Love Lives Forever...I do it for u, Michael Jackson...You're always in my heart...
Group Blog
 
All Blogs
 

ปริญญา 2 ใบ ของไมเคิล...บทความเกี่ยวกับ MJ ที่ดีที่สุด ... โดย ว. วชิระเมธี

อ่านแล้ว ได้แง่คิดดี .. ก็นำมาฝากกันเช่นเคย ...
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล

คุณ โอเปอเรเตอร์ร้านพิซซ่านุ่งสั้น ห้องพักแพทย์ไทยคลินิก
//www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1247760434;start=0

คุณ แม่น้ำนิรันดร์ ห้องเฉลิมกรุง พันทิบ
//www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/C8084313/C8084313.html#54

ต้นฉบับ ..
//www.posttoday.com/lifestyle.php?id=55868

ขอบคุณทุก ๆ แหล่งข้อมูลค่ะ

ไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อปของโลกจากไปพร้อมกับความเสียใจของแฟนเพลงมากมายทั่วโลก

มี รายงานข่าวบางกระแสระบุอีกว่า มีคนฆ่าตัวตายตามเขาไปแล้ว 12 คน บทสัมภาษณ์ของแฟนเพลงหลายคนที่เป็นชาวต่างชาติพูดถึงเขาในลักษณะรับไม่ได้ กับการจากไปในลักษณะก่อนเวลาอันควรซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ปุถุชนจะ รู้สึกเช่นนั้น

แต่ในมุมมองของพุทธศาสนา การจากไปของไมเคิล แจ็กสัน ไม่ใช่วันเวลาของความโศกเศร้า หรือร่ำหาอาลัยไม่จบสิ้น แต่ควรเป็นวันเวลาของการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต


ชีวิตของไมเคิล ควรให้คุณค่าแก่เราผู้ยังอยู่มากไปกว่าการเที่ยวตามสะสมผลงาน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งไม่มีคุณค่าแท้แต่อย่างใด เพราะสิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมคลายมนต์ขลังลงไป ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางใดๆ ขึ้นมาแก่ชีวิตของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นเพียงรอยอาลัยเล็กๆ น้อยๆ ที่จะค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาเท่านั้นเอง

ที่ถูกนั้นเราควรได้ประโยชน์จาก มรณกรรมของเขาในทางจิตใจ หรือในทางสติปัญญามากกว่าทางวัตถุ โดยเราควรถือว่า "หนึ่งคนตาย เพื่อให้ล้านคนตื่น"

การตายของไมเคิล แจ็กสัน ควรทำให้เราตื่นในหลายประเด็นด้วยกัน

ประการ ที่หนึ่ง รำลึกถึงด้านที่งดงามของตัวเขา

เช่น การที่เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ซึ่งคนอย่างนี้ร้อยปีจึงจะมีสักคนหนึ่ง เมื่อมองในแง่ดี ไมเคิล แจ็กสัน จึงนับเป็นมงกุฎแห่งดนตรีกาลที่เป็นเกียรติยศแก่ประชาคมโลก เป็นเกียรติแก่เราทุกคนที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง

ประการที่สอง รำลึกถึงแบบอย่างแห่งการมีจิตสำนึกสากลในการร่วมรับผิดชอบต่อชะตากรรม ของมนุษยชาติอันงดงามที่เขารังสรรค์ประดับไว้ในโลกาให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก ว่า

ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตอันแสนรุ่งโรจน์ของเขานั้น เขาก็ได้เคยทำสิ่งดีๆ ที่มีคุณูปการแก่มนุษยชาติอย่างน่าสรรเสริญควรเจริญรอยตามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เขาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงร่วมกับเครือข่ายคนดนตรีอีกหลายคนรังสรรค์บทเพลง พิเศษที่ชื่อ We are the world อันแสนไพเราะเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กในทวีปแอฟริกา

และเพลงต่อมาของเขา อีกเพลงหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง ความรักต่อมนุษยชาติอย่างสูงยิ่งที่เขาบรรจงขับขานฝากไว้ในยุคสมัยของเรา เพื่อสร้างกระแสแห่งการตื่นรู้ร่วมกันของชาวโลกให้หันกลับมาร่วมกันยุติ สงครามที่ระอุอยู่ทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือเพลง Heal the world

บท เพลงแห่งการุณยธรรมทั้งสองเพลงนี้ ได้รับการขับขานอย่างกึกก้องทั้งในยามที่เขายังคงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ เหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และถูกขับขานต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลายนับครั้งไม่ถ้วนในงานต่างๆ มากมายที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสากลของผู้คนในระดับโลกให้ตระหนัก รู้ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน และสงครามไม่ใช่สิ่งอันพึงประสงค์ในทุกกรณี

ไมเคิล คือ บุคคลตัวอย่างคนหนึ่งที่รู้จักใช้ความดังของตัวเองมาสร้างความเด่นในทางดี งามเพื่อเกื้อกูลสังคมและมนุษยชาติ ในลักษณะยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรมได้อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก

โลกนี้มีคน ดังมากมายที่ใช้ความดังของตัวเองต่อยอดไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่าง เดียว โดยไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับไมเคิลแล้ว เขาไม่เคยหลงลืมความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของเขา และเขาแสดงออกซึ่งจิตสำนึกด้านนี้ด้วยศักยภาพด้านดนตรีของเขาให้เราได้เห็น ประจักษ์มาแล้ว


ประการที่สาม ใครๆ มักพูดถึงไมเคิลว่า เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ที่มีเยาวภาพในหัวใจสูงมาก เสียงร้องของเขานั้นสดใส กังวานดังหนึ่งเสียงระฆังเงิน ทั้งยังมีมนต์เสน่ห์เหมือนหนึ่งจะสะกดให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยโสตลงสดับอย่าง ไม่มีทางขัดขืน แต่แล้ว อัจฉริยภาพและเยาวภาพที่ซื่อใสของเขาก็เริ่มเลือนรางจางหายไป และมีความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง รวมทั้งเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย ถึงขนาดเคยถูกตำรวจจับกุมใส่กุญแจมือ และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งเข้ามาแทนที่

คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา อัจฉริยภาพของเขาหายไปไหนหมด

ไม่ มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด เพราะคงไม่มีใครรู้จักเขาดีที่สุดเท่าตัวเขาเอง แต่จากข่าวคราวที่เราได้ทราบ และจากฐานข้อมูลที่เราพอจะสืบค้นได้ ทำให้เราพอจะสันนิษฐานได้ว่า ความยุ่งเหยิงมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คงหนีไม่พ้นเกิดจากการขาดทักษะในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

ทักษะในการดำเนินชีวิต ก็คือ ธรรมะที่จะใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการชีวิตทั้งในยามสุขยามทุกข์ ยามรุ่งโรจน์และยามร่วงโรย

ทักษณะในการดำเนินชีวิต ก็คือ หนึ่งในปริญญาสองใบที่ผู้เขียนพูดถึงอยู่เสมอ

พระ พุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเรานั้นจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีตาครบทั้งสองข้าง ตาข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในการดำเนินชีวิตทางโลกเพื่อทำให้บุคคลสามารถดำรง ชีวิตรอดอย่างมีความสุข ตาอีกข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในทางธรรมเพื่อทำให้บุคคลสามารถบริหารจัดการ ชีวิตได้เป็นอย่างดีเวลามีความสุข (โด่งดังประสบความสำเร็จมีเงินทองมากมาย) และเวลาที่ความทุกข์เคลื่อนตัวเข้ามาสู่ชีวิตทั้งโดยคาดฝันและโดยไม่คาดฝัน มาก่อน

ตาสองข้างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปริญญา 2 ใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง เป็นปริญญาวิชาชีพ (ทำงานเป็น, ตั้งตัวได้)

ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาวิชาชีวิต (ปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ปัญหาได้)

ไม่ ต้องสงสัยเลยว่า ไมเคิล แจ็กสัน สอบผ่านได้ปริญญาเอก เกียรตินิยมเหรียญทองในแง่ปริญญาวิชาชีพ เพราะเขาได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขาคืออัจฉริยศิลปินที่โลกไม่ลืม และไม่มีทางหาอะไหล่สำรองได้อีกแล้ว

แต่ในแง่ปริญญาวิชาชีวิตนั้น เขาคงสอบผ่านเพียงปริญญาตรีแบบคาบเส้นเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เกิดความสมดุลได้ ชีวิตของเขาตกอยู่ในภาวะงานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์

ไมเคิล แจ็กสัน จากพวกเราสู่สวรรค์ชั้นดนตรีรุจีรัตน์เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เราทั้งหลายที่ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากชีวิตของไมเคิลอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิตของไมเคิล สิ่งนั้นเราจะต้องหามาเติมให้เต็มให้ได้ในช่วงชีวิตของเรา

ปริญญาวิชาชีพ ปริญญาวิชาชีวิต

เรา ทุกคนควรพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนได้ปริญญาเอกทั้งสองสาขานี้ให้ได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว เราทั้งหลายก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเหมือนไมเคิล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

ไมเคิลจากไปแล้ว จึงหมดเวลาแก้ตัว แต่เราทุกคนที่ยังคงอยู่ ยังไม่สายเกินไปที่จะแสวงหาปริญญาทั้งสองใบนี้มาประดับชีวิตให้เกริกเกียรติ มีคุณค่า น่าภูมิใจ และจากไปอย่างคนที่สมบูรณ์ด้วยปริญญาทั้งสองใบ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:25:29 น.
Counter : 1026 Pageviews.  

