|
ปริญญา 2 ใบ ของไมเคิล...บทความเกี่ยวกับ MJ ที่ดีที่สุด ... โดย ว. วชิระเมธี
อ่านแล้ว ได้แง่คิดดี .. ก็นำมาฝากกันเช่นเคย ... ขอบคุณ แหล่งข้อมูล
คุณ โอเปอเรเตอร์ร้านพิซซ่านุ่งสั้น ห้องพักแพทย์ไทยคลินิก //www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1247760434;start=0
คุณ แม่น้ำนิรันดร์ ห้องเฉลิมกรุง พันทิบ //www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8084313/C8084313.html#54
ต้นฉบับ .. //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=55868
ขอบคุณทุก ๆ แหล่งข้อมูลค่ะ
 ไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อปของโลกจากไปพร้อมกับความเสียใจของแฟนเพลงมากมายทั่วโลก
มี รายงานข่าวบางกระแสระบุอีกว่า มีคนฆ่าตัวตายตามเขาไปแล้ว 12 คน บทสัมภาษณ์ของแฟนเพลงหลายคนที่เป็นชาวต่างชาติพูดถึงเขาในลักษณะรับไม่ได้ กับการจากไปในลักษณะก่อนเวลาอันควรซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ปุถุชนจะ รู้สึกเช่นนั้น
แต่ในมุมมองของพุทธศาสนา การจากไปของไมเคิล แจ็กสัน ไม่ใช่วันเวลาของความโศกเศร้า หรือร่ำหาอาลัยไม่จบสิ้น แต่ควรเป็นวันเวลาของการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต
ชีวิตของไมเคิล ควรให้คุณค่าแก่เราผู้ยังอยู่มากไปกว่าการเที่ยวตามสะสมผลงาน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งไม่มีคุณค่าแท้แต่อย่างใด เพราะสิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมคลายมนต์ขลังลงไป ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางใดๆ ขึ้นมาแก่ชีวิตของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นเพียงรอยอาลัยเล็กๆ น้อยๆ ที่จะค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาเท่านั้นเอง
ที่ถูกนั้นเราควรได้ประโยชน์จาก มรณกรรมของเขาในทางจิตใจ หรือในทางสติปัญญามากกว่าทางวัตถุ โดยเราควรถือว่า "หนึ่งคนตาย เพื่อให้ล้านคนตื่น"
การตายของไมเคิล แจ็กสัน ควรทำให้เราตื่นในหลายประเด็นด้วยกัน
ประการ ที่หนึ่ง รำลึกถึงด้านที่งดงามของตัวเขา
เช่น การที่เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ซึ่งคนอย่างนี้ร้อยปีจึงจะมีสักคนหนึ่ง เมื่อมองในแง่ดี ไมเคิล แจ็กสัน จึงนับเป็นมงกุฎแห่งดนตรีกาลที่เป็นเกียรติยศแก่ประชาคมโลก เป็นเกียรติแก่เราทุกคนที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง
ประการที่สอง รำลึกถึงแบบอย่างแห่งการมีจิตสำนึกสากลในการร่วมรับผิดชอบต่อชะตากรรม ของมนุษยชาติอันงดงามที่เขารังสรรค์ประดับไว้ในโลกาให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก ว่า
ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตอันแสนรุ่งโรจน์ของเขานั้น เขาก็ได้เคยทำสิ่งดีๆ ที่มีคุณูปการแก่มนุษยชาติอย่างน่าสรรเสริญควรเจริญรอยตามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เขาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงร่วมกับเครือข่ายคนดนตรีอีกหลายคนรังสรรค์บทเพลง พิเศษที่ชื่อ We are the world อันแสนไพเราะเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กในทวีปแอฟริกา
และเพลงต่อมาของเขา อีกเพลงหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง ความรักต่อมนุษยชาติอย่างสูงยิ่งที่เขาบรรจงขับขานฝากไว้ในยุคสมัยของเรา เพื่อสร้างกระแสแห่งการตื่นรู้ร่วมกันของชาวโลกให้หันกลับมาร่วมกันยุติ สงครามที่ระอุอยู่ทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือเพลง Heal the world
บท เพลงแห่งการุณยธรรมทั้งสองเพลงนี้ ได้รับการขับขานอย่างกึกก้องทั้งในยามที่เขายังคงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ เหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และถูกขับขานต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลายนับครั้งไม่ถ้วนในงานต่างๆ มากมายที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสากลของผู้คนในระดับโลกให้ตระหนัก รู้ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน และสงครามไม่ใช่สิ่งอันพึงประสงค์ในทุกกรณี
ไมเคิล คือ บุคคลตัวอย่างคนหนึ่งที่รู้จักใช้ความดังของตัวเองมาสร้างความเด่นในทางดี งามเพื่อเกื้อกูลสังคมและมนุษยชาติ ในลักษณะยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรมได้อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก
โลกนี้มีคน ดังมากมายที่ใช้ความดังของตัวเองต่อยอดไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่าง เดียว โดยไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับไมเคิลแล้ว เขาไม่เคยหลงลืมความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของเขา และเขาแสดงออกซึ่งจิตสำนึกด้านนี้ด้วยศักยภาพด้านดนตรีของเขาให้เราได้เห็น ประจักษ์มาแล้ว
