ชีวิตในฟินแลนด์ อยู่ให้เป็น ไปต่อให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในฟินแลนด์ ...
Group Blog
 
All Blogs
 

จากใจ ชายแปลงเพศคนหนึ่ง ตอนจบ


เมื่อมาอยู่พัทยา โทมัสเที่ยวกระจาย อัพยา ปาร์ตี้กลุ่ม สนุกสนาน
เขาเองไม่ได้สนใจที่จะรักษาตัวเองเท่าไหร่ เพราะเขาบอกให้ฉันหยุดบ่น

เขาอยากขึ้นสวรรค์ก่อนตาย ไม่ใช่ตายแล้วไปขึ้นสวรรค์ เพราะเขาไม่แน่ใจว่า เขาจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไปแล้วหรือเปล่า...

เพื่อนนอน ทั้งเกย์ ทั้งหญิงบาร์ หญิงไม่บาร์ โทมัส จัดให้เรียบ ฉันเองไม่มีอำนาจอะไรไปกะเกณฑ์มากนัก

แต่อารมร์ของฉัน ณ ตอนนั้น ทำได้เพียงเล่นยา ให้สุขไปวันๆ
ยอมรับว่า โทมัสใจป้ำ หน้าเบิ้ม กระเทยไทย หญิงไทยทั้งหลาย ต่างพากัน วิ่งกรูหาคนหว่านเงิน แบบโทมัสกันกระเจิง
มาตบกันหน้าบ้านและในบ้านก็บ่อยไป แต่โทมัสไม่เคยจะเคลียร์ ฉันเองบางครั้งไม่เห็นหน้าโทมัสเป็นอาทิตย์ ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน

เพียงแค่สองเดือนกว่า โทมัสก็ขอลากลับบ้าน...

“ฉันคงไม่ได้กลับมาหาเธออีกแล้วนะชา ตลอดไปแล้วนะ” ใช่ โทมัสรักฉัน และโทมัสร้องไห้ แต่แค่เศษเสี้ยวนาทีเขาก็ปาดน้ำตาทิ้ง และสนุกสนานร่าเริงเหมือนเดิม...
นั่นเป็นคำลาสุดท้าย..จากโทมัสคำลาในเมืองไทย ฉันรู้แล้วว่า โทมัสจะอยู่อีกไม่นาน เขาต้องการกลับไปตายที่บ้าน และเขาขอให้ฉันใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข

ฉันไปส่งโทมัสที่สนามบิน เราจากกันด้วยน้ำตา...ใครที่ผ่านไปมาคงคิดว่าเรารักกันปานจะกลืนกิน แต่หารู้ไม่ว่า ในการร้องไห้นี้ นั่นเพราะเราต้องจากกันชั่วชีวิต...

เราคุยกันทุกวัน ตลอดสามอาทิตย์ทางโทรศัพท์ และวันสุดท้ายที่ได้คุยกับโทมัส คือวันที่เขาโทรมาบอกว่า

“ชา..ผมเสียใจที่ไม่สามารถดูแลคุณจนถึงวันสุดท้ายของคุณได้..แต่ผมดีใจที่ผมได้รักคุณจนวันสุดท้ายของผม” ประโยคนี้ฉันร้องไห้ และจดจำไปจนวันสุดท้ายของชีวิตฉันเช่นกัน

แล้วจากนั้น ฉันติดต่อไปอีก เขาก็ไปอยู่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว และเขานอนอยู่อีก สี่วันเขาก็จากฉันไปจริงๆ
ฉันคิดถึงเขามาก จากวันที่เขาตาย ฉันแทบจะไม่กินอาหารเลย นอกจาก อัพยา สูบหรี่ ไม่อาบน้ำเป็นสองสามวัน... ใจฉันรอวันตายก็ว่าได้

ช่วงสองเดือนกว่าที่โทมัสอยู่พัทยานั่น ไม่มีใครรู้ว่าเราติดเชื้อ หากแต่มีอีกเป็นร้อยๆ ที่รับเชื้อจากโทมัสไป นั่นเป็นความล้มเหลวของเราสองคน และเป็นความล้มเหลวของสังคมที่วิ่งหา ไขว่คว้าแค่เพียงวัตถุที่โทมัสโปรยลงพื้นนั่น...

ดั่งเช่นคืนนั้น ....โทมัส เล่นยา...เขาวิ่งออกมาที่ห้องนั่งเล่น และในมือถือเงิน ใบห้าร้อย ปึกหนึ่ง ราวๆ สองหมื่นบาทได้
เขาเล่นเกมส์ โปรยมันลงมา ให้ มนุษย์คนไทยชีเปลือยทั้งหลาย สิบกว่าคน คลานมาแย่งเก็บเงิน ที่หล่นลงพื้นนั่น
ในขณะที่โทมัส เปลือยกาย ยืนสูบบุหรี่ หัวเราะร่วน บนโต๊ะมุมห้องนั่น... ใช่สิ ทุกคนเมา..

มันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน... เหมือนโปรตวิ่งเก็บส่วนบุญก็ไม่ปาน...
.................................................................................................

น้องสาวฉันมารับไปอยู่บ้านเธอ... แน่นอนไม่มีใครรู้ในช่วงนั้นว่าฉันรับเชื้อ... ฉันบอกน้องสาวว่า ฉันต้องแยกภาชนะการกินทุกอย่างนะ เพราะฉันกินเจ....

อยู่ได้เพียงสองอาทิตย์ฉันก็ขอให้น้องมาส่งให้อยู่ที่พัทยาอีก เพราะฉันต้องเล่นยา... ตอนนั้นฉันติดและหลอนมาก

วันนั้นฉันวิ่งหนีไปที่โรงพัก บอกตำรวจว่ามีคนตามมาทำร้ายฉัน ....แต่นั่นมันเป็นจินตนาการของฉันแค่นั้นเอง
มันคงไม่มีใครจะมาฆ่าฉันหรอก... กว่าฉันจะรู้ว่าฉันคิดไปเอง เขาก็จับฉันเข้าไปสงบใจในห้องขังเรียบร้อยแล้ว... ใช่ น้องสาวฉันมารับ...

