- กลุ่มหลอดเลือดสมองตีบตัน
- กลุ่มเลือดออกในสมอง กลุ่มแรกพบมากประมาณ 70% ของความผิดปกติทางสมองทั้งหมด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีสาเหตุความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ผลที่เกิดได้กับทั้งผู้ป่วยหรือครอบครัว คือ ประมาณ 30% ของผู้ที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นจะเสียชีวิต อีก 30% ต้องทุพพลภาพหรือทำงานไม่ได้และเพียง 30% เท่านั้นที่หายจากโรคแต่ก็ต้องทานยาควบคุมไปตลอดชีวิต
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มี 3 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้
- เกิดจากเส้นเลือดในสมองมีการตีบแคบลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลา ซึ่งส่วนมากในคนไทยมักจะเป็นจากสาเหตุนี้
- มีก้อนเลือดแข็งตัวขนาดเล็กหลุดจากลิ้นหรือผนังหัวใจลอยไปตามกระแสเลือด และไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง อาจพบได้ในผู้ป่วยที่หัวใจโตอยู่ก่อน
- เกิดจากมีการตีบแคบลงเรื่อยๆ ของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณคอ ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหน้าตีบอาการในระยะแรกจะมาด้วยอาการแขนขาชาหรือมีอาการอ่อนแรงเป็นพักๆ หรือในบางรายมีอาการพูดไม่ออกหรือพูดไม่ชัด แต่ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหลังตีบจะมาด้วยมีอาการมึนงงเป็นๆ หายๆ ความจำไม่ดีหรือตามัวลง
อาการของสมองขาดเลือด มี 3 ระดับ
เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน และหลอดเลือดสมองก็มีขนาดต่างๆ กัน อาการของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค ตำแหน่งที่หลอดเลือดเกิดการตีบตันในสมองและขนาดของหลอดเลือดที่ตีบตันว่าเป็นหลอดเลือดใหญ่หรือ หลอดเลือดขนาดเล็ก อาการของโรคแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับคือ
- อาการน้อย คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจจะเป็นที่แขนอย่างเดียว ขาอย่างเดียว หน้าและแขน การเคลื่อนไหวช้าลง ที่ใบหน้าหรือมุมปาก ความจำเสื่อมชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออก พูดไม่ชัด แต่พอที่จะเดินได้มักไม่มีอาการปวดศีรษะ เป็นต้น อาการจะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วินาที หรือ เป็นชั่วโมงแต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง กลุ่มนี้ถ้ารักษาแต่เนิ่นๆ ภายใน 2-4 สัปดาห์มักจะกลับคืนเกือบปกติ หรือ เป็นปกติในบางราย
- อาการปานกลาง (อัมพฤกษ์) คือ อาการมักเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนสูญเสียการควบคุม การทรงตัวในบางขณะ ขยับไม่ได้หรือพูดไม่ได้เลย มีอาการตามัวครึ่งตา หรือมืดไปข้างหนึ่ง สูญเสียความทรงจำบางส่วนและความสามารถในด้านการคิดคำนวณ การตัดสินใจ และมักมีอาการทางอารมณ์ร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า หรือ หงุดหงิดมากกว่าปกติ กลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อสังเกตอาการและรีบให้การรักษาในโรงพยาบาล เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ภายใน 3-5 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ เช่น ซึมลงจากภาวะสมองบวมหรือภาวะเลือดซึมในสมอง การฟื้นตัวในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเริ่มเห็นชัดประมาณสัปดาห์ที่ 3 อาการหลังจากนี้มักจะไม่กลับมาเป็นปกติ อาจมีอาการเกร็ง พูดไม่ชัด ต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยพยุงในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้เท้า รถเข็น เป็นต้น
- อาการหนัก (อัมพาต) คือ มักไม่รู้สึกตัวตั้งแต่ต้น หรืออาการซึมลงเร็วมากภายใน 24 ชั่วโมง กลุ่มนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่หลอดเลือดสมองขนาดใหญ่ตีบตัน ในผู้ป่วยสูงอายุ มีโรคประจำตัวหลายอย่างอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือเคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมาก่อน มักเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น การติดเชื้อในปอดจากการสำลัก สมองบวม ผู้ป่วยมักจะต้องได้รับการดูแลอภิบาลในหออภิบาลผู้ป่วย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และบางรายต้องผ่าตัดเพื่อลดภาวะสมองบวม เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ ผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้ระดับหนึ่งแต่ไม่มาก แขนขาขยับเองไม่ได้ พูดไม่ได้ กล้ามเนื้อหน้าทำงานไม่เท่ากัน หนังตาตกกลอกตาไม่ได้ กลืนอาหารลำบาก ปฏิกิริยาตอบสนองช้า สูญเสียความทรงจำเนื่องจากเนื้อสมองถูกทำลายไปมาก จะต้องมีผู้ช่วยเหลือตลอดเวลา และอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ แผลกดทับ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือด
- โรคความดันโลหิตสูง 70% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคของระบบหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนปกติ เพราะจะทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายขึ้น ถ้าระดับไดแอสโตลิค 105 มิลลิเมตรปรอท จะมีโอกาสเสี่ยงมากถึง 10-12 เท่าและเมื่อลดความดันโลหิตได้ 5-6 มิลลิเมตรปรอท จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ประมาณ 40%
- โรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นเบาหวานและไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งทั่วร่างกาย ส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน อัตราเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดเป็นอัมพาตสูงกว่าคนปกติ 2-3 เท่า
- โรคหัวใจ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจชนิดขาดเลือดไปเลี้ยงมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดได้ 2-5 เท่าของคนปกติ และถ้าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเตรียวฟิบริเรชั่นมีอากาสเสี่ยงสูงได้ถึง 6 เท่า ซึ่งอาจเกิดจากการมีลิ่มเลือดไปอุดที่สมอง หรือหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ไม่เพียงพอจากการทำงานของหัวใจผิดปกติ
- การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่จะเป็นปัจจัยเสริมให้ผู้ป่วยเกิดอัมพาตได้ง่าย โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มากขึ้น หากหยุดบุหรี่ได้ 2-5 ปี พบว่าโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลง 30-40%
ปัจจัยเสี่ยงรองลงมา ได้แก่
- ภาวะที่มีไขมันหรือคลอเลสโตรอลสูงในหลอดเลือด
- ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณสูงมากเกินไป
- ภาวะขาดการออกกำลังกาย เกิดภาวะเครียดและโรคอ้วน
- ฮอร์โมน ยังไม่พบว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างชัดเจน ยกเว้นผู้หญิงที่รับประทานฮอร์โมนในปริมาณสูงร่วมกับมีความดันโลหิตสูงหรือสูบบุหรี่ร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยเพื่อให้ทราบโอกาสเสี่ยงต่อโรคสมองขาดเลือดสามารถทำได้หลายวิธี
- การตรวจเม็ดเลือดแดงเพื่อดูความเข้มข้นของเกล็ดเลือด
- การตรวจการอักเสบของหลอดเลือด
- การตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
- การตรวจวินิจฉัยรอยโรคด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูง
- การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหลอดเลือดสมองว่ามีการแตกหรือตีบตันหรือไม่
- การตรวจสมองด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) เป็นการถ่ายภาพเอกซเรย์สมองด้วยสนามแม่เหล็กที่สามารถให้รายละเอียดของสมองได้ดีและชัดเจนมากยี่งขึ้น โดยสามารถตรวจพบการตีบตันของหลอดเลือดสมองได้ตั้งแต่ในระยะแรก และยังสามารถตรวจพบความผิดปกติของสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เป็นต้น
- การตรวจหลอดเลือดด้วยสนามแม่เหล็ก (MRA) เป็นการตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณคอที่เป็นหลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองและตรวจความผิดปกติกรณีหลอดเลือดโป่งพอง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคสมองขาดเลือด
- การทำอัลตราซาวน์หลอดเลือดคอ (Carotid Duplex Ultrasound) เพื่อตรวจภาวะการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาดเลือด
- การทำคอมพิวเตอร์สมองชนิด 3 มิติ (Spiral CT Scan) เป็นเครื่องมือที่นำมาตรวจผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการมาไม่นาน และต้องรีบทำการรักษา เพราะสามารถมองเห็นหลอดเลือดอุดตันภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที และสามารถทำในผู้ป่วยได้ทุกกรณี
ทางเลือกของการรักษา
- การรักษาโดยการใช้ยา, การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
- การผ่าตัดหลอดเลือดที่คอในผู้ป่วยหลอดเลือดที่คอตีบ และเคยมีอาการของหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเพื่อป้องกัน การเกิดอัมพาตซ้ำได้
- การผ่าตัดสมอง กรณีที่มีภาวะสมองบวมร่วมด้วย
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการตรวจรักษา
ในผู้ป่วยที่ได้รับยาเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดต้องมาติดตามการรักษากับแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อปรับขนาดของยา เพราะยานี้อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ ถ้าไม่ได้รับการปรับขนาดของยาในขนาดยาที่เหมาะสม
การป้องกันการเกิดโรคสมองขาดเลือด
ทุกคนสามารถป้องกันการเป็นโรคสมองขาดเลือด หรือ อัมพฤกษ์อัมพาต ได้ด้วยการเริ่มต้นดูแลเอาใจใส่สุขภาพ และลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด ได้แก่