บทที่ 11
บทที่ 11
นครินทร์วางโทรศัพท์รายงานผลของยุคันต์ด้วยสีหน้าพอใจก่อนชำเลืองมองปั้นหยา หญิงสาวยังคงทำงานด้วยลักษณะเดิมคือเคลื่อนใบหน้าเข้าออกระหว่างจอคอมพิวเตอร์กับกระดาษอะไรสักอย่างที่วางไว้อีกด้านหนึ่งของลำตัว จำนวนของมันมีปริมาณน้อยซึ่งอีกไม่นานเธอคงทำเสร็จ ทว่าอาการโยกตัวไปมาอย่างน่ารำคาญนั่นทำให้ชายหนุ่มอดถามไม่ได้ คุณยังไม่ตัดแว่นใหม่อีกรึ ค่ะ เธอตอบขณะที่นิ้วยังพรมลงบนแป้น นครินทร์จึงถามต่อ แล้วเมื่อไหร่จะตัดล่ะ อีกสักพักค่ะ อีกสักพักของเจ้าหล่อนคงไม่ใช่อาทิตย์นี้หรือต้นเดือนหน้าแน่... ชายหนุ่มส่ายศีรษะก่อนหยิบแฟ้มรายงานขึ้นมาเปิดพลางพูด รีบไปตัดซะภายในอาทิตย์นี้ เห็นคุณนั่งโยกตัวอย่างนั้นแล้วผมรำคาญ ตอนแรกนครินทร์คิดว่าหญิงสาวจะหันมาจ้องหน้าเขาแต่ก็เปล่า หากหลังจากนั้นอาการโยกตัวกลับหายไปคล้ายคนทำประชดกัน ชายหนุ่มถอนหายใจเบา กวาดตาอ่านเอกสารอีกพักหนึ่งแล้วพูดขณะจรดปากกา ถ้าไม่มีเงิน ผมจะออกให้ก่อน ไม่เป็นไรค่ะ ...เพราะแค่ค่ามือถือก็ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนเธอถึงจะผ่อนหมด และถ้าเกิดเคราะห์หามยามร้ายไม่ผ่านโปรขึ้นมา เงินเดือนทั้งหมดคงถูกหักจนเกลี้ยงแถมอาจยังต้องโปะต่ออีกด้วย เห็นสีหน้าที่แปลความหมายออกได้อย่างง่ายดายแล้วนครินทร์ก็อมยิ้ม เขาหยิบแฟ้มใหม่ขึ้นมาอ่านพลางถาม กลัวอะไรรึ คล้ายใบหน้าเล็กๆ นั่นจะหันมาเพียงนิดเดียวคล้ายต้องการมองกันก่อนจะกลับไปจ้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ อาการกึ่งกล้ากึ่งกลัวนั่นทำให้ชายหนุ่มเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้ว ปั้นหยาเม้มปากเล็กน้อยก่อนตอบ เปล่าค่ะ ... นั่น ตอบกลับมาได้เสียงเบากริบดีแท้... แต่ถึงจะเบากว่านี้คนหูดีอย่างเขาก็ได้ยิน ดังนั้นคนช่างแหย่จึงพูดประโยคที่ทำให้หญิงสาวถึงกับหันมาจ้องหน้าเขาจริงๆ ก็ดีที่ไม่กลัว เย็นนี้ผมขอเชิญคุณไปทานข้าวเย็นด้วยนะ ตากลมที่ซ่อนใต้แว่นนั่นเห็นได้ชัดว่ากำลังเบิ่งกว้าง นครินทร์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมตนเองไม่ให้หลุดหัวเราะเสียงดังออกไป ทว่าชายหนุ่มคงเชี่ยวชาญเรื่องการตีสีหน้าเคร่งเครียดเกินไปหน่อย คนมองจึงเข้าใจว่าเขาเชิญเพราะเรื่องงาน เอ่อ... นัดลูกค้าไว้ใช่ไหมคะ แล้วจะให้ดิฉันเตรียมอะไรไปเป็นพิเศษหรือเปล่า ไม่ใช่ ผมเชิญเพราะอยากให้คุณไปด้วย สงสัยจริงว่าเจ้าหล่อนทำตาโตได้ถึงระดับไหน เพราะตอนนี้มันเบิ่งมากเสียจนลูกนัยน์ตาแทบถลนออกมานอกเบ้าแล้ว ไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่า ผมมีเรื่องฉลองกับเพื่อนๆ และพอดีเพื่อนคุณเข้าไปเอี่ยวด้วย