... Travel with Lizard ... Explore the world with me * highlight Taiwan!

[Taiwan] แช่น้ำร้อน..นอนดูทะเล @ JinShan, New Taipei

สวัสดีปีใหม่ 2015 ค่าาาา
หยุดยาวหลายวันเพื่อนๆไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้างเอ่ย
จขบ.ไม่ได้ไปไหนไกลค่ะ อยู่ทัวร์ใกล้ๆบ้านซะมากกว่า ที่ไต้หวันปกติตะไม่มีวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ เพราะจะไปหยุดมาราธอนกันช่วงตรุษจีนซะมากกว่า
บริษัทส่วนใหญ่จะหยุดกันเฉพาะวันที่ 1 มกรา แต่ปีนี้พิเศษกว่าปกติ เพราะหลายๆที่หยุดเพิ่มวันที่ 2 ด้วยเลยกลายเป็นวันหยุดยาว 4 วัน หลายครอบครัวเลยจัดเต็ม วางแผนท่องเที่ยวกันเต็มที่ ดังนั้นที่ดังๆไฮไลท์ต่างๆจึงเต็มแน่นไปด้วยผู้คน นี่ยังไม่นับแถว Xinyi หรือตึกไทเป 101 ที่จัดงานเคาท์ดาวน์กันอีกต่างหาก
ปีนี้เคาท์ดาวน์อลังมาก มีการจัดคอนเสิร์ตและอีเว้นท์กันทั่วทุกเมืองหลักๆไม่ว่าจะเป็นไทเป ไทจง เกาสง หรือเถาหยวน แถมมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตอีกต่างหาก #ดูภาพคืนเคาท์ดาวน์ได้ที่ Facebook นะคะ 

พลุฉลองปีนี้ยิ่งใหญ่และยาวกว่าทุกปี #ภาพจาก TaipeiToday 
ปีนี้เลยขอเริ่มต้นปีแบบชิลๆ ขอฉลองแบบไม่เบียดกับใครน่าจะดีกว่า
ว่าแล้วก็เปิดคลังโลเคชั่นเลือกพิกัดที่ไม่ค่อยฮิตติดลมแต่น่าสนใจ #ยากอยู่นะ 
หลังจากเลือกอยู่หลายตลบ คำตอบสุดท้ายที่ได้คือ JinShan หรือ 金山區 ค่ะ!
JinShan #แปลตรงตัวว่าภูเขาทอง อยู่ในเขต New Taipei อยู่ด้านชายฝั่งทางเหนือของไต้หวัน ถ้านั่งรถจากตัวเมืองไทเปใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ให้เห็นภาพกันง่ายๆ JinShan อยู่โซนเดียวกับ Yehliu หรือหินเศียรราชินี อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของไต้หวัน 

ทะเลโซนนี้วันอากาศดีสีสวยมาก ภาพนี้ถ่ายริมถนนตรงจุดพักรถชมวิว

ลงไปเดินดูนิดหน่อย แถวนั้นมีคนตกปลาอยู่ด้วย

มอเตอร์ไซด์สีแสบตา เจ้าของเค้ากำลังขี่ทัวร์รอบเกาะไต้หวัน #Wow! 

ล้อหมุนต่อ วิวข้างทางเพลินดี
ไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เข้าเมืองมาปั๊บก็จะผ่านวัด Cihu ซึ่งเป็นวัดประจำเมืองของที่นี่อายุกว่า 200 ปี วัดไม่ใหญ่มากอยู่ใกล้ๆกับตลาดโบราณ 

วัดนี้เป็นวัดของ Matsu หรือเทพแห่งท้องทะเล #รอบนี้ไม่ได้แวะเข้าไปไหว้ ขับรถผ่านเฉยๆ เลยยืมรูปมาให้ดูจากกูเกิ้ลนะคะ

ถนนโบราณ JinBaoLi หรือ JinShan #ลืมถ่ายภาพมาเลยยืมมาจากกูเกิ้ลอีกแล้ว
ตลาดนี้ช่วงกลางวันจะคึกคักกว่าช่วงกลางคืน พลาดชิมไม่ได้คือร้านขายเป็ดที่อยู่หน้าวัด GuangAn #เดินตรงมาเรื่อยๆตามซอยเดี๋ยวก็เจอ หาไม่ยาก

จะว่าร้านอยู่หน้าวัดก็ไม่เชิง เรียกว่าอยู่ "ในวัด" เลยจะดีกว่า #เห็นซ้ายมือไหมคะ ตั้งร้านควันโขมงกันอยู่ในเขตวัดเลย 555  #ภาพจาก MyWiseWife.com 

อีกเมนูเด็ดคือมันเผาค่ะ ที่นี่เขาเผาแบบรมกลิ่นถ่านเข้าไปด้วย หวานๆหอมๆ ยิ่งทานช่วงอากาศเย็นๆแบบนี้ ฟินค่ะ!
หาอะไรทานรองท้องเสร็จแล้วก็เข้าไปเช็คอินที่พัก วันนี้เรานอนกันที่ JinShan Youth Activity Center 

หน้าตาอาคารหลักของ JinShan Youth Activity Center #แหวกแนวไม่ซ้ำใครจริงๆ #มองแว๊บๆเหมือนคุกแบบโหดๆในหนังฮอลีวู้ด

ดูกันใกล้ๆอีกที ตึกระยะประชิด
ที่นี่มีให้เลือก 2 แบบจะนอนบนตึกก็ได้เป็นห้องพักแบบตามโรงแรมหรืออีกแบบคือห้องพักที่เป็นบ้านเดี่ยว อยู่แยกออกไปเป็นหลังๆในบริเวณ วันนี้จขบ.เลือกแบบบ้านเดี่ยว เพราะเอาจักรยานมาด้วย ขี้เกียจพับเก็บจะได้จอดในบ้านได้เลย