จากนั้น ฉันก็ได้กลับบ้านร้อยเอ็ด...แม่ฉันและพี่สาวก็พาไป “ออกยา” ที่ขอนแก่น
การออกยาคือ การรักษาคนที่ติดยาเสพติด...มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉันจำได้ ไม่ลืม
มันน่ากลัวและทรมานเหมือนมัจจุราช มาพรากเขาจิตวิญญานของคุณให้ออกจากร่างไป...
ฉันกรีดร้องโหยหวนทุกค่ำคืน บางวันตลอดวัน... เป็นความเจ็บปวดของร่างกายที่ได้รับ...ไม่คิดว่า การออกยาจะเจ็บปวดทรมานได้ถึงเพียงนี้

จากนั้นอีกหนึ่งเดือนฉันก็ดีขึ้น...แต่ใครหลายคนก็คิดว่าฉันบ้า... ฉันก็รู้สึกว่า บางครั้งนี่หลงๆ ลืมๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเดินไปตลาด... และฉันก็กลับบ้านไม่ได้ เพราะหาทางกลับบ้านไม่เจอ จนมืดค่ำ ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
จนมอร์เตอร์ไซด์มาถามว่า ทำใมนั่งที่นี่นานแล้ว มาสิ จะไปส่งบ้าน

ฉันไม่รู้ว่าเขารู้จักบ้านฉันได้อย่างไร..แต่ฉันก็ถึงบ้าน แม่วิ่งมาหา พร้อมร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ แต่ไม่รู้ว่าร้องทำใม รู้แต่ว่าร้องไห้เหมือนแม่..
.
วันรุ่งขึ้น พี่สาวพาไปเต้นแอร์โรบิค... ใช่ ฉันชอบนะ ก็ฉันเป็นครูสอนเต้นนี่นา...

และวันนั้น...คนมารอเต้น เพลงก็เปิด แต่ครูไม่มา... ฉันจึงขึ้นไปบนเวที... และนำเต้น ..จนกระทั่งครูสอนเต้นมา ฉันจึงลงไปเต้นด้านล่าง..หลายคนงง... ใช่ฉันก็งง

พี่สาวฉันกลับไปเล่าให้แม่ฟัง...ต่างพากันขำกันใหญ่ที่ฉันขึ้นไปนำเต้น... ไม่รู้ขำทำใม

(ที่ขำเพราะคนบ้า ขึ้นนำคนไม่บ้าเต้น)

ห้าวันก่อนที่ฉันจะจาก... แม่มาอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล..ทุกวัน.. ป้อนข้าวฉันกอดฉัน

เวลาที่ฉันหนาวแม่ก็ลุกมากอดให้ความสุขกับฉัน... แม่ฉันร้องไห้ตลอดห้าวันนั้น...

ฉันไม่รู้ว่าแม่ร้องทำใม...เพราะฉันก็แค่นอนรอเวลา ฉันไม่เศร้าเลยแม้แต่น้อย มีแต่คุยสนุกๆ กับทุกคน..

โดยเฉพาะผู้ชายคนที่ฉันรัก...

(ผู้เขียน....ในช่วงห้าวันนี้คุณชา เธอละเมอตลอดเวลา ร้องหาโทมัส...หัวเราะคนเดียว แต่เหมือนคุยโต้ตอบกับบางคน และนั่นก็คือ โทมัส..
คุณชาละเมอคุยกับโทมัส จนกระทั่ง วันสุดท้ายที่หมดลมในอ้อมกอดแม่)

นี่เป็นเรื่องราว เรื่องจริงทุกตอนที่เธอเล่าจากปากเธอก่อนที่สติเธอจะไม่สมบูรณ์ ...ฉันรักเธอเสมอคุณชา..พี่สาวที่แสนดีของฉัน...
ขอให้สู่สุขคติ...
ลี
.............................................................................................




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2556 15:57:05 น.
Counter : 2217 Pageviews.  

จากใจ ชายแปลงเพศคนหนึ่ง ตอน 3


ในปีแรกที่ทำงานอยู่ที่นี่ ทั้งสนุก และเคลียด แต่ด้วยความใฝ่ฝันแล้วฉันอยากจะอยู่ตรงนี้ และเป็นดาว...

เมื่อมีความฝันมันก็ต้อง เปิดทางค้นหาทิศไปสู่ดวงดาว...

ด้วยอาชีพแบบฉันแล้ว ศัลยกรรมเป็นเรื่องกินทานข้าว..นั่นคือในทุกๆวัน ฉันต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ในชีวิตประจำกับการเสิรมสวยๆ งามๆ จะเสิรมจะตัดบางส่วน เพิ่มบางส่วนนั้น มันเหมือนที่แห่งนี้ถูกสาป

จากที่ไม่ค่อยอยากจะสนใจ..สมัยเป็นเกย์ควีน แต่เมื่ออยู่ตรงนี้แล้ว เส้นทางนี้ ถูกข้อมูลข่าวสารที่ใช้กินแทนข้าวทุกๆ วัน มันก็คล้อยตาม

นึกไปถึงวันที่เริ่มเข้าสู่วงการการโชว์ใหม่ๆ นี้ ฉันคิดว่า กระเทยเด็กๆ ทุกคน ต้องใฝ่ฝันอยากจะเสิรมหน้า ทำนม ตัดส่วนเกินเพิ่มส่วนขาดกันทั้งนั้นแหละ

และทำที่ใหนอย่างไร ฉันคิดว่าพวกเรารู้แหล่งดีทีเดียว.... ฉันไม่ต้องเสิรมจมูก...เพราะจมูกโด่งมาแต่เกิดแล้ว ที่อยากทำคือหน้าอก และ สะโพก อยากให้มัน ผายเหมือนรุ่นพี่ๆ จังเลย มันดูสวย งดงาม เหมือนรูปปั้น

ชีวิตช่วงนี้ ฉันก็ทำงานโชว์เป็นตัวประกอบด้วยวัยแล้ว ยังมีโอกาสไปอีกไกล และจากอาชีพครูสอนเต้นแอร์โรบิคแล้ว ฉันไม่มีปัญหาเรื่องการหัดเต้น หัดโชว์ สักเท่าไหร่
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันก็เริ่มอีกครั้ง....

