ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
บทที่ 3

บทที่ 3

พายุที่ชื่อช่อม่วงพัดออกนอกประตูไปแล้ว แต่ลมลูกกระจิ๋วแค่นั้นมีหรือที่คนอย่างนายแย้จะกลัว ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะต่อเนื่องจนต้องนั่งลงกับพื้นเอามือกุมท้อง โชคดีจริงๆ ว่าห้องนี้เก็บเสียง ไม่อย่างนั้นหนึ่งในสองคนข้างนอกนั่นมีหวังปรี่เข้ามาฆ่าเขาตามที่สายตาเจ้าหล่อนได้ประกาศกร้าวไว้แน่
จากการแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตหลวมโพรกเหมือนยืมพ่อมาใส่ทั้งที่เจ้าหล่อนค่อนข้างตัวเล็ก กางเกงยีนส์เก่า ขาด แถมความซกมกอีกเล็กน้อยกับผมซึ่งตัดสั้นเต่อแทบติดหนังศีรษะทำให้เขาคิดว่าช่อม่วงเป็นหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงมาโดยผู้ชายแท้ๆ บางทีเธอคงไม่มีแม่เหมือนเขานั่นแหละจึงมองโลกในแง่ร้ายและไว้ใจคนยาก แต่ถึงดูห้าวแกร่งขนาดนั้น ใบหน้าของเธอกลับสวยคมสะดุดตา ดวงตาชั้นเดียวเฉี่ยวดุฉายแววฉลาดทันเกมคน จมูกโด่งปลายรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อยกับริมฝีปากอิ่มเต็มสีสดทั้งที่ไม่มีลิปสติกเคลือบเลยสักนิดดูดื้อดึงชวนให้อยากเอาชนะ น่าเสียดายตรงผิวคล้ำแดดนี่แหละ ถ้าเป็นสีน้ำผึ้งหรือขาวไปเลยรับรองว่าช่อม่วงจะเป็นผู้หญิงที่สวยเอามากๆ
เอาเถอะ... ถึงจะสวยระดับนางแบบนิตยสารต่างประเทศแต่ถ้าไร้สมองก็เปล่าประโยชน์... แย้ทอดถอนใจพลางเก็บเอกสารสมัครงานของช่อม่วงเข้าแฟ้มเพื่อเตรียมส่งต่อฝ่ายบุคคล... คราวนี้เหลืออีกหนึ่งสาวล่ะ
ตอนที่แพรวาแนะนำช่อม่วงนั้นเธอไม่ได้บอกว่ารู้จักกับปั้นหยา เพียงแต่เปรยว่ารุ่นน้องร่วมชมรมและสถาบันคนนี้มีเพื่อนสนิทสมัยเด็กอยู่คนเรียนสายวิทย์-คณิต เคยทำงานช่วงปิดเทอมเป็นผู้ช่วยฝ่ายธุรการในบริษัทขนาดกลาง แน่นอน ยุคันต์คิดว่าประสบการณ์แค่นั้นหาได้ดาษดื่นมาก หากเพราะใบหน้าจากรูปถ่ายซึ่งแนบมากับเอกสารสมัครงานต่างหากที่เขาเห็นแล้วต้องเก็บอาการผงะ ด้วยมันช่างละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จักมานานหลายปีแล้ว
และใบหน้านี้แหละทำให้แย้ตัดสินใจว่าจะส่งเธอไปเป็นเลขาเพื่อนสนิท แต่อย่างน้อยเขาต้องทดสอบก่อนว่าปั้นหยาจะไม่เป็นเหมือนหญิงสาวรายอื่นๆ ไม่คาดหวังหรอกว่าเธอต้องเฉยชากับความหล่อเหลาขั้นเทพของลูกชายคุณนายกิมลั้ง แค่รู้จักวางตัว เจียมตน เข้าใจกาละเทศะและคิดเป็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
พอครบห้านาทีเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น... ชายหนุ่มในห้องสูดลมหายใจลึกก่อนจะพ่นมันออกมาจนหมด เอาล่ะ ได้เวลาเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนสุดท้ายแล้ว มาดูกันสิว่าเธอจะผ่านด่านและเข้าไปอยู่ใกล้เพื่อนของเขาคนนั้นได้มากแค่ไหน
“สวัสดีค่ะ”
อาการแรกที่ได้เห็นคือละล้าละลังยกมือไหว้ ไม่ต้องมองผ่านดวงตาเข้าไปใต้แว่นนั่นก็รู้ทันทีเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่... ข้อนี้เหมือนหมอนั่นจริงๆ
“คุณปั้นหยา ทิวไผ่ทอง นะครับ เชิญนั่ง”
ไม่อิดออด ไม่กลั่นแกล้งเหมือนอย่างหญิงสาวคนแรก แต่ยุคันต์พอเดาได้ว่าคนหน้าห้องคงพูดอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างแล้ว ปั้นหยาจึงดูกริ่งเกรง กึ่งกล้ากึ่งกลัวหนักขึ้น ทว่าเธอเก็บอาการได้ดีพอใช้ แม้กิริยาที่นั่งลงบนเก้าอี้จะค่อนข้าง... หวาดผวา
“คิดว่าคุณมีความสามารถพิเศษอะไรครับ เพราะในช่องความสามารถพิเศษอื่นคุณไม่ได้กรอกไว้”
ถ้าจะให้พูดตรงๆ ล่ะก็... ไม่มี เธอรู้คอมพิวเตอร์แค่ในระดับใช้ได้ไม่ใช่ใช้เป็น พิมพ์ดีดไม่ช้าหากก็ไม่เร็ว กีฬาไม่ต้องพูดถึง ที่จะทำได้ดีและถนัดเป็นพิเศษก็มีแค่... ซุ่มซ่าม
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษค่ะ ฉันทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งจริงเลยสักอย่าง”
ก็เป็นลักษณะของพวกธุรการจริงๆ นั่นแหละ แต่ตำแหน่งที่เธอจะทำคือเลขา ดังนั้นต้องหัวไวและละเอียดรอบคอบในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งเลขาของกรรมการผู้จัดการ
“แล้วเรื่องสมาธิล่ะ สามารถรับรายละเอียดได้มากแค่ไหนในการฟังหนึ่งครั้ง”
“ก็... คงสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
“แล้วถ้ามีคนนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอมาอยู่ใกล้ๆ คุณจะทำยังไงให้เขาหลับครับ”
ง่ะ... เกี่ยวอะไรกับงานเลขาอ่ะ “คงร้องเพลงกล่อมมั้งคะ”
“แล้วคุณชอบผู้ชายประเภทไหน”
ถึงกับจ้องคนสัมภาษณ์เขม็ง เพราะคำถามนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นเลขา จะบอกว่าเขาจีบเธอก็ไม่น่าใช่ แววตาน่ากลัวเหมือนจะกัดคอกันได้ทุกเวลานั่นมองยังไงก็ไม่เห็นเป็นอาการรักแรกพบไปได้ หรือบางที... เขาอาจคิดว่าเธอคงอยากไต่เต้าด้วยวิธีประหลาดๆ เช่นการเป็นภรรยาน้อยของเจ้านายตัวเอง เดี๋ยวสิ นี่มันดูถูกกันชัดๆ !