ประการที่สาม ใครๆ มักพูดถึงไมเคิลว่า เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ที่มีเยาวภาพในหัวใจสูงมาก เสียงร้องของเขานั้นสดใส กังวานดังหนึ่งเสียงระฆังเงิน ทั้งยังมีมนต์เสน่ห์เหมือนหนึ่งจะสะกดให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยโสตลงสดับอย่าง ไม่มีทางขัดขืน แต่แล้ว อัจฉริยภาพและเยาวภาพที่ซื่อใสของเขาก็เริ่มเลือนรางจางหายไป และมีความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง รวมทั้งเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย ถึงขนาดเคยถูกตำรวจจับกุมใส่กุญแจมือ และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งเข้ามาแทนที่
คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา อัจฉริยภาพของเขาหายไปไหนหมด
ไม่ มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด เพราะคงไม่มีใครรู้จักเขาดีที่สุดเท่าตัวเขาเอง แต่จากข่าวคราวที่เราได้ทราบ และจากฐานข้อมูลที่เราพอจะสืบค้นได้ ทำให้เราพอจะสันนิษฐานได้ว่า ความยุ่งเหยิงมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คงหนีไม่พ้นเกิดจากการขาดทักษะในการดำเนินชีวิตนั่นเอง
ทักษะในการดำเนินชีวิต ก็คือ ธรรมะที่จะใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการชีวิตทั้งในยามสุขยามทุกข์ ยามรุ่งโรจน์และยามร่วงโรย
ทักษณะในการดำเนินชีวิต ก็คือ หนึ่งในปริญญาสองใบที่ผู้เขียนพูดถึงอยู่เสมอ
พระ พุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเรานั้นจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีตาครบทั้งสองข้าง ตาข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในการดำเนินชีวิตทางโลกเพื่อทำให้บุคคลสามารถดำรง ชีวิตรอดอย่างมีความสุข ตาอีกข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในทางธรรมเพื่อทำให้บุคคลสามารถบริหารจัดการ ชีวิตได้เป็นอย่างดีเวลามีความสุข (โด่งดังประสบความสำเร็จมีเงินทองมากมาย) และเวลาที่ความทุกข์เคลื่อนตัวเข้ามาสู่ชีวิตทั้งโดยคาดฝันและโดยไม่คาดฝัน มาก่อน
ตาสองข้างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปริญญา 2 ใบ
ปริญญาใบที่หนึ่ง เป็นปริญญาวิชาชีพ (ทำงานเป็น, ตั้งตัวได้)
ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาวิชาชีวิต (ปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ปัญหาได้)
ไม่ ต้องสงสัยเลยว่า ไมเคิล แจ็กสัน สอบผ่านได้ปริญญาเอก เกียรตินิยมเหรียญทองในแง่ปริญญาวิชาชีพ เพราะเขาได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขาคืออัจฉริยศิลปินที่โลกไม่ลืม และไม่มีทางหาอะไหล่สำรองได้อีกแล้ว
แต่ในแง่ปริญญาวิชาชีวิตนั้น เขาคงสอบผ่านเพียงปริญญาตรีแบบคาบเส้นเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เกิดความสมดุลได้ ชีวิตของเขาตกอยู่ในภาวะงานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์
ไมเคิล แจ็กสัน จากพวกเราสู่สวรรค์ชั้นดนตรีรุจีรัตน์เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เราทั้งหลายที่ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากชีวิตของไมเคิลอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิตของไมเคิล สิ่งนั้นเราจะต้องหามาเติมให้เต็มให้ได้ในช่วงชีวิตของเรา
ปริญญาวิชาชีพ ปริญญาวิชาชีวิต
เรา ทุกคนควรพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนได้ปริญญาเอกทั้งสองสาขานี้ให้ได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว เราทั้งหลายก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเหมือนไมเคิล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ไมเคิลจากไปแล้ว จึงหมดเวลาแก้ตัว แต่เราทุกคนที่ยังคงอยู่ ยังไม่สายเกินไปที่จะแสวงหาปริญญาทั้งสองใบนี้มาประดับชีวิตให้เกริกเกียรติ มีคุณค่า น่าภูมิใจ และจากไปอย่างคนที่สมบูรณ์ด้วยปริญญาทั้งสองใบ

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:25:29 น. |
Counter : 1026 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บางส่วนคำพูดของบุคคลที่ขึ้นมาบนเวทีงานอำลา MJ
วันที่ 7 กรกฎาคม 2009 หลังวันเกิดของเราเพียงหนึ่งวัน เป็นวันเกิดที่เศร้าที่สุด เพราะวันต่อมา เป็นงานไว้อาลัยแด่ไมเคิล แจ็คสัน
ขอรวบรวมบางคำพูดของบุคคลสำคัญที่มาร่วมงานบนเวทีในคืนนั้น ที่ทำให้เรานั่งน้ำตาไหลพรากตลอดสามชั่วโมงของงานในคืนนั้น เพื่อเป็นการสรรเสริญความดีงามของไมเคิล แจ็คสัน....ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
ขอขอบคุณ คุณ Hermione Granger ที่ได้นำมาโพสต์ไว้ในพันทิป
PASTOR LUCIOUS SMITH
"To millions around the world Michael Jackson was an idol, a hero, even a king. But first and foremost this man before us today was our brother, our son, our father and our friend.
Michael Jackson was, and always shall be, a beloved part of the Jackson family and the family of man."
ในบรรดาคนนับล้านทั่วโลก ไมเคิล แจ็คสันเป็นไอดอล เป็นฮีโร่ หรือเป็น King แต่เหนือกว่าสิ่งใด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราวันนี้ เป็นพี่ชาย เป็นลูก เป็นพ่อ และเป็นเพื่อน ...