โทมัส... เรารู้จักกันวันนั้นฉันไปปาร์ตี้วันเกิดนังก้อย เพื่อนที่โชว์ และเราไปนั่งดื่มกันที่ผับ (เกรดต่ำ ขอโทษค่ะแต่เรื่องจริง)

ฉันเดาว่าคุณคงไม่รู้จักผับเกรดต่ำเป็นแน่แท้...
ผับเกรดต่ำก็คือ...คุณสามารถดริ๊งค์และเซ็กต์ในที่เดียวกันได้ และมีการเล่นยาได้ด้วย
ซึ่งสมัยนั้นผับแบบนี้หาได้ไม่ยากหรอก ก็ไม่รู้ว่า ทำใมได้มาที่นี่ แต่นังก้อยสิ มันชอบมาอับยาที่นี่
(คนเล่นยาเค้าจะมีแหล่งซื้อที่ไว้ใจได้ ทั้งเรื่องราคาที่ไม่เอาเปรียบหน้าใหม่ กับเรื่องของตำรวจน่ะค่ะ)

วันนั้น...มีกระเทยจากใหนไม่รู้พาแขกมาด้วย หล่อมาก...เล่นเอาสาวๆ อย่างพวกเรา กรี๊ดกร๊าดดได้อีกเป็นปีๆ เลยแหละ พ่อคุณเอ๊ยยยยย

ฉันก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรมากมาย กับแขกที่มีเจ้าของนักหรอก (ฉันตัวเล็ก และไม่กล้าไปมีเรื่องกับกระเทยด้วยกันหรอก ฉันออกแนวเงียบและยิ้มเก่งมากกว่า)

เมื่อสนุกพอใจแล้ว พวกเราก็ออกไปข้างนอกกัน..ตอนนั้น ตีสามแล้วมั๊ง

เดินๆ เฮฮากันตามประสา... แต่ฝรั่งรูปหล่อคนนั้นกลับเดินตามพวกเรามา...

อีนังก้อยมันบอกว่า แขกมาติดเหยื่อ พวกเราก็หันไปมอง แน่นอน..กระเทยอย่างพวกเรานอกจากหุ่นดีแล้ว(ต้องใช้รูปร่างในการโชว์) ท่าเรียกแขกของเราก็ชั้นสูงแน่นอนค่ะ

เขาเดินเข้าสู่วงล้อมของพวกเราทันที... แน่นอนว่า ใครหน้าใหนก็มาคาบไปไม่ได้หรอก ด้วยวิถีแห่งอาชีพแล้ว พวกเราจะไม่ไปดึงแขกของใครกลางวงล้อม

แต่ผู้โชคดีคนนั้น...คือฉัน ที่เขามองสบตาไม่กระพริบ และตรงลิ่วมาสู่วงล้อมนั่นก็มาหยุดที่ฉัน... เขาถามคำเดียวว่า ขอไปด้วยคนได้มั๊ย...

ส่วนตัวฉันไม่สนใจ ฝรั่งเด็กหนุ่มๆ เพราะผ่านชีวิตมากับโรเบิร์ตแล้ว รู้สึกมีความสุขมากกว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่..

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิง” ฉันบอกไปตรงๆ แล้วเขาก็ โอบกอดฉันทันที และบอกว่า “ขอบคุณครับ”...

หลังจากวันนั้นมา... ฉันก็มีเงิน ผ่าตัดเสริมนั่นนี่อย่างใจต้องการ... โทมัส ใจถึงและชอบการผจญภัยทุกรูปแบบ และเขาทำฝันเรื่องการเปลี่ยนรูปร่างของฉันให้เป็น “อีชา” คนใหม่อย่างน่าชื่นชมหลงไหล...

เขาขอให้ฉันเดินทางไปเยี่ยมเค้าที่เยอรมัน...ช่วงสองเดือนกว่านั้น ฉันยอมรับว่า มีความสุขที่สุด...
ชีวิตที่เยอรมันมีแต่สนุกกับโทมัส... ฉันไม่คิดว่า ชีวิตผู้ชายคนหนึ่งที่มีอาชีพโชว์ จะทำให้หลายๆ คน ชื่นชอบและมองว่าเป็นดาราไปได้ขนาดนี้

เมื่อวีซ่าหมดอายุ โทมัสมาส่งฉันที่เมืองไทย..และทำเซอร์ไพรส์ฉันโดยการไปส่งที่บ้าน เพื่อรู้จักครอบครัวฉัน..และบอกกับพ่อกับแม่ว่า ต้องการจะแต่งกับฉัน...(ทั้งๆ ที่ยังไม่ขอฉันแต่งงานด้วยซ้ำ)

ใช่ค่ะ..ชีวิตมันน่าจะสมบูรณ์แบบ...แต่...

หลังจากที่โทมัสกลับไปแล้ว...เขาส่งจดหมายมาบอกว่า พบ เชื้อ เอดส์....
เขาไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น...แค่นั้นฉันก็ตกใจสุดขีดแล้ว เราอายุยังน้อยด้วยกันทั้งคู่

ฉันเองยังไม่สามสิบ ส่วนโทมัส ก็แก่กว่าฉันเพียง สามปี
มันเป็นเมล์ที่คร่าชีวิตฉันได้ แบบล้มทั้งยืน... โอ้ คุณพระ... ฉันคิดว่าโทมัสเขารู้ดีว่าเชื้อน่าจะมาจากเขา เพราะเขาไม่ได้มาต่อว่าฉันแม้แต่น้อย

ส่วนลึกแล้ว ฉันห่วงเขามากกว่าตัวเอง สมัยนั้นบ้านเราไม่ยอมรับ โรคนี้กันหรอก ใครๆ จะกลัวคนติดเชื้อเอามากๆ ยิ่งกว่ากลัวผีบอป...เรียกว่า ถ้าเจอผีบอปอีหยิบ กับคนติดเอดส์ คนไทย พ.ศ.นั้นจะเลือกวิ่งหนีเอดส์ก่อนอันดับแรก

ฉันติดต่อโทมัสอยู่สองอาทิตย์ จึงสามารถติดต่อเขาได้... เขาขอโทษฉันที่พาชีวิตฉันมาหยุดตรงนี้... ใช่ฉันโกรธเพราะฉันดูแลตัวเองดีมาตลอด แต่วิถีชีวิตของโทมัสนั้น เค้าชอบสนุก แวกแนว

เรื่องบนเตียงไม่ต้องถามถึงนะคะ คุณๆ จะรับไม่ได้ซะเปล่าๆ
ฉันบอกให้โทมัสใจเย็นๆ เพราะคนติดเชื้อ ต่างก็สามารถมีอายุยืนยาวได้อีกหลายปีหากดูแลตัวเอง...