บริเวณรอบๆที่พัก กว้างมาาาาก เดินไปถึงทะเลได้เลย

เห็นเครื่องอะไรหน้าตาแปลกๆตั้งอยู่ เดินเข้าไปศึกษาดูถึงได้รู้ว่าเป็นปั๊มชาร์ตรถระบบไฟฟ้า เท่จริงๆ

จ่ายค่าบริการได้ด้วยบัตร EasyCard
ถนนแยกไปตัวบ้านพัก

ถึงแล้วบ้านพัก รู้สึกว่าทั้งหมดจะมี 8 หลังด้วยกัน
อารมณ์บ้านน้อยในป่าใหญ่เหมือนที่ SunMoon Lake เลย #ใครยังไม่เคยเห็น แวะไปดูได้จากเอนทรี่ก่อน ค่ะ
บ้าน 1 หลังอยู่ได้ 4 คนหลังจากเช็คอินแล้วจะได้บัตรทานอาหารเช้า 4 ใบกับบัตรแช่ออนเซ็น (บ่อน้ำแร่ร้อน) อีก 4 ใบ จุดแช่ออนเซ็นสามารถเดินไปได้ ระยะทาง 1 ความเมื่อยพอดีๆ
อาคารออนเซ็นที่นี่ค่อนข้างโบราณ ไม่มีอะไรหวือหวาแต่ข้อดีก็คือเงียบมาาาาก เสมือนเป็นบ่อส่วนตัว ไม่ต้องแย่งกันแช่แบบแถว Beitou หรือ Yilan 
บ่อเป็นบ่อรวมชายหญิง ใส่ชุดว่ายน้ำกับหมวกคลุมผม และที่สำคัญไม่มีการจำกัดเวลา   ใครไม่รีบไม่ร้อนจะอยู่กันเป็นครึ่งค่อนวันเขาก็ไม่ห้าม มีน้ำดื่มไว้ให้บริการด้วย 
ที่นี่มีทั้งบ่อ indoor และ outdoor เลือกกันตามความชอบ บ่อ indoor จะมีจากุซซี่ไว้ให้แก้เมื่อยด้วย 
ครั้งหน้าจะพาไปดูด้านในแบบละเอียดนะคะ #แอบถ่ายรูปมาให้ดูเพียบเลย อุอุ 
ขอให้เริ่มต้นปีกันอย่างสดใสกันทุกคนนะคะ...แล้วเจอกันค่ะ 




 

Create Date : 13 มกราคม 2558   
Last Update : 13 มกราคม 2558 16:15:22 น.   
Counter : 1128 Pageviews.  

[Taiwan] เที่ยวทะเลสาบสุริยันจันทรากันต่อดีกว่า: ตอน 2 SunMoon Lake

สวัสดีค่ะ

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก... อีก 2 วันก็จะขึ้นปีใหม่แล้วแอบตื่นเต้นนิดๆ
เดาว่าเอนทรี่นี้จะเป็นเอนทรี่ส่งท้ายของปี ฤกษ์งามยามดีจริงๆเลย วันนี้บังเอิญจะพาไปไหว้พระกันอยู่พอดี 
ครั้งที่แล้ว พาไปเที่ยวดูบรรยากาศรอบๆทะเลสาบสุริยันจันทรา #SunMoon Lake กันแบบประชิดติดขอบจนพระอาทิตย์ลาขอบฟ้า #ใครยังไม่ได้ดู อย่าพลาดแวะไปอ่านก่อนน้า วันนี้พาไปเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ


ตื่นแต่เช้าออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มุมเดิมแต่แสงและความรู้สึกไม่เหมือนเดิมเลย


มาแล้วพระเอกของวัน


มุมนี้เป็นมุมที่จขบ.ไปยืนดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะจุดชมวิวไปอยู่ใกล้ต้นไม้หรืออะไร รู้สึกว่าตัวเองขึ้นไปอยู่บนรังนก -_-"

จุดที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอยู่หน้าวัด Xuan Zang ซึ่งก่อสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1965 จุดนี้เป็นมุมสูงของทะเลสาบ มองลงไปจะเห็นเกาะ Lalu ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆตั้งอยู่กลางทะเลสาบ สมัยก่อนมีคนอาศัยอยู่บนเกาะ แต่ตอนหลังเกาะโดนน้ำท่วม + น้ำเซาะกร่อนจนกลายเป็นพื้นที่เล็กๆอย่างที่เห็น ตอนนี้เลยไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว


บันไดทางเข้าวัด


หน้าตาอาคารหลักของวัด สวยแบบเรียบๆสะอาดๆ

วัดนี้มี 2 ชั้นค่ะ ชั้นแรกเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม ชั้น 2 เป็นที่เก็บพระธาตุของพระเสวียนจั้งหรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อพระถังซัมจั๋งจากนิยายเรื่องไซอิ๋ว #เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพระถังซัมจั๋งมีตัวตนจริงๆ 
วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงความดีของพระถังซัมจั๋งผู้ซึ่งเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากประเทศอินเดีย หลังจากเดินทางออกนอกประเทศจีนไปถึง 18 ปีเพื่อที่จะนำพระไตรปิฎกมาเผยแผ่สู่สาธารณะชน


พระโพธิสัตว์กวนอิม

ไหว้พระ นั่งเล่นชมวิวด้านหน้าวัดได้สักพักจขบ.ก็ออกเดินทางต่อค่ะ
เป้าหมายต่อไป "วัด Wenwu" 

