ชีวิตในฟินแลนด์ อยู่ให้เป็น ไปต่อให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในฟินแลนด์ ...
Group Blog
 
All Blogs
 

เมื่อลูกของฉันไม่มีพ่อ...ตอน 7 (อินเลิฟครั้งใหม่)

ณ เวลานั้น
ใจฉันสั่น..เพราะเขามองฉันยิ้มๆ ตลอดเวลา... รู้สึกเขินๆ สัญชาตญาน ทำให้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้กำลังสนใจฉันอยู่

วันนั้น เขาให้คนเอารถโรงงานมาจอด เป็นรถกลางเก่ากลางใหม่ แล้วก็ขับรถของชั้นไปซ่อม
ฉันก็ยอมให้เค้าไปซะดื้อๆ แบบนั้นแหละค่ะ

แล้วเราก็นั่งทานข้าวกันต่อ...อีกหลายชั่วโมง ฟังเพลงไปด้วย
ตอนนี้ ภาษาอังกฤษของฉันเริ่มที่จะตอบเค้าได้บ้างเป็นบางคำ... (นึกถึงแล้วตลกมาก)

คืนนั้นผ่านไป...ด้วยความประทับใจเป็นที่สุด..ฉันไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้ขอฉันได้เก็บเป็นความประทับใจแบบนี้ไปอย่างเนิ่นนานก็แล้วกัน

วันรุ่งขึ้นเค้าก็โทรมาหาฉัน และโทรบ่อยๆ เพียงแค่ถามว่า ตอนนี้เป็นยังไง ทำอะไรอยู่ อาจเป็นว่าเขารู้ว่าฉันพูดอังกฤษยังไม่ได้ ก็เป็นได้ เลยโทรมาเป็นถามประโยคสั้นๆ สองสามคำแล้วก็วาง

แต่โทร เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน... บางครั้งพ่วงบ่ายๆ เข้ามาด้วย ...
ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันรอโทรศัพท์จากผู้ชายคนนี้ ตลอดเวลา...
และเขาก็ไม่เคยลืม ที่จะโทรหาฉันเช่นกัน.....

ตอนนั้นเขาต้องกลับฝรั่งเศส...... หนึ่งเดือน
นั่นเป็นเวลาที่เศร้ามาก ฉันมองโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ ใจคิดถึงเขาแล้วสิ...
อ้อ...ลืมเล่าว่าในวันที่เขามาเปลี่ยนรถให้ฉันนั้นเขาให้เงินฉันไว้ อีก เจ็ดพัน... แม้ฉันจะปฏิเสธก็ตาม เพราะฉันได้รับเงินจากเขามาแล้วสามหมื่นนั่นเอง..
.................................................................................

ตอนเที่ยงคืนแล้ว และฉันลืมปิดโทรศัพท์มือถือ
เขาโทรหาฉัน... บอกว่าคิดถึงฉัน
มันเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำให้หัวใจฉัน ล่องลอยออกไปอย่างไรไม่รู้

เขาถามฉันว่า คิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า..
ฉันอายที่จะตอบออกไปมากๆ จนเขาถามอยู่สองครั้ง ฉันจึงตอบออกไปว่า

“ค่ะ...ฉันก็คิดถึงคุณเช่นกัน” แล้วเขาก็บอกว่า ขอบคุณ ขอบคุณมากนะ
ผ่านไปสามสัปดาห์... เขาก็กลับมา ซึ่งเขากลับมาก่อนกำหนด... ที่เคยบอกฉันเอาไว้

เขาบอกว่า...ทนคิดถึงฉันไม่ไหว...อยากกลับมา ซึ่งวันนี้เขาได้เอารถฉันที่ซ่อมเสร็จแล้ว มาคืนฉันด้วย

และให้พนักงานขับรถ มาขับรถของบริษัทกลับไป...
แต่ตัวเองก็ ขับรถของเขามา และบอกว่า เราไปทานข้าวกันที่พัทยาดีมั๊ย...
ฉันตกใจเล็กน้อย...เพราะฉันไม่เคยไปพัทยา... และไม่รู้ว่า ฉันจะเจออะไรตรงนั้น..
หน้าตาฉันคงประหม่า หรือวิตกกระมัง...

“เชื่อผมนะ..ไปแค่ทานข้าว ผมจะเทคแคร์คุณเป็นอย่างดี”
เขาหันไปบอกแม่ฉันว่า “ขออนุญาติพาฉันไปทานข้าว...” อ้าวเขาพูดไทยได้นี่นา
เขาบอกเขาพูดไม่ได้ แต่เขาถามเลขาฯ มาในประโยคนี้
แม่ฉันอนุญาติ และใจฉันก็คิดถึงเขาด้วยแหละ
จึงได้ตอบตกลง...