“ฉันชอบผู้ชายอ่อนโยน ใจดี รักสัตว์รักธรรมชาติ ไม่ต้องหล่อก็ได้ ไม่เจ้าชู้และที่สำคัญต้องไม่แก่กว่าเกินห้าปีค่ะ”
คล้ายมีรอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากไม่หนาไม่บางแค่ชั่วพริบตา แต่ปั้นหยามีปัญหาทางด้านสายตาหากต้องมองระยะสั้นจึงแน่ใจว่าเธออาจคิดไปเองก็ได้ และฟันธงในทันทีว่าเธอคิดไปเองจริงๆ เมื่อเจอคำถามสุดท้าย
“ข้อสุดท้ายแล้วครับ ลองเรียบเรียงคำพูดอย่างละเอียดทั้งของคุณและผมตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาในห้องนี้จนกระทั่งถึงคำถามสุดท้ายให้ผมฟังหน่อยครับ”
ปั้นหยากระพริบตาสองปริบ ก่อนกลืนน้ำลายและเริ่มบอกเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ถึงใจจะคิดว่ามันประหลาดไม่น้อย แต่ก็เปล่าประโยชน์หากดึงดันในเมื่อนี่คือการสัมภาษณ์งาน
“ตอนแรกฉันบอกสวัสดีค่ะ แล้วคุณเรียกชื่อฉัน เชิญให้ฉันนั่ง คำถามแรกคุณถามว่าฉันมีความสามารถพิเศษอะไร เพราะฉันไม่ได้กรอกไว้ในใบสมัครงาน ฉันตอบว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะทำได้ทุกอย่างแต่เก่งไม่จริงสักอย่าง คำถามต่อไปคือเรื่องสมาธิ รับได้แค่ไหนในการฟังครั้งหนึ่ง ฉันตอบว่ารับได้ประมาณห้าสิบ ต่อมาคุณถามว่าถ้ามีคนนอนไม่หลับมาอยู่ใกล้ๆ จะทำยังไงให้เขาหลับ ฉันตอบว่าร้องเพลงกล่อม แล้วก็คุณถามว่าฉันชอบผู้ชายประเภทไหน ฉันบอกชอบผู้ชายใจดี อ่อนโยน รักสัตว์รักธรรมชาติ ไม่หล่อ ไม่เจ้าชู้และไม่แก่กว่าเกินห้าปี คำถามสุดท้าย คุณให้ฉันพูดรายละเอียดทั้งหมดที่คุณคุยกับฉันมาตั้งแต่ต้น”
จากนั้นหญิงสาวก็เงียบกริบและมองหน้าของชายหนุ่มที่มองกันได้นิ่งสนิท เกิดความเงียบขึ้นเนิ่นนานจนกระทั่งเธอคิดทบทวนทุกอย่างที่เพิ่งพูดออกไป ก่อนถามเขากลับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“หรือนั่นหมายความถึงคำตอบของคำถามสุดท้ายที่ฉันเพิ่งพูดจบไปด้วยคะ”
คราวนี้ไม่ต้องขยี้ตาก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังยิ้มตามด้วยอาการพยักหน้า ปั้นหยาหน้าเสียหนักขึ้นเพราะเท่ากับเธอต้องกล่าวทวนใหม่อีกไม่รู้จบ และแน่นอนว่าการพูดในแต่ละครั้งย่อมไม่เหมือนกัน ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยอมพูดซ้ำอีกรอบ จนเกินรอบที่สามมาครึ่งทางแล้วนั่นแหละ เขาจึงบอกให้เธอหยุด
“ไม่คิดหรือครับว่าคำถามนี้จะสิ้นสุดลงได้เมื่อคุณพูดแค่คำว่า จบ”
คิด... แต่เธอไม่กล้าพูด ใครจะไปรู้ใจกันล่ะเพราะคนตรงหน้าท่าทางเฮี้ยบไม่ใช่น้อย และเท่าที่ฟังช่อม่วงบอกว่าเขาเป็นผู้ชายน่าเกลียดน่าขยะแขยงที่สุด แสดงว่าคุณยุคันต์เป็นประเภทเดียวกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง พวกมีกฏไว้ให้ทำตาม
เห็นคนมีใบหน้าเหลือแค่สองมิลเพราะความกระอักกระอ่วนแล้ว ยุคันต์ได้แต่แอบส่ายหัว ผู้หญิงคนนี้ไร้ความมั่นใจแถมยังซื่อบื้อขี้ขลาด สู้รบปรบมือใครไม่เป็นแน่ อย่างนี้จะช่วยเหลือเจ้านายหนุ่มของเขาจากเหล่าเสือสิงห์กระทิงแรดตัวแม่ซึ่งมักพยายามเข้าหาวันละหลายครั้งได้ยังไง นอกจากเป็นตัวถ่วง ร้องไห้กระซิกๆ อยู่มุมห้อง
แต่อย่างน้อยข้อดีของเจ้าหล่อนคือไม่มีความกล้าพอจะให้ท่าเพื่อนเขาแน่ เอาเถอะ... หากมันไร้ทางจริงๆ ก็ส่งยัยปั้นหยานี่เป็นเหยื่อล่อให้แม่พวกกระซู่ขย้ำ ซึ่งหากนครินทร์ยังไม่เป็นเสือสิ้นลาย เขามีวิธีหาประโยชน์จากแม่นี่ได้คุ้มค่าแน่นอน
“ผมอยากให้คุณทดลองงานก่อนสี่เดือน ระหว่างนั้นผมจะประเมินคุณเป็นระยะว่าคุณได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองหรือไม่อย่างไร หากทำได้ในระดับที่ผมพอใจ เราจะบรรจุให้คุณเป็นพนักงานประจำ มีอะไรจะสอบถามเพิ่มไหมครับ”
“ค่ะ เอ่อ... ฉันขอเริ่มงานวันจันทร์นี้เลยได้ไหมคะ”
นับว่าใช้ได้กว่าแม่สีม่วงนั่นล่ะนะ “ครับ”
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
ท่าจะไม่แฮะ เอ๋อพอกัน... “คุณแน่ใจนะครับว่าจะไม่สอบถามถึงเงินเดือน ผมเห็นคุณเขียนว่าแล้วแต่พิจารณา”
“ก็... ค่ะ ตามนั้น”
“และถ้าหากผมให้คุณสองพันต่อเดือนล่ะ คุณโอเคเหรอ”
ไม่โอเคแน่นอนอยู่แล้วค่ะ... จากที่ตัดสินใจว่าจะยกมือไหว้เพื่อร่ำลา กลับต้องนั่งก้มหน้าแช่อีกชั่วครู่ ปั้นหยากลืนน้ำลาย เม้มปาก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มแล้วบอก
“ฉันไม่เคยเป็นพนักงานประจำจึงไม่รู้ว่าเลขานุการได้เงินเดือนเท่าไหร่ แต่คุณในฐานะที่เป็นคนประเมินฉันและคงทราบเรื่องเหล่านี้ดีกว่า ดังนั้นเรื่องเงินเดือนก็แล้วแต่ดุลยพินิจของคุณเถอะค่ะ”
ท่าทางจะดูแม่นี่ผิดไปหน่อย ฉลาดตอบใช้ได้... ชายหนุ่มยิ้มและพูด “ครับ แล้วผมจะดูให้”
รอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าเสน่ห์แย้มพรายเล็กน้อยพอให้คนฟังพอใจชื้นขึ้นอีกนิด ก่อนได้ฤกษ์ร่ำลาเพื่อกลับบ้านจริงๆ เสียที หญิงสาวพนมมือไหว้และลุกขึ้นยืน ตอนที่เธอจับลูกบิดประตู เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้นพร้อมคำพูด
“แย้ มานี่ด่วน!”