ผมเลยคิดว่าพาคุณไปอีกคนคงสะดวกกับคุณช่อม่วงมากกว่า อ๋อ... หญิงสาวพยักหน้าและเข้าใจว่าช่อม่วงคงทำผลงานอะไรบางอย่างให้บริษัท ถึงขนาดท่านประธานจัดเลี้ยงให้ด้วยตัวเองนี่แสดงว่าต้องยอดเยี่ยมมากแน่... ให้ตายสิ เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเพื่อนคนนี้จัง ตกลงค่ะ ฉันจะรีบทำงานให้เสร็จ เท่านั้นอาการโยกตัวก็กลับมาอีกครั้งเหมือนเจ้าตัวจะลืมเรื่องที่เขาบ่นไปแล้ว นครินทร์หัวเราะในลำคอพลางจรดปากกาและปิดแฟ้มเอกสารด้วยใบหน้าซึ่งยังแตะแต้มรอยยิ้ม
สถานที่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ระหว่างเพื่อนฝูงจัดขึ้นที่ร้านอาหารเดิมโดยมีพนักงานหน้าเดิมๆ ออกมาต้อนรับ หากคราวนี้ หญิงสาวตัวเล็กซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายใครคนหนึ่งอย่างเหลือเกินนั่นทำให้เกริกเกียรติถึงกับจ้องหน้านครินทร์อย่างขอคำตอบ หากคนถูกจ้องก็ทำเพียงแค่ยิ้มตามมารยาทและกล่าวแนะนำตัวอาคันตุกะใหม่ทั้งสองโดยเริ่มจากช่อม่วงก่อน คนนี้เป็นเด็กใหม่ฝ่ายยุคันต์ชื่อช่อม่วง ทำหน้าที่ดูแลเว็บไซต์บริษัท ส่วนนี่คือคุณปั้นหยา เลขาของฉัน จากนั้นเขาหันไปทางสองสาว นี่คือเจ้าของร้านชื่อเกริกเกียรติ เป็นเพื่อนผมเอง คนไม่รู้ความนัยในสายตาของฝ่ายตรงข้ามพนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ผิดกับอีกคนที่ยกมือไหว้แบบแกนกว่าเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของเจ้าของร้าน... ว่าไปแล้ว ปฏิกิริยาของเกริกเกียรติช่างเหมือนกับสามหนุ่มเมื่อครั้งที่เจอปั้นหยาตอนตัดผมใหม่ๆ ชนิดไม่มีผิดเพี้ยนทั้งดวงตาและท่าทาง ราวกับว่าสี่คนนี้ได้พบอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนน่าตกใจในตัวของเพื่อนเธอพร้อมกันอย่างนั้นแหละ ทว่าอาการเช่นนั้นคงอยู่ไม่นานหลังจากชายหนุ่มได้กวาดตามองปั้นหยาอีกรอบ เกริกเกียรติเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพลางชำเลืองไปทางนครินทร์สลับกับยุคันต์ เลขารึ ใช่... เลขา และตอนนี้พวกเราก็หิวแล้ว ช่วยพาไปที่โต๊ะเร็วๆ ได้ไหมครับคุณเจ้าของร้าน พลาดไปถนัดที่จ้องยุคันต์เพราะง้างให้ตายหมอนี่ก็ไม่มีวันเปิดปาก ถ้าอยากเล็งผลให้เห็นชัดเจนควรเลือกธรรม์เทพเป็นเป้าหมายดีกว่า แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นเจ้าของร้านหนุ่มจึงเดินนำเพื่อนทั้งสามกับหญิงสาวอีกสองคนไปยังโต๊ะด้านหลังสวนซึ่งเป็นมุมค่อนข้างสงบและเป็นส่วนตัวที่เขาจัดเตรียมไว้ต้อนรับหลังจากได้รับโทรศัพท์ของนครินทร์ ที่นี่ตกแต่งได้สวยจังเลยนะคะ ปั้นหยาออกอาการตื่นตาตื่นใจจนเห็นได้ชัด ประกายสดใสใต้แว่นแสดงอย่างไม่ปิดบังเลยว่าชื่นชมสถานที่นี้มากเพียงใด