ฉันแต่งตัวธรรมดา กางเกงยีนส์ เสื้อยืด อย่างเคย...
และตอนนั้นเป็นเวลา สี่โมงเย็นแล้ว...
เขาพาฉันไปเดินห้างหนึ่ง...ก่อนที่จะไปพัทยา..
เขาพาฉันไปเลือกรองเท้ามีส้น คู่หนึ่ง 299 บาท... (ในตอนที่เดินอยู่นั้น คนมองเยอะมาก และฉันก็อายมากด้วย)

และเขาก็เลือกชุดราตรีสั้น สีดำ มาสองชุด บอกให้ฉันลอง แล้วเดินออกมาให้เขาดู

ฉันก็ทำตาม... (ก็ไม่รู้ว่าทำใมค่ะ แต่ฉันไม่กล้าปฏิเสธ และรู้สึกอายที่สาวๆ แถวนั้นมองเราสองคนและยิ้มๆ ตลอดเวลาเลย ฉันจึงอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด)

เมื่อลองชุดแล้ว..ก็เดินออกมาให้เขาดู...เด็กในร้านชมว่า สวยมากค่ะพี่
เป็นชุด สีดำคอเว้า และคล้องคอ... เปิดไหล่
ชุดที่สอง เป็นชุดสีดำ กระโปรงเข้ารูป เป็นแขนสายเดียว ที่รัดหน้าอกและลำตัวได้กำลังดี
น้องก็ชมว่า... ชุดนี้สวยกว่าค่ะพี่..เข้ารูปพอดีเลย พี่หุ่นดีมากค่ะ

เขาบอกว่า เอาสองชุดนะ แต่ให้ใส่ชุดนี้เลยในตอนนี้และ รองเท้าด้วย เราจะไปชุดนี้กัน
และเอาก็หันไปจ่ายเงิน

ฉันบอกเขาว่า เอาแค่ชุดเดียวพอค่ะ เพราะแค่ใส่ในวันนี้เท่านั้นเอง...
เขาก็ยิ้มๆ ไม่พูด แต่จ่ายตังค์ให้เด็กไป
.......................................................................................




 

Create Date : 23 มกราคม 2554    
Last Update : 23 มกราคม 2554 14:42:30 น.
Counter : 652 Pageviews.  

เมื่อลูกของฉัน...ไม่มีพ่อ ตอน 6 (อุบัติเหตุรัก)

เค้าพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ
เพราะเค้าเป็นต่างชาติ เอาล่ะสิ
เขาสวมหมวก ตัวสูงกว่าฉันเยอะ กางเกงขาสั้นรับรองพร้อมรองเท้าเดินป่า นั้น ทำให้เห็นเล็บท้าวของเค้าที่สะอาด

ฉันเงียบ... เมื่อ รปภ.เดินเข้ามา เงียบเพราะรู้สึกเคลียด เนื่องจากรถฉันไม่มีประกันนั่นเอง

และใครอีกหลายคนเดินเข้ามา เนื่องจากมันเป็นประตูทางออก เมื่อเกิดเหตุ รปภ.จะต้องย้ายทางออกไปอีกทางอย่างฉุกเฉิน เพราะรถเริ่มติด

ผู้ชายคนนั้นขอโทษฉันอยู่นับล้านครั้ง.... และพลเมืองดี ได้มาช่วยแปลให้
ว่าเขายินดีรับผิดชอบ
ถามว่ารถมีประกันหรือไม่... ฉันบอกไม่มี ซ่อมเองไม่ได้ ฉันตอบพร้อมทั้งอยากจะร้องไห้
เพราะฉันคงไม่มีเงินแน่ๆ....

แล้วเค้าก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้ในการซ่อมรถ... โดยที่เค้า ได้วางเงิน จำนวนสองหมื่น ไว้ตรงท้ายรถ...และให้นามบัตรเอาไว้ว่า ถ้าไม่พอให้ร้านติดต่อเค้าได้เลย
รถของเค้าไม่เป็นอะไรเลย..บุบแค่นิดเดียวแต่ไม่ถลอก แต่ตูดรถชั้นสิ ดูไม่จืด..ฝากระโปรงท้ายก็เปิดออกและปิดไม่ได้ด้วย

พลเมืองดีบอกว่า ให้เงินเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นกันไว้ก่อน... แล้วค่อยเอารถไปซ่อม เพราะดูอาการแล้ว น่าจะไม่ถึงสองหมื่นหรอก...

ฉันก็เชื่อค่ะ (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำใมถึงเชื่อ) และฉันก็โอเค .... พร้อมเก็บนามบัตรเค้าเอาไว้ด้วย
และเขาก็ขอนามบัตรฉันไปเช่นกัน ... เรื่องในวันนั้นเลยจบลงแบบนั้น..
..................................................................................................
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น... (เป็นรุ่นที่ต้องแบกค่ะ อันใหญ่มาก)
ฉันก็รับ... กำลังปวดหัวเรื่องเงินไม่พอผ่อนรถ เนื่องจากเป็นหน้าฝน ทำให้ฉันขายของเปิดท้ายไม่ค่อยดีนัก
ฝรั่งคนนั้นนั่นเอง เขาคุยอะไรมาก็ไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย...
จนมีเสียงผู้หญิงบอกว่า...