บางส่วนคำพูดของบุคคลที่ขึ้นมาบนเวทีงานอำลา MJ

วันที่ 7 กรกฎาคม 2009 หลังวันเกิดของเราเพียงหนึ่งวัน
เป็นวันเกิดที่เศร้าที่สุด เพราะวันต่อมา เป็นงานไว้อาลัยแด่ไมเคิล แจ็คสัน

ขอรวบรวมบางคำพูดของบุคคลสำคัญที่มาร่วมงานบนเวทีในคืนนั้น
ที่ทำให้เรานั่งน้ำตาไหลพรากตลอดสามชั่วโมงของงานในคืนนั้น
เพื่อเป็นการสรรเสริญความดีงามของไมเคิล แจ็คสัน....ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

ขอขอบคุณ คุณ Hermione Granger ที่ได้นำมาโพสต์ไว้ในพันทิป

PASTOR LUCIOUS SMITH

"To millions around the world Michael Jackson was an idol,
a hero, even a king. But first and foremost this man before us
today was our brother, our son, our father and our friend.

Michael Jackson was, and always shall be, a beloved part of the Jackson family and the family of man."

ในบรรดาคนนับล้านทั่วโลก ไมเคิล แจ็คสันเป็นไอดอล เป็นฮีโร่ หรือเป็น King แต่เหนือกว่าสิ่งใด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราวันนี้ เป็นพี่ชาย เป็นลูก เป็นพ่อ และเป็นเพื่อน ...

ไมเคิล แจ็คสัน เป็น และจะเป็นบุคคลที่เป็นที่รัก และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แจ็คสัน และเป็นหนึ่งในพวกเราทุกคนตลอดไป ...



SMOKEY ROBINSON
"You don't think you'll live to see them gone...
He is going to live forever and ever and ever and ever."

คุณคงไม่เคยคิดว่า คุณจะต้องมาเห็นเขาจากไปก่อน ...
ไมเคิล จะมีชีวิตอยู่กับเราไปชั่วนิรันดร์...


DIANA ROSS

"I'm trying to find closure, I want you to know that even though
I am not there at the Staples Center I am there in my heart.
I've decided to pause and be silent. This feels right for me.

"Michael was a personal love of mine, a treasured part of my
world, part of the fabric of my life in a way that I can't seem
to find words to express."

เธอมา แต่ฝากคำพูดให้คนอื่นมาอ่านเหรอคะ ข้อความของเธอบอกประมาณว่า แม้เธอไม่ได้มาร่วมในงานที่ สเตเปิ้ล เซ็นเตอร์ แต่เธอจะอยู่เงียบๆ
และคิดถึงไมเคิล มันเป็นทางที่เธอคิดว่าดีที่สุด เพราะไมเคิลเป็นคนที่เธอรัก
เป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าของเธอบนโลกใบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ฉันไม่สามารถหาคำใดๆมาอธิบายได้ ...



BERRY GORDY, MOTOWN FOUNDER

"Michael Jackson went into orbit and never came down.
Though it ended way too soon, Michael's life was beautiful.

"Sure there was some sad times and maybe some questionable
decisions on his part, but Michael Jackson accomplished
everything he dreamed of."

ไมเคิล แจ๊คสัน ขึ้นไปยังจุดสูงสุด และจะไม่มีวันหล่นลงมา
ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะจบลงเร็วเกินไป แต่ชีวิตของไมเคิล ก็สวยงาม...

แน่นอนว่าอาจจะมีช่วงเวลาที่น่าเศร้า และอาจจะมีคำถามถึงการตัดสินใจ
ในช่วงชีวิตของเขา แต่ไมเคิล แจ๊คสัน ก็ได้ทำทุกอย่างที่เขาเคยฝันไว้


STEVIE WONDER

"This is a moment that I wish that I didn't live to see come.

"But as much as I can say that and mean it, I do know that God
is good and I do know that as much as we may feel -
and we do - that we need Michael here with us,
God must have needed him far more."

นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมหวังว่า ผมคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นวันนี้ ...

เท่าที่ผมสามารถเอ่ยได้ .. ผมรู้ว่าพระเป็นเจ้านั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด
และผมก็รู้ว่า ยิ่งเรารู้สึก และเมื่อเรากระทำสิ่งใด ..
อย่างที่เราต้องการให้ไมเคิลอยู่ที่นี่กับเรามากเพียงไร ...
พระองค์คงต้องการไมเคิลมากกว่าเรานัก ...


BROOKE SHIELDS

"Michael was one of a kind. Whenever we were out together and
there would be a picture taken, there would be caption of some
kind, and the caption usually said something like, 'an odd couple'
or 'an unlikely pair.'

ไมเคิลเป็นคนที่จิตใจดีที่สุดคนนึง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราออกไปด้วยกัน
เราจะต้องถูกถ่ายรูป และจะต้องถูกพูดถึงใต้ภาพว่า "คู่ที่แปลกประหลาด"
หรือ "คู่ที่ช่างไม่สมกันเลย"

"But to us it was the most natural and easiest of friendships.
I was 13 when we met, and from that day on our friendship grew.
Michael always knew he could count on me to support him or be
his date.

แต่สำหรับเรา มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติ แต่ง่ายดายที่สุด ในการที่จะเป็นเพื่อนกับไมเคิล ตอนนั้น ฉันอายุ 13 ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก และจากวันนั้น มิตรภาพของเราก็เติบโตขึ้น.. ไมเคิลรู้เสมอว่าเขาสามารถไว้ใจฉัน ให้คอยช่วยเหลือเขาหรือแม้กระทั่ง to be his date !!! (แปลว่าไรดี)

"We had a bond. Maybe it was because we both understood what
it was like to be in the spotlight from a very, very young age.
Both of us needed to be adults very early, but when we were
together, we were two little kids having fun."

เรามีอะไรบางอย่างที่สื่อถึงกัน บางทีอาจจะเพราะเราทั้งคู่ต่างเข้าใจในสภาวะที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงไฟตั้งแต่ยังเด็ก.. เด็กมากๆ

เราทั้งคู่ต่างต้องเป็นผู้ใหญ่ก่อนเด็กคนอื่นๆ แต่เมื่อเราอยู่ด้วยกัน
เราต่างเป็นแค่เด็กเล็กๆสองคน ที่เล่นสนุกสนานกัน ...

และนี่คือจากหนังสือ Little Prince ที่เธออ่านให้ MJ

"What moves me so deeply, about this sleeping prince...is his loyalty to a flower--the image of a rose shining within him like a flame within a lamp, even when he's asleep. And I realized he was even more fragile than I had thought. Lamps must be protected. A gust of wind can blow them out."

สิ่งที่จับใจฉันอย่างมาก เกี่ยวกับเจ้าชายที่นอนหลับไหลอยู่ตรงนี้
คือความซื่อตรงที่เขามีต่อดอกไม้ คือภาพดอกกุหลาบดอกหนึ่ง
ซึ่งส่องแสงเจิดจ้าในตัวเขา ดุจเปลวไฟในตะเกียง แม้ในยามที่เขาหลับอยู่….

เจ้าชายน้อย บอบบางมากกว่าที่ฉันคิด เขาเหมิอนกับตะเกียงที่เราต้องคอยระวังเพราะลมพัดเพียงวูบเดียว ก็อาจทำให้แสงแห่งตะเกียงนั้นดับวูบลงได้ ...

"Eyes are blind. You have to look with the heart.
What's most important is invisible."

ตานั้นมืดบอดได้ คุณต้องมองมันด้วยหัวใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุด เราใช้ตามองไม่เห็นมันหรอก ...


MAGIC JOHNSON

"I want to thank Michael for opening up so many doors for African
Americans to be on daytime shows, late night shows. He allowed
Kobe [Bryant] and I to have our jerseys in people's homes across
the world, because he was already there."