ไมเคิล แจ็คสัน เป็น และจะเป็นบุคคลที่เป็นที่รัก และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แจ็คสัน และเป็นหนึ่งในพวกเราทุกคนตลอดไป ...

SMOKEY ROBINSON "You don't think you'll live to see them gone... He is going to live forever and ever and ever and ever."
คุณคงไม่เคยคิดว่า คุณจะต้องมาเห็นเขาจากไปก่อน ... ไมเคิล จะมีชีวิตอยู่กับเราไปชั่วนิรันดร์...

DIANA ROSS
"I'm trying to find closure, I want you to know that even though I am not there at the Staples Center I am there in my heart. I've decided to pause and be silent. This feels right for me.
"Michael was a personal love of mine, a treasured part of my world, part of the fabric of my life in a way that I can't seem to find words to express."
เธอมา แต่ฝากคำพูดให้คนอื่นมาอ่านเหรอคะ ข้อความของเธอบอกประมาณว่า แม้เธอไม่ได้มาร่วมในงานที่ สเตเปิ้ล เซ็นเตอร์ แต่เธอจะอยู่เงียบๆ และคิดถึงไมเคิล มันเป็นทางที่เธอคิดว่าดีที่สุด เพราะไมเคิลเป็นคนที่เธอรัก เป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าของเธอบนโลกใบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ฉันไม่สามารถหาคำใดๆมาอธิบายได้ ...

BERRY GORDY, MOTOWN FOUNDER
"Michael Jackson went into orbit and never came down. Though it ended way too soon, Michael's life was beautiful.
"Sure there was some sad times and maybe some questionable decisions on his part, but Michael Jackson accomplished everything he dreamed of."
ไมเคิล แจ๊คสัน ขึ้นไปยังจุดสูงสุด และจะไม่มีวันหล่นลงมา ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะจบลงเร็วเกินไป แต่ชีวิตของไมเคิล ก็สวยงาม...
แน่นอนว่าอาจจะมีช่วงเวลาที่น่าเศร้า และอาจจะมีคำถามถึงการตัดสินใจ ในช่วงชีวิตของเขา แต่ไมเคิล แจ๊คสัน ก็ได้ทำทุกอย่างที่เขาเคยฝันไว้

STEVIE WONDER "This is a moment that I wish that I didn't live to see come.
"But as much as I can say that and mean it, I do know that God is good and I do know that as much as we may feel - and we do - that we need Michael here with us, God must have needed him far more."
นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมหวังว่า ผมคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นวันนี้ ...
เท่าที่ผมสามารถเอ่ยได้ .. ผมรู้ว่าพระเป็นเจ้านั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด และผมก็รู้ว่า ยิ่งเรารู้สึก และเมื่อเรากระทำสิ่งใด .. อย่างที่เราต้องการให้ไมเคิลอยู่ที่นี่กับเรามากเพียงไร ... พระองค์คงต้องการไมเคิลมากกว่าเรานัก ...

BROOKE SHIELDS
"Michael was one of a kind. Whenever we were out together and there would be a picture taken, there would be caption of some kind, and the caption usually said something like, 'an odd couple' or 'an unlikely pair.'
ไมเคิลเป็นคนที่จิตใจดีที่สุดคนนึง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราออกไปด้วยกัน เราจะต้องถูกถ่ายรูป และจะต้องถูกพูดถึงใต้ภาพว่า "คู่ที่แปลกประหลาด" หรือ "คู่ที่ช่างไม่สมกันเลย"
"But to us it was the most natural and easiest of friendships. I was 13 when we met, and from that day on our friendship grew. Michael always knew he could count on me to support him or be his date.
แต่สำหรับเรา มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติ แต่ง่ายดายที่สุด ในการที่จะเป็นเพื่อนกับไมเคิล ตอนนั้น ฉันอายุ 13 ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก และจากวันนั้น มิตรภาพของเราก็เติบโตขึ้น.. ไมเคิลรู้เสมอว่าเขาสามารถไว้ใจฉัน ให้คอยช่วยเหลือเขาหรือแม้กระทั่ง to be his date !!! (แปลว่าไรดี)
"We had a bond. Maybe it was because we both understood what it was like to be in the spotlight from a very, very young age. Both of us needed to be adults very early, but when we were together, we were two little kids having fun."
เรามีอะไรบางอย่างที่สื่อถึงกัน บางทีอาจจะเพราะเราทั้งคู่ต่างเข้าใจในสภาวะที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงไฟตั้งแต่ยังเด็ก.. เด็กมากๆ
เราทั้งคู่ต่างต้องเป็นผู้ใหญ่ก่อนเด็กคนอื่นๆ แต่เมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราต่างเป็นแค่เด็กเล็กๆสองคน ที่เล่นสนุกสนานกัน ...
และนี่คือจากหนังสือ Little Prince ที่เธออ่านให้ MJ
"What moves me so deeply, about this sleeping prince...is his loyalty to a flower--the image of a rose shining within him like a flame within a lamp, even when he's asleep. And I realized he was even more fragile than I had thought. Lamps must be protected. A gust of wind can blow them out."
สิ่งที่จับใจฉันอย่างมาก เกี่ยวกับเจ้าชายที่นอนหลับไหลอยู่ตรงนี้ คือความซื่อตรงที่เขามีต่อดอกไม้ คือภาพดอกกุหลาบดอกหนึ่ง ซึ่งส่องแสงเจิดจ้าในตัวเขา ดุจเปลวไฟในตะเกียง แม้ในยามที่เขาหลับอยู่
.
