ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
บทที่ 7

บทที่ 7

“นี่น่ะเหรอ เลขาคุณนครินทร์ อะพิโถ... หวานหวานว่าคุณกำไลที่เป็นธุรการฝ่ายเรายังสวยกว่าเลยอ่ะ”
เสียงเยาะที่ฟังดูรู้เลยว่าเย้ยกันทำให้ปั้นหยายกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อให้อาหารคล่องคอ พลางชำเลืองมองหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักสามคนซึ่งแต่งตัวแต่งหน้าอย่างกับจะไปถ่ายแบบนิตยสาร หากบัตรพนักงานที่แปะไว้กับป้ายห้อยคอลายการ์ตูนก็พอรู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นลูกจ้างของบริษัทนี้เหมือนเธอ
“ได้ยินว่าตำแหน่งเลขาคุณนครินทร์มักอยู่ไม่ค่อยทน” แซนดี้พูดขึ้นพลางกอดอก “มันเป็นตำแหน่งต้องสาปน่ะ แต่ฉันหวังว่าเธอจะอยู่ได้นานนะจ๊ะ”
คนฟังได้แต่ยิ้มรับ ผิดกับช่อม่วงที่ใช้ส้อมกระแทกจานข้าวตัวเองอย่างแรงและหันไปใช้สายตาไล่ ทั้งสามเหลียวมองหน้ากันแล้วแค่นยิ้มก่อนจะทยอยเดินออกจากศูนย์อาหารในตึก KJSA
“บ้าชะมัดเลย ยัยพวกจิตป่วย” ช่อม่วงบ่นพลางจิ้มไส้กรอกผัดพริกเผาเข้าปากเคี้ยวจับๆ ปั้นหยาเงยหน้ามองเพื่อนแล้วยิ้ม
“ช่างเถอะน่า”
“ช่างได้ไง พวกตัวเองเป็นเลขาไม่ได้เพราะจิตคิดอกุศลจ้องงาบเจ้านาย แล้วมาอิจฉาคนบริสุทธิ์ใจอยากทำงานเนี่ยนะ พวกนี้นี่มันน่า...” ว่าแล้วก็จิ้มไส้กรอกใส่ปากเคี้ยวจับๆ อีกครั้ง ปั้นหยาทำหน้าอิหลักอิเหลื่อก่อนมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครสนใจหรือไม่ และแทบอยากเขกกะโหลกแม่เพื่อนปากไว เมื่อเห็นสามสี่โต๊ะมองมาทางกลุ่มเธอ
“ช่างเถอะน่า”
คราวนี้ยัยตัวดีย้อนเสียอย่างนั้นเมื่อรู้ว่าเพื่อนคิดอะไร เล่นเอาปั้นหยาแทบวางช้อนอิ่ม แต่ยังมีสติมากพอจะรู้ว่าข้าวจานนี้ราคาสี่สิบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอต้องกินมันให้หมด
“แค่ฉันรับมือกับคุณนครินทร์คนเดียวก็แย่พอแล้วนะม่วง อย่าให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับผู้หญิงเกือบทั้งบริษัทอีกเลย”
“หือ... ตานั่นร้ายกับเธอเหรอ” เสียงเพื่อนเบาลงโขจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ ขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างอยากรู้ ปั้นหยาเหลือบตาไปซ้ายทีขวาทีเพื่อดูว่ามีใครมองอยู่หรือไม่ก่อนบอก
“ไม่รู้สิ ฉันว่าเขา... เอาแต่ใจ... เหมือนเด็กยังไงพิกล”
“เอาแต่ใจเหรอ...” ช่อม่วงทวนก่อนยื่นปากขยับไปซ้ายทีขวาที “เอ... อายุใบหน้าเขาก็เกินยี่สิบห้าแล้วนะ ยังทำตัวแบบนั้นอยู่อีกรึ”
“ถ้าจะให้พูดล่ะก็สามสิบกว่าแล้วล่ะ แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว”