ได้ยินเต็มสองหูเลยเชียวล่ะ ใครจะไปนึกว่าคุณยุคันต์แสนน่ากลัวคนนี้มีชื่อเล่นที่ผิดใบหน้าไปมากโขขนาดนั้น... แต่คนชื่อเล่นประหลาดจะรู้สึกเสียหน้าหรือก็เปล่า ตรงกันข้าม ตอนนี้เขาดูน่ากลัวมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ปั้นหยาเกือบร้องออกมาแล้วเมื่อเจ้าของขายาวก้าวพรวดเดียวถึงตัวเธอ แต่เขากลับกระชากประตูและเดินออกจากห้องจนชายเสื้อสูทปลิว เดาจากสีหน้าชวนขนหัวลุก ลักษณะการก้าวย่างและน้ำเสียงซึ่งเธอได้ยินจากโทรศัพท์ เหมือนคนโทรหาคุณยุคันต์กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างด่วนมาก
“เปิ้ล เป็นอะไรหรือเปล่า”
ช่อม่วงกระโดดเข้ามาถาม เธอเกือบถลาเข้าต่อยนายยุคันต์แล้วเพราะคิดว่าหมอนั่นจะลวนลามเพื่อน ด้วยจังหวะประตูเปิด ร่างสูงของเขาอยู่ข้างปั้นหยาพอดี และสีหน้าเขาก้ำกึ่งทีเดียวระหว่างหื่นจัดกับโกรธจริง
“ไม่อ่ะ... เราตามเขาไปกันเถอะ ม่วง”
“เย้ย จะไปทำไม เรื่องของเขาเราไม่เกี่ยวนะ กลับบ้านกันเหอะ”
แต่ปั้นหยาวิ่งตามคนซึ่งเพิ่งเลี้ยวลับตาไปจากทางเดินทันทีที่เธอพูดจบ ช่อม่วงจุปากอย่างขัดใจก่อนวิ่งตามเพื่อนและทันเห็นผมยาวปลิวจากขอบประตูที่เหมือนทางสู่บันไดหนีไฟ ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังจริงๆ เธอต้องเปลี่ยนความคิด มันไม่ใช่บันไดหนีไฟ หากเป็นบันไดเวียนราวจับสีทองดูหรูหรา อีกทั้งขั้นบันไดซึ่งทอดยาวขึ้นไปชั้นบนนั้นปูด้วยพรมสีแดงพิมพ์นูนลายกุหลาบทั้งหมด ช่อม่วงแหงนหน้ามองและเห็นว่านายยุคันต์ถึงชั้นบนสุดแล้ว ส่วนปั้นหยาอยู่ห่างเธอไม่มากเท่าไหร่
“รอด้วยสิ เปิ้ล”
จากนั้นเธอก้าวพรวดทีละสองขั้นโดยใช้ราวบันไดช่วยเหวี่ยงตัวขึ้นไป ช่อม่วงเป็นคนชอบออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอผิดกับเพื่อนสนิท ไม่นานหญิงสาวจึงไล่ทันปั้นหยาที่ก้าวถึงชั้นบนแล้ว
ระยะทางที่เธอเพิ่งขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสูงสุดแค่ประมาณชั้นครึ่งแต่ปั้นหยาก็ออกอาการหอบแฮ่ก ช่อม่วงทำสีหน้าประหลาดพลางส่ายหัวก่อนเริ่มอ้าปากเพื่อพูดชักจูงให้เพื่อนกลับบ้านต่อ ทว่าเสียงเอะอะเอ็ดตะโรจากประตูไม้สีเข้มประดับด้วยกระจกหลากสีเป็นรูปเถากุหลาบทำให้หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันและตัดสินใจย่องไปดูเหตุการณ์
ห้องนี้คงอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ช่อม่วงคิดอย่างนั้นเมื่อเห็นเพดานรูปโดมยกสูงเต็มไปด้วยภาพวาดนางฟ้าและเทวดาองค์น้อยแถมยังประดับด้วยโคมไฟคริสตัลห้อยระย้าเป็นประกายวิบวับดูงดงาม กลางห้องเป็นโต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่สีเข้มขัดจนมันปลาบ ด้านข้างซ้ายขวาและหลังของโต๊ะนั้นถูกโอบไว้ด้วยชั้นที่มีหนังสือวางไว้จำนวนมหาศาล ถัดออกมาเป็นชุดรับแขกกำมะหยี่สีน้ำเงินสลับทองซึ่งคงจะมีราคาแพงกว่าบ้านเธอทั้งหลัง ทว่าสิ่งดึงดูดสายตามากที่สุดในห้องนี้คือชายหนุ่มผู้กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ยาว
เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาว... ขาวจนเหมือนมีออร่าเปล่งประกายออกมาจากร่างกำยำ เธอเห็นแผงอกล่ำใต้เสื้อเชิ้ตซึ่งถูกปลดกระดุมลงมาถึงกลางอก คิ้วคมเข้มของเขาขมวดมุ่นและดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นราวกับมีเปลวไฟพุ่งออกมาขณะกำลังมองอะไรบางอย่าง ริมฝีปากได้รูปที่หยักปลายเล็กน้อยเผยอนิดๆ โชว์เขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้าง... ให้ตาย เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมตึกนี้ถึงต้องสร้างอย่างสลับซับซ้อนนัก ซ่อนเทวดาไว้นี่เอง
“คุณนครินทร์... จำไม่ได้จริงๆ หรือคะว่าทำอะไรกับดิฉันบ้าง”
เสียงกระซิกกระซี้ทำให้ช่อม่วงได้สติก่อนละสายตาจากหนุ่มรูปงามชำเลืองไปทางคนพูด เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเก้าอี้ยาวตัวนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เท่าที่มองก็จัดได้ว่าหน้าตาสวยสะพอควร แต่ก็นะ... ความสวยแค่นั้นไม่เพียงพอกลบรัศมีเทพของชายหนุ่มอีกคนได้หรอก
“ฉันไม่ได้ทำอะไรจะจำได้ยังไง”
“ตะ... แต่คุณเข้ามากอดดิฉัน บอกว่าต้องการดิฉัน แล้วคุณก็...” จากนั้นหญิงสาวก็ปล่อยโฮลั่น มองจากเสื้อผ้าเจ้าหล่อนซึ่งหลุดลุ่ยก็ชวนให้คิดอยู่หรอก ถ้าเพียงแต่การร้องไห้นั่นจะไม่มีน้ำตาสักหยด