ด้านหน้าทางเข้าของวัดมีสิงโตสีแดงตัวโตยิ้ม(รึเปล่า?!?)รออยู่ #สิงโต 2 ตัวนี้เจ้าของห้าง Shin Kong Mitsukoshi เป็นคนบริจาคมา เขาเชื่อว่าจะนำบารมีและความร่ำรวยมาให้ #ท่าจะจริง ห้างใหม่ๆขึ้นตลอด อุอุ


วัดนี้อยู่คนละฟากฝั่งกับวัด Xuan Zang เมื่อกี้ แต่วิวสวยไม่แพ้กัน

ถ้าเทียบกัน 2 วัด วัด Wenwu เป็นที่รู้จักและฮิตกันในหมู่นักท่องเที่ยวมากว่าวัด Xuan Zang เยอะ สาเหตุหลักๆน่าจะเป็นเพราะขนาดของวัดที่ใหญ่โตมโหฬารและการตกแต่งที่อลังผิดกับวัดก่อนหน้าแทบจะสิ้นเชิง
วัดนี้เป็นการรวมตัวกันของ 2 วันเก่าแก่ที่โดนน้ำท่วม ก่อสร้างขึ้นในช่วงปลายปี 1934 ใช้เวลา 4 ปีเต็ม ต่อมาในปี 1969 มีการปรับขยายขนาดของวัด ช่วงนั้นเป็นช่วงปีการปกครองของประธานาธิบดีเจียงไคเชก ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ด้วยตัวเองถึง 7 ครั้งพร้อมทั้งออกความเห็นให้สร้างให้ใหญ่และอลังกว่าเดิม สุดท้ายแล้วการต่อเติมจึงแล้วเสร็จในปี 1976 ขนาดของวัดจึงใหญ่โตแบบที่เห็น
วัดนี้ถ้ามาตอนสายๆหรือบ่ายต้นๆ (ช่วงทัวร์ลง) ค่อนข้างจะวุ่นวายด้านหน้า แนะนำให้เดินเข้ามาด้านในๆจะสงบมาก วัดนี้แบ่งเป็นชั้นๆ ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจะมีอาคารซ้อนอาคาร ค่อยๆเดินชมความงาม ไหว้พระไหว้เจ้าไปเรื่อยๆชิลๆไม่เหนื่อย


เพดานด้านใน


เจ้าพ่อกวนอู #ให้ทายว่าตู้ที่เห็นคืออะไร


ให้ดูระยะประชิด

เฉลย -- มันคือตู้เซียมซีอัตโนมัติ! สมเป็นไต้หวันจริงๆ ไม่ต้องเขย่าหรือโยนปวยให้เสียเวลา 


แท่นเขียนคำอธิษฐาน


หรือจะแขวนกระดิ่งขอพรก็ได้

กระดิ่งสีทองนี้ด้านหน้าวัดก็จะเห็นอยู่ เป็นบันไดที่เดินลงไปเชื่อมกับทางเดินชมวิวของ Steps of the Year Trail  บันไดนี้ชื่อว่า Stairway to Heaven #ชื่อเหมือนหนังเกาหลีเลย เพราะสมัยก่อนจะมาวัดนี้ต้องนั่งเรือมาเท่านั้น ออกจากท่าเรือก็ต้องเดินขึ้นบันไดถึงจะมาถึงวัด (Heaven = สวรรค์) ได้ บันไดมีทั้งหมด 366 ขั้น แต่ละขั้นจะมีการสลักวันที่เอาไว้ มีชื่อคนดังๆสลักเอาไว้ประจำวันเกิดของแต่ละคน ถ้าได้เดินลงไป ลองสังเกตุดูค่ะ


เก้าอี้หินอ่อนแบบวัด Wenwu จะธรรมดาไม่ได้


มีร้านขายของที่ระลึกด้วย

เดินมาด้านในสุดจะเห็นกำแพงหินแกะสลักตั้งตระหง่าน เดินขึ้นไปด้านหลังจะเป็นสวน ระหว่างทางลองดูภาพแกะไปด้วย ฝีมือแกะละเอียดสวยงาม แต่ละแผ่นไม่ซ้ำกันเลยค่ะ


ดูจะสูง แต่เดินจริงๆแล้วไม่แย่


ภาพหินแกะ -- มีเรื่องราวทั้งเกี่ยวกับศาสนา ตำนานและความเป็นอยู่ในอดีต


ฟ้าใสไม่มีเมฆ ทำให้สีของหินดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก


มีป้ายรายชื่อผู้บริจาคด้วย มีชื่อคนไทยซะด้วย #แต่ทำไมสะกดแปลกๆ


ขากลับออกมาถ้าไม่อยากเดินผ่านตัววัดซ้ำก็เดินเลียบทางด้านนอกข้างวัดก็ได้ มีบันไดให้เดิน ได้เห็นวิวทะเลสาบด้วย


ออกมาอีกทีคนหายไปหมดแล้ว

ก่อนเจอกันใหม่ปีหน้า ฝากข้อความที่ได้มาจากวัด Xuan Zang เอาไว้เป็นพรปีใหม่ให้ทุกคนค่ะ #ข้อความนี้อยู่ในพระไตรปิฎกที่พระถังซัมจั๋งแปลไว้

"Gone, Gone. Gone beyond, Gone far beyond. Awaken, Rejoice" 

ลองถามแม่ชีที่นั่น แม่ชีอธิบายว่าแบบนี้ค่ะ - ให้เราละจากความหลงผิด มองผิดหรือการยึดติดผิดๆ ให้เราเปิดใจ แค่นี้เราก็จะตื่นจากความลุ่มหลง และสามารถมีความสุขในทุกขณะในทุกๆวัน 

สวัสดีปีใหม่ 2015 ค่ะ!
ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุข สดใส สุขภาพแข็งแรงตลอดไป
ขอบคุณสำหรับทุกข้อความและกำลังใจดีๆทั้งที่นี่และที่ facebook
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ 




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2557   
Last Update : 28 ธันวาคม 2557 22:17:31 น.   
Counter : 1171 Pageviews.  