คำพูดเหมือนประโยคบอกเล่าธรรมดาแต่เล่นเอาคนแอบนินทาสองคนสะดุ้งโหยง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้พูดซึ่งยืนกอดอกอยู่ข้างโต๊ะ พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ส่งยิ้มให้เหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่... ยุคันต์
“เรื่องจริงนะ ขนาดพี่ทำงานนอกรอบให้ตั้งหลายปียังไม่รู้จักพาเลขาใหม่มาแนะนำตัวเลย อ้อ พี่ชื่อพิมพ์พรรณเป็นพี่สาวตา... จะพูดให้ถูกก็คือญาติผู้พี่ของตาหนึ่งน่ะ เรียกพี่ว่าเง็กก็ได้”
ท่าทางของหญิงสาวคนนี้เอาเรื่องจริงๆ แม้เธอจะสวยน่ารักตามแบบฉบับสาวหมวยแต่ก็ดูดุมาก ดวงตาชั้นเดียวรียาวหากเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจปรายมองสองเพื่อนซี้สลับกัน ขนาดช่อม่วงที่ว่าสู้คนยังไม่กล้าสบตาด้วย อาจเพราะมีชนักว่าเพิ่งนินทา ‘ตาหนึ่ง’ ให้ญาติผู้พี่ของเขาฟังในระยะเผาขนก็ได้ ถึงทำตัวสงบเสงี่ยมนัก
“พี่เง็กครับ คนนี้ชื่อช่อม่วง เป็นพนักงานใหม่ของฝ่ายผม ส่วนคนนี้คือปั้นหยา เลขาของเจ้าหนึ่งครับ”
เหมือนคนแนะนำจะหวังดีช่วยลดบรรยากาศมาคุที่เริ่มกรุ่นจนน่าหวาดเสียว แต่พอเห็นแววตาวิบวับเหมือนกำลังสนุกเสียเต็มประดานั่น ฟันธงได้อย่างเดียวเลยว่าอีตานี่เจตนาไม่บริสุทธิ์ ช่อม่วงรู้สึกว่าคิ้วขวาของตัวเองกระตุกยิกๆ คล้ายความซวยใกล้มาเยือนยังไงไม่รู้กับคำพูดของนายยุคันต์ และจริงดังคิด เมื่อพิมพ์พรรณเลิกคิ้วซึ่งเขียนไว้โก่งราวกับคันธนูขึ้นข้างหนึ่ง จนน่ากลัวว่าถ้าไม้จิ้มฟันใช้แทนลูกศรได้ล่ะก็ มีหวังเธอกับปั้นหยาคงได้โดนเสียบกันคนละฉึกแน่
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองคน” ตาดุปรายจากช่อม่วงไปยังปั้นหยา “แล้วเธอจะให้พี่เรียกว่าอะไร”
“เอ้อ... เปิ้ลค่ะ เรียกหนูว่าเปิ้ลก็ได้”
“เปิ้ลก็เปิ้ล ทำไมต้องเปิ้ลก็ได้”
นั่น... โดนแล้วหนึ่งดอก ท่าทางคุณพิมพ์พรรณอะไรนี่จะไม่ถูกกับผู้หญิงแนวยัยเปิ้ลแหง... หากช่อม่วงก็ได้แต่ส่งสายตากับเพื่อนอย่างให้กำลังใจ ไว้หมดเรื่องเมื่อไหร่ จะคิดบัญชีรวบยอดกับนายยุคันต์คนเดียวเลย
“กินเสร็จแล้วไปหาพี่ที่ฝ่ายโลจิสติกส์โซนซี ขึ้นลิฟต์ไปชั้นยี่สิบมีป้ายบอกทาง เร็วหน่อยก็ดีเพราะตอนบ่ายครึ่งพี่มีประชุมต่อ” จากนั้นก็เดินไปเลยโดยไม่รอคำตอบรับ เล่นเอาสองสาวมองหน้ากันแบบเจื่อนๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้าย ปั้นหยาจึงบอก
“ฉันไปเลยดีกว่าอ่ะ เพราะต้องไปบอกคุณนครินทร์อีก โทษทีนะม่วง”
หน้าจ๋อยบอกลาพลางมองข้าวซึ่งเหลืออีกไม่กี่คำตาละห้อย ช่อม่วงพยักหน้าเพื่อให้กำลังใจก่อนมองส่งเพื่อนสนิทที่เดินคอตกจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนกำลังจะนั่งลงกินข้าวต่อ อาคันตุกะไม่ได้รับเชิญที่เธอเกือบลืมไปแล้วว่ายังอยู่พลันนั่งปุลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ขอนั่งกินด้วยคนได้ไหม”