“พี่คะ หนูเป็นเลขาฯ ของนายนะคะ.. นายให้ถามว่า พี่ซ่อมรถไปแล้วหรือยัง”
ฉันก็ตอบไปว่า ยังไม่ได้ซ่อม ก็ใช้แบบนั้นแหละ เนื่องจากไม่มีรถใช้ระหว่างซ่อม
เธอก็ไปแปล...กับนายเธอ

“พี่คะ...สะดวกที่จะออกมาพบนายของหนูมั๊ยคะ... ไปทานข้าวที่ร้าน.... ในเมืองค่ะพี่”

เค้าจะเอารถพี่ไปซ่อม และจะให้รถบริษัทไปใช้ก่อน...

ฉันรู้สึกว่า คำนั้นเป็นประกาศสวรรค์.... ฉันรีบตอบรับทันที...
ฉันซื่อนะ...ต้องออกตัวก่อนแบบนั้น... ฉันเชื่อคนง่ายๆ ไม่ว่าใคร ถ้าฉันเห็นว่าคุณยิ้มๆ กับฉันแล้ว ฉันก็จะคิดว่าคุณเป็นคนดีเสมอ... เพราะหน้าตาคุณยิ้ม... นี่แหละค่ะ หลายคนถึงรักฉัน
และอีกหลายคนก็ว่าโง่... แต่ฉันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
......................................................................

ฉันไปถึงที่ร้าน ยืนเด๋อๆ อยู่ เพราะร้านนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสมานั่ง เคยแต่ขับรถผ่าน

เห็นไฟ สว่าง สวยงาม และได้แต่มอง เพราะคงไม่มีวาสนาจะได้มานั่งกินข้าวในบรรยากาศแบบนี้อย่างแน่นอน
เพราะฉันคงไม่เงินที่จะมาทำแบบนั้น

ฝรั่งคนนั้น เดินมาหาฉัน... ร้องเท้าเงาวับ.. กางเกงสีดำ พร้อมซื้อเสื้อสีขาว ที่พับแขน ปลดกระดุม นั่น ทำให้เห็นว่า เค้าต่างจากวันที่ขับรถชนฉันมากมาย วันนี้เขาไม่ใส่แว่นสายตา

เขาดูเรียบร้อยมาก...ฉันยกมือไหว้เขา... และเขาก็ไหว้ตอบ..

ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เนื่องจากฉัน รู้สึกว่า ตัวเอง ซอมอ ไม่เหมาะที่จะมานั่งร้านแบบนี้เลย

แต่คนข้างๆ กลับไม่ได้รังเกียจฉันแต่อย่างใด...
เลขาฯ ของเขาได้ยืนขึ้นและ ยกมือไหว้ฉัน..ก่อน แต่ดูแล้ว เธออายุ มากกว่าฉันอย่างแน่นอน..

น่าจะสามสิบขึ้น..แต่เธอสวยมาก เสื้อสูทของเธอและกระโปรง พร้อมรองเท้าส้นสูงนั่น ทำให้ฉันอายที่จะนั่งร่วมวงเป็นอย่างมาก เพราะฉันใส่รองเท้าแตะ และกางเกงยีนส์ ที่เป็นยี่ห้อตลาดนัด
เสื้อยืดธรรมดามาก

เมื่อต้องนั่ง เก้าอี้... ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันทำตัวไม่ถูก แม้ว่าฉันจะทำงานเป็นพริตตี้เกิร์ลมาก่อน
แต่ฉันก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้... และฉันก็เป็นเด็กบ้านนอกมากๆ

เค้าได้พูดคุยกับฉัน ทำให้ฉันไม่เคลียด... ภาษาอังกฤษของฉันไม่ได้เรื่อง แต่ก็เข้าใจเป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะเรียนมาก็แค่ ตามระบบ (ทุกคนคงเข้าใจดีว่า เด็กไทยที่จบปริญญาตรีนั้น ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษไปซะทุกคน)
ผ่านไปเป็นชั่วโมง...

เขาก็ถามไต่ตลอดเวลา โดยมีเลขาฯ เป็นคนล่าม
ฉันพึ่งรู้ตอนนี้ว่า เขาทำงานเป็นผู้จัดการโรงงาน แห่งหนึ่งในจังหวัดนี้
และเขามาอยู่เมืองไทย เมื่อห้าปีก่อน มีกำหนดกลับประเทศเขา ก็คือ ฝรั่งเศส ในอีกสองปีข้างหน้า

เลขาฯ ของเค้าก็ถามชั้น ถึงเรื่องส่วนตัว ไปเรื่อยๆ
ฉันก็ตอบตามความเป็นจริง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา..นอกจากจาก พูดโต้ตอบกับเลขาฯของเขาเท่านั้น ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ไม่มองเขา มีแต่หลบตา




 

Create Date : 22 มกราคม 2554    
Last Update : 22 มกราคม 2554 17:03:58 น.
Counter : 718 Pageviews.  

เมื่อลูกฉัน....ไม่มีพ่อ... ตอน 5 (หมดรัก...ประกาศศึก)

เมื่อออกรถได้สองอาทิตย์ ฉันก็บอกพี่นัตว่า ฉันจะไป..
ไม่ขออยู่แบบนี้...แน่นอนพี่นัตไม่ยอมอยู่แล้ว...