To the Sun and the Moon: ทะเลสาบสุริยันจันทรา ไต้หวัน

สวัสดีค่ะ ^^=

วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง เผลอแว๊บเดียวก็กำลังจะย่างเข้าปีใหม่อีกแล้ว ... ไม่ได้มาอัพบล็อกนานมาาาาก ลองเปิดไปดูเอนทรี่สุดท้าย คุณพระ!นั่นผ่านมาปีนึงแล้ว 

หายหน้าหายตาไปก็เพราะกลับไปทำธุระที่เมืองไทยมาสักพักค่ะ จริงๆก็ไปๆมาๆระหว่างเมืองไทยกับไต้หวัน แต่พอนับจำนวนวันดูปีนี้อยู่เมืองไทยเยอะกว่ามาก เอาไว้จะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะคะว่ากลับไปทำอะไร

กลับไปใช้ชีวิตประสาคนเมืองอยู่เมืองไทยซะนาน -> อยู่คอนโด ขึ้นรถไฟฟ้า ใช้ชีวิตตามห้าง ติดอยู่บนท้องถนนเป็นชั่วโมงๆ กลับมาไต้หวันรอบนี้เลยกระหายพื้นที่ธรรมชาติเอามากๆ  

ทริปแรกเลยจัดไปค่ะ.. "Sun Moon Lake" (คนไต้หวันเรียก Rìyuètán) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ "ทะเลสาบสุริยันจันทรา" อยู่ในเขต Nantou ขับรถจากไทเปไป 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของไต้หวัน นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันเป็นอันดับต้นๆ

ไปดูรูปกันเลยดีกว่า...

ไปถึงตอนประมาณบ่าย 2 วันนั้นอากาศดีท้องฟ้าโปร่งมาก เลยตัดสินใจออกไปปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ ระยะทางโดยรวมประมาณ 32 กิโลเมตร

สมกับที่เขาว่าไว้ เส้นทางรอบทะเลสาบสวยจริงๆ


จริงๆมา SunMoon Lake หลายรอบมาก ทุกครั้งก็จะแวะเวียนไปแต่จุดไฮไลท์ๆ ขับรถวนซะรอบ เดินเล่นชมวิวนิดๆหน่อยๆก็คิดว่าน่าจะโอเค จนเมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านเจอข้อความในหนังสือท่องเที่ยวว่าถ้าอยากเห็นความสวยงามของ SunMoon Lake อย่างแท้จริงต้องลองปั่นจักรยานวนรอบเกาะดู อืม.. เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงแนะนำแบบนั้น

https://lh6.googleusercontent.com/rHLAM8Sk7DXpRNk_6l_1xxqgFdY4GTbKjzkUqqZa080=w862-h639-noจากมุมสูงมองลงไปเห็นทะเลสาบ

เลนจักรยานและทางสำหรับคนเดินจะต่างจากถนนสำหรับรถยนต์ เลนจักรยานจะลัดเลาะเลียบตัวทะเลสาบมากกว่าเลนรถมาก ดังนั้นถ้าชมวิวทะเลสาบจากในรถจะได้เห็นแต่ไกลๆ ส่วนใหญ่แล้วจะโดนต้นไม้บังเป็นระยะๆ แต่ถ้าเดินหรือปั่นจักรยานชมวิว จะรู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบ :)



มุมนี้คนฮิตมาถ่ายพรีเวดดิ้งมากๆ วันที่ไปอากาศดีน้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าคราม ขนาดเย็นแล้วยังมีว่าที่บ่าวสาวกำลังถ่ายรูปอยู่หลายคู่เลย


https://lh3.googleusercontent.com/-phIT7NR-bCw/VI_8mGs-_EI/AAAAAAAAHcI/Ke0Zcvj5uNE/w862-h639-no/IMG_20141125_162121.jpg

ตามทางจะมีจุดนั่งพักไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด -- ส่วนใหญ่เป็นจุดชมวิว


ถ้ามีเวลาจำกัดไม่จำเป็นต้องปั่นรอบทะเลสาบก็ได้ แต่เลือกเส้นทางที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด (แต่ละจุดให้อารมณ์ต่างกันออกไป) ส่วนตัวแนะนำให้ปั่นเส้น Lalu Lakeside Trail เพราะนอกจากเป็นเส้นที่ใกล้น้ำที่สุด ปั่นง่ายเพราะไม่มีทางขึ้นเนิน มีเลนจักรยานไปตลอดทางแล้ว ยังใกล้กับ Xiangshan Visitor Center อีกด้วย



Xiangshan Visitor Center ตัวอาคารสวยมาก

#ภาพนี้มาจาก google แอบขี้เกียจหาแฟ้มภาพเดิม :P


ที่นี่มีบริการให้เช่าจักรยาน มีร้านอาหาร ห้องน้ำ และบริการให้ข้อมูลเพียบพร้อม ถ้าเริ่มปั่นจากตรงนี้ให้เลี้ยวขวา (ทะเลสาบอยู่ขวามือของเรา) จะได้เห็นวิวสวยๆเพียบ ระยะทางประมาณ 3 กิโลนิดๆปั่นประมาณครึ่งชั่วโมงก็ครบแล้วค่ะ

