ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
บทที่ 10

บทที่ 10

“มาพบใครคะ”
ช่อม่วงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นคนๆ นี้เดินผ่านฝ่ายธุรการซึ่งตั้งติดกับประตูหน้าเข้ามาได้โดยไม่ถูกห้าม แม้มีบัตร Visitor ติดไว้ตรงชายเสื้อสีสดจนแสบตาก็เถอะ แต่ตามปกติ ทุกคนต้องนั่งรออยู่ด้านหน้าจนกว่าคนที่ต้องการพบจะไปรับเข้ามาในแผนก หากคนถูกทักทำเพียงปรายหางตามองเธออย่างเหยียดหยามก่อนชะเง้อเข้าไปในห้องทำงานของเมเนเจอร์ ท่าทางนั้นก่อความหมั่นไส้และอาการคันมือคันเท้ายิบๆ ให้เกิดขึ้นกับหญิงสาวทันที... ใช่ว่าจะรังเกียจพวกประเภทสองหรอกนะ แต่ขืนมองกันแบบนั้นอีกครั้งเป็นได้เจอดีแน่
“ยุคันต์ไม่อยู่เหรอ”
“อยู่ฝ่ายโฆษณาค่ะ รอด้านหน้าสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะตามให้”
“ไม่ ฉันจะรอในห้อง บอกเขาว่ากฤษณามาหาก็พอ จบ”
จากนั้นคนที่ชื่อกฤษณาก็ตั้งท่าจะเปิดประตูห้องยุคันต์เข้าไปนั่งรอตามอ้าง ซึ่งเจ้าหล่อนคงทำได้สำเร็จถ้าประตูจะไม่ถูกล็อกไว้ สีหน้าเหวอนั่นทำให้ช่อม่วงเกือบหัวเราะออกมาแล้ว หากรีบเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มสุภาพได้ทันขณะกล่าวเชิญ
“รอด้านนอกก่อนดีกว่าค่ะ ดิฉันจะรีบตามให้” จากนั้นก็บริการพาไปส่งถึงจุดรอ แถมยังฝากฝังให้สาวน้อยธุรการคนหนึ่งช่วยดูแลจัดหาน้ำท่ามาต้อนรับ (เพื่อกันไม่ให้คุณเธอเดินเพ่นพ่านอีก) ก่อนจะขอตัวไปตามยุคันต์ ซึ่งพบได้ไม่ยากนักเพราะเขากำลังเตรียมตัวพรีเซ้นต์งานอยู่กับเจษฎา
“คุณยุคันต์คะ คุณกฤษณามารอพบค่ะ”
“ครับ เอ่อ เขามาคนเดียวเหรอ”
“ค่ะ ไม่เห็นมีคนอื่นอีก”
เขาทำท่าประหลาดใจแต่ก็พยักหน้าแล้วเดินตามช่อม่วงไปยังจุดที่กฤษณานั่งรออยู่ เมื่อเห็นเป้าหมายนั่งกรีดนิ้วยกแก้วดื่มน้ำ เขาก็ร้องทัก
“สวัสดีครับคุณกฤษณา คุณโทมัสไม่มาด้วยหรือ”
“เดี๋ยวตามมา พอดีฉันอยากทักเพื่อนเก่าก็เลยขึ้นมาก่อน หนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้น เข้าไปรอในห้องผมก่อนสิ” จากนั้นเขาหันไปพูดกับธุรการสาว “เดี๋ยวยกน้ำ กาแฟกับของว่างเข้าไปในห้องผมด้วยนะ กั้ง นายอยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม”
“บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่ากั้ง มันแสลงหู เรียกกิ๊บซี่สิยะ อ้อ ขนมนมเนยตามแต่ศรัทธาย่ะ ฉันไดเอ็ท”
ความจริงคุณ ‘กิ๊บซี่’ ก็หน้าตาใช้ได้ถ้าวัดกันด้วยมาตรฐานชาวประเภทสองที่ยังไม่แปลงร่าง แม้หุ่นอวบอยู่สักหน่อย เตี้ยไปสักนิด แต่โดยรวมถือว่าผ่าน หากแวบหนึ่ง ช่อม่วงเห็นสายตาของยุคันต์บอกว่า ‘ฝันไปเถอะ ไอ้กั้ง’ ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนักธุรกิจ ก่อนที่เขาจะผายมือออกอย่างสุภาพเพื่อเชื้อเชิญให้กฤษณาเดินตามโดยมีเธอรั้งท้าย ระหว่างทาง อาคันตุกะถามถึงท่านกรรมการใหญ่ของบริษัทอีกครั้ง
“ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้มางานศพนายนั่น พอดีฮันนีมูนอยู่ปราก แต่ก็ได้ยินว่าหนึ่งเฮิร์ทไปเป็นเดือนเลยใช่ไหม”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย”
เห็นได้ชัดว่ายุคันต์ไม่อยากพูดถึงจริงๆ ด้วยสีหน้าและแววตาของเขาดูนิ่งเฉยแบบที่ช่อม่วงยังรู้สึกหวาดผวา ทว่าคนไร้การสังเกตกลับจ้อต่ออย่างสนุกปาก แม้แต่ละคำที่เจ้าหล่อนพ่นนั้นฟังเหมือนหวังดีเสียเต็มประดา แต่ความประสงค์ร้ายมันแสดงออกผ่านทางน้ำเสียงเยาะชนิดแจ่มแจ้ง จนกระทั่งถึงหน้าห้องทำงานของชายหนุ่ม เขาไขกุญแจและทำท่าเชื้อเชิญผู้มาเยือนเข้าไปก่อนโดยยืนพิงบานประตูไว้ พอร่างอวบเตี้ยข้ามวงกบเหล็กได้ก้าวเดียว คนตัวสูงกว่าก็พลันถลาไปทางสวิตช์เปิดเครื่องปรับอากาศ ส่งผลให้ประตูซึ่งถูกติดตั้งไว้แบบดีดปิดอัตโนมัติกระแทกใบหน้าของกฤษณาเสียงดังลั่น
“คุณกิ๊บซี่ เป็นยังไงบ้างครับ!”
หากเป็นคนอื่นมองคงยากบอกได้ว่านั่นคือการกลั่นแกล้งกันหรือเปล่า เพราะเจ้าของขายาวที่ก้าวพรวดเดียวถึงตัวคนซึ่งล้มลงไปนอนแอ้งแม้งกุมหน้าผากร้องโอดโอยนั่นมีแววตาและสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงจัง แต่สำหรับช่อม่วง เธอฟันธงแล้วว่านายแย้คนนี้เจตนาทำร้ายอีกฝ่ายชัวร์ ถึงความอ่อนโยนที่เขาแสดงออกมาจะทำได้เนียนสนิทขนาดว่าพระเอกละครไทยหลังข่าวยังอายก็ตาม
“ขอโทษนะ ผมเห็นว่าแอร์ยังไม่ได้เปิดเลยรีบไปหน่อยเพราะกลัวคุณจะอึดอัด เจ็บมากหรือเปล่าครับ ให้ผมตามหมอดีไหม”
“ไม่ต้องย่ะ ฉันแค่มึนเท่านั้นเอง พยุงไปนั่งที่เก้าอี้ก็พอแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าและกำลังจะช่วยประคองกฤษณาให้ลุกขึ้น แต่สุดท้ายแล้วหน้าที่นั้นก็ไม่ได้เป็นของเขา เมื่อชาวต่างชาติคนหนึ่งร้องถามด้วยสำเนียงไทยชัดหูพลางก้าวผ่านช่อม่วงพรวดเดียวถึงตัวคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่นั่น
“ฮันนี่ เป็นอะไรไปจ๊ะ ยูเป็นลมเหรอ”
ถึงจะไม่เคยนึกรังเกียจเรื่องพลพรรคชายรักชาย แต่พอเห็นเหตุการณ์ปลอบโยนคู่รักแบบสวีทไม่เกรงสายตาใครในระยะประชิดอย่างนี้ ช่อม่วงก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนในอกไม่ได้ ทว่าแนวร่วมอีกคนกลับตีสีหน้าเนียนเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับภาพเลิฟซีนเหล่านั้น เพราะนอกจากยืนมองเฉยแล้วยังอมยิ้มน้อยๆ อย่างสุภาพเสียอีก ให้เวลาคู่วายออดอ้อนกันพักใหญ่ทีเดียว กว่าเจ้าของห้องจะเตือนอาคันตุกะทั้งสองถึงจุดประสงค์แท้จริงของการมาอยู่ในห้องนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้าคุณกฤษณาไม่ไหวจริงๆ เลื่อนการพรีเซ้นต์ไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมแจ้งทางฝ่ายโฆษณาให้เอง”