ในวันที่ฉันขนของออกจากบ้าน และพ่อกับแม่ฉันเมื่อรู้เรื่องราว เค้าก็ เดินทางมาหาฉันทันที

เราจึงออกไปเช่าบ้านอยู่กันใหม่... พ่อแม่ฉันไม่โกรธแต่เสียใจ ที่ฉันผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาได้อย่างไร... และเสียใจ ที่ฉันกับลูกต้องลำบากขนาดนี้

วันนั้นที่ฉันย้ายบ้านวันแรก..พี่นัตเป็นไมเกรน จนต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล แต่ฉันไม่ไปเยี่ยม ไม่สนใจ... บอกเพื่อนพี่นัตอย่างเดียวว่า... ฉันขอออกมาจากตรงจุดนั้น และออกตลอดไป
ฉันตกนรกมามากแล้ว อย่าให้ฉันต้องบาปไปกว่านี้อีกเลย

หลังจากนั้นฉันก็ไม่ติดต่อใดๆ กับใครข้างฝ่ายพี่นัตทั้งสิ้น ฉันยอมรับว่า ใจฉันแข็งมาก ไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย
คิดถึงความผิดของตัวเอง... คิดถึงเหตุการณ์ที่โดดเดี่ยวตอนท้องแก่
และ ตอนคลอด
หลังคลอด
มันเจ็บปวด... นั่นล่ะนรก ในใจฉัน
.................................................................................

เหตุการณ์ผ่านไป สองปี... ระหว่างนั้นพี่นัตก็เฝ้าพยายามที่จะติดต่อกลับมา
มาหาลูก มาเยี่ยมลูก ซึ่งฉันไม่ให้มา ไม่ให้ติดต่อ เพราะใครต่อใครๆ ก็มองว่า นี่เหรอ ผัวเก่าพ่อของลูก และผัวของคนอื่นที่ฉันพยายามจะเอาผัวชาวบ้าน

ฉันของบอกเลยว่า ไม่เคยคิดแม้แต่น้อย ที่จะแย่งผัวของใคร... แต่วันที่รู้ว่าพี่นัตมีเมีย ก็คือวันที่ฉันท้องแปดเดือนแล้ว...

จนกระทั่งตอนนี้ ลูกฉัน ได้เจ็ดเดือน นั่นก็กินเวลาเนิ่นนานมากแล้ว ที่ฉันต้องถูกด่า ถูกว่า ถูกประนาม ว่าเป็นเมียน้อย

พี่นัตเองก็จน ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงดูฉันและลูก ให้อยุ่สุขสบายเมื่อไหร่...เมื่อออกมาจากจุดนั้นได้

แต่ฉันก็ยังโดนด่า โดนประนามว่า หลอกเอาเงิน หลอกเอารถ หลอกทุกอย่างให้พี่นัตล้มเหลว

ฉันได้เงินมาแค่ห้าหมื่น และรถฉันก็ต้องผ่อนต่อ.. ฉันบอกเลยว่า เงินห้าหมื่นนี้ มันจะมากหรือน้อยก็ตาม ฉันจะไม่ขอคืนพี่นัตตลอดไป... ใครจะว่าฉันเลวก็ตามเถอะ...ความเคียดแค้นมันฝังอยู่ในใจลึกๆ

ฉันทำงาน...ในบริษัท ซึ่งหลายครั้งที่พี่นัตมาปรากฏตัวในที่ทำงาน ในบ้าน ตามงานเลี้ยง
และมาเฝ้าฉัน เพื่อกันไม่ให้คนอื่นๆ ที่หมายปองฉันได้สมหวัง...
เราตามล้างแค้นกันอยู่แบบนี้ หลายปีมาก เพราะเราอยู่ในจังหวัดเดียวกันนั่นเอง

จากความรัก เป็นความเกลียดชัง... เพิ่มพูนขึ้น...
บางครั้งฉันไม่มีเงินติดตัว...และลูกไม่สบาย ต้องพาไปหาหมอ... และเป็นครั้งแรกที่ฉันเอ่ยปากขอให้พี่นัตช่วยเหลือ..เพียงแค่ห้าร้อยบาท..
แต่พี่นัตไม่มีให้... และพูดแดกดันฉันมา ว่า เอาไปห้าหมื่นนั้นยังไม่คืนเลย...
ถึงตรงนี้...ฉันกลั้นใจสุดๆ...โกรธตัวเองที่บากหน้าไปขอเงินแค่ห้าร้อยบาทเพื่อจ่ายค่ายาให้ลูกชาย...เค้ายังด่าฉันกลับมา...
ซึ่งนั่นเป็นการเปิดศึก...ระหว่างฉันกับพี่นัต อย่างโจ่งแจ้ง...
........................................................................