เล่นเอาเจ้าของร้านอดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ ไอเดียสวนเป็นของคุณพ่อผมเองครับ ส่วนด้านในผมกับภรรยาช่วยกันดีไซน์ คุณปั้นหยาอยากชมรอบร้านระหว่างรออาหารหรือเปล่า พยักหน้าไปแล้วหนึ่งครั้งแต่พลันฉุกคิดได้ว่าเธอกำลังทำเรื่องไม่สมควรลงไปหรือเปล่า หญิงสาวจึงเหลือบมองท่านประธานหนุ่มอย่างหวาดๆ ทว่านครินทร์กำลังตั้งหน้าตั้งตาคุยกับยุคันต์คล้ายไม่ใส่ใจเธอนัก คำอนุญาตเลยออกจากปากของธรรม์เทพแทน ไม่เป็นไรครับ ไปเถอะ ชายหนุ่มพูดพลางยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกับช่อม่วงซึ่งคิดอะไรบางอย่างได้ เธอจึงเอ่ยขึ้น ฉันไปด้วยสิ เปิ้ล ความจริงเธอกะไว้ว่าจะถามเรื่องหน้าตาของปั้นหยากับเกริกเกียรติ แต่คนฟังอีกคนกลับไพล่เข้าใจไปถึงเรื่องข้อความในมือถือ คำสั่งที่อาจเรียกว่าใช้น้ำเสียงได้ราบเรียบหากแฝงไว้ด้วยความพรั่นพรึงจนน่าขนลุกพอๆ กับใบหน้าโหดของท่านประธานบริษัทหนุ่มจึงออกจากปากเจ้านายโดยตรงของหญิงสาว คุณรออยู่ที่นี่เถอะครับ อีกเดี๋ยวคุณปั้นหยาก็กลับมาแล้ว เชอะ ทำเป็นข่มขู่ คิดว่าจะกลัวหรือไงยะ... ฉันแค่อยากชมสถานที่เท่านั้นเองค่ะ โต้ไปแล้วก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวในการฝืนตัวเองไม่ให้สะดุ้งกับสายตาบังคับขู่เข็ญของยุคันต์ ซึ่งปรากฏขึ้นแทบเป็นวินาทีเดียวกับตอนที่เธอพูดคำสุดท้ายจบ ธรรม์เทพเห็นว่าเพื่อนตัวเองกำลังจะพ่นพิษใส่คนที่ยังทำหน้าดื้อแพ่งอยู่จึงยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวแล้วเอ่ยปาก อยู่ก่อนเถอะครับคุณม่วง พวกเรามีบางอย่างที่อยากจะคุยกับคุณ บางอย่างที่ว่าคงเป็นเรื่องนั้นสินะ... ช่อม่วงหยุดคิดเล็กน้อยเพื่อชั่งน้ำหนักความสำคัญ ความจริงเรื่องยัยกิ๊บซี่หลังจากนี้เธอก็พอเอาตัวรอดได้ถ้าแม่นั่นยังเหลือบารมีเยอะเสียจนสามารถกลับมาแว้งฉีกอกเธอจริงตามคำขู่ แต่พูดก็พูดเถอะ ถึงฝ่ายโจทย์จะมาหากันตอนนี้ก็ยังทำให้เธอหวาดผวาน้อยกว่าเจ้าของสายตาสามคู่ที่จ้องเธอเป๋งอยู่นี่แหละ แถมหนึ่งในสามนั่นบอกชัดเจนเลยว่าหากตอบไม่ถูกใจเป็นได้เจอเจ็บหนักมากกว่าโดนฝ่ามือยัยกั้งขึ้นอืดแน่ เมื่อสรตะจนแน่ใจแล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย หญิงสาวจึงส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษให้เพื่อนรักพลางส่ายศีรษะน้อยๆ เพื่อบอกว่าตนขอรออยู่ที่นี่ ปั้นหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะตามเกริกเกียรติไป พอคนทั้งสองคล้อยหลังไปแล้ว ช่อม่วงก็ถาม เรื่องนั้นยังไม่เรียบร้อยหรือคะ พูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับว่าเรียบร้อย