ปากไวเกือบโพล่งออกไปแล้วว่าไม่ได้ แต่เกิดสำนึกได้ว่าโต๊ะตัวนี้ไม่ใช่ของที่บ้าน เธอจึงเปลี่ยนคำพูด
“ตามใจสิ ฉันอิ่มแล้ว”
“ทั้งที่ยังเหลือข้าวอีกเกินครึ่งนี่นะ ผมนึกว่าคุณจะกินเก่งกว่านี้เสียอีก”
ง่ะ... รู้ได้ไงวะ... ช่อม่วงคิดพลางมองไส้กรอกผัดพริกเผาอย่างเสียดาย เจ้านี้ทำอร่อยถูกปากเธอเสียด้วย แต่ไม่ได้สิ อีตานี่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนสนิทเธอถูกเพ่งเล็ง ห้ามนั่งร่วมโต๊ะทำญาติดีด้วยเด็ดขาด ทว่า ปากอ้าแบบต้องการปฏิเสธยังไม่ทันหลุดเสียง คนรู้แกวก็ส่งมาอีกดอก
“น่า นั่งเป็นเพื่อนกันก่อน ผมสั่งน้ำตกหมูกับลาบไก่เพิ่มเครื่องในสับมาด้วย กินด้วยกันก็ได้นะ”
ที่ว่าจะลุกออกไปเลยพลันต้องนั่งแปะลงเก้าอี้อีกรอบ... อยากให้กินด้วยนักใช่ไหม เดี๋ยวจะกินคนเดียวให้หมดเลยคอยดู!
ชายหนุ่มที่ไม่ละสายตาไปจากแม่สาวผิวคล้ำแดดลอบยิ้มพลางส่ายหัวช้าๆ กับปากยื่นยาวซึ่งเบี้ยวไปมาและคิ้วผูกโบว์เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง ความจริงเขาแค่อยากดึงเธอไว้เป็นไม้กันหมาจากแม่พวกสามสาวเออีที่เพิ่งเดินเข้ามาในศูนย์อาหารและทำผุดลุกผุดนั่งคอยจังหวะถัดไปอีกสี่โต๊ะต่างหาก แล้วใครจะไปรู้ว่าอาหารโปรดเขาจะกลายมาเป็นของโปรดยัยสีม่วงคนนี้ด้วย... ท่าทางจะอยู่ด้วยกันไม่ได้แฮะ มีหวังทะเลาะเรื่องของกินจนตายกันไปข้างนึงแน่
พออาหารมาเสิร์ฟ คนได้รับคำเชิญก็ตั้งหน้าตักกินโดยไม่รอเจ้าของอาหารประเดิมก่อน ยุคันต์เกือบหัวเราะออกไปแล้วเพราะเรื่องที่เจ้าหล่อนทำมันคาดเดาได้ง่ายเป็นบ้า เขาจึงหันไปบอกพนักงานเสิร์ฟว่าขอแบบเดียวกันนี้เพิ่มอีกอย่างละจาน จากนั้นก็ค่อยหันมาให้ความสนใจกับข้าวที่พร่องจนเหลือครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เว็บเป็นยังไงบ้างครับ”
เล่นเอาติดคอ... ความจริงช่อม่วงไม่ถนัดกินเร็วเหมือนปั้นหยา อาหารรอย่อยซึ่งเก็บไว้ตามสองกระพุ้งแก้มจึงแทบทะลักออกมาหากต้องพูดไปด้วย ถึงจะไม่รู้สึกว่าควรรักษามารยาทต่ออีกฝ่ายก็เถอะ แต่ถ้าบรรดาหมูไก่เครื่องในที่ถูกเก็บไว้เกือบเต็มคลังต้องหนีจากปากสดๆ ต่อหน้าธารกำนัลล่ะก็ ขอให้มันติดคอเธอจนตายเสียดีกว่า
เห็นท่าทุบอกชกตัวหนำซ้ำหัวหูยังแดงเถือก น้ำตาไหลพรากกันต่อหน้า ทำให้ยุคันต์รีบคว้าแก้วน้ำส่งให้ แต่ยัยคนช่างทนไม่ยอมรับแถมไม่ยอมคายอาหารออกมาเสียอีก เขาจึงถลาไปหาและใช้มือรองไว้ใต้ปากเธอ
“คายออกมา”
ดูทำเข้า... ยังมาส่ายหัวอีกแน่ะ ถ้าไม่ติดว่าทรมานมากล่ะก็ จะขอเขกกบาลสักโป๊กล่ะ
“ตัวผมบังอยู่ ไม่มีใครเห็นหรอก คายออกมาเร็วเข้า”