แต่โทมัสสิ..เขาคงยอมตายหากต้อง ใช้ชีวิตคนละแบบกับที่เขาเป็น...
เขามาหาฉันที่เมืองไทย และอยู่ด้วยกันอีกสองอาทิตย์ และเขาก็ลาออกจากงานแล้ว

เขาต้องการไปอยู่พัทยา... ฉันก็ตามใจเขา
ชีวิตที่พัทยาช่วงนี้แหละค่ะที่เป็นอีกหนึ่งช่วงสุดท้ายก่อน...ที่ฉันจะกลับสู่อ้อมอกแม่
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2556 15:59:25 น.
Counter : 594 Pageviews.  

จากใจ ชายแปลงเพศ คนหนึ่ง ตอน 2


ฉันลืมเล่าไปว่า ฉันเป็นนักวิ่งประจำโรคเรียนสมัยประถม.. แต่พอจบประถมแล้ว ฉันก็ไปเรียนต่อ แค่ ม.หนึ่ง เท่านั้น ฉันก็หนีออกจากโรงเรียน
และไปทำงานร้านอาหารกับเพื่อนๆ ที่พัทยา ... ตอนนั้นที่ไปน่ะ สนุกมาก
จนกระทั่งพี่สาวของฉันมาลากตัวกลับบ้านเพื่อให้ไปเรียนต่อนั่นแหละ
ฉันจึงได้เห็นโศกนาฏกรรมที่กระเทยรุ่นเด็กๆ ต่างร้องห่มร้องไห้กันใหญ่ เพราะต้องเกิดการจากลา...

ตอนนั้นฉันไม่อยากกลับไปเรียนต่ออีกแล้ว ก็เลยขอพี่สาว เลือกที่จะเรียนการศึกษาภาคพิเศษจนถึง ม.ปลาย และไปสอบเข้า มหาวิทยาลัย ราชภัฏ มหาสารคาม เอกพละ
พอจบมาฉันก็เป็นครูสอนเต้นแอร์โรบิค...
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ ถนนสายกระเทย อย่างแท้จริง....

วงการแรกที่ฉันเข้าไปทำงานเลย คือ บาร์เกย์.... และฉันก็เป็นเกย์ควีน
ฉันมาทำงาน เดือนแรกผ่านไปด้วยความสนุกสนาน..ได้เงินมั่งกินมั่งเที่ยวมั่ง ก็สนุกๆไปตามเพื่อน...
และตกเย็นฉันก็ไปสอนเต้นแอร์โรบิคที่ ห้างหนึ่งในพัทยา ตอนเย็น และกลับมาทำงานที่บาร์ช่วงสามทุ่ม จนกระทั่งบาร์ปิด (ก็เช้าทุกวันน่ะแหละ)

ผ่านเดือนที่สอง มาเพียง อาทิตย์เดียว..วันนั้นฉันขึ้นโชว์ เพราะไม่มีแขกมาให้ดักจับเท่าไหร่...
และฉันก็ไม่ได้สนใจใคร นอกจากทำหน้าที่ของฉันและมองดูตัวเองในกระจกไป...

รู้สึกว่า ใครกำลังจ้องมองฉันอยู่จากมุมมืด และมองนานแค่ใหนแล้วก็ไม่รู้... ฉันพยายามจ้องมอง ก็เห็นเขาคนนั้น..
ผู้ชายอายุ สี่สิบเห็นจะได้ ฝรั่งผิวขาวรูปหล่อ เขานั่งพร้อมกับเด็กในร้านขนาบข้างอีกสองคน เค้าเรียกฉันให้ไปเอาดริ๊งค์ ด้วยสายตาหวานพริ้ม ฉันยอมรับว่าชอบเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นสายตาคู่นั้น

แล้วเราก็นั่งคุยกันจนบาร์ปิด เขาก็ชวนฉันกลับบ้าน... เขาไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่เขาอาศัยอยู่ที่พัทยามาหลายปีแล้ว
บ้านเขาหลังไม่ใหญ่แต่ก็เป็นบ้านเดี่ยวในเนื้อที่ 70 ตรว. ในหมู่บ้านจัดสรรค์แห่งหนึ่ง ที่จอมเทียน

โรเบิร์ต อยากให้ฉันมาอยู่ที่นี่และเลิกทำงานบาร์ซะ อยากให้กินเที่ยวกับเขาและอยู่เป็นเพื่อนเขา เนื่องจาก ขาของเขาเคยได้รับอุบัติเหตุ และดามเหล็กไว้ ทำให้เขาเดินไม่ปกติ แต่เขายินดีให้ฉันไปสอนเต้นได้เหมือนเดิม
และเราก็มาอยู่ด้วยกัน...ดั่งเช่นคู่รักคนอื่นๆ

โรเบิร์ตพูดน้อย ยิ้มเก่งใจดี แต่ประหยัด เขาให้เงินฉันใช้และเก็บในธนาคารอีกก้อนหนึ่ง บอกว่า เป็นของขวัญในวันเกิด... และเอาไว้ใช้ยอมฉุกเฉิน

ในปีแรกที่อยู่ด้วยกัน เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น น้องสาวฉันมาเยี่ยมเราที่บ้านประจำเพราะเธออยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ติดๆ กันนี่เอง หลังจากนั้นได้ไม่นาน โรเบิร์ตก็ชอบออกไปนั่งดื่ม ช่วงที่ฉันสอนเต้น.... หลายครั้งเค้าไปรับฉันจากสอนเต้นเสร็จก็ไปนั่งดื่มต่อ