เจ้าชายน้อย บอบบางมากกว่าที่ฉันคิด เขาเหมิอนกับตะเกียงที่เราต้องคอยระวังเพราะลมพัดเพียงวูบเดียว ก็อาจทำให้แสงแห่งตะเกียงนั้นดับวูบลงได้ ... "Eyes are blind. You have to look with the heart. What's most important is invisible."
ตานั้นมืดบอดได้ คุณต้องมองมันด้วยหัวใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด เราใช้ตามองไม่เห็นมันหรอก ...

MAGIC JOHNSON
"I want to thank Michael for opening up so many doors for African Americans to be on daytime shows, late night shows. He allowed Kobe [Bryant] and I to have our jerseys in people's homes across the world, because he was already there."
ผมอยากขอบคุณไมเคิล แจ๊คสัน ที่เป็นคนเปิดประตูหลายๆบานให้กับเรา ชาว แอฟริกัน อเมริกัน ให้ได้มีโอกาสต่างๆมากมาย เขาทำให้ผมและโคบี้ ได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก (มีเสื้อของเขากับโคบี้ติดอยู่ตามบ้านต่างๆทั่วโลก เหมือนมีแฟนคลับทั่วโลก) เป็นเพราะเขาได้นำทางไปไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ...
มีเรื่อง KFC อีก น่ารักมากๆ จอห์นสันเล่าให้ฟังว่า ไมเคิลอยากให้เขาเล่น MV remember the time ก็เลยได้นัดกินข้าวกัน ปรากฏว่า ไมเคิลเอาไก่ KFC มานั่งกิน (รู้สึกว่าขณะที่ ของจอห์นสันนั้น ไมเคิลเตรียม ไก่อบมาให้ :) ) สุดท้าย ก็เลยได้แบ่งกันกิน ไก่ KFC ที่พื้น แล้วได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายๆเรื่อง
จอห์นสันบอกว่า นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเขาเลย ...

QUEEN LATIFAH
"I'm here representing millions of fans around the world who grew up listening to Michael, being inspired and loving Michael from a distance.
Somehow when Michael Jackson sang and when he danced... we felt he was right there. He made you believe in yourself."
ฉันมาที่นี่ ในฐานะของตัวแทนของแฟนๆที่อยู่ทั่วโลก ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับฟังเพลงของไมเคิล ได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ได้รักไมเคิล แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกับเขาแค่ไหนก็ตาม
บางครั้ง เวลาไมเคิลร้องเพลง หรือเต้น เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า เขาอยู่ตรงหน้าเราเขาทำให้เรานั้น เชื่อมั่นในตัวเอง ..
REV AL SHARPTON
"it was Michael Jackson that brought blacks and whites and Asians and Latinos together.
Michael made us love each other.
"I want his three children to know, there wasn't nothing strange about your daddy. It was strange what your daddy had to deal with. He dealt with it anyway. He dealt with it for us."
ไมเคิล แจ๊คสัน ที่ทำให้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะขาว ดำ เอเชี่ยน หรือลาติน สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ...
ไมเคิลทำให้เรารักกันและกัน ...
ผมอยากบอกลูกๆทั้งสามของไมเคิลให้ได้รู้ ไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับพ่อของหนู แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญรอบๆตัวต่างหากที่มันน่าประหลาด และเขาก็ต้องรับมือกับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เขาพยายามรับมือกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อเราทุกคน ...

MARLON JACKSON, BROTHER
Michael, when you left us, a part of me went with you. ... I will treasure the good times, singing, dancing, laughing. ... We will never understand what he endured ... being judged, ridiculed. How much pain can one take?
Maybe, now, Michael, they will leave you alone."
ไมเคิล เมื่อคุณจากเราไป ส่วนหนึ่งของเรา ก็จากไปพร้อมกับคุณด้วย ผมจะจดจำช่วงเวลาที่ดีของเรา ที่เราร้องเพลง เต้นรำ หัวเราะไปด้วยกัน เราไม่อาจจะเข้าใจได้สิ่งที่เขาต้องยืนหยัดอดทนอยู่กับมัน การถูกตราหน้าตัดสิน การถูกเยาะเย้ย
คนคนนึงจะทนรับความเจ็บปวดได้มากมายแค่ไหนกัน ...
บางทีนะไมเคิล ตอนนั้น พวกเขาคงจะยอมให้คุณได้อยู่คนเดียวบ้าง ...

PARIS JACKSON, 11, DAUGHTER
"I just wanted to say, ever since I was born, Daddy has been the best father you can ever imagine. And I just wanted to say I love him so much."