วันนั้นฉันมีเพื่อนชาย มากินข้าวที่บ้าน... พี่นัตมาจากใหนไม่รู้ เข้ามา พูดด่าเพื่อนชายของฉัน
ว่าจะมาเอาเมียชาวบ้าน... จนเกิดการชกต่อยกันขึ้น จนตำรวจมาข้ามทัพ และไปโรงพักทั้งคู่

เพื่อนชายฉันเหลืออด..กับพฤติกรรมของพี่นัต... เพราะเค้าไม่ช่วยเลี้ยงดูลูกแล้ว แต่ยังตามราวีฉันให้อับอาย ไปทั่ว คนทั้งบริษัทต่างก็นินทาฉัน ต่างๆ นาๆ

ฉันต้องอดทน อดกลั้นที่สุด... นอนร้องไห้ ตลอดเวลา...
ว่าทำใมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ พี่นัตนอกจากจะมีเพียงเจตนา ที่จะทำให้อับอายแล้ว ก็ยังมีเจตนาที่จะไม่เลี้ยงและรับผิดชอบลูก ก็แหงแหละ เพราะพี่นัตไม่เคยรับผิดชอบมาแต่ใหนแต่ไรแล้ว

สองปีที่ผ่านมานี้ มันไม่ได้ทำให้ฉัน ชำระล้างตราบาป คราบของเมียน้อยได้เลย ทุกคนที่รู้เรื่องราว ต่างก็ประนามฉัน เสมือนว่า ฉันยังคงอยู่กับพี่นัต ทั้งๆ ที่เลิกไปสองปีแล้ว...

พี่สาวของพี่นัตก็โทรมาถามเรื่องเงินห้าหมื่นอยู่ตลอดเวลา... แม่เค้าก็โทรมาด่า เรื่องที่ทำให้พี่นัตต้องเป็นหนี้เป็นสิน...
สองปีผ่านไป ทุกคนก็รุมด่าฉันอยู่แบบนั้น....

จนกระทั่งวันหนึ่ง.... ฉันไปซื้อของที่ห้างแถวบ้าน
และขาออกกำลังรอคิว ยื่นบัตรจอดรถอยู่นั้น...
ท้ายรถฉันก็โดนชน ดังโครม..... ดีว่าใส่เบรกมือเอาไว้แล้ว...

ฉันตกใจสุดขีด ทุกคนหันมามอง และฉันก็ก้าวลงไปดู.... ก็เห็นรถคันหลัง บี้หน้าเข้ามาในตูดรถชั้น เสียโฉม ไม่มีชิ้นดี... ฉันหันไปมองคนขับด้วยดวงตาไม่เป็นมิตรอย่างแน่นอน

แล้วเค้าก็ก้าวลงมา ทำมือ สองมือห้ามทัพ อย่างคนขอโทษขอโพย...เค้าพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ
เพราะเค้าเป็นต่างชาติ
...........................................................................................




 

Create Date : 22 มกราคม 2554    
Last Update : 22 มกราคม 2554 16:44:28 น.
Counter : 574 Pageviews.  

เมื่อลูกของฉัน....ไม่มีพ่อ ตอน 4 (หลอกเอาเงินก่อนชิ่งหนี)

จนกระทั่ง ฉันเรียนจบในอีก ไม่กี่เดือนถัดมา และสามารถหางานได้ในทันที ฉันก็พาลูกมาอยู่ด้วย และจะเลิกกับพี่นัตในทันที

แต่พี่นัตไม่ยอมในครั้งแรก ฉันเองก็คิดว่า ถ้าฉันจะไป ฉันควรจะทำมาหากินให้ได้เสียก่อน ฉันจึงเริ่มวางแผน และหาทางหนีทีไล่ในตอนนั้น

นี่ถึงแม้จะทำงานเองแต่รายได้ก็ยังไม่พอ ฉันจึงอยากมีรถหนึ่งคันเพื่อที่จะ ทำงานเสริมไปด้วย

เราสองคนจึงได้ออกมาเช่าบ้านด้วยกันใกล้ที่ทำงานของพี่นัต
ในวันหยุดนั้น พี่นัตบอกว่า เมียพี่นัตจะมาเยี่ยมและจะมาค้างด้วย
ฉันก็ปฏิเสธไป และพี่นัตก็รับคำ
ฉันก็นึกว่า เค้าคงจะไม่มาแล้ว

แต่เมื่อพี่นัตเลิกงาน ก็ไปรับเมียที่ท่ารถ และพามาบ้านทั้งเมียและลูก ซะงั้น

เค้ามานอนค้างด้วยในห้องนอนห้องเล็ก
ฉันไม่รู้ว่าฉันยอมรับแบบนั้นได้อย่างไร และ เมียพี่นัตยอมรับแบบนั้นได้อย่างไร

ฉันรู้แต่เพียงว่า เมื่อฉันไปได้ฉันจะไป... และในเดือนนั้น พี่นัตกลับบ้านบ่อย ไม่ใช่แค่วันหยุด แต่พี่นัตกลับระหว่างสัปดาห์ด้วย

ทะเลาะกับฉันเรื่องเงิน เพราะฉันไม่ยอมให้เงินเดือนพี่นัตทั้งหมด เหมือนที่ผ่านมา
และฉันก็ต้องการเงินดาวน์รถ คนใหม่เพื่อไปขายของเปิดท้ายตามตลาดนัด ต่างๆ

นาทีนั้นฉันบอกตัวเองเลยว่า.... ฉันจะต้องไปจากจุดนี้ และฉันจะไม่ยอมไปแบบมือเปล่าอย่างแน่นอน
ประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้ฉันรู้ว่า ความรัก ความเสียสละ และไม่เคยเป็นภาระกับพี่นัตนั้นทำฉันเจ็บปวดเพียงใด ตอนนั้นในสายตาของฉัน ความรักไม่มีในโลก
มีแต่ความโง่เขลาของตัวเอง ที่คิดว่า เมื่อไม่เป็นภาระกับคนที่รักแล้ว เค้าจะรักเรา มีใจกับเรา มองเห็นคุณค่าของเรา... แต่เปล่า....พี่นัตทำกับฉันแบบตกนรกทั้งเป็น
................................................................