“เรื่องเป็นยังไงกัน หนึ่ง” เสียงของยุคันต์เรียกสายตาของช่อม่วงให้มองเขา ไม่ต้องให้หมอดูที่ไหนมาคอนเฟิร์ม เธอก็รู้ว่าอีตากวนประสาทนี่เข้าข้างเพื่อนเต็มที่ ต่อให้นายหล่อเทพนั่นรับผิดแต่ไม่ยอมรับโทษก็ตาม
“ฉันเพลียมากเลยมานอนพักสายตาตรงนี้ แต่พอเคลิ้มก็รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมายุกยิกตรงช่วงอก พอลืมตาก็เจอยัยนี่นอนบนตัวฉันแล้ว”
“แต่คุณหนึ่งกอดดิฉันจริงๆ คุณยุคันต์ต้องเชื่อดิฉันนะคะ ดิฉันเป็นผู้หญิงมีแต่เสียกับเสีย จะโกหกไปทำไม”
“แล้วคุณขึ้นมาทำอะไรบนนี้ จำกฏไม่ได้หรือไงว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญห้ามขึ้นมา”
น้ำเสียงนั่นบอกได้อย่างดีว่ายุคันต์ไม่เชื่อ แถมสีหน้ากับดวงตาการันตีให้อีกต่างหาก เล่นเอาคนถูกถามทำอะไรไม่เป็นพักใหญ่ก่อนชำเลืองมองแฟ้มเอกสารซึ่งวางไว้อยู่บนโต๊ะรับแขก
“ดิฉันเอารายงานมาให้เซ็นต์ค่ะ”
“นั่นเป็นหน้าที่ของหัวหน้าฝ่าย และเท่าที่ฉันจำได้ เธอไม่ใช่”
“พอดี คุณทัศพรไม่ว่าง...”
แพตเทิร์นเชยสะบัดเลยแฮะ ท่าทางยัยนี่จะไม่ได้เตรียมการย่องเข้าหาหนุ่ม... ช่อม่วงคิดพลางมองยุคันต์ก้มลงลากโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะรับแขกตรงฝั่งของนครินทร์มากด โดยไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้ว
มิน่าล่ะ น้ำเสียงจึงเหมือนเร่งร้อนนัก เหตุการณ์มันกระชั้นอย่างนี้เอง... ปั้นหยามองระยะของโทรศัพท์กับจุดเกิดเหตุแล้วเข้าใจทันที เขาคงตกใจมากๆ ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอใครไม่รู้นอนทับตัว
ยุคันต์วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม ทัศพรบอกว่าเธอส่งคนขึ้นมาพร้อมรายงานเพื่อให้นครินทร์เซ็นต์จริงๆ เพราะเธอกับลูกน้องคนสนิทอีกสามคนติดรายงานอยู่กับเจ้าหน้าที่สรรพากร แต่พอสอบถามเวลาแล้วไม่มีทางที่เพื่อนของเขาจะทำอะไรผู้หญิงคนนี้ได้แน่ ทว่า... ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี่นา
“เธอต้องการอะไร”
คล้ายคนใจเสียจะแสยะยิ้มเหมือนสมหวังแม้ทำแค่ยกมุมปากขึ้นมานิดเดียว ทว่าดวงตาสามคู่ที่ลอบสังเกตการณ์อยู่เห็นอย่างชัดเจนถึงอาการนั้น ปั้นหยามองชายหนุ่มซึ่งทำหน้าคล้ายจะเป็นลมแล้วก็รู้สึกสงสาร จึงสะกิดช่อม่วงให้เอียงหูมาเพื่อกระซิบเรื่องที่เธอจับผิดผู้หญิงคนนี้ได้
“ดิฉันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องทำนองนี้กับตัวเองค่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อนเลย”
จากนั้นคนแย่ก็ซุกหน้าลงฝ่ามือแล้วแกล้งร้องไห้อีกรอบ เล่นเอายุคันต์ทำหน้าเหมือนอยากบีบคอคนและเกิดอยากต้อนผู้หญิงคนนี้ให้จนมุมจริงๆ แต่ยังติดที่เขาต้องเลือกใช้วิธีและคำพูดไม่ให้เพื่อนรักต้องเสื่อมเสีย ขณะอ้าปากเตรียมเกริ่นเรื่อง เสียงกระแอมก็พลันดังเข้าหู
“คุณถูกตานี่ปล้ำจริงหรือคะ”
เสียงเหมือนแสร้งตกใจเป็นของช่อม่วง โดยมีปั้นหยายืนกระมิดกระเมี้ยนยิ้มแหยอยู่เคียงข้าง ตายล่ะหว่า... ไม่รู้เลยนะว่าแม่สองคนนี้ตามเขาขึ้นมาด้วย
“ฉันเองก็ไม่เค้ย~~ ไม่เคยนะคะ ถามหน่อยสิว่าคนถูกปล้ำเนี่ย ปกติแล้วเขาอยู่ข้างล่างหรือข้างบนอ่ะ”
“บ้า เป็นผู้หญิงถามอะไรแบบนี้ได้ยังไง” เป็นเสียงยุคันต์ที่แหวมา แต่ช่อม่วงยังเดินหน้าต่อ
“แหม คุณยุคันต์ขา... ก็ดิฉันอยากรู้จริงๆ นี่ พอดีเห็นท่านั่งของคุณคนนี้แล้ว เหมือนเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่ายังไงพิกล”
“บ้าเหรอ ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะทำอะไรไร้ยางอายอย่างนี้ได้ยังไง” คราวนี้เป็นยัยหน้าสวยที่แหว ช่อม่วงจึงเดินไปยังโต๊ะรับแขกแล้วชี้
“ก็ดูการวางแฟ้มสิคะ ปกติคนถูกกระทำแฟ้มมันจะตั้งเรียบร้อยขนาดนี้เลยเหรอ และถ้าสมมติฉันเดินมาจากทางประตู เห็นคุณคนนี้นอนเซ็กซี่ยั่วยวนอยู่แล้วเกิดหื่นขึ้นมา ฉันก็จะวางแฟ้มอย่างนี้แล้วกระโดดงาบเลย”
ไม่ใช่แค่คำพูด หนนี้มีท่าทางประกอบตามมา ดีว่าหญิงสาวซึ่งทำท่ากระโดดงาบไม่ได้กระโดดจริงๆ ไม่อย่างนั้นชายที่นั่งเหวออยู่คงได้มียกเท้ายันหน้ากันบ้างแหละ ไม่ใช่เพราะช่อม่วงหน้าตาไม่ดี แต่เพราะท่าหื่นของเธอมันดูหื่นจริง!
“แต่ฉันเปล่านะ คุณนครินทร์ลวนลามฉันก่อน”
ไม่คิดหรอกว่าผู้ร้ายปากแข็งจะยอมรับทันที แต่เรื่องนี้ปั้นหยาได้บอกเธอไว้แล้ว
“แล้วมุมโทรศัพท์ก็แปล๊ก แปลกนะคะ ถ้าคุณคนนี้เป็นฝ่ายลวนลามก่อนจริง มันต้องตั้งแบบที่มันตั้งอยู่ตอนนี้สิ แต่นี่มันมีรอยลากจากจุดเดิมแค่รอยเดียวเพราะเมื่อกี้คุณยุคันต์ขยับมากด ซึ่งถ้ามันกลับไปอยู่ตรงที่มันเคยอยู่ล่ะ...” พูดพลางยกโทรศัพท์เคลื่อนไปทางชายหนุ่ม “ก็เท่ากับว่าตอนที่โทรลงไปนั้น มีคนอยู่บนตัวคุณคนนี้จริงๆ ว้าย~~ ถูกลวนลามยังไงถึงไปอยู่ข้างบนได้ล่ะคะนี่”
ใบหน้าผู้ถูกกระทำแดงซ่าน ริมฝีปากทาสีชมพูแปร๊ดกระตุกอย่างอยากว้ากใส่ยัยคนไม่เคยที่เหมือนจะรู้ถึงเจตนาเธอแล้ว หญิงสาวกลืนน้ำลายพลางชำเลืองมองยุคันต์ซึ่งกอดอกและจ้องโทรศัพท์เหมือนคิดอะไรอยู่ เท่านั้น คนร้อนตัวก็เริ่มคิดอะไรร้ายๆ ... บ้าชะมัด เหมือนอย่างที่เพื่อนร่วมแผนกของเธอพูดไว้ไม่ผิด ถ้ามือขวาของคุณนครินทร์ที่ชื่อยุคันต์พบช่องโหว่แม้เพียงนิดล่ะก็ เขาไม่มีทางปล่อยมันผ่านไปเฉยๆ แน่นอน
แต่เรื่องที่หญิงสาวไม่รู้คือตอนนี้ยุคันต์ไม่ได้คิดเรื่องของเธอสักนิด หากเขากำลังนึกชื่นชมคนหาเหตุผลมาตอกหน้าคนร้ายตัวจริงจนพูดไม่ออกต่างหาก... นับว่ายัยช่อม่วงนี่ฉลาดไม่เบา
“ฉะ... ฉัน... คุณยุคันต์ คุณช่วยดิฉันด้วยเถอะค่ะ”
ชายผู้เก็บอาการเก่งทำเป็นถอนหายใจเสียงดัง... เหมือนผู้หญิงคนนี้จะคิดว่าความเงียบของเขาคือการนึกหาวิธีลงโทษหล่อน ทั้งที่เรื่องพวกนี้เขาไม่คิดมากหรอกเพราะไม่ใช่เฟิร์สเคส หากเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นตอนหนึ่งไม่รู้ตัว
ยุคันต์เหลือบมองเพื่อนรักและเห็นเขากำลังนวดดั้งของตัวเองด้วยปลายนิ้ว ท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดนั่นแสดงว่าหนึ่งคงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วน
“ผมมีสองข้อให้คุณเลือก ถ้าคุณเขียนใบลาออกเองผมจะทำหนังสือรับรองการทำงานให้พร้อมจ่ายเงินเดือนส่วนที่ผ่านมา กับอีกข้อ รับค่าชดเชยแล้วเก็บของออกจากบริษัทนี้ทันที”
นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของเรื่องที่เธอคาดไว้ หญิงสาวสบตาเขาพลางพูดเสียงเครือ “คุณ... ไล่ฉันออกหรือคะ”
แม้ไม่มีคำตอบ แต่สีหน้าเย็นชาของชายหนุ่มก็บอกเธอได้เป็นอย่างดี และแววตาคู่นั้นราวจะสำทับกลับมาว่า ‘อย่าได้คิดอ้อนวอนเด็ดขาด’ คนผิดจึงจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทางพลางมองไปยังสองสาวตัวต้นเหตุด้วยแววตาเกลียดชัง
“คุณยังไม่ได้ตอบผมนะครับว่าจะเลือกทางไหน”
ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา “ฉันจะเขียนใบลาออกค่ะ”
“ครับ ลงวันที่พรุ่งนี้และเก็บของได้เลย ส่วนจดหมาย ผมจะให้ฝ่ายบุคคลเอาไปส่งให้ที่โต๊ะ”
เธอพยักหน้าและเดินไปยังประตู แกล้งชนปั้นหยาที่ยืนนิ่งอยู่จนเกือบล้ม ช่อม่วงเกือบพุ่งเข้าใส่ยัยวายร้ายแล้วแต่ยุคันต์หยุดเธอไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณช่อม่วง คุณปั้นหยา ผมคิดว่าไม่ได้อนุญาตคุณสองคนให้ขึ้นมาที่นี่นะครับ”
หนึ่งในสองผู้ต้องหาหน้าเจื่อนทันควัน แต่สำหรับช่อม่วง... ฝันไปเถอะ!
“แล้วจะไล่พวกฉันออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเลยไหมล่ะ นายคนใจแคบ”
คนใจแคบเลิกคิ้วพลางยิ้มก่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย ช่อม่วงรู้ทันทีว่าเขาอาจทำอย่างที่เธอท้าจึงหน้าเสียลง สำหรับเธอ ตกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ปั้นหยาจะพลอยซวยไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด ขณะกำลังลุ้นระทึก คนมีอำนาจมากที่สุดในห้องก็พูด
“ลงไปสะสางกันข้างล่างเถอะ ยุคันต์ ตอนนี้ฉันปวดหัวมากเลย”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาไม่สบาย หน้าซีดเซียวอย่างนั้นสมควรต้องนอนพักจริงๆ นั่นแหละ... ปั้นหยาเดินไปสะกิดเพื่อนเพื่อบอกให้ลงไปข้างล่าง และกำลังจะพูดกับยุคันต์ว่าพวกเธอขอลงไปรอหน้าห้องของเขา แต่ชายหนุ่มกลับแนะนำเธอหน้าตาเฉย
“คุณนครินทร์ นี่คือคุณปั้นหยา จะมาทำหน้าที่เป็นเลขาของคุณตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปครับ”
ชายหนุ่มไม่ได้ผายมือหรือพยักพเยิดเพื่อบอกว่าใครคือปั้นหยา แต่สายตาของนครินทร์กลับหยุดอยู่ที่ผู้หญิงสวมแว่นตาใส่ชุดนักศึกษารุ่นโบราณซึ่งกำลังอ้าปากค้าง เท่านั้นก็รู้แล้ว เพื่อนเองคงคิดเหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้ช่างคล้าย...