แต่วันนั้น เขาไม่ไปรับ ... ฉันกลับมาเอง ไม่เห็นโรเบิร์ตอยู่บ้าน... ฉันคิดว่าเขาคงดื่มที่ใหนสักแห่งจนเพลิน ฉันนั่งรอจนตีสอง โรเบิร์ตก็กลับมาพร้อม เด็กหนุ่มจากบาร์เกย์ที่ใหนสักแห่งอีกสองคน

มาถึงก็เข้าห้อง และโรเบิร์ตบอกฉันว่า อยากจะมาคุยกันในนี้หรือเปล่า แต่ฉันเลือกที่จะนั่งดูทีวี

ตอนนั้นใจฉันสั่นระทึก..เพราะเราสองคนอยู่ด้วยกันด้วยความรักมาตลอด ไม่เคยมีบุคคลอื่น ย่างกรายเข้ามาแบบคืนนี้

เสียงปาร์ตี้ส่วนตัวในห้องนั้น ต่างสนุกสนาน จนถึงเช้า... และเด็กสองคนนั้นกลับไปแล้ว ฉันก็เข้าไปดูโรเบิร์ต...เห็นเขาเมายา อยู่ รู้สึกตกใจ เพราะโรเบิร์ตไม่เคยอับยามาก่อน ฉันเองผ่านเรื่องพวกนี้มานักแล้วสมัยที่ทำงานบาร์เกย์

จากวันนั้นผ่านไป โรเบิร์ตก็ เล่นยา บ่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นคนละคน... ฉันสูญเสียโรเบิร์ตคนที่ฉันรัก และรักฉันไปแล้ว เพราะโรเบิร์ต เล่นยากับ กลุ่มเด็กหนุ่มที่มาจากบาร์เกย์ แทบทุกคืน...

จนวันหนึ่ง เขาก็พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน... เด็กหนุ่มคนนั้นไม่เคยเคารพฉันเลย มองฉันเป็นเพียงของเก่าค้างปี ซึ่งหลายครั้งมีปัญหา ปากเสียงกัน โรเบิร์ตก็มักจะไม่ตัดสิน แต่หนีไปที่อื่นปล่อยเราเลิกรากันไปเอง

ฉันคิดว่าโรเบิร์ตหมดรักฉันแล้ว..ก็เลยขอแยกทางไป โรเบิร์ตให้เงินฉันมาก้อนหนึ่ง ให้ฉันได้ใช้จ่ายในระยะแรกที่ต้องหางานทำ...
ฉันยอมรับว่าเสียใจมาก นอนร้องไห้ที่บ้านเพื่อนอยู่เป็นเดือนๆ เคยแวะไปหาโรเบิร์ตที่บ้านแต่ก็เห็นเขา ปาร์ตี้ยาที่บ้านทุกครั้ง...และเขาก็เมายาตลอด ไม่ว่าจะเวลาใหน..

ฉันจึงตัดสินใจ เดินจากไปจริงจัง... จนไปทำงานโชว์การแสดงสาวประเภทสอง กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน
ซึ่งเราเคยทำงานที่บาร์เกย์มาด้วยกัน แต่ตอนนี้เพื่อนฉันได้ผ่าตัดแปลงเพศ เป็นคุณดอกไปแล้วเรียบร้อย จากหน้าตาเกย์ขาวๆ ตอนนี้เป็นสาวอรชรเรียบร้อยแล้ว

ที่โชว์นี้ใครๆ ก็รู้จัก... แต่ขอ ละไว้ ณ ที่นี้ก็แล้วกัน
กระเทยทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ต่างต้องขึ้นตรงกับเจ้ใหญ่ และนอกจากนั้นก็อยู่กันเป็นก๊กเป็นเหล่ามีหลายก๊ก ฉันเองอยู่คนละก๊กกับเพื่อน
อยากจะบอกว่า การทำงานที่นี่ หน้าฉากที่สวยงามนั้น หลังฉาก มันนรกดีๆ นี่เอง
%%%%%%%%%%%%%%%% Tomorrow ja%%%%%%%%%%%%%%%%%




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2556 16:02:54 น.
Counter : 1035 Pageviews.  

จากใจ ชายแปลงเพศคนหนึ่ง

สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะทำ... ก่อนที่วันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงอันใกล้นี้
ก็คือ การนั่งรถกลับบ้านไปหาแม่ที่ร้อยเอ็ด... และอยู่ในอ้อมอกของแม่จนวันสุดท้าย

...ฉันชื่อชาตรี... แต่คนทั่วไปจะเรียกฉันว่า คุณชา...(กระแดะเรียกเนื่องจากให้เกียรติฉัน เพราะฉันเป็นพวกคนละสปีชี่กับพวกคุณ) และหลังจากนั้น ฝรั่งจะเรียกฉันว่า “ที” ที่แปลว่าชา

สมัยที่ฉันเป็นเด็ก เมื่อ สามสิบปีที่แล้ว กว่าที่ครอบครัวจะรู้ว่าฉันเป็น “อีแอบ” นั่นก็ หลังสิบขวบไปแล้ว แต่ฉันเองรู้ตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้ ว่าชอบอะไรและไม่ชอบอะไร

ณ พ.ศ.นั้น ประเทศไทยแลนด์ยังไม่อ้อแขนรับอีแอบเหมือนปัจจุบัน แต่ฉันก็โชคดีที่ครอบครัวยอมรับและไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด

เพราะคนทั่วไป...บอกว่าฉันฉลาดและมีเสน่ห์ เอาตัวรอด ฉันยิ้มหวานยิ้มเก่ง คำพูดหวาน พูดเพราะ คิ้วที่หนาได้รูปนั่น ทำให้ใบหน้าฉันน่ามองมากขึ้น แต่ฉันตัวเล็ก... ผิวคล้ำ...