อ้าว ก็ไหนว่าเรียบร้อยทั้งสองเรื่อง... เดี๋ยวสิ! หรือว่า... เอ่อ... คุณโทมัสคงไม่ได้โกรธจนถึงขั้นไม่ร่วมงานกับทางบริษัทใช่ไหมคะ ธรรม์เทพชำเลืองมองยุคันต์ด้วยดวงตาที่คนเห็นแล้วใจหายวูบ ช่อม่วงรีบจ้องชายหนุ่มอย่างขอคำตอบ ซึ่งผู้ที่ควรจะตอบก็มีสีหน้าสลดพลางยกน้ำขึ้นจิบก่อนบอก เปล่าครับ เขาตกลงจ้างบริษัทเราทำโฆษณาให้ หญิงสาวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเพื่อเตรียมสาดใส่คนกวนอารมณ์แต่ยั้งมือเอาไว้ได้ทัน ไม่ใช่ว่ากลัวตาแย้นั่นเปียกหรอก หากเพราะกลัวท่านประธานหนุ่มกับสามีของรุ่นพี่ที่เคารพรักซึ่งนั่งอยู่ติดกันจะโดนลูกหลงไปด้วย ทว่ามาคิดอีกที คุณธรรม์เทพเองก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องโทษเหมือนกัน จัดการเสียทั้งคู่เลยน่าจะดี นครินทร์ส่ายศีรษะเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าโมโหจัดของช่อม่วงเพราะถูกเพื่อนตัวแสบทั้งสองคนเย้าแหย่ ชายหนุ่มทำเป็นหยิบเมนูอาหารขึ้นมาอ่านแล้วถามยุคันต์เพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ดีขึ้น ที่ว่าไม่เรียบร้อยน่ะ หมายถึงนายโทมัสยังไม่ตัดขาดกับไอ้กั้งให้แกเห็นใช่ไหม ยุคันต์ยิ้มและพูด ประมาณนั้น งั้นก็แปลว่าคุณกิ๊บ... เอ๊ย คุณกั้งจะย้อนกลับมาหาเรื่องฉันได้ทุกเวลาสินะคะ ครับ แต่อย่าเพิ่งกังวลไปเลยดีกว่า บางทีเขาอาจจะไม่โผล่มาให้พวกเราเห็นอีกแล้วก็ได้ ช่อม่วงยิ้มอย่างฝืดฝืนกับคำปลอบที่แสดงชัดเจนถึงความไม่มั่นใจของชายหนุ่ม เพราะเขาคงรู้เหมือนกับที่เธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคนบางประเภทช่างคิดแค้นอาฆาตได้ร้ายกาจนัก และคนเหล่านั้นต่อให้เหลือเพียงแขนข้างเดียวก็พร้อมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายกันเพียงเพื่อความสะใจ หลังจากนี้เธอคงทำได้แต่ภาวนาล่ะนะว่าขออย่าให้นายกั้งระแคะระคายถึงแผนการณ์ของยุคันต์จนสาวเรื่องมาถึงตัวเธอได้อีกเลย
เกริกเกียรติพาปั้นหยาชมสถานที่จนกระทั่งถึงในครัว ที่นั่นเธอได้พบกับเทย่า ลูกครึ่งสาวสวยภรรยาของชายหนุ่มเจ้าของร้านซึ่งถึงกับออกอาการผงะเมื่อแรกเห็นหน้าหญิงสาว แต่เมื่อรับไหว้กันเสร็จสรรพและคนพามาก็แนะนำแล้วว่าเธอคือเลขานุการิณีคนใหม่ของนครินทร์ ความประหลาดใจจึงถูกแทนที่บนดวงหน้าอันเผือดซีดเหมือนคนขวัญเสีย เลขาเหรอ อย่างนายหนึ่งนี่น่ะหรือจะมีเลขา แถมยัง... เธอหยุดพูดเท่านั้นพลางกวาดตามองปั้นหยาอีกครั้งเหมือนอยากทบทวนอะไรบางอย่าง เกริกเกียรติจึงบอก แย้คงจัดให้น่ะ ใช่ไหมครับคุณปั้นหยา แย้... เอ่อ ยุคันต์เป็นคนสัมภาษณ์คุณใช่ไหมครับ ปั้นหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ พร้อมกับตอบ ค่ะ ดีแล้วล่ะ เทย่าพูดด้วยรอยยิ้ม ฉันหมายถึงว่าดีนะที่เธอไม่มองตาหนึ่งแค่เปลือกนอก เขาน่ะรูปร่างหน้าตาดีก็จริง แต่นิสัยนี่สิ... คนพูดทำสีหน้าเหมือนขยาดขณะส่ายหน้าไปมา ผู้เป็นสามีถึงกับหัวเราะพลางบอก เธอก็พูดเกินไป เกินไปที่ไหน ฉันยังจำเรื่องวันงานวิทยาศาสตร์เมื่อสมัยเรียนมอปลายได้อยู่เลย คนอะไรช่างหาเรื่อง เอาแต่ใจก็เท่านั้น ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าผู้หญิงเกือบครึ่งค่อนโรงเรียนชอบตานั่นเข้าไปได้ยังไง อย่าเอ็ดไปสิ อย่าลืมนะว่าหนึ่งในสองคนตรงนี้น่ะเป็นลูกผู้ชาย ชายหนุ่มบอกพลางลูบท้องอันใหญ่โตของหญิงสาว เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงภรรยาพูด ก็ลองเอาแต่ใจแบบนั้นสิ จะตีให้ก้นลายเลย หลังจากชมส่วนครัวและพูดคุย (ที่ค่อนข้างหนักไปทางนินทา) กับภรรยาสาวสวยของเจ้าของร้านแล้ว เกริกเกียรติก็พาหญิงสาวมายังด้านข้างของร้านที่ทำเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ประดับด้วยน้ำตกและนกกระยางซึ่งทำจากปูนปั้น ตรงจุดนี้ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งโต๊ะอาหารไว้ หากทำเป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ เพื่อให้ลูกค้าได้แวะมาพูดคุยหย่อนอารมณ์หรือสูบบุหรี่เสียมากกว่า ในเวลาเพิ่งเปิดร้านเช่นนี้จึงค่อนข้างปลอดคน เมื่อรอจนปั้นหยามองดอกไม้และพืชจำพวกเฟิร์นจนพอใจแล้ว เขาก็ถาม คุณมีญาติที่ชื่อเต้หรือเปล่าครับ คือผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาชื่อจริงนามสกุลจริงว่าอะไร รู้แต่ว่าเขามีญาติทำธุรกิจจำพวกอาหารทะเลอยู่ ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นแววสงสัยในดวงตาใต้แว่นของหญิงสาว ไม่มีค่ะ ความจริงคือฉันก็ไม่แน่ใจนักเพราะคุณพ่อฉันก็เสียไปนานแล้ว ส่วนญาติทางแม่เป็นชาวสวนอยู่ทางภาคเหนือกันหมดน่ะค่ะ แล้วพวกหนึ่งเขาเคยพูดเรื่องของเต้ให้คุณฟังหรือเปล่าครับ ปั้นหยาส่ายศีรษะแทนคำตอบ เกริกเกียรติจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจและเงียบไปหลังจากนั้น หญิงสาวจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม คุณเต้เขาเป็นใครหรือคะ คนฟังเลือกทำเพียงยิ้มแล้วบอก ผมว่าเรากลับไปที่โต๊ะกันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง นั่นไม่ใช่การเลี่ยงประเด็นหากเป็นเพราะเกริกเกียรติไม่อยากพูดเรื่องราวในอดีตของเพื่อนให้เธอฟังมากกว่า ซึ่งเหตุผลนี้ปั้นหยาเข้าใจดี ดังนั้น ถ้าเธอต้องการทราบจริงๆ ว่าเต้คือใคร คนที่เธอควรถามมากที่สุดจึงไม่ใช่เจ้าของร้านอาหารคนนี้ แต่เป็นคุณนครินทร์เจ้านายของเธอต่างหาก เพียงแค่เดินลัดเลาะออกจากสวนหย่อมอีกเล็กน้อยทั้งสองก็มาถึงโต๊ะอาหารประจำของกลุ่ม มีของว่างวางอยู่แล้วสองชนิด ปั้นหยาจึงกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านหนุ่มผู้อุตส่าห์สละเวลาพาชมร้านก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ของตน เกริกเกียรติพยักหน้ารับและขอตัวไปทำงานต่อ คล้อยหลังชายหนุ่มได้ครู่หนึ่งอาหารหลักก็ถูกนำมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมกับสีสันของอาหารทำให้ช่อม่วงถึงขั้นกลืนน้ำลายเสียงดัง โห... เปิ้ลดูดิ น่ากินจังเลยว่ะ ต้มยำกุ้งแม่น้ำตัวโต๊โต อย่ารีบกินจนติดคออีกนะครับ คำแหย่ของยุคันต์เรียกค้อนวงเบ้อเร่อจากคนที่เคยรีบกินจนติดคอมาแล้ว ขณะที่ปั้นหยาเลิกคิ้วด้วยแปลกใจว่าชายหนุ่มรู้เรื่องช่อม่วงไม่ถนัดกินเร็วได้อย่างไรพลางหยิบชามแบ่งมาตักต้มยำและส่งให้ทุกคนจนครบ จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือของนครินทร์ดังขึ้นพอดี เขาจึงขอตัวออกไปรับสายโดยไม่ชำเลืองเบอร์เลยด้วยซ้ำ ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าเขาจะกลับมานั่งที่โต๊ะด้วยสีหน้าหงุดหงิดแบบเห็นได้ชัดเจน คุณนายแม่โทรมาเรื่องอะไรรึ ธรรม์เทพถามและสังเกตเห็นว่าเพื่อนของตนเหลือบมองปั้นหยาแวบหนึ่งก่อนตอบ จะให้ฉันไปทำงานที่ฮ่องกงหนึ่งสัปดาห์น่ะ ต้องไปต้อนรับแขกคนสำคัญ งั้นรึ คนถามพูดเท่านั้นแล้วมองสาวแว่นซึ่งกำลังซดน้ำต้มยำอย่างเอร็ดอร่อยแบบมีความหมาย อย่าคิดมากน่า คุณนายแม่คงไม่ว่างจริงๆ นั่นแหละ ไม่คิดไม่ได้หรอกว่ะ คุณนายแม่ของนายให้พายัยเลขาไปด้วยนะเว้ย เสียงนั่นหาเบาใช่น้อย แต่คนที่กำลังเพลินกับความอร่อยจับประโยคได้แค่ช่วงท้ายจึงเข้าใจผิดคิดว่าคนที่ต้องไปคือธรรม์เทพกับเลขาของเขาเลยทำหน้านิ่งจนชายหนุ่มทั้งสองคนแปลกใจ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าผู้จัดการฝ่ายการตลาดผู้นี้ไม่มีเลขา หนำซ้ำยุคันต์ยังถามสืบไปอีกนั่นแหละถึงรู้ความจริง แล้วคุณนายแม่จะให้นายกับคุณปั้นหยาไปเมื่อไหร่ล่ะ แทบสำลักน้ำต้มยำกันเลยทีเดียว หากปั้นหยาก็ควบคุมการกลืนอาหารลงคอได้ดีแม้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พอทุกสิ่งเข้าที่เธอก็ถาม หะ... ให้ฉันไปจะดีหรือคะ ฉันยังเป็นแค่พนักงานใหม่ อาจยังไม่มีประสบการณ์มากพอ... ถือว่าเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งก็ได้ครับ ยุคันต์ว่าพลางยิ้มให้กำลังใจหญิงสาว จากนั้นเขาหันไปถามนครินทร์อีกครั้ง ว่าไงหนึ่ง จะไปเมื่อไหร่รึ ฉันต่อรองแม่ไว้ที่สองอาทิตย์ ต้องเผื่อเวลาให้ปั้นหยาทำหนังสือเดินทางด้วย