ช่อม่วงพยายามปัดมือใหญ่ซึ่งจ่ออยู่ใต้คางของเธอออกแต่มันไม่ยอมขยับ และตอนนี้เธอกำลังจะหายใจไม่ออกแล้ว จึงยอมคายอาหารทั้งหมดลงบนฝ่ามือชายหนุ่ม ยุคันต์สะกิดให้เธอรับแก้วน้ำก่อนหันไปดึงทิชชูมาห่อเศษอาหารในมือ
“เป็นยังไงบ้าง”
ยังแสบจมูกแสบคอ... หญิงสาวจึงตอบเขาด้วยการส่ายหัวพลางพยายามจะหมุนฝาขวดน้ำด้วยมือข้างเดียว ชายหนุ่มจึงคว้ามาเปิดและบริการเทลงแก้วให้ด้วยเลย
“ทีหลังค่อยๆ กินก็ได้ ผมไม่แย่งหรอก”
“ทะ... ถ้าคุณ... มะ... ไม่ชวนคุย... แค่ก”
ในที่สุดก็ไอจนได้ ที่จริงเขายังรู้สึกแปลกใจว่าช่อม่วงทนแสบอยู่ได้อย่างไร เป็นคนอื่นอาหารถูกพ่นออกจากปากนานแล้ว แต่พูดอะไรตอนนี้คงไม่เข้าท่า เพราะจากประโยคเมื่อครู่ แม่ตัวดีคงโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ชวนเธอคุยแน่นอน เอ้า เมื่อไม่ใช่คนเจ็บตัวแถมไม่เจ็บใจสักนิด ยอมละเว้นสักกระทงก็ได้ หากคนรู้ตัวว่าผิดกลับกล่าวเสียงแผ่ว
“ขอโทษนะคะ เรื่องมือ”
ยังอุตส่าห์ย้ำอีกแน่ะว่าขอโทษเรื่องอะไร เอาเถอะ... ยกผลประโยชน์ให้จำเลยแล้วกัน
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณเถอะ เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณ”
จบเรื่องนั้นก็เข้าเรื่องใหม่ ช่อม่วงมองจานอาหารที่เหลือสลับกับทิชชูและใบหน้าชายหนุ่มอย่างอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ปรากฏว่ายุคันต์ตักอาหารกินต่อหน้าตาเฉย หนำซ้ำยังชวนคุยเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ช่วงบ่ายผมอาจต้องขอให้คุณเข้าไปในห้องด้วยเพื่อพูดรายละเอียดเรื่องเว็บไซต์ ว่าแต่ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วครับ”
คล้ายคนต้องตอบจะใบ้กินเรียบร้อยแล้ว แถมยังเหล่ตาไปซ้ายทีขวาทีเหมือนคนโรคจิต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ถ้าพูดออกมาจะพาลกินไม่ลงเสียเปล่าๆ เขาจึงสำทับอีกครั้ง
“ว่าไงครับ คุณช่อม่วง”
“อ้อ เอ่อ... ค่ะ เว็บ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เหมือนวิญญาณเพิ่งกลับเข้าร่าง “ฉันเห็นว่ากิมเจริญสถาพรอนันต์มีบริษัทในเครือเยอะทีเดียว ฉันเลยคิดว่าจะทำหน้าเว็บใหญ่แล้วแบ่งออกเป็นแต่ละส่วน ใครสนใจหรืออยากคอนแท็คส่วนไหนค่อยคลิกลิ้งค์เข้าไปดูรายละเอียดอีกที”
“ร่างไว้แล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“โอเค งั้นตอนนี้เรากินข้าวกันก่อนดีกว่า เรื่องงานไว้บ่ายครึ่งค่อยคุยกันต่อ” จบแล้วก็ยิ้มแถมให้ก่อนจะกินต่อไปเงียบๆ ช่อม่วงได้แต่ทำหน้าแหย จิ้มไส้กรอกของตนและตอดหมูน้ำตกด้วยสเต็ปที่ช้าลงกว่าเดิมโข ไม่นาน เธอพลันรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ทางด้านหลัง