ฉันมีน้องสาวลูกน้า.. ที่ห่างกันเพียง สามปี ...ตอนเป็นเด็กด้วยความคะนอง

ฉันพาน้องสาวลูกน้า ไปเที่ยวตะลอนๆ ในวันหยุดแทบจะทุกหยุด
เพราะเราถูกเลี้ยงมาด้วยกัน เนื่องจาก น้าสาวและสามีต้องไปค้าขายจังหวัดอื่น
เลยทิ้งน้องสาวของฉันไว้ให้ ยายและป้าๆ ก็คือ แม่ฉันและ พี่สาวของแม่ฉัน (เริ่มงง ใช่มั๊ยล่ะ)
ช่วยเลี้ยงดูเธอ ฉันกับน้องจึงสนิทกัน(อันที่จริงฉันมีพี่ชายแท้ๆ แต่เราไม่ได้สนิทกันมากนัก อาจเป็นว่า ฉันรู้สึกว่าเราคนละเพศ นั่นเอง)

หลายครั้งที่เราไปเล่นน้ำ ที่ใครๆ ก็เรียกที่นั่นว่า “บึงโดน” (โดน แปลว่า นาน )
และบึงโดนเป็น บึงขนาดใหญ่อยู่หลังวัดเหนือ... ซึ่งใช้เป็นที่ลอยอังคารมั่ง ลอยสะเดาะเคราะห์อะไรต่างๆ

แต่พวกเราเด็ก..ที่ซุกซุน ไปหาหอย หาปู ตามเพื่อนๆ ในอำเภอนั้น ...
ทั้งๆที่ ครอบครัวเราก็สั่งห้ามนักหนาเพราะมีความเชื่อว่า ที่นั่นจะเป็นแหล่งรวมสิ่งชั่วร้ายที่ไม่มีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปสังเวยบึงโดนนี่ทุกปีๆ ละ สองคน

และเราก็จะโดนตีหลังกลับมาถึงบ้านเกือบทุกครั้ง เพราะน้องสาวของฉันเธอโกหกไม่เป็น เพราะเธอซื่อและเด็กนั่นเอง...ทั้งๆ ที่กำชับเธอหนักหนาแล้วก่อนเข้าบ้าน (ตอนนั้นเธอ หก หรือเจ็ดขวบเห็นจะได้)

ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่ ที่อยู่ในบริเวณบ้านเดียวกันกับ บ้านยาย คนในครอบครัวฉันบอกว่า
ถ้าอยากรู้อะไรที่เป็นความจริง ให้ถามเอาที่น้องสาวฉัน... ใช่ เธอโกหกไม่เป็น ยันโตแหละ..
และเราก็จะถูกทำโทษแบบ ยืนกอดอก และตีก้นด้วยไม้เรียวไผ่... เรียงแถวโดนตีทีละคนกันเลยทีเดียว

วันนั้น.... ฉันกับน้องก็ไปเล่นน้ำ กับเพื่อนกลุ่มอื่นตามเคย.. สักพัก...น้าสาวฉัน เดินถือไม้เรียวมาตาม...

“ยืนอยู่ตรงนัน้แหละ ใส่เสื้อผ้า ทั้งคู่เลย” น้าใช้ไม้เรียวชี้มา ฉันและน้องรีบลนลาน

“ต่อไปนี้ สั่งห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้มาอีก... “ เด็กๆ แถวนั้น ต่างวิ่งมาดู ฉันกับน้องถูกตี

“ถ้าพาน้องมาอีก พวกสู(พวกเด็กๆ ทั้งหลาย) จำไว้ อย่าให้ไอ้เด็กสองคนนี้เล่นด้วยอีก ไม่อย่างนั้นจะ ตีให้หมดทุกคน และบอกพ่อแม่ของพวกสูทุกคนเลย” ฉันกลัวมาก เพราะน้าฉันดุกว่าแม่ฉันเป็นร้อยเท่า

แล้วเราสองคนพี่น้องก็ถูกตีต่อหน้าเด็กๆ คนอื่นๆ คนละ สิบที.. เป็นสิบทีที่เจ็บมาก ฉันน้ำตาไหล.. เจ็บจนจำได้ไปอีกหลายปี..
น้องของฉันไม่ต้องพูดถึง น้ำตาไหล ตั้งแต่ไม้แรกที่ถูกก้นฉันโน่นแล้ว ยังไม่ทันถูกก้นเธอด้วยซ้ำไป...

หลังจากวันนั้น เราก็เข็ดไปนาน ไม่ไปบึงโดนอีก... แต่พวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดเช้า..
แต่ไปในเวลาที่เขาปิดตลาดแล้ว ก็จะมีแต่แคร่ และเศษหนังสือพิมมั่ง เศษถุงพลาสติกมั่ง ขวดน้ำมั่ง

ถามว่ามีอะไรให้เล่นเหรอ... โอ้..ที่นั่นเป็นเหมืองเพชรเหมืองพลอยสำหรับพวกเรา
เพราะเมื่อเราไปขุดคุ้ยใต้แคร่ของแม่ค้าที่ใช้นั่งขายของในตอนเช้านั้น บางครั้ง พวกเราจะเจอเหรียญบาท เหรียญ ห้าสิบสตางค์
(สมัยนั้น เงินห้าสิบสตางค์ยังซื้อขนมได้ อย่าดูถูกเหมืองของฉันนะยะ)

แต่ถ้าวันใหนขุดได้เหรียญห้า โอ้วันนั้นเลิกงานเร็วค่ะ

หรือพวกขวดพลาสติก เราก็จะเก็บมันกลับมาชั่ง กิโลขาย.. น้องฉันชอบมาก... ไปด้วยกัน

บางทีขายได้ ห้าบาท ฉันแบ่งให้น้อง หนึ่งบาท เธอก็ดีใจสุดๆ แล้ว (ฉันรักน้องใช่มั๊ยล่ะ คุณคงคิดแบบนั้น ขอบใจ!!!! ... ฮึ...)

นั่นเป็นการเริ่มธุรกิจกับน้องสาว ที่แบ่งผลประโยชน์ได้ดีทีเดียว...

จากตลาดสด เราก็เดินขุ้ยเขี่ยไปเรื่อยๆ ... จนไปถึงร้านรับซื้อของเก่า ที่ต้นยาง เลยศาลาลอย (อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน)

ปกติ เราจะผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีรั้วสูง เป็นรั้วใส่ตาเขี่ย ชนิดหนา เพื่อป้องกันหมาฝรั่ง พันธุ์ดุ ไอ้ขนยาวๆ ตัวสูงกว่าพวกเราฉันอีก
ซึ่งมันไม่ชอบเด็กหรอก..มันจะเห่าจากในกรงของมันข้ามมาถึงเราที่เดินติดถนนโน่น ไกลนะ
แต่เสียงมันดังมาก เหมือนมาเห่าอยู่ตรงหูนี่แหละ

น้องสาวฉันจะกลัว สุดๆ เมื่อมาถึงตรงนี้...