เท่านั้น คนติดกันหนึบก็ได้ฤกษ์ผละออก ฝรั่งที่ชื่อโทมัสลุกขึ้นโดยพยุงแฟนของตนให้ยืนตามด้วยก่อนบอก
“ไม่เป็นไร กิ๊บซี่แค่คิดถึงเพื่อนเก่าเลยตามไอมาด้วยเท่านั้น เดี๋ยวยูหาคนมาดูแลเธอสักคนก็พอ”
ช่อม่วงคิดว่าเป็นคราวซวยของเธอจริงๆ ที่ยืนเอ๋ออยู่ตรงนั้นพอดีเมื่อเจอสายตาของนายฝรั่งซึ่งจ้องมาอย่างมีความหมาย แต่ถึงกลับไปนั่งที่ตัวเองก็ใช่จะมีสิ่งใดรับประกันว่ารอดแน่เพราะห้องเกิดเหตุดันติดกับโต๊ะทำงานเสียอีก พอปฏิเสธไม่ได้ หญิงสาวจึงซ่อนอาการเซ็งจิตไว้ใต้ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเทคแคร์คุณกิ๊บซี่ ขณะลอบชำเลืองไปทางยุคันต์ด้วยหวังว่าเขาอาจมอบหมายหน้าที่นี้ให้คนอื่นทำ ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มหวานตอบรับความนัยของเธอก่อนพูด
“งั้นฝากดูแลคุณกฤษณาด้วยนะครับ คุณช่อม่วง”
แหงะ... ไหงทำกันแบบนี้ล่ะยะ ตาแย้บ้า!

เพียงห้านาทีหลังจากลับร่างเจ้าของห้อง คุณกฤษณาซึ่งหายเจ็บสนิทดีแล้วก็ออกลายอีกรอบด้วยการพร่ำหาถึงนครินทร์ ใช่จะออดอ้อน บังคับหรือโวยวายแกมข่มขู่กับช่อม่วงเพื่อให้เธอพาไปพบเขาหรอก แต่คำพูดแทบทุกประโยคของเจ้าหล่อนมักวนไปสู่ท่านประธานบริษัท หากคนฟังก็เลือกเพียงยิ้มรับและบอกว่าตนเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานได้เพียงสัปดาห์เดียว อีกทั้งยังทำงานคนละส่วน คนละตึกกันจึงไม่ทราบเรื่องราวส่วนตัวของเจ้านายใหญ่ เพียงเท่านี้ หญิงสาวในร่างชายหนุ่มซึ่งย้ำนักย้ำหนาว่าตนเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมของนครินทร์ก็เกทับกลับทันควัน โดยบอกว่าตนเคยเห็นกล้ามเนื้อทรงพลังราวเทพบุตรกรีกของเขามาแล้วด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ประหนึ่งว่าเขาถอดให้เธอดูแค่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น
“สุดยอดเลยล่ะหล่อนเอ้ยยย กล้ามอกกล้ามแขนงี้เป็นมัดๆ ไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก ยิ่งตอนเหงื่อท่วมนะ เซ็กซี่อย่าให้เซด ฝูงชะนีกรี๊ดลั่นจนสนามแทบแตก อุ๊ย เอิ่ม... ตอนนั้นเขาท้าแข่งกับนักเรียนชายทั้งห้องน่ะ สามต่อสามแบบสตรีทบาส หล่อนรู้จักใช่ป่ะ นั่นแหละๆ ฉันยังสงสัยอยู่ว่าทำไมตาหนึ่งไม่ไปเป็นดารานายแบบเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่อย่างว่า กิจการครอบครัวเขาเยอะแยะแถมเป็นลูกชายคนเดียวด้วย รวยจนใช้เงินถมที่แทนดินยังได้แล้วจะไปเป็นดาราทำไมให้โง่เนอะ”
ดูถูกทั้งผู้หญิง ทั้งคนที่ตัวเองชอบ ไหนจะพวกดาราที่ประกอบอาชีพสุจริตอีก ยัยนี่มันน่าเปิดสมองผ่าอกออกมาดูว่าเครื่องในมันทำจากอะไรกันแน่ ทำไมถึงคิดแต่เรื่องหมิ่นแคลนคนอื่นจนไม่มองตัวเองเลย...