ผมอยากขอบคุณไมเคิล แจ๊คสัน ที่เป็นคนเปิดประตูหลายๆบานให้กับเรา
ชาว แอฟริกัน อเมริกัน ให้ได้มีโอกาสต่างๆมากมาย เขาทำให้ผมและโคบี้
ได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก (มีเสื้อของเขากับโคบี้ติดอยู่ตามบ้านต่างๆทั่วโลก
เหมือนมีแฟนคลับทั่วโลก) เป็นเพราะเขาได้นำทางไปไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ...

มีเรื่อง KFC อีก น่ารักมากๆ
จอห์นสันเล่าให้ฟังว่า ไมเคิลอยากให้เขาเล่น MV remember the time
ก็เลยได้นัดกินข้าวกัน ปรากฏว่า ไมเคิลเอาไก่ KFC มานั่งกิน (รู้สึกว่าขณะที่
ของจอห์นสันนั้น ไมเคิลเตรียม ไก่อบมาให้ :) ) สุดท้าย ก็เลยได้แบ่งกันกิน
ไก่ KFC ที่พื้น แล้วได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายๆเรื่อง

จอห์นสันบอกว่า นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเขาเลย ...



QUEEN LATIFAH

"I'm here representing millions of fans around the world who
grew up listening to Michael, being inspired and loving Michael
from a distance.

Somehow when Michael Jackson sang and when he danced...
we felt he was right there. He made you believe in yourself."

ฉันมาที่นี่ ในฐานะของตัวแทนของแฟนๆที่อยู่ทั่วโลก ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับฟังเพลงของไมเคิล ได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ได้รักไมเคิล แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกับเขาแค่ไหนก็ตาม

บางครั้ง เวลาไมเคิลร้องเพลง หรือเต้น เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า เขาอยู่ตรงหน้าเราเขาทำให้เรานั้น เชื่อมั่นในตัวเอง ..

REV AL SHARPTON


"it was Michael Jackson that brought blacks
and whites and Asians and Latinos together.

Michael made us love each other.

"I want his three children to know, there wasn't nothing strange
about your daddy. It was strange what your daddy had to deal
with. He dealt with it anyway. He dealt with it for us."

ไมเคิล แจ๊คสัน ที่ทำให้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะขาว ดำ เอเชี่ยน หรือลาติน
สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ...

ไมเคิลทำให้เรารักกันและกัน ...

ผมอยากบอกลูกๆทั้งสามของไมเคิลให้ได้รู้
ไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับพ่อของหนู
แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญรอบๆตัวต่างหากที่มันน่าประหลาด
และเขาก็ต้องรับมือกับสิ่งเหล่านั้นให้ได้
เขาพยายามรับมือกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อเราทุกคน ...



MARLON JACKSON, BROTHER

Michael, when you left us, a part of me went with you. ...
I will treasure the good times, singing, dancing, laughing. ...
We will never understand what he endured ... being judged, ridiculed.
How much pain can one take?

Maybe, now, Michael, they will leave you alone."

ไมเคิล เมื่อคุณจากเราไป ส่วนหนึ่งของเรา ก็จากไปพร้อมกับคุณด้วย
ผมจะจดจำช่วงเวลาที่ดีของเรา ที่เราร้องเพลง เต้นรำ หัวเราะไปด้วยกัน
เราไม่อาจจะเข้าใจได้สิ่งที่เขาต้องยืนหยัดอดทนอยู่กับมัน
การถูกตราหน้าตัดสิน การถูกเยาะเย้ย

คนคนนึงจะทนรับความเจ็บปวดได้มากมายแค่ไหนกัน ...

บางทีนะไมเคิล ตอนนั้น พวกเขาคงจะยอมให้คุณได้อยู่คนเดียวบ้าง ...



PARIS JACKSON, 11, DAUGHTER

"I just wanted to say, ever since I was born,
Daddy has been the best father you can ever imagine.
And I just wanted to say I love him so much."




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:26:16 น.
Counter : 1234 Pageviews.  

สารจากใจผ่านบทเพลง "ไมเคิล แจ็กสัน" เมื่อสิ่งแสนเปราะบาง...พยายามปกป้องโลก

จาก //www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072861
โดย Co-Op 28 มิถุนายน 2552 04:57 น.
โดย อดิศร Hungry For More

"ทำไมไม่พิมพ์ไปเลยละว่าผมเป็นเอเลี่ยนจากดาวอังคาร บอกพวกเขาว่าผมกินไก่เป็นๆ และเต้นวูดูตอนเที่ยงคืน ยังไงคนก็เชื่อทุกอย่างที่คุณบอก เพราะพวกคุณคือนักข่าว แต่ถ้ากลับกันเป็นผมไมเคิล แจ็กสันพูดบ้างว่า 'ผมเป็นเอเลี่ยนจากดาวอังคารและผมกินไก่เป็นๆ และเต้นวูดูตอนเที่ยงคืน' ผู้คนจะบอกว่า 'โอ้ พวก ไมเคิล แจ็กสันอะไรนั่นมันเพี้ยนไปแล้ว เขาสติแตก คุณไม่มีวันเชื่ออะไรก็แล้วแต่ที่หลุดออกมาจากปากเขาได้เลย' " - ไมเคิล แจ็กสัน

สำหรับศิลปินในยุคเก่า วิธีที่เราจะเรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาได้ก็คือสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งความเที่ยงตรงนั้นขึ้นอยู่กับความแม่นยำและจิตสำนึกของผู้จดบันทึกเป็นสำคัญ

แต่สิ่งที่สามารถบอกเรื่องราวของศิลปินเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือผลงานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาที่ทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ทั้งความวิจิตรในภาพโมนาลิซาของดาวินชี หรือความยิ่งใหญ่ในซิมโฟนีหมายเลข 5 ของบีโธเฟน ที่ล้วนแต่บอกเรื่องราวของตัวเจ้าได้ดีกว่าชีวประวัติเล่มไหนๆ

แต่น่าเสียดายที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา เราเองคงต้องมาศึกษาผลงานเพลงของ ไมเคิล แจ็กสัน ศิลปินเพลงที่โด่งดังที่สุดของศตวรรษที่ 20 เพื่อทำความรู้จักตัวเขาให้ดีขึ้น เพราะเจ้าตัวไม่สามารถออกมาอธิบายถึงแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังผลงานเหล่านั้นได้อีกต่อไปแล้ว



คนที่รู้จักไมเคิล แจ็กสันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ประเภทหนึ่งคือคนที่รู้จัก ไมเคิล แจ็กสัน ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลก การขยับตัวไปไหนของเขาจึงได้รับความสนใจอยู่ตลอดเวลา และยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปอีกเมื่อเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้จะวัดตามมาตรฐานของคนดังด้วยกันก็ตาม มุมชีวิตในส่วนนี้ของเขาจึงกลายเป็นประเด็นที่สื่อต่างๆ จ้องจะนำเสนออยู่ตลอดเวลา

อีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่รู้จักเขาในฐานะ ศิลปินนักร้องที่ดีที่สุดในรอบศตวรรษ และสิ่งที่คนเหล่านี้สนใจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการเปลี่ยนสีผิว, รสนิยมทางเพศ หรือกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่หนังสือพิมพ์ต้องการนำเสนอ สิ่งเดียวที่พวกเขาแคร์ก็คือบทเพลงและการแสดงอันตื่นตาที่ศิลปินคนนี้มอบเอาไว้แก่วงการกว่า 3 ทศวรรษ และคงจะเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เราจดจำมากกว่าเรื่องไหนๆ

4 เพลงที่นำเสนอในบทความนี้ถือเป็น 4 เพลงที่ไมเคิล แจ็กสันแต่งขึ้นมาเองทั้งเนื้อร้องและดนตรีโดยไม่ได้ร่วมงานกับใคร เป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ถ่ายทอดออกมาในช่วงที่เส้นกราฟของความสามารถและปัญหาในชีวิตส่วนตัวตัดผ่านกันพอดี คืออยู่ในช่วงจุดสุดยอดของความคิดสร้างสรรค์บนเส้นทางอาชีพ ก่อนที่เรื่องราวในชีวิตส่วนตัวที่ยุ่งเหยิงจะเข้ามาแทนที่

***************
Childhood

เป็นผลงานซิงเกิลแรก (Scream/Childhood) จากอัลบั้มรองสุดท้ายเมื่อปี 1995 อย่าง HIStory: Past, Present and Future, Book I ที่เป็นการระบายออกถึงความอัดอั้นตันใจกับช่วงเวลาเลวร้ายในวัยเด็กของเขา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความเข้มงวดในการปลุกปั้นให้เขาเป็นนักร้องของผู้เป็นพ่อ ที่กลายเป็นการทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจต่อไมเคิลจนยากที่จะลืม