ถ้าไม่ชอบปั่นจักรยานหรือขี้เกียจเดินอีกทางเลือกหนึ่งที่จะได้สัมผัสทะเลสาบแบบใกล้ๆคือการนั่งเรือชม ท่าเรืออยู่ใกล้ๆกับ Shuishe Visitor Center #รถบัสที่มาจากสถานีรถไฟ Taichung ทั้ง TRA และ HSR จะมาจอดให้ลงที่นี่ค่ะ


หน้าตาเรือชมทะเลสาบ #ภาพมาจาก google


เรือให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9AM - 5PM สามารถเอาจักรยานขึ้นเรือได้ด้วย ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง เรือจอด 3 ท่าคือ Shuishe, วัด Xuanguang และ Ita Thao

วันนั้นแวะโน่นแวะนี่ชมวิวไปตลอดทาง กว่าจะรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ลาขอบฟ้าไปเรียบร้อย ช่วงนี้หน้าหนาว 5 โมงเย็นก็เริ่มหมดแสงแล้ว โชคดีที่มีไฟติดจักรยานไปด้วย ขาปั่นกลับแอบมืดอยู่เหมือนกัน ปั่นๆไปบางทีมรรถบัสสวนมา ทางแคบๆก็แอบหวั่นๆอยู่

สรุปแล้วใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงที่พักมืดสนิทพอดี 



หน้าตาห้องพัก เป็นกระท่อมส่วนตั๊วส่วนตัว



หน้าตากระท่อมน้อยในป่าใหญ่


ครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวที่แจ่มๆใน SunMoon Lake กันต่อนะคะ ใครที่มีคำถามหรืออยากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมแวะเวียนไปคุยกันได้ที่ Facebook ค่ะ  ที่นั่นยังอัพเดทเรื่องราวกระจุกกระจิกรายวันเหมือนเดิม

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

เจอกันเอนทรี่หน้าค่ะ :)


*การเดินทางมา SunMoon Lake:

จากไทเป-รถบัสของบริษัท Kou-Kuang Transportation ขึ้นที่สถานี Taipei # ให้บริการตั้งแต่ 7AM-5PM

แต่ถ้าให้สะดวกกว่านั้น แนะนำให้นั่งรถไฟ #แบบปกติ TRA หรือความเร็วสูง HSR ก็ได้ มาลงที่สถานี Taichung แล้วต่อรถบัสของ Taiwan Tourist Shuttle Bus #ให้บริการตั้งแต่ 7:50AM-7:50PM




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2557   
Last Update : 27 ธันวาคม 2557 9:54:01 น.   
Counter : 969 Pageviews.  

พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในไต้หวัน ! @ Jade Mountain [ตอน 3]

สวัสดีค่ะ 


กลับมาเล่าต่อถึงทริปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในไต้หวันและเขต Western Pacific กันต่อ #Yushan #Jade Mountain #3,952 เมตรจากระดับน้พทะเล

ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนก่อน อย่าพลาดน้าาา -- แวะไปดูกันได้ที่นี่จ้า [ตอน 1] [ตอน 2]



หลังจากที่ เดิน + ปีน + ตะเกียกตะกาย ขึ้นเขามา 6 ชั่วโมง (14, 000+ ก้าว) ในที่สุดทีมของเราก็มาถึงที่พักก่อนพระอาทิตย์ตกดินจนได้


ที่พักของวัน Paiyun Lodge



การเข้าพักที่นี่อย่าได้คิดว่าเป็นการอยู่โรงแรมหรือบ้านพัก คิดซะว่าเป็นการอยู่แคมป์จะดีกว่า ที่นี่ทุกอย่างมีจำกัด ทั้งน้ำทั้งไฟทั้งแก๊ซหุงต้ม อย่างที่เล่าเอาไว้เมื่อคราวที่แล้ว ทุกอย่างที่นักปีนเขากินและใช้ ล้วนแต่ได้รับการ "แบก" ขึ้นเขามาจากกำลังคนล้วนๆ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ต้องนึกเอาไว้เสมอว่าอย่าขาดอย่าเกิน กินก็ตักให้พอดีกับที่จะทาน จะได้พอสำหรับคนอื่นและไม่เหลือเป็นเศษขยะ


กฏกติกาที่ต้องปฏิบัติ -- ให้จำง่ายๆก็คือ "เอาอะไรขึ้นมา (บนเขา) เอากลับลงไปให้หมด เหลือไว้แต่รอยเท้าเท่านั้น"  




 ป้ายเตือนเรื่องความปลอดภัย #ทำได้น่ารัก เห็นภาพมากๆ 55




 รองเท้าจอดเอาไว้ด้านนอกก่อนเข้าที่พัก ใส่รองเท้าแตะเดินด้านใน จะได้ไม่ต้องทำความสะอาดกันมาก