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:26:16 น. |
Counter : 1234 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สารจากใจผ่านบทเพลง "ไมเคิล แจ็กสัน" เมื่อสิ่งแสนเปราะบาง...พยายามปกป้องโลก
จาก //www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072861 โดย Co-Op 28 มิถุนายน 2552 04:57 น. โดย อดิศร Hungry For More
"ทำไมไม่พิมพ์ไปเลยละว่าผมเป็นเอเลี่ยนจากดาวอังคาร บอกพวกเขาว่าผมกินไก่เป็นๆ และเต้นวูดูตอนเที่ยงคืน ยังไงคนก็เชื่อทุกอย่างที่คุณบอก เพราะพวกคุณคือนักข่าว แต่ถ้ากลับกันเป็นผมไมเคิล แจ็กสันพูดบ้างว่า 'ผมเป็นเอเลี่ยนจากดาวอังคารและผมกินไก่เป็นๆ และเต้นวูดูตอนเที่ยงคืน' ผู้คนจะบอกว่า 'โอ้ พวก ไมเคิล แจ็กสันอะไรนั่นมันเพี้ยนไปแล้ว เขาสติแตก คุณไม่มีวันเชื่ออะไรก็แล้วแต่ที่หลุดออกมาจากปากเขาได้เลย' " - ไมเคิล แจ็กสัน สำหรับศิลปินในยุคเก่า วิธีที่เราจะเรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาได้ก็คือสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งความเที่ยงตรงนั้นขึ้นอยู่กับความแม่นยำและจิตสำนึกของผู้จดบันทึกเป็นสำคัญ แต่สิ่งที่สามารถบอกเรื่องราวของศิลปินเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือผลงานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาที่ทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ทั้งความวิจิตรในภาพโมนาลิซาของดาวินชี หรือความยิ่งใหญ่ในซิมโฟนีหมายเลข 5 ของบีโธเฟน ที่ล้วนแต่บอกเรื่องราวของตัวเจ้าได้ดีกว่าชีวประวัติเล่มไหนๆ แต่น่าเสียดายที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา เราเองคงต้องมาศึกษาผลงานเพลงของ ไมเคิล แจ็กสัน ศิลปินเพลงที่โด่งดังที่สุดของศตวรรษที่ 20 เพื่อทำความรู้จักตัวเขาให้ดีขึ้น เพราะเจ้าตัวไม่สามารถออกมาอธิบายถึงแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังผลงานเหล่านั้นได้อีกต่อไปแล้ว

คนที่รู้จักไมเคิล แจ็กสันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ประเภทหนึ่งคือคนที่รู้จัก ไมเคิล แจ็กสัน ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลก การขยับตัวไปไหนของเขาจึงได้รับความสนใจอยู่ตลอดเวลา และยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้จะวัดตามมาตรฐานของคนดังด้วยกันก็ตาม มุมชีวิตในส่วนนี้ของเขาจึงกลายเป็นประเด็นที่สื่อต่างๆ จ้องจะนำเสนออยู่ตลอดเวลา อีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่รู้จักเขาในฐานะ ศิลปินนักร้องที่ดีที่สุดในรอบศตวรรษ และสิ่งที่คนเหล่านี้สนใจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการเปลี่ยนสีผิว, รสนิยมทางเพศ หรือกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่หนังสือพิมพ์ต้องการนำเสนอ สิ่งเดียวที่พวกเขาแคร์ก็คือบทเพลงและการแสดงอันตื่นตาที่ศิลปินคนนี้มอบเอาไว้แก่วงการกว่า 3 ทศวรรษ และคงจะเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เราจดจำมากกว่าเรื่องไหนๆ 4 เพลงที่นำเสนอในบทความนี้ถือเป็น 4 เพลงที่ไมเคิล แจ็กสันแต่งขึ้นมาเองทั้งเนื้อร้องและดนตรีโดยไม่ได้ร่วมงานกับใคร เป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ถ่ายทอดออกมาในช่วงที่เส้นกราฟของความสามารถและปัญหาในชีวิตส่วนตัวตัดผ่านกันพอดี คืออยู่ในช่วงจุดสุดยอดของความคิดสร้างสรรค์บนเส้นทางอาชีพ ก่อนที่เรื่องราวในชีวิตส่วนตัวที่ยุ่งเหยิงจะเข้ามาแทนที่ *************** Childhood เป็นผลงานซิงเกิลแรก (Scream/Childhood) จากอัลบั้มรองสุดท้ายเมื่อปี 1995 อย่าง HIStory: Past, Present and Future, Book I ที่เป็นการระบายออกถึงความอัดอั้นตันใจกับช่วงเวลาเลวร้ายในวัยเด็กของเขา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความเข้มงวดในการปลุกปั้นให้เขาเป็นนักร้องของผู้เป็นพ่อ ที่กลายเป็นการทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจต่อไมเคิลจนยากที่จะลืม เป็นบทเพลงที่งดงามไพเราะด้วยเปียโนและเสียงเครื่องสาย คล้ายๆ กับเพลง Gone To Soon จากผลงานชุด Dangerous เช่นเดียวกับความเหงาและเศร้าที่ผู้ฟังสามารถสัมผัสได้ทั้งจากดนตรีและเนื้อร้อง Have you seen my Childhood? I'm searching for the world that I come from 'Cause I've been looking around In the lost and found of my heart No one understands me They view it as such strange eccentricities 'Cause I keep kidding around Like a child, but pardon me คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า? ผมเฝ้าค้นหาโลกที่ผมจากมา เพราะผมเคยเฝ้ารอสิ่งที่สูญหายไปจากใจของผม ไม่มีใครเข้าใจผมเลย พวกเขามองว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาด เพราะผมชอบทำตัวสนุกสนานเหมือนกับเด็กๆ แต่ยกโทษผมเถอะน่ะ People say I'm not okay(strange that way) Cause I love such