เป็นบทเพลงที่งดงามไพเราะด้วยเปียโนและเสียงเครื่องสาย คล้ายๆ กับเพลง Gone To Soon จากผลงานชุด Dangerous เช่นเดียวกับความเหงาและเศร้าที่ผู้ฟังสามารถสัมผัสได้ทั้งจากดนตรีและเนื้อร้อง

Have you seen my Childhood? I'm searching for the world that I come from
'Cause I've been looking around In the lost and found of my heart
No one understands me
They view it as such strange eccentricities
'Cause I keep kidding around Like a child, but pardon me

คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า? ผมเฝ้าค้นหาโลกที่ผมจากมา
เพราะผมเคยเฝ้ารอสิ่งที่สูญหายไปจากใจของผม
ไม่มีใครเข้าใจผมเลย
พวกเขามองว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาด
เพราะผมชอบทำตัวสนุกสนานเหมือนกับเด็กๆ แต่ยกโทษผมเถอะน่ะ

People say I'm not okay(strange that way) Cause I love such elementary things
It's been my fate to compensate, for the Childhood I've never known

ใครๆ ก็ว่าผมไม่ปกติ(ที่แปลกประหลาดอย่างนี้) เพราะว่าผมรักในสิ่งที่แสนจะเรียบง่าย
มันจึงกลายเป็นชะตากรรมของผมที่ต้องค้นหาสิ่งที่จะชดเชย ให้กับวัยเยาว์ ที่ผมไม่รู้จัก

Have you seen my Childhood? I'm searching for that wonder in my youth
Like pirates in adventurous dreams,Of conquest and kings on the throne...
Like fantastical stories to share
But the dreams I would dare, watch me fly

คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า? ผมเฝ้าค้นหาความงดงามในช่วงวัยเด็กของผม
ทั้งโจรสลัดผจญภัยในความฝัน การบุกพิชิต และราชาครองบัลลังก์
ทั้งนิทานเหนือจินตนาการที่มาแบ่งกันเล่าให้ฟัง
ในความฝันผมจะเปี่ยมด้วยความกล้า มองผมบินซิ

Before you judge me, try hard to love me,
Look within your heart then ask
The painful youth I've had

Have you seen my Childhood

ก่อนที่คุณจะตัดสินอะไรผม พยายามรักผมก่อนได้ไหม
โปรดมองลึกๆ เข้าไปในใจคุณก่อนที่จะตั้งคำถามกับผม
ความเจ็บปวดในวัยเด็กที่ผมได้รับ

คุณเคยเห็นช่วงวัยเยาว์ของผมหรือเปล่า?

***************

Will You Be There

ที่เหมือนกันระหว่าง Childhood และ Will You Be There ก็คือเป็นซาวด์แทร็กประกอบหนังเด็กอย่าง Free Willy ด้วยกันทั้งคู่ (คนละภาค) เป็นเพลงบัลลาดสไตล์กอสเปลที่ไพเราะ มีพลัง และให้ความประทับใจทุกครั้งที่ได้ฟัง เนื้อเพลงสะท้อนถึงแรงกดดันที่เขาได้รับจากรอบด้านตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เพลงนี้ทำให้นึกถึง I'll Be There ผลงานเพลงของไมเคิลสมัย Jackson 5 ที่เขาร้องเอาไว้จนโด่งดังเมื่อปี 1970 (ผลงานการแต่งโดยเจ้าพ่อโมทาวน์ แบร์รี กอร์ดี) ซึ่งเนื้อหาของเพลงนั้นเป็นเหมือนการให้สัญญาของไมเคิลต่อแฟนเพลงว่าเขาจะรอคอยแฟนเพลงทุกๆ คน จนอีก 20 ปีต่อมาเขาถึงถามกลับไปบ้างว่า เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่เขาอาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนแต่ก่อน และต้องเผชิญอุปสรรมากมายในชีวิตเหมือนกับปุถุชนทั่วไป จะมีใครซักคนไหมที่จะรอคอยเพื่อที่จะอยู่เคียงข้างเขาจริงๆ และดูเหมือนจะเป็นคำถามที่เขาไม่ได้รับคำตอบจนวันสุดท้ายของชีวิต

Hold me Like the river Jordan And I will then say to thee You are my friend
Carry me Like you are my brother Love me like a mother Will you be there?

โอบกอดผม เหมือนกับมหานทีแห่งจอร์แดน และผมจะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า พวกคุณคือสหายของผม
โอบอุ้มผม เหมือนกับเราเป็นพี่น้องกัน รักผมดุจดั่งมารดา บอกซิว่าคุณจะยังคงเคียงข้างผมไหม?

Weary Tell me will you hold me? When wrong, will you scold me? When lost, will you find me?

แสนอ่อนล้า บอกอีกทีซิว่าคุณจะโอบกอดผมไหม? เมื่อผมพลาดคุณจะดุด่าผมไหม? เมื่อผมหลงทาง คุณจะตามหาผมไหม?

But they told me A man should be faithful And walk when not able And fight 'til the end
But I'm only human

แต่พวกเขาบอกผมว่า มนุษย์ควรมีศรัทธา จงก้าวเดินต่อไปแม้ไม่สามารถ และจงสู้จนวันสุดท้าย
แต่ผมเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

Everyone's taking control of me Seems that the world's Got a role for me
I'm so confused Will you show it to me? You'll be there for me And care enough to bear me

ใครๆ ต่างพยายามเข้ามาควบคุมผม ดูเหมือนว่าโลกได้มอบบทบาทให้กับผมไปแล้ว
ผมสับสนเหลือเกิน คุณช่วยแสดงให้เห็นได้ไหม? ว่าจะอยู่เคียงข้างผม และห่วงใยพอที่จะยืนหยัดเพื่อผม

In our darkest hour In my deepest despair Will you still care? Will you be there?
In my trials And my tribulations Through our doubts And frustrations
In my violence In my turbulence Through my fear And my confessions

ในโมงยามที่มืดมิดที่สุดของเรา ในความทุกข์ระทมที่สุดของผม คุณจะยังห่วงใยไหม? คุณจะเคียงข้างผมไหม?
ในอุปสรรคและความยากลำบากของผม จนถึงความลังเลและความขัดแย้งของเรา
ในความรุนแรงและความสับสนของผม จนถึงความกลัวและการสำนึกผิดของผม

In my anguish and my pain Through my joy and my sorrow
In the promise of another tomorrow I'll never let you part
For you're always in my heart

ในความรวดร้าวและความเจ็บปวดของผม จนถึงความปิติและความโศกเศร้าของผม
ในคำสัญญาแห่งวันพรุ่งนี้ ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณเดียวดาย
เพราะคุณอยู่ในใจของผมเสมอ

***************

Earth Song

ในความอ่อนไหวกับเรื่องราวในใจทั้งหมด แต่กระนั้นไมเคิลก็ยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่แต่งเพลงเพื่อส่งเสริมความศิวิไลซ์ของมนุษยชาติมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ We Are the World, Man in the Mirror, Heal the World แต่ที่แตกต่างในเพลงนี้ก็คือเพลงก่อนๆ เขาจะนำเสนอในเชิงร้องขอความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้

แต่เนื้อหาเพลงนี้ถูกนำเสนออย่างตรงไปตรงมา ทั้งเนื้อเพลงที่กล่าวในเชิงตัดพ้อต่อความเมินเฉยของมนุษย์ต่อสันติภาพและสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะเลวร้ายทุกที ซาวด์ดนตรีที่ไม่ได้เน้นที่ความไพเราะหรือให้ความหวัง แต่แสดงความโหยหวน วังเวง และโกรธแค้น ถ้าโลกมนุษย์ต้องถึงจุดจบในวันพรุ่งนี้ เพลงนี้คงถูกพูดถึงเป็นเพลงแรก

What about sunrise What about rain What about all the things That you said we were to gain
What about killing fields Is there a time What about all the things That you said was yours and mine

เกิดอะไรขึ้นกับรุ่งอรุณ ลมฝนหายไปไหน เกิดอะไรขึ้นต่อสิ่งที่คุณเคยบอกว่าเราได้เก็บเกี่ยวด้วยกัน
เกิดอะไรขึ้นกับทุ่งสังหาร ยังพอมีเวลาเหลือไหม เกิดอะไรขึ้นต่อสิ่งที่คุณเคยบอกว่าเป็นทั้งของคุณและของผม

What have we done to the world Look what we've done What about all the peace That you pledge your only son
What about flowering fields Is there a time What about all the dreams That you said was yours and mine

เราทำอะไรลงไปกับโลกใบนี้ ดูสิ่งที่เราทำเถิด เกิดอะไรขึ้นกับสันติภาพที่คุณเคยสัญญาไว้ต่อบุตรของพระเจ้า
เกิดอะไรขึ้นกับสวนดอกไม้ที่งอกงาม ยังพอมีเวลาเหลือไหม เกิดอะไรขึ้นต่อความฝันทั้งหลายที่คุณบอกว่าเป็นทั้งของคุณและของผม