วันนี้ เอาพลาสติกไปขายเสร็จแล้ว.. และก็แบ่งเงินกัน (อย่างยุติธรรมเช่นเคย) เราสองคนก็เดินกลับมาทางเดิม

วันนี้น้องสาวฉันได้ สองบาทห้าสิบ... (ของฉันไม่ต้องมาอยากรู้หรอกย่ะ เดาเอาก็พอ)
พวกเราต่างดีใจมาก และเดินกำเงินเหรียญนั่นไว้ในมืออย่างดีอกดีใจ ทั้งพี่ทั้งน้อง จะเอาไปอวดแม่

พอผ่านมาถึงประตูรั้วบ้านหมาฝรั่งนั่น ไม่รู้ว่า หมามันมาจากใหน แต่มันกระโจนมาทั้งตู
มาติดลูกกรงประตูตรงที่เราเดินอยู่พอดี เสียงมันดังมาก ทำเอาฉันและน้องตกใจสุดขีด
(คุณคงนึกอารมณ์ออก ที่หมากระโจนมาแบบเราไม่ทันเห็นน่ะ เสียงของมันสยองไปถึงก้นส่วนสุดท้ายเลยแหละ)

ปกติ หมาฝรั่งตัวนี้มันจะอยู่แต่ในกรง แต่วันนี้มันดันออกมาเดินอาบแดดซะงั้น
เสียงน้องสาวฉัน หวี๊ดดดด ขึ้นมา...

“วิ่ง วิ่ง วิ่งเร็ว “ฉันออกตัววิ่ง เพราะความตกใจ... วิ่งไประยะหนึ่ง ฉันชำเลืองมาดูน้อง

อ้าวไม่มีน้องนี่... หันกลับไปดู...เธอยังร้องหวี๊ดดดอยู่ตรงนั้น เสียงเธอกรีดร้องไห้ ดังแข่งกับเสียงหมา

ฉันตกใจมาก...นึกว่าเธอวิ่งตามฉันมา... แต่ไม่ใช่
ฉันวิ่งกลับไปดึงน้องมา...ด้วยความตกใจ มือที่กำเงินเหรียญด้วยความลิงโลดตอนนั้น บัดนี้ กำแต่แขนเล็กๆ ผอมๆ ของน้อง ลากออกมาจากตรงนั้น...
ทั้งหกล้ม กลิ้งหลุนๆ ทั้งฉันและน้อง แต่เราก็ต้องรีบลุกหนีตายว่างั้น
พอผ่านไปไกลแล้ว นึกขึ้นได้...ว่าในมือไม่มีเงินแล้ว หันมาถามน้อง...
เธอก็ทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตอนตอนใหนก็ไม่รู้ เธอตอบทั้งยังร้องไห้ตัวสั่นอยู่

ฉันต้องกอดคอน้องให้ก้าวเดินต่อไป บอกว่าอย่าร้องไห้... อย่าร้องไห้
แต่ตัวฉันเองก็ร้องไห้ไปกับน้อง เรียกว่า ร้องไห้แข่งกันเลยก็ได้

ก็ฉันเสียดายเงินที่หามาได้ของวันนี้น่ะสิ ยังไม่เคยหาเงินได้มากเท่าวันนี้เลยก็ว่าได้
และเงินนั่นคงหล่นอยู่แถวๆ หน้าบ้านไอ้หมาฝรั่งนั่นแหละ...ฉันคงไม่กลับไปเก็บหรอก มันน่ากลัวจะตาย... คิดแล้วก็เดินกอดคอน้องสาว ร้องไห้แข่งกันกลับบ้าน...

%%%%%%%%%%%%%%% ตัดไปพรุ่งนี้นะคะ %%%%%%%%%%%%




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2554 5:49:51 น.
Counter : 750 Pageviews.  

เสียแฟน...ให้สาวบาร์......ตอนจบ



ชมพูก็กลับมา เมื่ออยู่ครบวีซ่า...
ช่วงเวลานั้น ชีวิตเธอดุจดั่งฝัน
ความสุขที่จับต้องได้ ความอบอุ่นที่ใจถวิลหามาตลอดชีวิต บัดนี้ มันอยู่รอบๆ ตัวของเธอนี่

เธอเคยคิดว่าเธอฝันไป... กับผู้ชายคนหนึ่ง ที่กระโดดเข้ามาดูแล รับผิดชอบเธอและลูก มอบความรัก ความห่วงใยอย่างแท้จริง

ส่วนเอ็ดเวิร์ดเองก็หลงรักชมพูอย่างที่สุด ไม่ว่าหัวใจส่วนลึกแค่ใหนก็มีแต่เพียงชมพู สาวไทยตัวเล็กคนนั้นอยู่ทุกสัดส่วน ทุกห้องดวงใจ

ความสุขที่เกิดขึ้น ตลอดเวลาตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเธอในสนามบินสุวรรณภูมิ
และหลังจากนั้นเขาก็เดินตามหาเธอ เพียงใช้ใจเป็นเนวิเกเตอร์ จากปีที่แล้ว จนถึงปีนี้ ความรักสุกงอม

จนต้องหาวันลั่นระฆังวิวาร์
เอ็ดเวิร์ด จึงขอชมพูดแต่งงาน ผ่านทางเว็บแคมนั่นแหละ
ก็ความรักของพวกเขา เกิดจากการออนไลน์นี่นา

เอ็ดเวิร์ด วางแผนจะแต่งงาน ใน เดือนสิงหา 2009
แต่ตอนนี้ต้นปี 2009 เขาต้องเคลียร์ธุรกิจของเขาก่อน เพราะเหตุการณ์หลายอย่างทำให้ ธุรกิจประสบปัญหา
ซึ่งเขาต้องการที่จะ ดำเนินการให้มันเสร็จสิ้น แบบไม่คาราคาซัง เสร็จแล้วจึงค่อยแต่งงาน