พี่นกหรือ... หญิงสาวแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเหลียวไปพบหัวหน้าฝ่ายยืนทำหน้าบูด แต่ก่อนจะได้ทักทายหรือเชิญชวนให้นั่งด้วยกัน กนกวรรณก็ลากเก้าอี้มานั่งแปะแล้วเริ่มบ่น
“แย้ พูดอะไรกับไอ้เจษทีสิ อาทิตย์หน้าจะแต่งงานอยู่แล้ว ฮียังไม่ยอมไปถ่ายรูปกับเลือกชุดเจ้าบ่าวเลยอ่ะ”
เล่นเอาเกือบสำลักอีกระลอก ก่อนชำเลืองมองคนที่ควรจะมีชื่อเล่นเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่ ‘แย้’ ยังคงตักอาหารเข้าปากต่อเหมือนสรรพนามแทนตัวเองอย่างสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ
“แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ว่างรึ”
“ต้องไปแจกการ์ดผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดน่ะสิ เป็นญาติใหญ่โตที่ต้องไปเชิญด้วยตัวเองอีกต่างหาก แย้... ช่วยหน่อยสิ”
“พี่นกจะแต่งงานกับคุณเจษหรือคะ”
เหมือนกนกวรรณเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีบุคคลที่สามนั่งอยู่ด้วยก่อนจะยิ้มแหยแบบเขินอายและพยักหน้ารับ
“แฮ่... โทษทีจ้ะม่วง พี่คิดว่าอีกสักวันสองวันค่อยบอกน่ะ”
หรือบางทีอาจไม่อยากเชิญ... ช่างเถอะ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ช่อม่วงไม่คิดถือสาหรอก และเธอก็มีน้ำใจมากพอจะช่วยขอร้องนายแย้ด้วยอีกแรง โดยผ่านทางแววตาบังคับแกมถามไถ่ว่าไม่คิดช่วยเพื่อนร่วมงานให้มีความสุขกันบ้างเลยหรือ ซึ่งคนมองออกก็ถอนหายใจแล้วหันไปยิ้มกับกนกวรรณ
“เดี๋ยวผมบอกพี่เจษให้”
ครู่หนึ่งทีเดียวกว่าคนใกล้เป็นเจ้าสาวจะยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้น ตบบ่ายุคันต์เบาๆ สองสามครั้งและกล่าว
“ขอบใจนะ อ้อ พี่ถือโอกาสชวนม่วงไปด้วยเลยนะ แล้วก็เพื่อนม่วงคนนั้นด้วย ขอโทษทีที่ไม่มีซองแจก”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ว่าพลางยิ้มส่งหัวหน้าฝ่ายสาวซึ่งเดินผละออกไปทันที คิดมากไปเองหรือเปล่าหนอที่เห็นกนกวรรณดูไม่มีความสุขเท่าที่ควร แต่ชายหนุ่มผู้เห็นคำถามในแววตานั้นกลับพูดขึ้น
“นกเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมตอนเรียนมหา’ลัย เจอกันตอนรับน้อง และเธอก็แอบชอบผมมานานแล้ว”
พูดจบก็แทบหัวเราะทันทีที่เห็นสายตากับสีหน้าซึ่งบอกชัดเจนว่า ‘แล้วมาบอกทำไม’ ของช่อม่วง หากยุคันต์เก็บอาการไว้เพียงแค่อมยิ้มขณะกินข้าวต่อไปเงียบๆ ไม่นาน หญิงสาวก็กระซิบถาม
“แล้วพี่นกเขารักคุณเจษหรือคะ ถึงจะแต่งงานด้วยน่ะ”
“ผมว่ารักนะ เพียงแต่จะตัดใจจากคนที่แอบรักมานานคงยาก ไม่รู้สิแฮะ ผมเดาใจพวกผู้หญิงไม่ออกหรอก”