I used to dream I used to glance beyond the stars
Now I don't know where we are Although I know we've drifted far

ผมเคยมีความฝัน ผมเคยเฝ้ามองออกไปไกลเกินดวงดาวในอวกาศ
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเราอยู่กันที่ไหน แต่ผมรู้ว่าเราหลงทางกันมาไกลเหลือเกิน

Did you ever stop to notice
All the blood we've shared before All the children dead from war
Did you ever stop to notice
This crying Earth this weeping shores

คุณเคยหยุดสังเกตดูสักครั้งไหม
มีเลือดกี่หยดที่เราต้องหลั่งไปในอดีต มีเด็กกี่คนที่ต้องตายจากสงคราม
คุณเคยหยุดสังเกตดูสักครั้งไหม
พิภพกำลังกรีดร้อง ทุกชายฝั่งกำลังร่ำไห้

***************

Heal The World

แม้ Earth Song จะได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นที่รู้จักของแฟนเพลงในวงกว้างมากนัก ต่างกับเพลง Heal The World ที่ถูกแต่งออกมาเหมือนกับเป็นน้องสาวของ We Are the World ทั้งเนื้อหาของเพลงและโครงสร้างดนตรีที่เพราะติดหู โดยเฉพาะท่อนประสานเสียงที่ทรงพลังจนเรียกน้ำตาของผู้ฟังได้ทุกเมื่อ

เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยภาษาที่เรียบง่าย เพราะกลุ่มผู้ฟังหลักของเพลงนี้ก็คือเด็ก อันเป็นความหวังในอนาคตที่จะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นหลังจากที่ผู้แต่งจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นผลงานที่ไมเคิลภูมิใจที่สุด จากบรรดาเพลงเยี่ยมๆ อีกมากมายที่เขาสร้างสรรค์ในฐานะนักแต่งเพลงเพื่อชาวโลก

There's A Place In Your Heart And I Know That It Is Love
and this place could Much Brighter Than Tomorrow
And If You Really Try You'll Find There's No Need To Cry
In This Place You'll Feel That There's No Hurt Or Sorrow

มันมีสถานที่หนึ่งในหัวใจของคุณ ที่ผมรู้ว่ามันคือความรัก
และมันเป็นสถานที่ที่สว่างไสวยิ่งกว่าวันพรุ่งนี้
และถ้าคุณพยายามมากพอ คุณจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องร้องไห้
ในสถานที่นี้คุณจะรู้ว่ามันไม่มีทั้งความเจ็บปวดและความเศร้า

If You Want To Know Why There's A Love That Cannot Lie
Love Is Strong It Only Cares For Joyful Giving
If We Try We Shall See In This Bliss We Cannot Feel
Fear Or Dread We Stop Existing And Start Living

ถ้าคุณอยากรู้เหตุผล มันยังมีความรักที่ไม่หลอกลวง
ความรักช่างเข้มแข็ง ที่หวังเพียงการให้ที่แสนปิติ
ถ้าเราลองพยายาม เราจะได้เห็น ในความเปี่ยมสุขที่เราจะไม่รู้สึก-
-ทั้งความหวาดกลัวและความหวาดหวั่น
เราหยุดสิ่งที่เป็นอยู่ และเริ่มต้นใช้ชีวิตร่วมกัน

And The Dream We Were Conceived In Will Reveal A Joyful Face
And The World We Once Believed In Will Shine Again In Grace
Then Why Do We Keep Strangling Life
Wound This Earth Crucify Its Soul
Though It's Plain To See This World Is Heavenly
Be God's Glow

และความฝันที่เราสร้างขึ้นจากใจจะฉายผ่านใบหน้าที่สดใส
และโลกที่เราเคยศรัทธาจะเปล่งประกายอีกครั้งอย่างสง่างาม
แล้วใยเรายังใช้ชีวิตอย่างป่าเถือน
ทั้งเชือดเฉือนโลก ทรมานดวงวิญญานของโลก
ทั้งๆ ที่ประจักษ์อย่างแจ่มชัดว่าโลกเรานี้น่าอยู่ดั่งสรวงสวรรค์
จงเป็นประทีปแห่งพระเจ้าเถิด

We Could Fly So High Let Our Spirits Never Die
In My Heart I Feel You Are All My Brothers
Create A World With No Fear Together We'll Cry Happy Tears
See The Nations Turn Their Swords Into Plowshares

เราสามารถล่องลอยได้ไกลโพ้น ขอให้จิตวิญญาณเราไม่เหือดหาย
ในหัวใจ ผมรู้สึกว่าเราทั้งหมดคือพี่น้องกัน
จงสร้างโลกใหม่ที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว เราจะมาหลั่งน้ำตาแห่งความสุขด้วยกัน
จะได้เห็นมนุษยชาติเปลี่ยนมีดดาบที่ไว้เข่นฆ่า กลายเป็นใบมีดเพื่อการปลูกไถร่วมกัน

We Could Really Get There If You Cared Enough For The Living
Make A Little Space To Make A Better Place

เราจะไปถึงสิ่งนั้นได้จริงๆ ถ้าคุณใส่ใจต่อการใช้ชีวิตร่วมกัน
เพิ่มที่ว่างซักนิด ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น

Heal The World Make It A Better Place
For You And For Me And The Entire Human Race
There Are People Dying
If You Care Enough For The Living
Make A Better Place For You And For Me

เยี่ยวยาโลกของเรา ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น
เพื่อคุณและเพื่อผม และเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล
มีผู้คนมากมายที่กำลังจะตายจากไป
แต่ถ้าคุณใส่ใจต่อการอยู่ร่วมกันมากพอ
ทำให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อคุณและเพื่อผม

Heal the world we live in
Save it for our children

เยี่ยวยาโลกที่เราอาศัย
รักษาไว้เพื่อลูกหลานของเรา




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:27:03 น.
Counter : 786 Pageviews.  

บางความตายสร้างการจดจำได้มากกว่าบางชีวิต

Posted by: management2008
พฤศจิกายน 16, 2009
ที่มา manager online

ขอไว้อาลัยแด่อัจฉริยะบุคคลทางดนตรี ผู้เปลี่ยนแปลงโลก


การเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ ไมเคิล แจ็กสัน ผู้ได้รับฉายาว่า King of Pop กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์สะเทือนโลก เพลงที่เขาทิ้งไว้ยังทรงพลังทั้งในแง่ท่วงทำนอง ความไพเราะ และเนื้อหาที่เหนี่ยวนำสันติภาพให้กลับมาสู่โลก

พูดในเชิงสีผิว คนทั้งโลกรู้ว่าไมเคิลเป็นคนผิวดำ บรรพบุรุษของเขาก็คือทาสที่ถูกนำมาจากแอฟริกา ผิดกับ บารัค โอบามา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอเมริกา ซึ่งมีพ่อเป็นชาวเคนยาที่ไปเรียนต่อในอเมริกาและแม่ซึ่งชาวอเมริกันผิวขาว ว่ากันจริงๆ แล้ว โอบามาก็ไม่ได้ซึมซับประสบการณ์ความทุกข์ยากของคนผิวดำในอเมริกาอย่างไมเคิล แจ๊คสัน กล่าวอย่างสุดโต่งโอบามาอาจไม่ใช่ประธานาธิบดีผิวดำของแท้สักเท่าไหร่



แต่การขึ้นมาเป็น King of Pop ของนักร้องผิวดำอย่างไมเคิล แจ็กสัน ต้องถือว่าเป็นของจริง และแน่นอนว่าการปรากฏตัวของเขาในฐานะราชาเพลงป็อปย่อมส่งผลสะเทือนต่อสังคมอเมริกันไม่น้อย

มันคือพลังทางวัฒนธรรมของคนดำที่เปลี่ยนอุตสาหกรรมเพลงของอเมริกา คือหลังพิงให้คนผิวดำได้ก้าวขึ้นมาเทียมไหล่กับคนผิวขาว คือเรื่องราวที่สะท้อนความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ และคือการเรียกร้องให้โลกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ขณะเดียวกันก็ยังแฝงความเปลี่ยวเหงาของคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต แต่รอบกายมีแต่ความว่างเปล่า

คือ…Michael Jackson


เพลงคนดำในอาณาจักรแห่งเสรีชน

นัดดา บุรณศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะของผู้คร่ำsวอดในธุรกิจเพลงสากลมาเป็นเวลานาน อธิบายว่า เพลงของคนผิวสีนั้นเกิดมาเกือบ 100 ปีแล้ว โดยแนวเพลงแรกที่ถือเป็นต้นตำรับเลยก็คือแนวเพลงประเภท Blue