elementary things It's been my fate to compensate, for the Childhood I've never known ใครๆ ก็ว่าผมไม่ปกติ(ที่แปลกประหลาดอย่างนี้) เพราะว่าผมรักในสิ่งที่แสนจะเรียบง่าย มันจึงกลายเป็นชะตากรรมของผมที่ต้องค้นหาสิ่งที่จะชดเชย ให้กับวัยเยาว์ ที่ผมไม่รู้จัก Have you seen my Childhood? I'm searching for that wonder in my youth Like pirates in adventurous dreams,Of conquest and kings on the throne... Like fantastical stories to share But the dreams I would dare, watch me fly คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า? ผมเฝ้าค้นหาความงดงามในช่วงวัยเด็กของผม ทั้งโจรสลัดผจญภัยในความฝัน การบุกพิชิต และราชาครองบัลลังก์ ทั้งนิทานเหนือจินตนาการที่มาแบ่งกันเล่าให้ฟัง ในความฝันผมจะเปี่ยมด้วยความกล้า มองผมบินซิ Before you judge me, try hard to love me, Look within your heart then ask The painful youth I've had Have you seen my Childhood ก่อนที่คุณจะตัดสินอะไรผม พยายามรักผมก่อนได้ไหม โปรดมองลึกๆ เข้าไปในใจคุณก่อนที่จะตั้งคำถามกับผม ความเจ็บปวดในวัยเด็กที่ผมได้รับ คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า? *************** Will You Be There ที่เหมือนกันระหว่าง Childhood และ Will You Be There ก็คือเป็นซาวด์แทร็กประกอบหนังเด็กอย่าง Free Willy ด้วยกันทั้งคู่ (คนละภาค) เป็นเพลงบัลลาดสไตล์กอสเปลที่ไพเราะ มีพลัง และให้ความประทับใจทุกครั้งที่ได้ฟัง เนื้อเพลงสะท้อนถึงแรงกดดันที่เขาได้รับจากรอบด้านตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพลงนี้ทำให้นึกถึง I'll Be There ผลงานเพลงของไมเคิลสมัย Jackson 5 ที่เขาร้องเอาไว้จนโด่งดังเมื่อปี 1970 (ผลงานการแต่งโดยเจ้าพ่อโมทาวน์ แบร์รี กอร์ดี) ซึ่งเนื้อหาของเพลงนั้นเป็นเหมือนการให้สัญญาของไมเคิลต่อแฟนเพลงว่าเขาจะรอคอยแฟนเพลงทุกๆ คน จนอีก 20 ปีต่อมาเขาถึงถามกลับไปบ้างว่า เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่เขาอาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนแต่ก่อน และต้องเผชิญอุปสรรมากมายในชีวิตเหมือนกับปุถุชนทั่วไป จะมีใครซักคนไหมที่จะรอคอยเพื่อที่จะอยู่เคียงข้างเขาจริงๆ และดูเหมือนจะเป็นคำถามที่เขาไม่ได้รับคำตอบจนวันสุดท้ายของชีวิต Hold me Like the river Jordan And I will then say to thee You are my friend Carry me Like you are my brother Love me like a mother Will you be there? โอบกอดผม เหมือนกับมหานทีแห่งจอร์แดน และผมจะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า พวกคุณคือสหายของผม โอบอุ้มผม เหมือนกับเราเป็นพี่น้องกัน รักผมดุจดั่งมารดา บอกซิว่าคุณจะยังคงเคียงข้างผมไหม? Weary Tell me will you hold me? When wrong, will you scold me? When lost, will you find me? แสนอ่อนล้า บอกอีกทีซิว่าคุณจะโอบกอดผมไหม? เมื่อผมพลาดคุณจะดุด่าผมไหม? เมื่อผมหลงทาง คุณจะตามหาผมไหม? But they told me A man should be faithful And walk when not able And fight 'til the end But I'm only human แต่พวกเขาบอกผมว่า มนุษย์ควรมีศรัทธา จงก้าวเดินต่อไปแม้ไม่สามารถ และจงสู้จนวันสุดท้าย แต่ผมเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น Everyone's taking control of me Seems that the world's Got a role for me I'm so confused Will you show it to me? You'll be there for me And care enough to bear me ใครๆ ต่างพยายามเข้ามาควบคุมผม ดูเหมือนว่าโลกได้มอบบทบาทให้กับผมไปแล้ว ผมสับสนเหลือเกิน คุณช่วยแสดงให้เห็นได้ไหม? ว่าจะอยู่เคียงข้างผม และห่วงใยพอที่จะยืนหยัดเพื่อผม In our darkest hour In my deepest despair Will you still care? Will you be there? In my trials And my tribulations Through our doubts And frustrations In my violence In my turbulence Through my fear And my confessions ในโมงยามที่มืดมิดที่สุดของเรา ในความทุกข์ระทมที่สุดของผม คุณจะยังห่วงใยไหม? คุณจะเคียงข้างผมไหม? ในอุปสรรคและความยากลำบากของผม จนถึงความลังเลและความขัดแย้งของเรา ในความรุนแรงและความสับสนของผม จนถึงความกลัวและการสำนึกผิดของผม In my anguish and my pain Through my joy and my sorrow In the promise of another tomorrow I'll never let you part For you're always in my heart ในความรวดร้าวและความเจ็บปวดของผม จนถึงความปิติและความโศกเศร้าของผม ในคำสัญญาแห่งวันพรุ่งนี้ ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณเดียวดาย เพราะคุณอยู่ในใจของผมเสมอ *************** Earth Song ในความอ่อนไหวกับเรื่องราวในใจทั้งหมด แต่กระนั้นไมเคิลก็ยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่แต่งเพลงเพื่อส่งเสริมความศิวิไลซ์ของมนุษยชาติมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ We Are the World, Man in the Mirror, Heal the World แต่ที่แตกต่างในเพลงนี้ก็คือเพลงก่อนๆ เขาจะนำเสนอในเชิงร้องขอความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ แต่เนื้อหาเพลงนี้ถูกนำเสนออย่างตรงไปตรงมา ทั้งเนื้อเพลงที่กล่าวในเชิงตัดพ้อต่อความเมินเฉยของมนุษย์ต่อสันติภาพและสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะเลวร้ายทุกที ซาวด์ดนตรีที่ไม่ได้เน้นที่ความไพเราะหรือให้ความหวัง แต่แสดงความโหยหวน วังเวง และโกรธแค้น ถ้าโลกมนุษย์ต้องถึงจุดจบในวันพรุ่งนี้ เพลงนี้คงถูกพูดถึงเป็นเพลงแรก What about sunrise What about rain What about all the things That you said we were to gain What about killing fields Is there a time What about all the things That you said was yours and mine เกิดอะไรขึ้นกับรุ่งอรุณ ลมฝนหายไปไหน เกิดอะไรขึ้นต่อสิ่งที่คุณเคยบอกว่าเราได้เก็บเกี่ยวด้วยกัน เกิดอะไรขึ้นกับทุ่งสังหาร ยังพอมีเวลาเหลือไหม เกิดอะไรขึ้นต่อสิ่งที่คุณเคยบอกว่าเป็นทั้งของคุณและของผม What have we done to the world Look what we've done What about all the peace That you pledge your only son What about flowering fields Is there a time What about all the dreams That you said was yours and mine เราทำอะไรลงไปกับโลกใบนี้ ดูสิ่งที่เราทำเถิด เกิดอะไรขึ้นกับสันติภาพที่คุณเคยสัญญาไว้ต่อบุตรของพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับสวนดอกไม้ที่งอกงาม ยังพอมีเวลาเหลือไหม เกิดอะไรขึ้นต่อความฝันทั้งหลายที่คุณบอกว่าเป็นทั้งของคุณและของผม I used to dream I used to glance beyond the stars Now I don't know where we are Although I know we've drifted far ผมเคยมีความฝัน ผมเคยเฝ้ามองออกไปไกลเกินดวงดาวในอวกาศ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเราอยู่กันที่ไหน แต่ผมรู้ว่าเราหลงทางกันมาไกลเหลือเกิน Did you ever stop to notice All the blood we've shared before All the children dead from war Did you ever stop to notice This crying Earth this weeping shores คุณเคยหยุดสังเกตดูสักครั้งไหม มีเลือดกี่หยดที่เราต้องหลั่งไปในอดีต มีเด็กกี่คนที่ต้องตายจากสงคราม คุณเคยหยุดสังเกตดูสักครั้งไหม พิภพกำลังกรีดร้อง ทุกชายฝั่งกำลังร่ำไห้ *************** Heal The World แม้ Earth Song จะได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นที่รู้จักของแฟนเพลงในวงกว้างมากนัก ต่างกับเพลง Heal The World ที่ถูกแต่งออกมาเหมือนกับเป็นน้องสาวของ We Are the World ทั้งเนื้อหาของเพลงและโครงสร้างดนตรีที่เพราะติดหู โดยเฉพาะท่อนประสานเสียงที่ทรงพลังจนเรียกน้ำตาของผู้ฟังได้ทุกเมื่อ เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยภาษาที่เรียบง่าย เพราะกลุ่มผู้ฟังหลักของเพลงนี้ก็คือเด็ก อันเป็นความหวังในอนาคตที่จะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นหลังจากที่ผู้แต่งจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นผลงานที่ไมเคิลภูมิใจที่สุด จากบรรดาเพลงเยี่ยมๆ อีกมากมายที่เขาสร้างสรรค์ในฐานะนักแต่งเพลงเพื่อชาวโลก There's A Place In Your Heart And I Know That It Is Love and this place could Much Brighter Than Tomorrow And If You Really Try You'll Find There's No Need To Cry In This Place You'll Feel That There's No Hurt Or Sorrow มันมีสถานที่หนึ่งในหัวใจของคุณ ที่ผมรู้ว่ามันคือความรัก และมันเป็นสถานที่ที่สว่างไสวยิ่งกว่าวันพรุ่งนี้ และถ้าคุณพยายามมากพอ คุณจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องร้องไห้ ในสถานที่นี้คุณจะรู้ว่ามันไม่มีทั้งความเจ็บปวดและความเศร้า If You Want To Know Why There's A Love That Cannot Lie Love Is Strong It Only Cares For Joyful Giving If We Try We Shall See In This Bliss We Cannot Feel Fear Or Dread We Stop Existing And Start Living ถ้าคุณอยากรู้เหตุผล มันยังมีความรักที่ไม่หลอกลวง ความรักช่างเข้มแข็ง ที่หวังเพียงการให้ที่แสนปิติ ถ้าเราลองพยายาม เราจะได้เห็น ในความเปี่ยมสุขที่เราจะไม่รู้สึก- -ทั้งความหวาดกลัวและความหวาดหวั่น เราหยุดสิ่งที่เป็นอยู่ และเริ่มต้นใช้ชีวิตร่วมกัน And The Dream We Were Conceived In Will Reveal A Joyful Face And The World We Once Believed In Will Shine Again In Grace Then Why Do We Keep Strangling Life Wound This Earth Crucify Its Soul Though It's Plain To See This World Is Heavenly Be God's Glow และความฝันที่เราสร้างขึ้นจากใจจะฉายผ่านใบหน้าที่สดใส และโลกที่เราเคยศรัทธาจะเปล่งประกายอีกครั้งอย่างสง่างาม แล้วใยเรายังใช้ชีวิตอย่างป่าเถือน ทั้งเชือดเฉือนโลก ทรมานดวงวิญญานของโลก ทั้งๆ ที่ประจักษ์อย่างแจ่มชัดว่าโลกเรานี้น่าอยู่ดั่งสรวงสวรรค์ จงเป็นประทีปแห่งพระเจ้าเถิด We Could Fly So High Let Our Spirits Never Die In My Heart I Feel You Are All My Brothers Create A World With No Fear Together We'll Cry Happy Tears See The Nations Turn Their Swords Into Plowshares เราสามารถล่องลอยได้ไกลโพ้น ขอให้จิตวิญญาณเราไม่เหือดหาย ในหัวใจ ผมรู้สึกว่าเราทั้งหมดคือพี่น้องกัน จงสร้างโลกใหม่ที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว เราจะมาหลั่งน้ำตาแห่งความสุขด้วยกัน จะได้เห็นมนุษยชาติเปลี่ยนมีดดาบที่ไว้เข่นฆ่า กลายเป็นใบมีดเพื่อการปลูกไถร่วมกัน We Could Really Get There If You Cared Enough For The Living Make A Little Space To Make A Better Place เราจะไปถึงสิ่งนั้นได้จริงๆ ถ้าคุณใส่ใจต่อการใช้ชีวิตร่วมกัน เพิ่มที่ว่างซักนิด ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น Heal The World Make It A Better Place For You And For Me And The Entire Human Race There Are People Dying If You Care Enough For The Living Make A Better Place For You And For Me เยี่ยวยาโลกของเรา ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อคุณและเพื่อผม และเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล มีผู้คนมากมายที่กำลังจะตายจากไป แต่ถ้าคุณใส่ใจต่อการอยู่ร่วมกันมากพอ ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อคุณและเพื่อผม Heal the world we live in Save it for our children เยี่ยวยาโลกที่เราอาศัย รักษาไว้เพื่อลูกหลานของเรา

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:27:03 น. |
Counter : 786 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ผลงานชิ้นเอกของMichael Jackson: We are the world
จาก //www.oknation.net/blog/StayFoolish วันเสาร์ ที่ 27 มิถุนายน 2552 Posted by ประยูร
 ฟังเพลงวันหยุด (3) : ผลงานชิ้นเอกของMichael Jackson: We are the world:
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)
วันนี้ขอผิดคิวนิดหนึ่งครับ ตามแผนเดิมนั้น สัปดาห์นี้ ผมได้เตรียมจะพูดถึงความเป็นมาของ We Shall Overcome ซึ่งเป็นเพลงตำนาน สำหรับหนุ่มสาวยุคขบถในช่วง 1960s แต่เนื่องจาก การจากไปของ Michael Jackson ผมจึงขอนำอีกเพลงหนึ่ง ซึ่งผมชื่นชอบทั้งในเนื้อหา และ ความไพเราะของเพลง ตลอดไปถึงบทบาทการทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์ของ Michael Jackson เพลงที่ผมจะนำมาแนะนำวันนี้ คือ We are the World
 (Michael Jackson และ Lionel Richie)
We Are the World เป็นเพลงที่โด่งดังมากในปี 1985 ผู้ประพันธ์เพลงคือ Michael Jackson และ Lionel Richie เพลงนี้ แต่งขึ้นโดยมีเป้าหมายทางมนุษยธรรม เพื่อใช้ในการหาทุนสำหรับช่วยเหลือ บรรเทาสภาวะอดหยากในอัฟริกา โดยเฉพาะ ความแห้งแล้งอย่างหนัก ในเอธิโอเปีย ในช่วงปี 1984/1985 We Are the Worldขับร้อง โดยกลุ่มศิลปิน ที่เรียกตัวเองว่าUSA for Africa (United Support of Artists for Africa) กลุ่มดังกล่าวประกอบด้วยศิลปินนักร้อง45 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน อันประกอบด้วย Harry Belafonte Stevie Wonder Michael Jackson Lionel Richie
We are the Worldนี้ ติดอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ในวันที่ 17 เมษายน 1985 และคงอันดับนี้ ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน ขณะเดียวกัน ยังเป็นเพลงซิงเกิลท ี่ขายดีที่สุด ของปี 1985 ในสหรัฐฯ เพลงนี้ติดอันดับหนึ่งในอังกฤษ และ ติดสิบอันดับแรก ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก กลุ่มศิลปินเดียวกันนี้ ได้ผลักดันกิจกรรมเพื่อการกุศลที่เรียกว่า โอบมือรอบอเมริกา (Hands Across America) ซึ่งมีชาวอเมริกันประมาณเจ็ดล้านคนเข้าร่วม โดยทำการจับมือกันและกัน สร้างเป็นห่วงโซ่มนุษย์จากฝั่งตะวันออก ไปสู่ฝั่งตะวันตกของประเทศ เป็นเวลาสิบห้านาที รายได้ จากกิจกรรมทั้งสอง สามารถรวบรวมเงินได้ถึง หนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ

(Hands Across America)
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:28:33 น. |
Counter : 883 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
แดุ่ไมเคิล ที่รัก....
ตั้งใจทำบล็อกนี้ เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมบทความดี ๆ ที่เขียนเรื่องราวของคุณ..
ผลงานที่งดงาม..
ภาพแห่งความประทับใจที่ทิ้งร่องรอยของคุณไว้ ณ โลกใบนี้...
โลกที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะปกป้อง...หวงแหน...
ด้วยความรักและปรารถนาทีุ่ลึกซึ้งต่อผู้คนทั้งหลาย...
สิ่งที่ฉันทำได้เพื่อคุณช่างเล็กน้อยราวหยดน้ำในมหาสมุทร
เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ...
พักให้สบายนะ...
สักวันเราคงได้พบกันอีกครั้งในบ้านของพระเจ้า.....
|
|
|
|
|
|
|
|