ลูกชายฉันนอนเล่นอยู่หน้าบ้าน และกระดึบไปมาตรงหน้าบ้าน ซึ่งบ้านเป็น ทาวเฮ้าส์ มีพื้นที่ปลูกต้นไม้นิดหน่อยแค่นั้นเอง....

ลูกฉันก็กระดึบๆ ไปเล่นขอบเสื่อ และขุ้ยเขี่ยพื้นดิน ตรงนั้น และแล้ว เค้าก็ถือ บางสิ่งขึ้นมา
ฉันตกใจแทบจะเป็นลม....

มันเป็น ไม้แกะสลัก เป็นรูปตุ๊กตาผู้ชายและผู้หญิง ตัวเล็กๆ สูงแค่ประมาณ สองนิ้วกว่าๆ แค่นั้น

แต่ตุ๊กตาสองตัวนั้น ถูกจับมัดหันหลังใส่กัน และพันด้วยสายสิญจน์ แน่นหนา...
คุณจะเชื่อหรือไม่นั้น ฉันเดาไม่ถูก... แต่สำหรับฉัน ซึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย

เมื่อมาเห็นกับตา นั่นทำให้ฉันแปลกใจ เพราะไม่รู้ว่า ตุ๊กตาอันนี้มันจะมาอยู่ในบ้านได้อย่างไร

เมื่อคิดได้ก็เดาออกทันทีว่า... อ๋อ ตอนที่เมียพี่นัตมานอนค้างที่บ้านนั่นเอง...
ฉันเข้าใจเขาอย่างมาก ว่าเค้าเจ็บปวดเพียงใด..มันไม่แปลกที่เค้าจะด่า ว่าฉันต่างๆนานา

แต่เหตุการณ์ตรงนั้นทำให้ฉันต้องรอเวลาที่จะไป... ฉันไม่เคยไปด่าว่าเมียพี่นัต
ครอบครัวพี่นัตเมื่อรู้เรื่องว่าฉันมีลูก และเอาลูกไปฝากยายแถวบ้านพี่นัตช่วยเลี้ยง

เค้าก็พากันโทรมาด่าฉัน
ทำใมฉันจะจำไม่ได้...

“มึงอยากจะมีลูก แต่ทำใมไม่เลี้ยง มึงไข่แล้วมึงก็วิ่งหนี ให้ลูกกูต้องส่งเสียแบบนี้เหรอ”

นั่นเป็นคำพูดของแม่พี่นัต ฉันไม่เคยไปแก้ตัวอยู่แล้ว ว่าเรื่องที่เค้ากล่าวหานั้นไม่จริง

แต่ฉันต้องอดทนมากๆ ตอนแรกที่ไว้ใจพี่สาวพี่นัตทุกอย่าง เล่าทุกอย่าง บัดนี้รู้แล้วว่า เธอคนนั้นทำร้ายฉันแค่ใหน เพราะพ่อของพี่นัต เป็นคนโทรมาคุยด้วยตัวเองว่า

“ปัญหาเป็นของเรา ถ้าเราไม่แก้ก็จะไม่มีใครช่วยเรา ส่วนจะให้เตี่ยรักเมียของลูกคนใหนมากกว่าเค้าก็ทำไม่ได้ เพราะเมียคนแรกของพี่นัต เค้าก็ไม่เคยไปตกแต่ง มีแต่รักกันเอง และท้องแล้วพามากราบไหว้
แต่ฉันไม่เคยไปไหว้ ...แต่เตี่ยก็รู้ว่าเราต้องทนและต้องเจอกับสภาพอะไร...
ดังนั้นเรื่องของเราเอง ต้องคิดให้ดีว่าจะเอาแบบใหน ถ้าจะอยู่ก็ต้องมาหาเตี่ย...

ถ้าไม่อยู่เราต้องจัดการชีวิตให้ดี เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว...และอย่าเอาเรื่องตัวเองไปคุยให้ใครฟัง มันไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นมาหรอก...เพราะเราไม่รู้ว่าใครคิดอะไรแค่ใหน.”

นั่นเป็นคำสอนของเตี่ยพี่นัต ที่ฉันจำได้ดี จนวันตายก็จะไม่ลืม...
และเป็นคำสอนที่บอกให้ฉันรู้ว่า... ฉันต้องทำอะไร ต่อไปถึงจะเลี้ยงลูกได้คนเดียว
.....................................................................