“การที่คนผิวดำมาเป็นทาสในอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นดินแดนเสรีชน ทำให้พวกเขามีโอกาสได้จับเครื่องดนตรีของคนผิวขาว แล้วเมื่อเขาเล่นเป็นแล้ว เขาก็จะทำเพลงออกมาเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ตอนนั้นเราก็เรียกเพลงพวกนี้ว่า Blues ซึ่งแปลว่าเศร้า ต่อมาเพลง Blues ก็พัฒนามาเรื่อยๆ เป็น Soul และก็ Rhythm&Blues มีจังหวะมากขึ้น”

สำหรับเนื้อหาของเพลง ก็จะมีลักษณะที่บรรยายความรันทดในชีวิตของตนเองว่าเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตลำบาก ยากเข็ญอย่างไรบ้าง แล้วในยุคนั้นปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคมนั้นรุนแรงมาก ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการระบายความรู้สึกออกมาในรูปของเพลงและดนตรี เพื่อระบายความโกรธ ความอัดอั้น ความเศร้าที่ตัวเองเจอมา

จากเนื้อหาและลักษณะการร้องแบบนี้เอง จึงทำให้เพลง Blues กลายเป็นที่โดนใจของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะคนผิวสีซึ่งมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเนื้อหาของเพลง แต่ทั้งนี้ เพลงของคนผิวสีก็ยังไม่ถูกยอมรับในสังคมอเมริกาเท่าใดนัก เนื่องจากนักจัดรายการวิทยุส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว และสังคมส่วนใหญ่ก็ยังยอมรับไม่ได้ ที่จะเอาดนตรีของคนที่เขามองว่าต่ำกว่า มาฟังหรือมาเล่น



จนกระทั่งในช่วง ปี 1950-1960 ก็มีคนหัวใส เริ่มเห็นว่าดนตรีแบบนี้น่าจะพัฒนาไปได้อีก จึงลองเอาดนตรีที่มีจังหวะสนุก สดใสมาใส่ในเพลงของคนผิวสีดู ขณะเดียวกันคนผิวดำเองก็เริ่มแทรกซึมตัวเองเข้าไปในวงการเพลงมากขึ้น เช่น เข้าไปร้องเพลงในผับในบาร์ ซึ่งบางส่วนก็ได้รับความนิยม เพราะคนพวกนี้มีความสามารถในการสร้างความสนุกสนานให้คนดูสูง ขณะที่หลายๆ คนก็เข้าไปอยู่วง Big Band หรือในวง Jazz ก่อนที่จะพัฒนาเข้ามาสู่ดนตรี Pop หรือที่เราเรียกว่า Motown ซึ่งก็มีศิลปินที่โดดเด่นหลายคน เช่น The Supreme, Marvin Gaye, Diana Ross และที่ได้รับความสำเร็จสูงสุดก็คือวง The Jackson 5 ซึ่งมีไมเคิล แจ็กสันอยู่ด้วย

“ผมมองว่าเหตุผลที่เพลงของคนผิวดำได้รับการยอมรับมากขึ้น นั้นมากจากการต่อสู้ของตัวเองที่ต้องการความเท่าเทียมในสังคมมากขึ้น ขณะเดียวกันเขาเองก็มีความสามารถด้านนี้สูง ทำให้คนผิวขาวก็ยอมรับมากขึ้น และที่สำคัญก็คือยุคสมัยมันเริ่มเปลี่ยนไป อย่างในครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่อาจจะไม่ชอบเพราะเป็นเพลงของคนดำ แต่ลูกๆ ก็อาจจะไม่ได้มองตรงนั้น เวลาฟังก็อาจจะชอบเพราะสนุกดี แล้วเมื่อเด็กโตขึ้น เขาก็ยังฟังเพลงแบบนี้อยู่ เพลงมันก็เลยโตตามขึ้นเรื่อยๆ”

หลังจากผ่านยุค Motown ไปแล้ว ดนตรีของผิวดำก็ได้รับความนิยมสูงขึ้นในหมู่นักฟังเพลงตามลำดับ ยิ่งในช่วงที่ไมเคิล แจ็กสันออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นครั้งแรก

“ตอนนั้นก็เรียกว่าดังมากเลย แต่ถ้าจะถามเรื่องสีผิวเกี่ยวไหม ผมว่าคงไม่เกี่ยวนะ เพราะว่าในยุคนั้นก็มีคนกรุยทางเรื่องดนตรีของคนผิวดำมาให้เยอะแล้ว โดยเฉพาะเพลง Pop เพลงรักหวานๆ ส่วนตัวแล้วคิดว่า สาเหตุที่เขาโด่งดังเป็นเพราะความสามารถของเขาเองเป็นหลัก อย่างอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อ Off the Wall ทุกเพลงในนั้น ดังหมดเลยนะ โดนทุกเพลง คือเขาแต่งเพลง Pop เก่งมากเลย หรืออย่างตอนที่เขาเอาท่า Moonwalks มาใส่ในเพลง ก็กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนกรี๊ด เป็นท่าที่ถูกใจทุกคนในโลก อันนี้ถือเป็นพรสวรรค์ของเขาจริงๆ”

สำหรับสถานการณ์ของกระแสเพลงคนดำในปัจจุบันนี้ นัดดาเล่าว่า ทุกวันนี้คนผิวสีสามารถแทรกซึมตัวหมดแล้ว และเรื่องผิวสีก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคฉุดรั้งคนที่มีความสามารถอีกต่อไป จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นดนตรี Rock, Pop, Jazz ก็มีคนผิวสีอยู่เต็มไปหมด

แต่หากถามว่า ดนตรีประเภทนั้นที่ยังถือว่าเป็นกระแสหลักของผิวสี ก็คงจะหนีไม่พ้น ดนตรีประเภท R&B Soul ซึ่งถือเป็นรากเหง้าทางดนตรีของคนผิวสี และ Hip-hop กับ Rap

“สังเกตได้เลยว่าเพลงประเภทนี้ แทบไม่มีคนผิวขาวเกิดขึ้นมาเลย R&B แทบไม่เห็นเลยนะ ส่วน Hip-hop รู้สึกจะมีแค่ Eminem คนเดียวมั้งที่เป็นคนผิวขาว”

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า การเติบโตของดนตรีเหล่านี้ จะไม่ได้แลกกับความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย อย่าง Hip-hop ที่เปิดตามสถานีวิทยุก็มีลักษณะกลายพันธุ์มากขึ้น โดยเน้นเมโลดี้และจังหวะที่เต้นได้มากขึ้น เพื่อจะได้เอาไว้เปิดในผับในบาร์ และปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับความเป็นสาธารณะมากขึ้น



Michael Jackson …อัตลักษณ์ที่ตามหา

บนเส้นทางสายดนตรีที่ยาวนานนับ 40 ปี ราชาเพลงป็อบผู้นี้ยังมอบความสุข ความสนุก ความหวัง ความฝัน และแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวงให้ผู้คนทั่วโลก ผ่านบทเพลงของเขา ที่ไม่ว่าจะเจือไว้ด้วยความสนุกสนาน คึกคัก หรือโศกเศร้า หัวใจสำคัญหรือจิตวิญญาณอันเป็น ‘แก่นแท้’ เป็น ‘ตัวตน’ ของไมเคิล แจ็กสัน ยังคงฉายชัด

ดังความเห็นจาก อนันต์ ลือประดิษฐ์ คอลัมนิสต์และนักวิจารณ์เพลง ที่กล่าวกับเราว่า

“จริงๆ แล้ว ไมเคิลก้าวไปไกลกว่า ‘คิงออฟป็อบ’ แต่เขาคือ ‘เมกะสตาร์’ หลายๆ คนที่ผมเคยพูดคุยด้วย เขาก็เห็นตรงกันว่า ไมเคิลคือสตาร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเพียงแค่เพลงป็อบ แต่เขาเป็นหนึ่งเดียวในโลก เป็นโมสาร์ตของโลกยุคนี้ก็ว่าได้ เขาเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ ไม่ว่าในอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน”

มากกว่าความเป็น คิง ออฟ ป็อบ มากกว่าเจ้าของเพลงฮิตและท่าเต้นมากพรสวรรค์ ไมเคิล แจ็กสันยังส่งมอบนัยอันท้าทายมนุษยชาติผ่านหลายบทเพลงของเขา มันคือการก้าวข้ามพรมแดนเรื่อง ‘สีผิว’ ก้าวผ่านความแบ่งแยกของเพื่อนมนุษย์ และเมื่อใครสักคนสามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์หรือแรงกดดันในชีวิต ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจอันสร้างสรรค์แก่โลกได้ …ย่อมไม่ธรรมดา