เดาไม่ออกหรือรู้แต่ไม่บอกกันแน่... ช่อม่วงแอบเบะปากเพราะคิดในแง่ร้ายไปแล้วว่าบางทีกนกวรรณอาจต้องการทดสอบหัวใจของนายยุคันต์ถึงจะแต่งงานกับเจษฎา และทางฝ่ายเจ้าบ่าวคงมองเกมนี้ออกถึงรีรอไม่ยอมไปถ่ายรูปหรือดูชุดวิวาห์เสียที
“น่าสงสารคุณเจษนะคะ”
คำรำพึงนั้นทำให้ยุคันต์มองหน้าเธอ เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานเสิร์ฟนำมาอาหารมาส่งพอดี หลังจากหยิบจานกับข้าวที่หมดแล้วซ้อนกันและส่งคืนให้พนักงาน เขาก็บอก
“เราเป็นคนนอก อย่าเพิ่งเดาอะไรเลย”
“แต่ว่า...” ช่อม่วงตั้งท่าจะเถียงต่อ หากติดที่พนักงานเสิร์ฟยังทำงานของตนไม่เสร็จเลยต้องค้างปากรอเอาไว้ จนกระทั่งเขาเดินห่างไปมากแล้วจึงค่อยพูด
“แต่ว่าทั้งคู่กำลังจะสร้างครอบครัวกันนะคะ ถ้าเกิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้รักกันจริง แล้วเด็กที่สักวันก็ต้องเกิดออกมาล่ะ จะเป็นยังไง”
ก็คงเหมือนเขาล่ะมั้ง... “มันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คุณคิดก็ได้”
แทบกรี๊ดออกมาแล้ว ทำไมอีตานี่ถึงได้เลือดเย็นขนาดนี้นะ ถึงไม่ใช่เรื่องของเธอเลยก็เถอะ แต่การแก้ปัญหาในสังคมทุกวันนี้มันน่าจะเริ่มจากสร้างครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรักความเข้าใจสิ! ช่อม่วงลุกขึ้นยืนพรวดพราดด้วยสีหน้าบึ้งตึงและพูดกระแทก
“เพิ่งนึกออกว่ามีเรื่องต้องไปทำ ขอตัวนะคะ คุณแย้” จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเลย ปล่อยคนมองตามเผลออ้าปากค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้ว... ชื่อเล่นนี้เขาไม่เคยอนุญาตให้ใครเรียกมาตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานแล้วนะ ยัยสีม่วงนี่ช่างบังอาจนัก
จากที่คิดว่าจะกินต่อให้หมดจึงต้องวางช้อนลง และยกของโปรดสองจานใหม่ซึ่งยังไม่ได้แตะเลยสักช้อนให้แม่บ้านทำความสะอาดที่อยู่บริเวณนั้นพอดีแล้วลุกขึ้น เตรียมตามไปหาแม่คนปากดีเพื่อบอกให้เธอเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาเสียใหม่ ขณะกำลังก้าวขา ธรรม์เทพก็ถือถาดอาหารเข้ามาทัก
“อิ่มแล้วเหรอแย้ กะจะมานั่งด้วยพอดี”
“เออ โทษทีว่ะทัน มีเรื่องต้องไปทำ”
จบแล้วก็ลิ่วไปทันที คนที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ มาพักหนึ่งจึงยิ้มกว้างอย่างรู้เท่าทัน ก็ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนถึงบัดนี้ เขาเคยเห็นแย้คบผู้หญิงบ้าง แต่ไม่เคยมีสักรายที่จะทำให้หมอนั่นวิ่งตามได้เหมือนช่อม่วง หากงานนี้คงต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าเพื่อนรักจะรู้ใจตัวเองดีพอไหม เพราะนายแย้ที่เขารู้จักนั้นเชี่ยวชาญนักเรื่องมองคน แต่ถ้าเป็นเรื่องของหัวใจตัวเองล่ะก็ สังหรณ์ชะมัดว่ายุคันต์อาจกลายเป็นชายหนุ่มที่ซื่อบื้อที่สุดในโลกก็ได้