“ตะ... แต่... ฉันบอกจะมาเริ่มงานวันจันทร์นี่คะ”
“ครับ ซึ่งผมคิดว่าเราควรลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่า เพื่อให้ท่านประธานได้พักผ่อนตามที่ขอ”
จากนั้นเขาดุนหลังหญิงสาวทั้งสองให้ออกนอกห้อง โผล่หน้ามาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพลางยักคิ้วให้คนควรพักผ่อนที่อ้าปากค้าง ทำตาเหลือกถลนไปแล้ว
ทำไมเพื่อนถึงหาเลขาคล้ายกับตัวต้นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาล่ะ... ไอ้แย้ มันจงใจจะฆ่ากันชัดๆ

“เหตุผลที่ทำให้ผมต้องเลื่อนวันทำงานเพราะอะไรคุณพอทราบแล้วใช่ไหมครับ”
ยุคันต์ย้ำคำพูดซึ่งปั้นหยาได้ยินเมื่อตอนอยู่บนห้องของกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในเวลาที่ทั้งสามได้มาอยู่ในห้องของชายหนุ่มผู้มีอำนาจรองจากเขาลงมา จากเหตุการณ์ที่ตนกับเพื่อนสนิทเพิ่งประสบทำให้หญิงสาวเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเหตุผลข้อนี้ เธอก็ยอมรับว่าสงสารคุณชายข้างบนคนนั้นอยู่ แต่เธอยังมีบางอย่างซึ่งยังสะสางไม่เสร็จที่บ้าน แม่ของเธอรับงานพันก้านดอกไม้มาเมื่อวานตอนเช้าหลายหมื่น ถึงจะแค่พันก้านเพื่อเอาไปประกอบชิ้นส่วนต่อ มันก็ยังมีปริมาณเยอะอยู่ดี
“แต่พรุ่งนี้ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ คือว่าฉัน...” ปั้นหยาตัดสินใจบอกความจริง ซึ่งยุคันต์ก็พยักหน้ารับฟังอย่างเงียบเชียบ พอเธอเล่าจบเขาก็ควักกระเป๋าและดึงเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“หวังว่านี่คงพอสำหรับชดเชยค่าเสียเวลาในงานที่คุณรับมาทำนะครับ”
จำนวนธนบัตรสีเทาซึ่งวางไว้บนโต๊ะมีมูลค่ามากกว่างานที่เธอรับมาทำทั้งหมดเสียอีก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ไม่เกี่ยวกับเงินหรอกค่ะ มันเป็นความน่าเชื่อถือต่างหาก ถ้าจู่ๆ เอางานไปคืนหรือทำไม่เสร็จตามกำหนด ครอบครัวฉันคงถูกตราหน้าว่าไม่มีความรับผิดชอบแน่ๆ ค่ะ”
“ทางนี้ก็มีปัญหาเช่นกันครับ คุณเห็นแล้วไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ ฉันทราบ แต่...”
บุคคลที่สามซึ่งได้รับอนุญาตให้เริ่มงานวันจันทร์ นั่งเท้าคางกรอกตามองทั้งสองคนที่ทุ่มเถียงกันไปมาเหมือนเล่นโยนลูกบอลรับส่งกันอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนนายยุคันต์จะไม่ทันสังเกตว่าคนเรียบร้อยอย่างปั้นหยาแย้งคอเป็นเอ็นทีเดียวกับเรื่องนี้ เขาไม่เห็นจริงๆ สินะว่าปั้นหยาดื้อแค่ไหน อืม... ชักสนุกแล้วสิ
“ทำไมคุณไม่หอบข้าวของมากินนอนกับ... เอ๊ย ไม่ย้ายขึ้นมาดูแลคุณนครินทร์เสียข้างบนก่อนล่ะคะ หรือไม่ก็ให้คุณนครินทร์ลาป่วยไปก็ได้ วันนี้วันพฤหัส พรุ่งนี้ก็ศุกร์แล้ว ดิฉันเข้าใจว่าบริษัทคุณหยุดเสาร์อาทิตย์ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ แต่พรุ่งนี้ผมมีประชุมนอกสถานที่ กว่าจะกลับก็เกือบเย็น อีกอย่าง คุณนครินทร์ไม่มีทางลาหยุดโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรอกครับ”
ช่อม่วงทำปากเหมือนสบถแต่ไม่มีเสียง เธอกอดอก พิงพนักเก้าอี้และถาม
“ขนาดคนตาบอดยังรู้เลยว่าเขาป่วย ยังจะฝืนสังขารมาทำงานอีกเหรอ”
“CEO ไม่ใช่งานสบายอย่างที่พวกคุณเข้าใจหรอกนะ”
“แล้วตำแหน่งนี้มีค่ามากกว่าสุขภาพที่ดีหรือไง”
ไม่ดีกว่าหรอก แต่จะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับคนนอกก็ใช่เรื่อง ทั้งเขา หนึ่งและทันต่างก็ไม่ชอบบ่นเรื่องส่วนตัวให้คนไม่สนิทฟัง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่...
“บางทีสักวันพวกคุณอาจเข้าใจผม แต่คงต้องขอร้องจริงๆ เรื่องวันพรุ่งนี้ หากคุณปั้นหยากลัวงานที่บ้านจะไม่เสร็จ ผมอนุญาตให้เอามาทำก็ได้”
คำว่า ‘ขอร้อง’ จากคนที่ท่าทางไม่เคยขอร้องใครทำให้ใจอ่อนยวบลงไปเป็นกอง ใช้เวลาคิดอีกครู่ ปั้นหยาจึงตอบ
“ก็ได้ค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนรีบกล่าวปิดประโยคเพราะเห็นเพื่อนสนิทของปั้นหยาอ้าปากเตรียมแย้งอีกแล้ว หลังจากนัดแนะเวลาเข้างานและสถานที่ซึ่งหญิงสาวต้องพบเขาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เรียบร้อย ยุคันต์จึงต่อโทรศัพท์เรียกพนักงานคนเดิมขึ้นมาเพื่อให้ไปส่งสองสาวยังชั้นล่าง หลังร่ำลานายจักรกฤษ ช่อม่วงก็เริ่มเม้งถึงความใจอ่อนของปั้นหยา
“แกลงให้เขามากไปรู้ไหม เปิ้ล ต่อไปภายหน้ามันไม่เป็นผลดีแน่ๆ”
“ไม่นะ เขาให้ข้อเสนอที่ฉันรับได้ อีกอย่างคุณคนนั้นก็ท่าทางจะเดือดร้อนมาก ช่วยได้ก็ช่วยกันไป”
พูดถึง ’คุณคนนั้น’ แล้วช่อม่วงก็จ้องหน้าเพื่อน ดูเหมือนปั้นหยาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยกับความหล่อเหลาของชายหนุ่มที่ขนาดเธอเองยังยอมรับเลยว่า ‘หล่อขั้นเทพ’ จะว่าเพราะใส่แว่นก็ไม่ถูก ระยะห่างประมาณนั้น เพื่อนสาวสามารถเห็นหน้านายนครินทร์ได้อย่างชัดเจนแน่นอน