หากหญิงสาวที่ในใจกำลังเดือดปุดๆ จนดวงตาโชนแสงแห่งความกราดเกรี้ยวกลับเลือกจะใช้รอยยิ้มโต้ตอบไปเช่นเคย จนคนมองเข้าใจผิดคิดว่าเธอคงตั้งใจฟังเรื่องที่ตนเล่าอย่างตื่นเต้น แถมยังแปลแววโมโหในจักษุคมเฉี่ยวว่าคู่สนทนาคงกำลังคิดการณ์ไกลอยากเป็นสะใภ้ตระกูลมหาเศรษฐีเหมือนผู้หญิงรายอื่นๆ กฤษณาจึงเริ่มดักทางด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“อ๊ะๆ อย่าเพิ่งฝันหวานสิจ๊ะหล่อน ฉันจะบอกเรื่องดีๆ ให้รู้เอาบุญก็แล้วกันว่าผู้หญิงธรรมดาน่ะไม่มีทางได้แอ้มนายนครินทร์หรอกย่ะ มันต้องอย่างฉันนี่ ถึงใช่สเป็คเขา”
ชิ! คราวนี้มาทฤษฎีคนหล่อมักเป็นเกย์เลยหรือไง ยัยกั้งขึ้นอืดนี่ชักจะหลงตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว... หากหญิงสาวยังไม่ทันย้อนคำพูด คนมีไม้เด็ดก็ชิงฮุกตอบมาก่อน
“อย่าคิดว่าฉันเพ้อเจ้อเลยย่ะ รู้นะว่าหล่อนได้ยินตอนที่ฉันพูดเรื่องงานศพกับยุคันต์ บอกให้ก็ได้ว่าคนที่ตายไปนั่นน่ะชื่อเต้ เป็นคนรักของตานครินทร์ อ้อ ต้องให้ฉันขยายความไหมว่านายเต้น่ะเป็นผู้ชาย... หือ?”
ท้ายประโยคนั่นจงใจดักคอคนที่ทำตาโพลงเล็กน้อยกับคำบอกเล่าของตนขณะกรีดนิ้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าสะใจ ทว่าพริบตาเดียว ผู้หญิงที่เหมือนช็อคตาตั้งกลับยิ้มหวานก่อนขยับเสื้อคลุมของตัวเอง กฤษณาเหลือบมองด้วยหางตาแล้วพูด
“หนาวเลยล่ะสิ ก็สมควรหรอก”
ถึงเป็นประโยคตีความได้สองแง่ แต่ช่อม่วงก็เลือกจะเข้าใจว่าคู่สนทนาพูดถึงอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ เธอจึงซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมอย่างต้องการความอบอุ่นพลางถาม
“แล้วคุณกิ๊บซี่ทราบเรื่องนั้นได้อย่างไรคะ”
“เคยได้ยินสุภาษิตไก่เห็นตีนงูไหมล่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม เธอจึงขยายประโยคต่อ “ก็หมายถึงฉันรู้ไส้พวกเดียวกันไง โง่จริง! ถึงฉันจะย้ายเข้าไปเรียนตอนมอต้นแต่เห็นแล้วรู้เลยว่าตานครินทร์ชอบนายเต้มากแค่ไหน แม้ตอนนั้นเขาจะกลบเกลื่อนด้วยการกลั่นแกล้งนายเต้ต่างๆ นาๆ แต่สายตาที่มองหมอนั่นตอนเผลอน่ะ... อุ๊ย พูดแล้วสยิว”
“รู้ไส้พวกเดียวกันหรือคะ ถ้าอย่างนั้นแบบคุณก็ไม่ตรงสเป็คด้วยสิ ในเมื่อเหมือนกัน...”