และจากนั้นเขาก็จะหางานใหม่
ซึ่งชมพูเองก็อยู่เป็นกำลังใจให้เค้าตลอดเวลา... เพราะการหยุดธุรกิจของเอ็ดเวิร์ด นั้นมันไม่ใช่ปัญหาระหว่างคนทั้งคู่

แต่เอ็ดเวิร์ดก็เริ่มเคลียด ยุ่งๆ คุยน้อยลง
จากหนุ่มยิ้มแฉ่ง..กลายเป็นคนหัวฟู ความเคลียดเกิดในแววตา เมื่อประสบปัญหาทางด้านธุรกิจ จนกระทั่ง 2009

เอ็ดเวิร์ดก็มาเมืองไทย เพื่อพักผ่อน ซึ่งตอนนั้นเขาเสียใจกลับธุรกิจ
ถึงแม้จะไม่ล้มละลาย และแม้ว่า เขายังมีอสังหาริมทัรยพ์อยู่ เงินในธนาคารก็ยังมี

แต่ความโศกเศร้าด้านจิตใจ ในธุรกิจของเค้า ก็ทำลายความเป็นคนอารมณ์ดีของเขาแทบจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง

แต่เขามาแล้วเขาไปพัทยาเลย เขาจะไปขายคอนโด ...ชมพูรอแต่เขาก็ไม่โทรมาโทรหา
เขาก็รับบ้าง พูดน้อย เปลียนไป เขาเริ่มดื่มหนัก ใช้ชีวิตที่พัทยาอย่างเงียบเหงา เซื่องซึม คิดมาก

ซึ่งเอ็ดเวิร์ดเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนในสายตาชมพู
มันต้องมีอะไรแน่ๆ เธอคิดในใจ

และเธอก็ โทรหาเขาเป็นร้อยๆครั้งแต่เขาก็ไม่รับ....
สิ่งที่ชมพูทำได้ก็เพียงแค่ กดโทรศัพท์ ดั่งคนบ้า

สุดท้าย เธอก็ให้น้องชาย พาไปหาเค้าที่คอนโดฯ
ชมพูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนโดนี้มันอยู่ตรงใหน และพัทยามันก็กว้างใหญ่ไพศาล
เธอจะหาเอ็ดเวิร์ดเจอได้อย่างไรกัน

เธอจึงได้จิก ให้น้องชาย ทีเป็นตำรวจพาไปหา ไอ้ร้อยเวรรนั่นแหละ ที่เคยเจอกันครั้งที่แล้ว

และน้องชายชมพูก็ขอความช่วยเหลือในตำรวจพื้นที่ว่าอยู่ตรงใหน จนกระทั่ง
กระทั่งไปเจอเค้า เอ็ดเวิร์ด...

จากความเหนื่อยล้า... ความเคลียด ที่ชมพูพกพามา
ห่วงใยเอ็ดเวิร์ด... ที่เงียบหาย ทำให้ชมพูต้องการมาเห็นกับตา ว่าความจริงมันคืออะไรกันแน่

แล้วเธอก็เจอเอ็ดเวิร์ด เขาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งทีพัทยา ในคอนโดของเขานั่นเอง

โลกทั้งใบ เหมือนถล่มทะลายลงมาอยู่ตรงหน้า
ชมพู ร้องไห้
ร้องไห้กับภาพทีเห็น เขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น...เด็กสาวรุ่นๆ

ในขณะที่ปล่อยให้เธอ วิ่งหาไขว่คว้า ความสุข ความหวัง ที่ยังลอยวนอยู่รอบๆ ตัว
แต่ตอนนี้มันเป็นความสุขลมๆ แล้งๆ ฝันของเธอกลายเป็นฝันร้าย

และนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ชมพู จดจำเอ็ดเวิร์ดได้
แน่ล่ะ.... ความสุข ความหวัง ที่เคยเกิดในใจชมพู บัดนี้ เหลือเพียงความโศกเศร้า ความร้อนลุ่ม ทุรนทุราย หากในใจที่โดดเดี่ยว

ภาพทุกภาพที่เคยถ่ายไว้ด้วยกัน ถูกชมพู ร่อนมันเต็มพื้นห้องนอน
ไฟล์ภาพทุกไฟล์ ชมพู กดลบด้วยมืออันสั่นเทา

สายตาพร่ามัว ที่มองผ่านม่านน้ำตานั้น เจ็บปวดเกินจะบรรยาย
ต่อให้ผ่าตัดอีกร้อยครั้ง...ความเจ็บก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในครั้งนี้..

ชมพูเกลียดพัทยา... เกลียดผู้หญิงพัทยา...เกลียดฝรั่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่พัทยา
เกลียดความจอมปลอมของที่นั่น...จนกระทั่ง พัทยาดึงเอาผู้ชายคนที่เธอคิดว่า เธอโชคดีที่สุดนั้นไปแสนไกล

เอ็ดเวิร์ดพยายาม เฝ้าโทรหาชมพู
แต่เธอก็ตัดขาดการติดต่อทุกกรณี....

(เสียดายจัง เป็นผู้เขียนต้องไม่ยอมแน่ๆ ตายเป็นตาย ฮ่าๆ)

ชมพูปิดรับการสื่อสารจากโลกภายนอก จมกับความโศกเศร้า จนกระทั่งผ่านไปนานแค่ใหนก็ไม่อยากจะคิด

เพราะรู้ว่า มันนานแสนนาน...
นานจนไม่อยากจะจำ...แต่สมองกลับลบภาพเล่านั้นไม่ได้ มีแต่จะจำให้ได้ และจำอย่างแม่นยำซะด้วยสิ

""""""""""""""""""The End""""""""""""""""""""""""""




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2554 5:21:43 น.
Counter : 718 Pageviews.  

1  2  3  4  

Lee Jay
Location :
Nurmijärvi,Vantaa,Helsinki Finland

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 143 คน [?]




ชื่อ ลี ค่ะ เป็นป้ารุ่น เกือบ เลขที่ 5 เข้าทีมวัยรุ่น
ไม่ได้อัดบล็อกเกือบ 3ปี

pub-3852458659373246
New Comments
Friends' blogs
[Add Lee Jay's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.