“แก... คิดยังไงกับคนที่จะต้องไปเป็นเลขาให้ง่ะ”
“ก็น่าสงสาร ดูเหมือนเขาจะป่วย”
“อืม... ยังไงอีก”
“งานคงจะหนัก เท่าที่เห็นเหมือนเขาไม่มีใครช่วย”
ปั้นหยามองเพื่อนและเห็นคิ้วที่เลิกขึ้นเหมือนจะให้เธอพูดต่อ เธอทำหน้าแปลกใจก่อนตอบ “แค่นี้แหละ”
“อะไรกัน แค่นี้เองเหรอ ไม่จริงน่า”
“แล้วเขามีอะไรมากกว่านี้เหรอ”
“ก็อย่างเช่น หน้าตาดี รูปร่างเพอร์เฟ็ค และ...” ช่อม่วงหยุดพูดทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของเพื่อนสาว จากนั้นเธอเขกกะโหลกและผลักปั้นหยาด้วยสีหน้าเอียงอาย คนถูกทำร้ายแบบไม่จริงจังนักพูดปนเสียงหัวเราะ
“เธอชอบคุณนครินทร์หรือนี่ เอาจริงอ่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แค่เห็นเขาหล่อดี หรือเธอไม่เห็นแบบฉัน”
“ไม่รู้สิ ฉันว่าผู้ชายไม่ได้มีดีแค่หน้าตานี่นา อีกอย่าง คนไม่ใช่สเป็ค ให้มองยังไงก็ไม่หล่อหรอก”
ไม่ใช่สเป็ค แล้วสเป็คของปั้นหยาเป็นแบบไหนล่ะ... ช่อม่วงได้แต่สงสัย เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่สมัยประถมเนื่องจากอยู่ชุมชนเดียวกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน บ้านใกล้กัน แต่หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เข้าสู่วัยสาว เธอยังไม่เห็นเพื่อนมีทีท่าว่าจะชอบผู้ชายคนไหนเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง ไม่เคยกรี๊ดกร๊าดดารา ไม่เคยมีแฟนแม้ว่าจะมีผู้ชายเข้ามาจีบบ้าง
“ถามอย่างดิ นี่แกเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่าน่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีกับคำถามนั้น ช่อม่วงรีบให้เหตุผล
“ก็ไม่เคยเห็นแกคบผู้ชายคนไหนนี่ ดารงดารายิ่งไม่เห็นกรี๊ดใครเป็นพิเศษ ฉันก็เลยสงสัยน่ะสิ”
“อ๋อ” เท่านั้นปั้นหยาก็ยิ้มก่อนตอบ “ฉันก็กำลังคบกับเธออยู่ไง อ้าว ไม่ใช่หรอกเหรอ”
“เฮ้ย อย่าเล่นมุกชวนขนลุกแบบนี้ได้ป่ะ ฉันจริงจังนะเว้ย”
สีหน้าเพื่อนดูขนลุกจริงๆ กับมุกตลกของเธอ ปั้นหยาหัวเราะก่อนเบี่ยงประเด็น
“หิวข้าวอ่ะ เราไปหาอะไรกินก่อนกลับกันเถอะ”
จากนั้นเธอก็เดินนำไปหาประชาสัมพันธ์สาวเพื่อแลกบัตรและรอให้ช่อม่วงประทับตราบัตรจอดรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะสลดวูบเมื่อเพื่อนเทความสนใจกับการค้นหาของในกระเป๋า
ถึงจะสนิทกับช่อม่วงมาก แต่ยังมีบางเรื่องที่หญิงสาวไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟัง บางเรื่องที่ปั้นหยาเข็ดขยาดจนถึงขั้นหวาดกลัวและทำให้เธอไม่อาจมองเห็นความหล่อเหลาของผู้ชายคนใดได้อีกแล้ว

หลังสองสาวกลับไปได้เกือบยี่สิบนาทีนครินทร์ก็โทรศัพท์เข้ามือถือของเขาเพื่อบอกให้ขึ้นไปพบที่ห้องทำงาน ถึงข้อความจะสั้นและไม่บอกเหตุผลหากชายหนุ่มก็พอเดาออกว่าเพื่อนอยากพูดเรื่องอะไร แต่แทนที่จะรีบขึ้นไปพบ ยุคันต์กลับบอกให้หนึ่งรอตนอีกห้านาทีแล้ววางสายก่อนกดหาธรรม์เทพ... ถ้าเขาต้องโดนด่าล่ะก็ ไอ้ตัวช่างเสาะหาพนักงานต้องโดนด้วยสิ
จากนั้นห้านาทีพอดีเป๊ะ สองเพื่อนซี้จึงมายืนทำหน้าแป้นแล้นในห้องทำงานของท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ ถ้าเป็นคนนอกมาเห็นแววตาเหมือนมีไฟลุกออกจากเบ้ากับใบหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์หน้าวัดคงเผ่นไปแล้ว แต่เพราะคบหากันมานาน แค่นี้ไม่สะกิดต่อมหวาดกลัวของแย้กับทันหรอก
“หวังว่าคุณจะมีคำอธิบายกับเรื่องนี้นะ คุณยุคันต์”
“เรื่องอะไรหรือครับ ท่านประธาน”
เห็นรอยยิ้มกับคำพูดที่เหมือนไม่รู้อะไรเลยของเพื่อนสนิทแล้ว นครินทร์ชักเริ่มคันฝ่าเท้ายิบๆ ก่อนใช้แววตาให้น่ากลัวมากขึ้นทั้งที่รู้ว่ามันไร้ผล
“ก็เรื่องเลขาไง อย่าทำแกล้งเซ่อเลยไอ้แย้”
“อ้าว สองคนนั่นกลับไปแล้วเหรอ” เป็นทันที่พูดขึ้นโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ก่อนหันไปพูดกับแย้ “ฉันก็ยุ่งๆ เลยไม่ได้ขึ้นมาคุยด้วยเลย”
เท่านั้นสายตาน่ากลัวก็เปลี่ยนเป้าหมาย “นายก็รู้เหรอ... อ้อ สมรู้ร่วมคิดกันใช่ไหม”
“ก็พวกเราคุยกันแล้วนี่ หรือนายจำไม่ได้” คนไม่รู้ก็ยังทำแบ๊วได้โดยไม่ต้องแอ๊บ แถมยังใช้แววตาและคำพูดเป็นห่วงเป็นใยกับชายเจ้าอารมณ์ผู้พร้อมจะเผาเพื่อนให้เป็นตอตะโกด้วยสายตา
“ฉันว่าพรุ่งนี้นายไปหาหมอเถอะ หนึ่ง อาการแย่แล้วนะ”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึงยัยคนที่มาสมัครเลขาต่างหาก”
คราวนี้คนไม่รู้เรื่องยิ่งทำหน้างงได้เหวอขึ้นไปอีกขึ้น แย้กลั้นหัวเราะก่อนยื่นเอกสารสมัครงานของปั้นหยาให้เพื่อนดู ซึ่งธรรม์เทพก็รับมาอ่านพลางขมวดคิ้ว กระทั่งเห็นภาพถ่ายซึ่งแนบติดกับเอกสารด้วยกาว สองตาจึงค่อยๆ เบิ่งโพลงและร้องลั่น
“เฮ้ย นี่มัน...”