เมื่อพี่นัตกลับมา ฉันเอาตุ๊กตาตัวนั้น มาให้พี่นัตดู ซึ่งพี่นัตไม่เชื่อหรอก ก็เหมือนฉันแหละที่ไม่เชื่อ แต่ฉันก็ได้เดินข้ามตุ๊กตาตัวนั้น และแผ่เมตตาจิตแล้วเรียบร้อย...แม้จะไม่เชื่อก็เถอะ

ซึ่งหลังจากนั้นพี่นัตก็เปลี่ยนไป... เป็นคนดีมากขึ้น และอยู่ติดบ้าน...ฉันไม่รู้เป็นเพราะอะไร

ในเดือนนั้นเอง ฉันบอกให้พี่นัตเอารถของพี่นัตไปเข้าไฟแนนซ์เพราะฉันจะเอาเงินห้าหมื่นมาดาวน์รถใหม่

และจะไปทำมาหากินให้มากขึ้น... ตอนแรกพี่นัตไม่ยอม... แต่ตอนหลังก็ยอม

เอาเงินมาให้ฉันห้าหมื่น... เมื่อออกรถได้สองอาทิตย์ ฉันก็บอกพี่นัตว่า ฉันจะไป..
..........................................................




 

Create Date : 22 มกราคม 2554    
Last Update : 22 มกราคม 2554 4:55:50 น.
Counter : 713 Pageviews.  

เมื่อลูกของฉัน..ไม่มีพ่อ ตอน 3

เมื่อฉันเปลี่ยนเตียงไปนอน เตียงขึ้นขาหยั่ง.. พยาบาลชุดเขียว ก็บอกว่า อย่าเบ่งนะ ให้รอหมอก่อน

เค้าปิดปากปิดจมูก คลุมผม มองเห็นแต่ดวงตา และมือที่ใส่ถุงมือยางนั่น เอื้อมมาจับมือฉันไว้
และหมอก็มา
แล้วหมอก็บอกให้เบ่ง ซึ่งคุณหมอจะพูดกับฉันตลอดเวลา

หายใจเข้า เอ้า อื้ดดดด

พยาบาลก็จะมาช่วยเบ่ง ที่ข้างเตียง

“เจ็บนิดนึงนะ หมอจะฉีดยา จะไม่ได้ไม่เจ็บที่แผล” หมอส่งเสียง

ฉันรู้สึกว่า ที่หว่างขา ตรงเชิงกรานนั้น ลูกได้เคลื่อนมาปิด และ ลมเบ่งจะมีมาเป็นระยะ

เมื่อได้จังหวะ หมอก็จะบอกให้เบ่ง

“อ่ะ ลูกมาแล้วนะสาวน้อย ตอนนี้หมอจะช่วย เปิดแผลนะ” ฉันรู้สึกว่า เนื้อบริเวณนั้น ถูกกรีดด้วยมีด ดัง คลื้ดๆ

แต่ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เพราะหมอได้ ฉีดยาชาไปก่อนหน้านี้แล้ว

“อ้าว เบ่ง อื้ดดด” หมอสั่ง ฉันก็ทำตาม

“เดี๋ยวหมอจะช่วยให้หัวลูกออกมาก่อนนะ “ ฉันรู้สึกว่าหมอใส่ อะไรบางอย่างเข้ามา ที่บริเวณหัวลูก (เป็นครีมคีบที่หัวลูก)

“เอ้า เบ่ง อื๊ด” “หัวออกมาแล้วนะ พักก่อน ตอนนี้ติดไหล่ลูกนะ เอา เบ่งอีกทีหนึ่ง อื๊ดดด”

ฉันทำตามอย่างว่าง่าย เพราะ มันเจ็บจากการที่มดลูกบีบตัว นั่นเอง
เหงื่อจากใหนมากมายไม่รู้ แต่พยาบาล คอยเช็ดให้ตลอดเวลา

สุดท้ายฉันก็เบ่งให้ไหล่ลูกหลุดออกมา และ “พรวด” ออกมาอย่างง่ายด่าย

ฉันรู้สึกตัวถึง ร่างกายน้อยๆ เคลื่อนตัวผ่าน ออกไป

หมอยกลูกให้ฉันดู ฉันยกหัวดูลูกชายของฉันที่ครบสามสิบสองประการ และมีคราบเลือดติดอยู่ ผมลูกดำขลับ

“ให้ผู้ช่วยหมอไปทำความสะอาดก่อนนะ ตอนนี้หมอจะเย็บแผลให้ก่อน” ฉันพยักหน้าเพราะ หมดเรี่ยวแรงจะตอบใดๆ

และรู้สึกได้ถึงการเย็บแผลที่ ดึงๆ ไหมเป็นระยะ ไม่เจ็บแต่ก็รู้สึกตัวทุกประการ และหมอก็พูดคุยด้วยตลอดเวลา ว่าหมอกำลังทำอะไรอยู่

ฉันได้ยินเสียงลูกร้องจ๊ากกก แว๊วววววว แว๊ววววววว เค้าจะร้องไม่เหมือนเด็กคนอื่นในนาทีแรกเกิด
ฉันได้ยินแล้วยิ้ม กับตัว เพราะเสียงลูกไม่เหมือนเสียงหนูน้อยที่พึ่งเกิดก่อนหน้านี้ไม่ถึง ยี่สิบนาที