ช่อม่วงเกือบต่อยหน้านายคนที่เดินพรวดพราดเข้ามาใกล้แล้ว หากก็ยั้งมือทันเมื่อเห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ้านายของเธอ จากนั้นจึงเปลี่ยนอาการไม่พอใจเป็นขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยทันทีก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงแกล้งนบนอบ
“มีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ คุณแย้”
เห็นสีหน้าเหมือนอยากบีบคอกันให้ตายแล้วก็ต้องผงะ นึกสงสัยทันทีว่าเธอทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่าถึงแสดงท่าไม่พอใจออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ แต่เมื่อยุคันต์ไม่ยอมตอบ เธอจึงเร่งเร้าต่อด้วยเสียงที่ฟังเกรงอกเกรงใจกว่าเดิม
“คุณแย้คะ มีเรื่องอะไรจะบอกดิฉันหรือเปล่าคะ”
นั่น... คราวนี้ทำหน้าพิพักพิพ่วนอีก ตกลงอีตานี่สติดีหรือเปล่านะ...
หญิงสาวคิดแบบนั้นเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ยุคันต์กำลังแปลกใจตัวเอง ใช่จะปอดแหกขึ้นมาดื้อๆ ตอนเห็นหน้าคู่กรณีหรอก แต่เพราะดันเกิดบรรลุซะงั้นว่าแค่เรื่องชื่อเล่นไม่เห็นต้องรีบตามมาโวยวาย หนำซ้ำหลังจากนี้เขาต้องพบเธอเพื่อคุยเรื่องงานกันอยู่แล้ว พูดตอนนั้นก็คงไม่ต่างสักเท่าไหร่
“อ้อ ผมจะบอกว่าอย่าลืมนัดคุยงานตอนบ่ายโมงครึ่ง เอาสมุดร่างแบบไปนั่งรอผมในห้องข้างโต๊ะคุณได้เลย”
เดินมาบอกแค่นี้อ่ะนะ ท่าทางอีตานี่คงสติไม่ดีจริงๆ .... หากช่อม่วงก็รับคำพร้อมกับพยักหน้า แต่ในตอนที่นึกว่าอีกฝ่ายหมดธุระแน่แล้ว ยุคันต์กลับส่งยิ้มมาให้ก่อนผละจากไป เล่นเอาคนช่างสงสัยอ้าปากค้างเพราะงงหนักขึ้นกับการกระทำที่เธอแปลเจตนาไม่ออก กว่าจะหุบปากลงได้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงทักแว่วมานั่นแหละ
“ไม่กลัวแมลงวันเข้าปากเหรอม่วง”
เธอหันขวับและตั้งท่าเตรียมทำหน้าหาความคนทัก แต่ก็แทบเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มอารมณ์ดีจากชายผู้ใกล้จะเป็นเจ้าบ่าว “คุณเจษ”
“เรียกพี่เจษก็ได้ อ้อ ผมว่าจะบอกม่วงอยู่ ศุกร์หน้าผมจะแต่งงานแล้วนะ ช่วงเย็นมีเลี้ยงอาหารค่ำในโรงแรม LKS ติดรถไปกับฝ่ายเว็บดีไซน์ก็ได้ ผมเชิญม่วงกับเพื่อนด้วยนะ”
เพื่อนของเธอคนที่ว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากปั้นหยา และเธอไม่สงสัยอีกด้วยว่าเจษฎารู้จักได้อย่างไร แต่เรื่องของคนที่คาดการณ์ไว้ว่าไม่อยากเป็นเจ้าบ่าวกลับทำให้เธอกระอักกระอ่วนในอกพิกล... เพราะอะไรเขาถึงเชิญเธอทั้งที่รู้ดีว่างานแต่งอาจล่มได้ทุกเมื่อกันนะ