“คล้ายใช่ป่ะ นี่ถ้าผมสั้นด้วยล่ะก็ เหมือนเด๊ะเลย”
คำพูดนั้นทำให้นครินทร์รู้ทันทีว่าผู้ร้ายตัวจริงเป็นใคร สายตาจึงเปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้งขณะคำราม
“ไม่ต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมาเลยนะ นอกเสียจากว่านายอยากฆ่าฉัน”
คราวนี้ยักษ์ร้ายย้ายไปสิงร่างผู้ถูกกล่าวหาว่าใกล้จะเป็นฆาตกร แย้ใช้สายตาน่ากลัวพอกันมองเจ้านายหนุ่มก่อนโต้
“แค่ทำงานกับคนหน้าคล้ายกันไม่ตายหรอกว่ะ อย่างไรยัยนั่นก็เป็นผู้หญิง แถมผมยาวด้วย นิสัยก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน ไอ้หนึ่ง... นายเลิกทำร้ายตัวเองเสียทีเถอะ ไม่เห็นแก่พวกฉันก็เห็นแก่คุณนายแม่กับท่านขุนบ้าง ท่านทั้งสองเป็นห่วงนายมากนะ”
รู้... และใช่ว่าอยากทำสักหน่อย แต่ถึงสมองจะสั่งให้เลิก หากร่างกายมันกลับไม่ฟังเอง
ชายหนุ่มถอนหายใจและพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนล้า เขาเข้าใจว่าแย้หวังดี แต่ลางสังหรณ์มันกลับบอกว่าการรับปั้นหยาเข้ามาทำงานมีแต่จะทำให้อาการของเขาแย่ลง
“ไม่ล่ะแย้ ยังไงฉันก็...”
“ไม่ต้องห่วงน่า ยัยนี่ดูเผินๆ ก็คล้ายอยู่ แต่อีกตั้งหลายอย่างที่ไม่เหมือนหมอนั่น อย่างน้อยก็ผมล่ะ ปากดูจะบางกว่านิดหน่อย หน้าก็เล็กกว่านิดนึงมั้ง อีกเรื่องคือฉันไม่คิดว่ายัยปั้นหยาอะไรนี่เป็นผู้ชายปลอมตัวมาแน่” ธรรม์เทพให้ความเห็นก่อนสบตาเพื่อนราวกับจะขอร้อง
“เถอะหนึ่ง... ยัยนี่เป็นคนรู้จักของแพรวา นายก็รู้ว่าภรรเมียยอดรักของฉันเป็นยังไง เธอไม่ส่งแม่ปั้นหยามาแน่ถ้าคิดว่านายจะรับมือไม่ไหว แต่ถ้าเกินกำลังจริงๆ ค่อยหาทางให้เจ้าหล่อนยอมลาออกไปทีหลังก็ได้นี่”
พูดแบบนี้เหมือนเขากลัวผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่คนเดียวเลยแฮะ... หนึ่งรู้สึกอย่างนั้นขณะมองตาใสซื่อกึ่งอ้อนวอนของทัน เพื่อนที่ดูเหมือนจะรับมือยากกว่านายแย้ไปแล้ว ท่าทางว่าการแต่งงานและความเป็นพ่อได้เปลี่ยนชายซึ่งมักเป็นผู้ตามของกลุ่มให้น่ากลัวและแข็งแกร่งที่สุดไปอย่างเรียบร้อย
“ตกลง ฉันจะลองให้ยัยนั่นมาเป็นเลขา แต่ถ้าไม่ผ่านการพิจารณาล่ะก็ ฉันจะทำตามเหตุผลของฉันบ้างล่ะ”
เท่านั้นเพื่อนทั้งสองก็ยิ้มออกมา แต่ผิดที่ว่าทันยิ้มได้กว้างกว่าอีกคนซึ่งยังมีเรื่องต้องบอก
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรกลับห้องตัวเองได้เสียทีนะหนึ่ง มาสิงห้องคุณนายแม่จนท่านไม่ยอมเข้าบริษัทตั้งหลายเดือนแล้วเนี่ย”
ข้อกล่าวหานั้นเล่นเอาองค์มารเกือบลงประทับร่างคุณชายประธานบริษัทอีกครั้ง เมื่อเขาชักสีหน้าได้ก้ำกึ่งนักระหว่างโกรธกับงอน ก่อนจะโต้ตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“ใครบอกนายวะ พ่อกับแม่ฉันไปทำงานที่จีนโว้ย ต้นเดือนหน้าโน่นถึงจะกลับ”
ก็รู้ แต่มันสนุกที่ได้แหย่คนเก็บอารมณ์ไม่เป็นต่อหน้าเพื่อนฝูงนี่หว่า... ทว่ายุคันต์กลับส่งยิ้มกวนและพูดเพียง “เอ๊าะ เหรอ” ให้คนฟังขว้างค้อนวงโตใส่ ซึ่งผู้ถูกประทุษร้ายทางสายตาก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพูดต่อ
“งั้นเดี๋ยวฉันจะให้คนเตรียมโต๊ะของปั้นหยาไว้ในห้องนายเลยนะ เอาใกล้ประตูหน่อยจะได้เป็นด่านกั้นคนนอกด้วย”
“ตามใจดิ อ้อ พรุ่งนี้ฉันลาหยุด ให้ยัยนั่นมาทำงานวันจันทร์แล้วกัน”
“ครับ ท่านประธาน” คำตอบรับของแย้ทำให้หนึ่งต้องหยิบดินสอบนโต๊ะมาขว้างใส่ด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งคนถูกลอบทำร้ายก็กระโดดหลบได้ไวนัก ทันยิ้มพลางส่ายหัวกับเพื่อนสนิทสองคนที่เหมือนโตแต่ตัวก่อนชำเลืองไปทางหนึ่งอย่างเป็นห่วง
ถ้าผ่านด่านแย้มาอย่างปลอดภัย แสดงว่าปั้นหยาควรค่ากับความไว้วางใจในระดับหนึ่ง กระนั้นเขาไม่คิดว่าการที่หญิงสาวผู้มีหน้าตาคล้ายกันกับคนๆ นั้นปรากฏตัวขึ้นจะช่วยรักษาแผลใจของเพื่อนสนิทซึ่งกัดลึกเป็นแผลฉกรรจ์มาเนิ่นนานหลายปีได้ หากอย่างน้อย... สักนิดก็ยังดีที่แผลนั้นจะทุเลาลงจนสร้างภูมิต้านทานให้นครินทร์สามารถดำเนินชีวิตต่อไปโดยเลิกทำร้ายตัวเองแบบไม่ตั้งใจ เพียงแค่นี้ การมาของปั้นหยาก็นับว่าคุ้มค่าพอแล้ว



Create Date : 30 ธันวาคม 2552
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 22:26:00 น. 0 comments
Counter : 192 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.