 ถ้าอุปกรณ์ใครเปียกมา ต้องเอามาแขวนมาตากตรงนี้เท้านั้น

#บนเขาฝนตกบ่อยมาก เสื้อที่ใส่ขึ้นเขาต้องมีแบบกันฝนกันลมได้




 หลังจากจัดการเก็บสำภาระเสร็จก็ได้เวลาทานข้าว -- ทานพร้อมๆกันตอน 6 โมงเย็น




 เมนูวันนี้ข้าวแกงกะหรี่ ดูหน้าตาเยินๆแต่อร่อยมาาาาก

#ทานไม่อิ่มเติมได้ตลอด ขอย่างเดียวอย่ากินเหลือ



ระหว่างทานข้าวมีหลายๆคนที่อาการไม่ค่อยสู้จะดี ผู้ชายแมนๆ ดูอึดๆ อาเจียนกันเป็นแถว -- สาเหตุเป็นเพราะไม่ชินกับสภาวะความกดอาการ + ความที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน อากาศตอนนั้นก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ขนาดจขบ.ใส่เสื้อหลายชั้น + แจ็คเก็ตหนาอีกหนึ่งตัวยังรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกมาให้สะดุ้งผิว ด้านนอกตอนค่ำ อุณหภูมิลดลงไปจนเหลือแค่ไม่กี่องศาแล้ว ขนาดทานข้าวยังใส่ถุงมือทาน ซุปที่ตักมาร้อนๆ ควันฉุยๆ เอามาตั้งไม่กี่นาทีกลายเป็นซุปเย็นชืดซะแล้ว #แต่ไม่มีใครปริปากบ่นนะ ได้แต่มองหน้ากันไปมา #หรือหมดแรงบ่นก็ไม่รู้



หลังทานข้าวเสร็จ ช่วงก่อนทุ่มทีการอธิบายถึงเส้นทางที่จะต้องขึ้นยอด Summit วันรุ่งขึ้น

หลายๆคนมาฟังไม่ไหว เพราะสภาพร่างกายที่อิดโรยเต็มที



จขบ.เองก็รู้สึกเพลียอย่างบอกไม่ถูก หนาวจนถึงกระดูกทั้งๆที่ใส่เสื้อใส่หมวกเต็มที่ มีโปรเคยพูดให้ฟังว่าอากาศบนที่สูงแบบนี้การหายใจเอาออกซิเจนไม่เหมือนด้านล่าง หายใจเข้าไปเท่าไรร่างกายได้รับออกซิเจนแค่ 70% เท่านั้น #ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมปวดหัว วิธีที่ดีที่สุดคือหายใจเข้าให้ลึก ทำอะไรอย่างเร่ง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป -- หายใจให้เหมือนเวลานั่งสมาธิหรือทำโยคะ #หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้นิดนึงแล้ว หายใจออกยาวๆ 


หลังฟังบรรยายเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอน เขาปิดไฟตอน 1 ทุ่มตรง -- เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตอนตี 2 ครึ่งเพื่อออกเดินทางตอนตี 3 ครึ่ง หน้าหนาวพระอาทิตย์ขึ้นช้า ถ้าหน้าร้อนต้องออกเดินทางตอนตี 2 ครึ่ง เรื่องอาบน้ำ-ล้างหน้าไม่ต้องพูดถึง ไม่มีโอกาส ได้ใช้บริการห้องน้ำ (ที่มีอยู่แค่ 4 ห้อง) ก็โชคดีแล้ว #ซักแห้งอย่างเดียว อึ๋ยยยย 



สภาพที่นอนไม่มีอะไรมาก เป็นห้องนอนรวมกันเตียงบนล่าง พื้นที่กว้างแค่ 1 ถุงนอน -- แม้แต่ตอนนอนก็ต้องใส่เครื่องกันหนาวกันเต็มยศ ไม่เว้นแม้แต่หมวก ไม่มีใครได้หลับเต็มตา นอนพลิกไปพลิกมาตลอดคืน  สำหรับจขบ.แล้วคืนนั้นเป็นคืนที่นอนได้ลำบากที่สุดแล้ว ยังไม่ทันตี 2 ทุกคนก็ตื่น ไม่มีใครหลับได้เต็มตาสักคนยกเว้นคนที่ทานยากันไปตอนหัวค่ำ ผู้รู้บอกว่าอาการนี้เป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่ชินกับความสูงแบบนี้ ร่างกายยังปรับไม่ได้


ทานข้าวเช้ากันตอนตี 2 ครึ่ง -- ชะโงกหน้าออกไปด้านนอก อ้าว! ฝนกำลังตกนี่นา  

ถึงคราวที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะไปต่อหรือเลิกกลางทางอยู่ที่บ้านพัก จขบ.แอบรู้สึกท้อ ไหนจะมึนกับการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไหนจะร่างกายที่ปวดเมื่อยไปทุกอณู แถมเดินตากฝนในสภาพอากาศแบบนี้ ไม่ต้องจินตนาการต่อเลยว่ามันจะหนาวแค่ไหน แอบโมโหตัวเองที่เลือกเดินทางมาปีนเขาในฤดูหนาวเช้นนี้ หลายๆคนถอดใจขอรออยู่ที่บ้านพัก


แต่สุดท้ายแล้วจขบ.ก็ตัดสินใจสู้ค่ะ! ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้วไม่ลองก็ไม่รู้.. ครั้งหนึ่งในชีวิต #Whatever doesn't kill me will make me stronger :P ว่าแล้วเราก็ออกเดินทางกันตอนตี 3 กว่าๆ 



 ไม่มีแสงใดๆนอกจากไฟฉายที่อยู่บนหัว สิ่งที่เห็นคือบริเวณ 2 ฟุตด้านหน้า

#ตอนนั้นแทบไม่ได้ถ่ายรูปแล้ว เพราะทางลื่นและชันมาก ต้องโฟกัสกับการเดินอย่างเดียว



หลังจากเดินกันมาได้เกือบชั่วโมง จากฝนที่ตกก็เปลี่ยนเป็นละอองหิมะ .. ถึงแม้จะหนาวสุดๆแต่ทุกคนก็ตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่จขบ.ได้เห็นหิมะในไต้หวันเลยนะ! 