และเมื่อหมอทำแผลเสร็จแล้ว ฉันก็เคลื่อนตัวมานอนที่เตียงเข็น พร้อมลุกน้อย ที่ถูกห่อด้วยผ้าอ้อมของโรงพยาบาล ที่ตอนนี้พยาบาล ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

และนำมาวางไว้ที่ หน้าอกและ บอกฉันว่า ให้ลูกดูดนมนะ จะได้กระตุ้นให้น้ำนมไหลออกมา
แล้วพยาบาลก็ขยับตัวลูกให้ปากน้อยๆ นั้นใกล้ๆ กับหัวนม และบอกให้ฉันประคองลูกไว้แบบนั้นเพราะให้ลูกได้ดูดนม

นาทีนั้นฉันลืมทุกอย่างในโลก นอกจากเด็กตัวน้อยๆ ในอ้อมแขน ที่นอนอยู่บนอกและพยายามอ้าปากด้วยสัญชาตญานของสัตว์ ที่ต้องอ้าปากเพื่อกินอาหาร
ดูแล้วน่ารัก เหลือเกิน และฉันก็จะไม่มีทางลืมภาพนั้นได้เลย ตลอดชีวิต

ตลอดสามวันที่ฉันคลอดนั้น และได้พักฟื้นในห้องรวม
ผู้หญิงข้างเตียงฉันนั้นซึ่งเธอก็มาคลอดเช่นกัน ญาติเธอเยอะมาก ทั้งฝั่งเธอ และฝั่งสามี ต่างพากันมาแสดงความยินดีไม่หยุดหย่อน

ในขณะที่ฉันไม่มีญาติเลย ไม่มีเลยสักคน พี่นัตเองก็มาแค่ วันละ ชั่วโมงเดียว ก็รีบไป เพราะเหนื่อยที่จะต้องยืนๆ นั่งๆ มาอุ้มลูกแป๊บเดียว

ฉันน้ำตาตกมาก ยิ่งเห็น หญิงสาวข้างเตียง ที่อบอุ่นไปด้วยญาติของเธอ ต่างพูดคุยกันสนุกสนาน แต่ฉันกลับนอนน้ำตาไหลริน จนต้องรีบหันหลังให้เธอ

ความรู้สึกตรงนี้ ที่ฉันนอนกอดลูก มันเป็นความเศร้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา..

และวันสุดท้ายที่อยู่โรงพยาบาล เมียพี่นัตกับพี่นัตก็มาเยี่ยมฉัน...
ฉันถามพี่นัตว่า พาเมียมาด้วยทำใม ฉันรันทดใจมากพอแล้ว พี่นัตก็ได้แต่บอกว่า เมียเค้าอยากมาเยี่ยม แต่ฉันบอกตัวเองตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าพี่นัตมีลูกเมียอยู่แล้วนั้นว่า ฉันจะต้องไปจากตรงนี้ให้ได้ และให้เร็วที่สุด ลูกของฉัน ก็จะเลี้ยงเอง

แต่ฉันก็คิดไว้ในใจเท่านั้น ยังไม่ได้จะเอ่ยอะไรในตอนนี้ เพราะฉันเองก็ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้

และเมื่อลูกได้สองเดือน เค้าหน้าตาน่ารักมาก เหมือนลูกครึ่ง อาจเพราะพี่นัตนั้นหล่อเหลา ลูกฉันก็จมูกโด่ง ปากหนาได้รูป และผมดำขลับ และขนตายาวงอนนั้น ทำให้ละม้ายพ่อเป็นที่สุด... แต่ใจฉันอยากให้ลูกชายเหมือนแม่มากกว่า

เมื่อลูกครบสองเดือน ฉันก็บอกพี่นัตว่าจะกลับไปเรียนให้จบในเทอมสุดท้ายนี้
แต่ต้องการให้พี่นัตหาคนเลี้ยงลูก และพี่สาวพี่นัตก็แนะนำให้นำไปเลี้ยงที่บ้านยายคนหนึ่ง ซึ่งเคยเลี้ยงลูกพี่สาวมาก่อน

และยายคนนั้นเค้าก็ช่วยฉันมากกว่า ที่จะอยากได้ค่าจ้างจากพี่นัต
เพราะหลายครั้งที่เค้าสอบถามฉัน ว่าทำใมถึงได้มาเป็นเมียน้อยนายช่าง ฉันก็ร้องไห้ทุกครั้ง มันเศร้าสลด ยิ่งเห็นหน้าลูกน้อยด้วย ฉันก็ยิ่งเศร้าใจ
...........................................................................................




 

Create Date : 21 มกราคม 2554    
Last Update : 21 มกราคม 2554 16:33:03 น.
Counter : 725 Pageviews.  

1  2  3  4  

Lee Jay
Location :
Nurmijärvi,Vantaa,Helsinki Finland

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 143 คน [?]




ชื่อ ลี ค่ะ เป็นป้ารุ่น เกือบ เลขที่ 5 เข้าทีมวัยรุ่น
ไม่ได้อัดบล็อกเกือบ 3ปี

pub-3852458659373246
New Comments
Friends' blogs
[Add Lee Jay's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.