าเป็นเรื่องตลกไปหมด เพราะไม่คิดว่ามันจะมีจริงๆ
เราเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะเราถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เรามีสิทธิเลือกของเราเอง
ที่สำคัญไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราไม่ได้ไปแย่งแฟนหรือสามีใคร เราไม่ได้ทำให้ครอบครัวใครแตกแยก
จริงๆแล้วใช่ว่าเราจะอยู่คนเดียวนะ เราคิดจะรับเด็กมาเลี้ยง อยากเลี้ยงซัก4คน
อาจจะแค่2ก็ได้ กลัวเหนื่อยตาย ฮ่าๆ
นอกจากแก้เหงาแล้วยังเป็นการทำบุญอีกด้วย

เขียนมายาว คิดว่าเขียนทุกอย่างที่อยากเขียนแล้วนะ
ไปละ



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2554 14:52:04 น.
Counter : 290 Pageviews.

4 comment

นางสาวคานทอง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]