เดินต่อมาได้อีกประมาณ 1 ชั่วโมง จากหิมะปลอยๆกำลังสวยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นพายุหิมะ ลมแรงขึ้นเรื่อยๆจนต้องเบือนหน้าหนี หิมะที่ปลิวว่อนมากระทบผิวหน้าทำเอาแสบผิว หลายๆทีมที่เดินทางไปก่อนล่วงหน้าตัดสินใจหันหลังกลับ


ทีมของเราปรึกษากันสักพัก แล้วตัดสินใจไปต่อ -- แต่ก่อนจะเดินกันต่อไป ต้องปรับอุปกรณ์กันเล็กน้อย จากรองเท้าปีนเขาธรรมดาๆ ตอนนี้เอาไม่อยู่แล้ว เพราะทางลื่นขึ้นมากจากหิมะและน้ำแข็งที่เคลือบอยู่บนพื้นผิว  ทางก็ไม่ได้เรียบเหมือนตอนต้น ตอนนี้เป็นชั้นหินชันที่ต้องทั้งเกาะ ทั้งโหน ทั้งปีนกันขึ้นไป




 หลบมุมหาที่ใส่ Snow Spikes -- อุปกรณ์เสริมที่รองเท้า ช่วยเรื่องการยึดเกาะ






หน้าตา Snow Spikes -- เป็นหมุดแหลมๆ มีตัวยึดกับรองเท้า #Cr ภาพ: Google





 การใส่ Snow Spikes ท่ามกลางพายุหิมะเป็นไปอย่างทุลักทุเล ต้องถอดถุงมือออกเพราะจะได้ดึงสายรัดได้ถนัด พอถอดถุงมือออกก็หนาวจนมือแข็ง ขยับลำบากมากๆ




กลุ่มของเราปีนต่อจนถึงที่ประมาณ 3,600 เมตร -- จากนั้นหัวหน้าทีมตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ เพราะสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ จขบ.แอบนึกเสียดายนิดๆที่อดไปถึงยอดเขา ทั้งๆที่เหลืออีกไม่เท่าไร แต่เมื่อคิดถึงสภาพอากาศที่ไม่มีวี่แววจะลดความรุนแรงลงกับเรื่องความปลอดภัยแล้วก็เข้าใจ -- ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของทุกคนในทีม อีกอย่างเรารู้ว่าเราได้พยายามเต็มที่ เต็มความสามารถแล้ว เรื่องบางเรื่อง บางครั้งยังไม่ถึงตาของเรา เราควรจะภูมิใจกับเส้นทางที่เราได้พยายามมาตลอด 3,600 เมตรนี้ต่างหาก


#กลับลงมาถึงที่พักถึงได้รู้ว่าวันนั้นทีมของเราเป็นทีม Beginner ทีมเดียวที่ขึ้นถึงยอดขนาดนั้น วันนั้นมีแค่ทีมนักปีนเขาระดับโปรจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นที่ขึ้นถึงยอดสูงสุด  #ภูมิใจ ^^




 ขากลับลงมาหิมะก็ยังตกอยู่เรื่อยๆ แต่ลมไม่แรงเท่าด้านบนแล้ว




 เหนื่อยและตื่นเต้นสุดๆแต่ก็ยังยิ้มได้  #รุ่งสางพอดี #6 โมงเช้า





 ลงมาจนถึงเกือบที่พัก -- ต้นไม้ริมทางมีร่องรอยหิมะเหลืออยู่





 ดูมีสเน่ห์ไปอีกแบบ




 ขากลับลงจากเขาฝนก็ยังเทอยู่ ออกเดินทางทั้งเปียกๆนี่แหล่ะ




 วิวข้างทางช่างต่างกับเมื่อวานเหลือเกิน





 บางจุด พื้นมีน้ำแข็งเคลือบอยู่ ทำให้ลื่นเข้าไปอีก -- เดินจิกขากันน่าดู




 ตกลงไปล่ะดูไม่จืดแน่ =_=




 5 ชั่วโมงแบบ Non-Stop กับอีกเกือบ 20,000 ก้าวที่เดินลง -- รางวัลที่รออยู่คือมาม่าร้อนๆ 555





 ถึงไทเปตอนค่ำ.. ก่อนกลับบ้านแวะ Ximending ทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าโปรด



ทริปนี้ถือว่าโหดสุดตั้งแต่เดินทางมา  #เกือบเอาตัวไม่รอดหลายๆครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นทริปที่ดีที่สุดอีกทริป -- ได้เรียนรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้มากกว่าที่คิดไว้ ได้รู้ว่าถ้าตั้งใจ พยายามและฝึกฝนแล้ว เราก็จะสามารถไปสู่จุดหมายที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้ ที่สำคัญได้ระลึกถึงความโชคดีในชีวิตที่มีกัลยาณมิตรและคู่ชีวิตที่ดี คอยให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือประคองกันไปในเวลาที่ท้อ 


ทริปนี้หลายๆครั้งที่อยากจะหันหลังกลับ ล้มเลิกซะกลางทาง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดให้กำลังใจจากคนเหล่านั้นแล้ว ทำให้จขบ.มีแรงที่จะก้าวต่อ .. ขนาดคนอื่นยังเชื่อมั่นในตัวเรา แล้วเรามีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อในศักยภาพของตัวเอง  ขอให้ทุกๆคนมีกำลังใจ ไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจกันไว้นะคะ

เชื่อเถอะค่ะ -- ว่าเราทุกคนทำได้! #Impossible is Nothing 



 เจอกันใหม่เอนทรี่หน้าค่ะ  





 

Create Date : 21 ธันวาคม 2556   
Last Update : 21 ธันวาคม 2556 19:54:04 น.   
Counter : 1223 Pageviews.  

พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในไต้หวัน ! @ Jade Mountain [ตอน 2]

สวัสดีค่าาาา...



อาทิตย์นี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาอากาศที่นี่ดีมากๆ ฟ้าใสแดดแแรงแต่ลมเย็น เห็นแล้วก็อดอารมณ์ดีตามไม่ได้  ท้องฟ้านี่ช่างมีผลต่อสภาพจิตใจจริงๆ #เคยได่ยินว่าที่อังกฤษ มีคนจำนวนมากเป็นโรคซึมเศร้า เพราะอากาศที่นั่นขมุกขมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนซะเป็นส่วนใหญ่


อ่ะ -- มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า มาเล่าถึงทริปที่ไปปีนเขาหยกหรือ Jade Mountain (Yushan) ยอดเขาที่สูงที่สุดในไต้หวันให้ฟังกันต่อ  #ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตามไปได้ที่นี่จ้า [ตอน 1]



 

หลังจากแวะพักทานอาหารกลางวัน (ตอนนั้นเกือบบ่ายโมงแล้ว) ก็ออกเดินทางต่อ ต้องพยายามไปให้ถึงที่พักก่อนที่แสงจะหมด ซึ่งถึงแม้ว่าระยะทางจะดูเหมือนไม่ไกลมาก แต่เอาเข้าจริงๆแล้วลำบากกว่าช่วงแรกมากนัก เพราะร่างกายเริ่มล้า กล้ามเนื้อเริ่มเมื่อย และที่สำคัญเพราะความสูงที่เพิ่มมากขึ้น ยิ่งสูงมากยิ่งหายใจได้ลำบากขึ้น  


จากการเดินขึ้นเขาแบบไม่ลำบากมากนัก เดินๆปีนๆพักๆทุกครึ่งชั่วโมง ช่วงสองนี้ได้มีหยุดหอบกันทุกๆ 15 นาที จากที่มีเสียงคุยกันป็นระยะๆ ตอนนี้ทั้งทีมแทบไม่มีใครพูดกัน ได้แต่ก้มหน้าเดิน โฟกัสอยู่ที่ทางแคบๆตรงหน้า 



 เดินๆแอบห่วงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะกลิ้งตกเขาไปไหม -_-"





บางช่วงนอกจากแคบแล้วยังขรุขระอีกด้วย 

#โซ่ที่เห็นทุกคนต้องจับ เพราะบางทีมีลมมาแบบไม่ทันตั้งตัว เคยมีนักปีนเขาตกไปเสียชีวิต





ทั้งเอียงทั้งแคบ #มือหนึ่งเกาะโซ่ มือหนึ่งหยิบกล้องถ่าย  #เสี่ยงไปไหม




 หยุดพักหายใจ -- พร้อมไปกับวิวแบบนี้




 บางช่วงเหมือนขาจะก้าวต่อไม่ออก.. เงยหน้าขึ้นฟ้า เห็นแล้วมีกำลังใจ




 ที่น่ารักคือไม่ว่าเหนื่อยขนาดไหน ทุกคนยังหันมายิ้มให้กันได้ 

"อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วนะ" ... คือคำที่ได้ยินตลอดทาง




 มาถึงที่พักตอนประมาณ 4 โมงเย็นพอดี @3,402 เมตรจากระดับน้ำทะเล




Paiyun Lodge ที่พักแห่งเดียวก่อนขึ้น Summit -- ทุกคนต้องมาพักที่นี่ก่อนขึ้นยอดเขาวันรุ่งขึ้น




บ้านพักหน้าตาเรียบๆ มีบ้านเจ้าหน้าที่และบ้านพักนักปีนเขา




Paiyun Lodge ปิดปรับปรุงอยู่นานเป็นปี เพิ่งเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อช่วงเดือนสิงหาที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้การขอใบอนุญาติช่วงนี้ต้องรอกันค่อนข้างนาน ด้วยความสูงขนาดนี้ -- แอบงงว่าเขาสร้างที่พักแห่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร จนน.ให้คำตอบที่ฟังแล้วต้องอ้าปากค้าง

การก่อสร้างที่พักแห่งนี้ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ขนอุปกรณ์และวัสดุขึ้นมาด้วยกันกว่า 2,000 รอบ แค่คิดก็มึนแทนแล้ว ทุกอย่างที่นักปีนเขากินและใช้ ล้วนแต่ขนขึ้นมาจากแรงคนล้วนๆ แก๊ซหุงต้ม 1 ถัง--น้ำหนักกว่า 40 กิโลกรัม ค่าขนส่ง NT$15,000  ดังนั้นจะกินจะใช้อะไรต้องประหยัดอย่างที่สุด




 มาถึงรายงานตัวเสร็จก็ได้เวลาที่พระอาทิตย์กำลังกลับบ้านพอดี #แสงสวยมากๆ





 จากฟ้าใสๆ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นทะเลหมอก 




 ดูแล้วเหมือนเกาะกลางทะเลมากกว่ายอดเขาสูง




 แสงสุดท้ายของวัน.. ได้เวลาพักผ่อน (รึเปล่า???)




คราวหน้าจะได้ขึ้นยอด Summit กันแล้ว -- รับรองว่าไม่ธรรมดาแน่นอน

เจอกันใหม่ครั้งหน้า  Have a good day ค่าาาา  





 

Create Date : 21 ธันวาคม 2556   
Last Update : 21 ธันวาคม 2556 19:52:50 น.   
Counter : 733 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

Travel with Lizard
Location :
Taipei Taiwan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




[Add Travel with Lizard's blog to your web]