“พี่เจษคะ ม่วงมีเรื่องอยากปรึกษา... เอ่อ คือม่วงอยากรู้ว่าการที่ต้องหลงรักใครสักคนอยู่ฝ่ายเดียวโดยรู้ว่าเขาไม่มีวันให้ความรักต่อกันได้อย่างเท่าเทียม แบบนั้นมันสมควรจะตัดใจหรือเปล่าคะ”
เจษฎาเลิกคิ้วและเอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่เขาก็ยอมตอบโดยคิดเพียงไม่นาน “อยู่ที่กรณีล่ะนะ ถ้าเขามีคนรักอยู่แล้วก็ต้องตัดใจแน่ๆ ล่ะ แต่ถ้าเขายังไม่มีใคร ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่”
“แล้วมันจะสิ้นสุดตรงไหนล่ะคะ ในเมื่อเราก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรักเราจริงหรือเปล่า”
ชั่วขณะหนึ่งที่ช่อม่วงเผลอคิดถึงเชษฐากับข้อเรียกร้องของเขาก่อนนาทีเลิกราต่อกัน ตอนนั้นเธอทั้งผิดหวัง เสียใจ เสียความรู้สึกว่าคบกันมาตั้งนานเขากลับไม่รู้จักเธอเลยสักนิด แม้จะห้าว ไม่เกรงฟ้ากลัวดินอย่างไร เธอก็ยังมีเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง ที่สำคัญเธอมีพ่อผู้รักและหวงแหนเธอยิ่งกว่าสิ่งใด เขาเองก็รู้ดีแต่ยังกล้าขอในเรื่องที่ไม่เห็นแก่หัวอกพ่อของเธอได้หน้าตาเฉย
ชายผู้มากกว่าทั้งวัยและประสบการณ์ความรักเห็นอะไรบางอย่างในแววตาเหม่อลอยเพียงชั่วขณะของหญิงสาว ก่อนจะตบบ่าเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ
“บางทีสัญชาติญาณก็ทำงานก่อนหัวใจและทำให้เผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไปล่ะนะ คิดอีกแง่ เขาคนนั้นอาจยังไม่ใช่สำหรับเราก็ได้ แต่เชื่อพี่เถอะ คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก”
“เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าคนๆ นั้นเป็นคู่แท้หรือเปล่า เกิดคบกันไปเป็นสิบยี่สิบปีแล้วแต่ต้องเลิกกันภายหลังล่ะ”
คราวนี้เจษฎายิ้มและไม่ใช้เวลานานในการตอบเลย “ถ้าพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ยังไม่เป็นไปตามหวัง ก็ปล่อยชะตาให้เป็นเรื่องของฟ้าเถอะ”
อย่างนั้นรึ... เจษฎาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วนี่เอง เขาถึงปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามแต่ฟ้าจะกำหนด... ช่อม่วงยิ้มกว้างก่อนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าตอนถาม
“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วก็ยินดีด้วยนะคะพี่เจษ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างตอบรับและขยี้ศีรษะสาวน้อยวัยกว่าอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงหัวเราะเล็กน้อยขณะมองส่งคนร่าเริงที่ขอตัวไปทำงานต่อโดยเขย่งขากระโดดพลางฮัมเพลงไปด้วย




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 22:33:43 น. 0 comments
Counter : 204 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.