ยิ่งเมื่อมองย้อนถึงแรงกดทับของสังคมอเมริกันที่การเหยียดสีผิวคุกรุ่นรุนแรง แต่เด็กน้อยไมเคิลก็ยังสามารถหยิบฉวยมาเป็นแรงผลักดันในชีวิต ก้าวสู่การเป็นราชา เมกะสตาร์ที่โลกต้องจารึก



ดังทัศนะ ที่ ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองอเมริกัน ถ่ายทอดไว้

“ถ้าเรานำไมเคิล แจ็กสัน ไปเชื่อมโยงกับสังคมอเมริกัน เราก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า คนผิวดำผ่านการดิ้นรนต่อสู้กันมาเยอะมาก โดยเฉพาะการต่อสู้เรื่องสิทธิ ดังที่เห็นได้ชัดเจนว่า ไมเคิล แจ็กสัน เกิดในปี ค.ศ.1958 แต่ก่อนหน้านั้น 1 ปี คือในปี 1957 เกิดคดีสำคัญมากคดีหนึ่ง นั่นคือมีการฟ้องร้องกันว่าเมื่อกฎหมายกำหนดให้นักศึกษาผิวดำมีสิทธิเข้าไปเรียนหนังสือได้ รัฐบาลก็ควรจะส่งเจ้าหน้าที่รัฐมาปกป้องเขาเพื่อให้เข้าไปเรียนได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นก็มีการเรียกร้องของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง”

นอกจากบริบทของสังคมอเมริกันดังที่กล่าวมาแล้ว สุรัตน์ มองว่า อีกบริบทหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือแรงกดทับในครอบครัว โดยเฉพาะการดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ชีวิตมีสถานภาพที่ดีขึ้น เนื่องจากคนผิวดำมักจะอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างยากจน ดังที่พ่อของไมเคิล แจ็กสัน มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะดิ้นรนทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ตัวเองไม่สามารถทำได้ จึงไปฝากความหวังไว้กับลูก พยายามให้ลูกมีชื่อเสียง

ทว่า สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ แม้เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป มีการต่อสู้เรื่องสิทธิมากขึ้น หรือถึงแม้มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จะได้รับชัยชนะก็ตาม แต่จิตใจของอเมริกันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

“ทัศนคติเหยียดสีผิวไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งตรงนี้มันแสดงให้เห็นว่า แม้กฎหมายจะเปลี่ยน แต่จิตใจคนไม่เคยเปลี่ยน มันต้องใช้เวลา การต่อสู้ดิ้นรนเหล่านี้ ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็พยายามที่จะหาอัตลักษณ์ให้แก่ตัวเองด้วย อย่างไมเคิล แจ็กสัน ที่ผมมองว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่พยายามฉีกแนวตัวเอง ฉีกภาพตัวเองออกจากความเป็นคนผิวดำ เพราะเมื่อก่อน ความเป็นคนผิวดำ มักจะอิงอยู่กับภาพผู้ชายที่แข็งแรง แข็งแกร่ง และบ่อยครั้งมักจะมีทัศนคติที่โยงคนดำไปเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรง เวลามีอาชญากรรมหรือเหตุความรุนแรงอะไร ใครๆ เขาก็มักจะโทษคนดำ ด้วยเหตุนี้ ไมเคิล แจ็คสัน จึงพยายามที่จะฉีกห่างจากอัตลักษณ์ตรงนี้”

ในแง่ของทัศนคติที่กดทับ สุรัตน์มองว่า หากเราลองวิเคราะห์ตามแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ ต้องยอมรับว่ามีคุณูปการหนึ่งที่มาร์กซ์ทิ้งไว้ นั่นก็คือแนวคิดที่ว่าเราเป็นผลผลิตของโครงสร้าง เราเป็นผลผลิตของสังคม สังคมพยายามที่จะตีตรา พยายามที่จะบอกว่าเราควรจะเป็นใคร ขณะเดียวกันเราก็มีสิทธิที่จะดิ้นรน พยายามบอกสังคมให้รับรู้ว่าเราเป็นใคร บ่อยครั้งจึงเกิดการปะทะกัน

“บ่อยครั้งเราก็อยากบอกว่า เอาสิ ถ้าบอกว่าฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็จะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเรากระเสือกกระสนอยากจะเป็นให้ได้ทั้งที่ตัวตนของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น มันก็จะเกิดปัญหาตามมาเยอะมาก ในแง่หนึ่ง ผมว่าสังคมต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะคนในสังคมเองก็เคยคิดทฤษฎีที่ว่า ถ้ามีหม้ออันหนึ่ง จุดไฟ เอาทุกคนใส่รวมกันไปในนั้น ทุกคนก็จะหลอมละลายเข้าหากัน ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง มนุษย์ทุกคนเขามีอัตลักษณ์ของเขา ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญ”


ด้วยเสียงเพลง…จากหัวใจ

“ดนตรีแบบคนดำที่ปรากฏอยู่ในงานของไมเคิล ไม่ใช่ดนตรีในแบบของคนดำทั่วไป”

อนันต์แสดงความเห็น ไมเคิล แจ็กสัน สามารถนำมรดกจากเพลงคนดำในยุคก่อนมาดัดแปลงให้เป็นสำเนียงของตัวเอง และด้วยความที่เขามี ‘เซนส์ ออฟ ป็อบ’ หรือมีสัมผัสที่แม่นยำของความเป็นป็อบ ทำให้เขารู้ดีว่าอะไรจะโดนใจคน เพราะฉะนั้นดนตรีของไมเคิล จะมองว่าเป็นดนตรีแบบคนขาวก็ไม่ใช่ เป็นดนตรีของคนดำก็ไม่เชิง

“มันคือดนตรีที่เป็นในแบบของไมเคิลคนเดียว การที่เขาพยายามทำตัวให้ขาว มันอาจเป็นปมทางจิตวิทยา แต่ดนตรีของเขามันสะท้อนออกมาด้วยตัวมันเองอย่างดีที่สุดแล้ว มันไม่มีขาวไม่มีดำ สำคัญกว่านั้น ผมมองว่าแม้เขามีความทุกข์ทรมาน ความเหงา ความเศร้า เขาสามารถแปรเปลี่ยนปัญหาในจิตใจเหล่านี้ให้ออกมาเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ได้ และสร้างความสุขให้แก่ผู้คนได้ ซึ่งคนที่ทำแบบนี้ได้ ไม่ธรรมดาเลย”

แน่ล่ะ แม้เพลงของไมเคิลจะมีด้านที่พูดถึงด้านความเหงา ความเศร้าอยู่ไม่น้อย เช่นเพลง Ben ที่พูดถึงการเลี้ยงหนูและเขาเองก็เคยบอกว่า ตัวเขาและหนูตัวนั้นก็เชื่อมโยงถึงกันด้วยความเศร้า อนันต์จึงมองว่า

“หัวใจสำคัญในบทเพลงของไมเคิลคือความเป็นป็อบที่สนุกสนาน ขณะเดียวกันก็มีมิติของความเหงา มีความต้องการเพื่อน มีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ ผมชอบที่ควินซี่ โจนส์ โปรดิวเซอร์ของไมเคิล พูดถึงเขาว่า ไมเคิลมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ ตัวของไมเคิล เป็นคนทำงานแบบคนสูงวัยที่มากด้วยประสบการณ์ แต่ขณะเดียวกันก็ทำงานด้วยจินตนาการแบบเด็กๆ นี่คือสิ่งที่ตอบความเป็นไมเคิล แจ็กสัน ได้ชัดเจนมาก”

ด้วยพรสวรรค์และความเป็นอัจฉริยะของไมเคิลที่ฉายชัดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อนันต์จึงเชื่อมั่นว่า

“ไมเคิลตายไปแล้ว แต่ผลงานของเขาไม่ได้ตายตาม เพราะเป็นผลงานที่อิงอยู่กับยุคสมัย และผมเชื่อว่าหลายๆ เพลงของเขาเป็นอมตะ เราจะยังร้องกันได้อีกเนิ่นนาน”

ขณะที่ วิภว์ บูรพาเดชะ นักวิจารณ์ดนตรีและบรรณาธิการนิตยสาร Happening กล่าวถึงอิทธิพลของไมเคิล แจ็กสัน ที่มีคุณูปการต่อการยอมรับคนผิวสีในสังคมอเมริกันว่า ความสำเร็จอย่างมโหฬารของไมเคิลนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการเหยียดสีผิวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วในสังคมตะวันตก และดนตรีเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนยอมรับความแตกต่างเรื่องสีผิวได้มากขึ้น ซึ่งไมเคิลได้สะท้อนแนวความคิดต่างๆ ผ่านบทเพลงของเขามากมาย