ช่อม่วงมีอาการตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้าหลังจากแน่ใจแล้วว่าเพื่อนกำลังจะได้ไปต่างประเทศ แต่คนโชคดีกลับทำหน้าคล้ายใกล้เป็นลมเมื่อบอสใหญ่กล่าวกับเธอต่อ พรุ่งนี้ผมอนุญาตให้คุณไปทำหนังสือเดินทางก่อนเข้าบริษัทนะ รู้จักสถานที่ใช่ไหม รู้จักหรือไม่หาใช่เป็นปัญหาเพราะแค่เสิร์ชทางเน็ตเอาก็ทราบแล้ว แต่เรื่องใหญ่กว่านั้นคือเธอไม่เก่งเรื่องการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเอามากๆ หรือถ้ารวบรัดความให้ตรงกว่านี้ก็คือรู้แค่งูๆ ปลาๆ ชนิดที่เรียกว่าหากพบประสบการณ์จริงคงแย่ตั้งแต่ประโยคแรก ดังนั้นการไปต่างประเทศของเธอเท่ากับว่าบริษัทต้องสิ้นเปลืองทั้งงบประมาณและเวลา หนำซ้ำเธอยังอาจทำให้นครินทร์ขายหน้าอีกด้วย เอ่อ... กะจะเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง แต่ปั้นหยาก็ต้องรีบหลบหน้าเพราะตอนนี้สายตาของนครินทร์ดูน่ากลัวชนิดถ้าสบแล้วมีสิทธิ์บาดเจ็บสาหัสได้ โชคดีว่าช่อม่วงเห็นสัญญาณอันตรายจึงเคาะระฆังช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที จำได้ว่าแถวบ้านเราก็มีที่ทำหนังสือเดินทาง เดี๋ยวขากลับเราแวะไปดูกันนะเปิ้ล ปั้นหยามีท่าทางลังเลก่อนจะพยักหน้ารับคำอย่างจนใจ ซึ่งหลังจากจบเรื่องแล้ว แต่ละคนก็ลงมือรับประทานอาหารกันต่อแบบเงียบเชียบชนิดที่คนหนึ่งในวงข้าวถึงกับโทษตัวเองว่าเป็นผู้ทำงานกร่อย หากหญิงสาวไม่รู้ความจริงว่าเรื่องที่ประธานหนุ่มชวนเธอไปต่างประเทศเพื่อทำงานนั้นเป็นแค่ข้ออ้าง เหตุผลแท้จริงแล้วคือแม่ของเขาเกิดอยากเห็นหน้ายัยเลขาคนใหม่ซึ่งร้อยวันพันเดือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้ไม่เคยคิดใส่ใจหาต่างหาก นครินทร์ต้องสะกดอารมณ์ไม่ให้ลุกขึ้นไปเขกกะโหลกแม่เลขาขณะแอบชำเลืองเจ้าหล่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนถูกบังคับอย่างเอาเป็นเอาตาย โทษฐานทำตัวถูกชะตากับพี่เง็กเกินเหตุจนรายนั้นอดเอ่ยปากชมเรื่องเธอกับแม่ของเขาไม่ได้ และหนนี้ก็รับประกันได้ยากเสียด้วยว่าคุณนายกิมลั้งจะชื่นชมยัยเลขาเหมือนที่ญาติรุ่นหลานชื่นชม เพราะใบหน้าของปั้นหยาช่างคล้ายจนถึงขั้นเกือบเหมือนตัวต้นเหตุซึ่งทำให้ลูกชายสุดน่ารักอย่างเขาต้องทะเลาะกับท่านแทบบ้านแตกมาแล้ว เอาเถอะ... อยากผูกสัมพันธ์อันดีจนเกินเหตุไว้นักก็จงแก้เอาเองแล้วกัน เขามีหน้าที่แค่พาเจ้าหล่อนส่งไอซียูหลังจากเจอพิษสงของคุณนายกิมลั้งเท่านั้นแหละ!
Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 22:37:25 น. |
|
0 comments
|
Counter : 204 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|