“ผมว่าสิ่งที่โดดเด่นในงานของเขาก็คือ การที่เขาพยายามจะบอกให้ผู้คนหันมามอบความรักให้กัน แล้วก็หันมาดูแลกัน อย่างที่เขาเขียนในเพลง Heal The World หรือว่า We’re the World นี่คือสิ่งที่รู้สึกว่าเขาพยายามจะบอกกับผู้คน”

แต่ในขณะเดียวกัน บก.วิภว์ ก็รู้สึกว่ามีหลายเพลงของไมเคิล แจ็กสันที่สะท้อนถึงความกดดันและเปลี่ยวเหงาของป็อบสตาร์ชื่อก้องโลกผู้นี้

“อย่างเช่นเพลงชื่อ Black or White น่าจะเป็นมุมมองที่เกิดจากความกดดันส่วนตัวของเขา ซึ่งน่าจะสื่อถึงความเท่าเทียมกันทางสีผิวด้วย แล้วก็มีหลายๆ เพลงที่นอกจากจะพูดถึงเรื่องสีผิวแล้ว ยังสื่อถึงความเหงา เปล่าเปลี่ยวของตัวไมเคิลด้วย อย่างเช่น You’re Not Alone ที่นับเป็นเพลงดังเหมือนกัน เนื้อเพลงพูดถึงความเหงาที่เขาบอกกับคนฟังว่า คุณไม่ได้อยู่คนเดียว แต่จริงๆ แล้วถ้าอ่านถึงเนื้อเพลงมันก็น่าจะสื่อถึงตัวเขาเองด้วย เพราะเพลงนี้แต่งในช่วงอัลบั้มที่ไมเคิลผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ประสบความสำเร็จมีบ้านใหญ่ๆ มีข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีบ้าง จริงๆ แล้วเขาเป็นคนเหงามาก ถ้ามองเรื่องเพลงของไมเคิล แจ๊กสัน จะเห็นว่ามีทั้งแง่มุมทางด้านบริบทของสังคม และมุมมองของตัวเขาเองรวมอยู่ด้วย”

ในช่วงที่คิง ออฟ ป็อบประสบความสำเร็จสูงสุดนั้น จุดเด่นงานเพลงของไมเคิลมีหลากหลายด้านในสายตานักวิจารณ์เพลงชาวไทยอย่างวิภว์ นับตั้งแต่ตัวเพลงและดนตรีที่มีการนำดนตรีหลายๆ อย่างมาผสมผสานกัน ไปจนถึงวิธีการร้องแบบใหม่ๆ ไปจนถึงเนื้อเพลงที่พูดถึงเรื่องหลายเรื่องที่มีประเด็นน่าสนใจ อย่างเพลง ‘Man in the Mirror’ ที่พูดถึงการปรับปรุงตัวเอง หรือแม้กระทั่งเพลงที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมอย่างเพลง Billie Jean เป็นต้น ซึ่งสะท้อนทั้งสภาพสังคมอเมริกันและมุมมองของไมเคิล ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยบทเพลงของเขา

ส่วนการตายของไมเคิล แจ๊กสัน จะกลายเป็นอมตะอย่างเช่นการจากไปของราชาเพลงร๊อก แอนด์ โรล อย่างเอลวิส เพรสลีย์, จอห์น เลนนอน หรือเคิร์ท โคเบน หรือไม่นั้น? บก.วิภว์กล่าวว่า ต้องดูไปนานๆ ว่า แฟนเพลงทั่วโลกจะยังรำลึกถึงไมเคิล แจ๊กสันไปอีกนานแค่ไหน

“ข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของไมเคิลก็คือ เขามาจากไปในตอนที่ผ่านจุดพีกมาแล้ว แต่ถ้าพูดถึงในมุมกลับกันก็คือในแง่เนื้องาน เขามีงานที่เยอะมากและเป็นงานที่เรียกว่าหลักไมล์ทางดนตรีอยู่หลายเพลง ซึ่งนับว่าเป็นเพลงที่ขายดีตลอดกาล รวมทั้งอิมเมจไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเต้นทั้งหลาย หรือว่าการแสดงโชว์ที่เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ชั้นดีในการโชว์ ผมเชื่อว่าจะมีแฟนเพลงอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนมากทั่วโลกที่ไม่ลืมเขาง่ายๆ” บก.วิภว์ทิ้งท้าย



…Heal the world make it better place. For you and for me and the entire human race…

มากกว่าความไพเราะ หวานเศร้า ลึกซึ้ง แต่น้ำเสียงของไมเคิล แจ็กสัน ที่ขับกล่อมคนทั้งโลกผ่านบทเพลง ‘Heal the world’ ยังมอบอะไรได้มากมายกว่านั้น มันคือความฝันใฝ่ คือโลกอุดมคติ คือเสียงที่ขับขานจากหัวใจ




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:27:47 น.
Counter : 1774 Pageviews.  

ผลงานชิ้นเอกของMichael Jackson: We are the world

จาก //www.oknation.net/blog/StayFoolish
วันเสาร์ ที่ 27 มิถุนายน 2552
Posted by ประยูร


ฟังเพลงวันหยุด (3) : ผลงานชิ้นเอกของMichael Jackson: We are the world:

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

วันนี้ขอผิดคิวนิดหนึ่งครับ
ตามแผนเดิมนั้น สัปดาห์นี้ ผมได้เตรียมจะพูดถึงความเป็นมาของ We Shall Overcome ซึ่งเป็นเพลงตำนาน สำหรับหนุ่มสาวยุคขบถในช่วง 1960s
แต่เนื่องจาก การจากไปของ Michael Jackson ผมจึงขอนำอีกเพลงหนึ่ง ซึ่งผมชื่นชอบทั้งในเนื้อหา และ ความไพเราะของเพลง ตลอดไปถึงบทบาทการทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์ของ Michael Jackson เพลงที่ผมจะนำมาแนะนำวันนี้ คือ We are the World


(Michael Jackson และ Lionel Richie)


We Are the World เป็นเพลงที่โด่งดังมากในปี 1985 ผู้ประพันธ์เพลงคือ Michael Jackson และ Lionel Richie เพลงนี้ แต่งขึ้นโดยมีเป้าหมายทางมนุษยธรรม เพื่อใช้ในการหาทุนสำหรับช่วยเหลือ บรรเทาสภาวะอดหยากในอัฟริกา โดยเฉพาะ ความแห้งแล้งอย่างหนัก ในเอธิโอเปีย ในช่วงปี 1984/1985
We Are the Worldขับร้อง โดยกลุ่มศิลปิน ที่เรียกตัวเองว่าUSA for Africa (United Support of Artists for Africa)
กลุ่มดังกล่าวประกอบด้วยศิลปินนักร้อง45 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน อันประกอบด้วย Harry Belafonte Stevie Wonder Michael Jackson Lionel Richie

We are the Worldนี้ ติดอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ในวันที่ 17 เมษายน 1985 และคงอันดับนี้ ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ขณะเดียวกัน ยังเป็นเพลงซิงเกิลท ี่ขายดีที่สุด ของปี 1985 ในสหรัฐฯ
เพลงนี้ติดอันดับหนึ่งในอังกฤษ และ ติดสิบอันดับแรก ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
กลุ่มศิลปินเดียวกันนี้ ได้ผลักดันกิจกรรมเพื่อการกุศลที่เรียกว่า โอบมือรอบอเมริกา (Hands Across America) ซึ่งมีชาวอเมริกันประมาณเจ็ดล้านคนเข้าร่วม โดยทำการจับมือกันและกัน สร้างเป็นห่วงโซ่มนุษย์จากฝั่งตะวันออก ไปสู่ฝั่งตะวันตกของประเทศ เป็นเวลาสิบห้านาที
รายได้ จากกิจกรรมทั้งสอง สามารถรวบรวมเงินได้ถึง หนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ



(Hands Across America)






 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 15:28:33 น.
Counter : 883 Pageviews.  

1  2  3  4  

Jeeup
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




แดุ่ไมเคิล ที่รัก.... ตั้งใจทำบล็อกนี้ เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมบทความดี ๆ ที่เขียนเรื่องราวของคุณ.. ผลงานที่งดงาม.. ภาพแห่งความประทับใจที่ทิ้งร่องรอยของคุณไว้ ณ โลกใบนี้... โลกที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะปกป้อง...หวงแหน... ด้วยความรักและปรารถนาทีุ่ลึกซึ้งต่อผู้คนทั้งหลาย... สิ่งที่ฉันทำได้เพื่อคุณช่างเล็กน้อยราวหยดน้ำในมหาสมุทร เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ... พักให้สบายนะ... สักวันเราคงได้พบกันอีกครั้งในบ้านของพระเจ้า.....
Friends' blogs
[Add Jeeup's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.