“ใครบอกล่ะยะ สวยเผ็ดแถมเป็นงานอย่างฉันนี่แหละพวกเกย์ชอบนัก” ว่าแล้วก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “ฉันเคยจูบท่านประธานของพวกหล่อนมาแล้วด้วยย่ะ ขอบอก”
อาการตาโพลงกลับมาอีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะของกฤษณาให้กังวานขึ้นอีกหลายระดับก่อนพูดต่อ
“ตอนนั้นเต้มันยังอยู่หรอกนะฉันถึงแย่งเขามาไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้วฉันถึงได้มาที่นี่ไง ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่านครินทร์อยู่ไหน รับรองนะว่าถ้าฉันได้แฮปปี้เอนดิ้งกับเขาจริงๆ ฉันจะตอบแทนหล่อนอย่างงามเลย”
ดวงตาชั้นเดียวที่ลดระดับลงมาอยู่ในขั้นปกติแล้วมีแววระยิบระยับขณะกระซิบถาม “แล้วคุณฝรั่งคนนั้นล่ะคะ”
“ตาโทมัสน่ะเหรอ ฉันก็ทิ้งน่ะสิยะ ถามได้” ว่าจบก็กรีดเสียงหัวเราะดังลั่นชนิดพนักงานด้านนอกยังต้องเหลียวมอง แต่คนลำพองกลับโบกมือเหมือนไม่แยแสและพูด “ว่าไงล่ะหล่อน รู้ไหมว่านครินทร์ทำงานที่ไหน”
ช่อม่วงยิ้มเจ้าเล่ห์พลางขยับตัวเอนเข้าหากฤษณาแล้วกระซิบ “ความจริงเพื่อนดิฉันทำงานเป็นเลขาของคุณนครินทร์อยู่ล่ะค่ะ แต่ตอนนี้ทั้งคู่ออกไปข้างนอก คิดว่าก่อนเลิกงานคงกลับมาแล้ว เดี๋ยวดิฉันโทรบอกเพื่อนให้ช่วยนัดท่านประธานมาพบคุณ ดีไหมคะ”
ดีหรือไม่ รอยยิ้มของกฤษณาก็แทนคำตอบได้ชัดเจนมาก ช่อม่วงจึงเหลียวซ้ายแลขวาและขอตัวออกไปโทรศัพท์ตามอ้าง ซึ่งคนไว้ใจก็มองตามจนกระทั่งเห็นหญิงสาวหยิบมือถือออกจากกระเป๋าเป้ที่เก็บไว้ใต้โต๊ะมากดโทรออก เจ้าหล่อนกำมือแล้วร้องเยสเบาๆ ก่อนจะเฉท่าทางนั้นด้วยการหยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมากัด พักใหญ่ทีเดียวกว่าช่อม่วงจะกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“เพื่อนดิฉันบอกว่าท่านประธานจะกลับเข้ามาหลังเลิกงานสักหน่อยค่ะ คุณกิ๊บซี่พอจะถ่วงเวลาไม่กลับก่อนได้ไหม”
“สบายย่ะ ต่อให้หกโมงเลยก็ได้” จากนั้นคนพูดก็หยิบแก้วน้ำมาดื่ม ช่อม่วงจึงเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ประจำของตัวเองในห้องยุคันต์แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มจนกฤษณาต้องถาม
“อะไรยะ ยิ้มทำไม”
“ก็แหม... ดิฉันต้องใช้โทรศัพท์นี่คะ คุณกิ๊บซี่ก็น่าจะทราบอยู่”
“นั่นแน้~~ แสบเหมือนกันนะหล่อน” เธอพูดพลางส่ายศีรษะขณะเปิดกระเป๋าถือพะยี่ห้อแบรนด์เนมของตนแล้วหยิบแบ๊งค์ห้าร้อยออกมาส่งให้หญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งช่อม่วงก็พนมมือไหว้อย่างสวยก่อนรับไปโดยไม่พูดคำขอบคุณ หากเปลี่ยนเป็นขอเบอร์มือถือของอีกฝ่ายแทน
“ก็ถ้าท่านประธานเข้ามาแล้วหรือเปลี่ยนแปลงยังไง ดิฉันจะได้โทรหาคุณไงคะ” เธออธิบายเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยและคนเห็นงามด้วยก็พยักหน้าก่อนจะบอกไปโดยดี พอเมมเบอร์เรียบร้อย หญิงสาวก็พูดอีก
“บริษัทนี้ไม่มีโอทีให้เสียด้วยสิคะ ถ้าดิฉันอยู่เย็นเกินไปก็กลัวคุณยุคันต์จะจับพิรุธได้ คุณกิ๊บซี่ทราบใช่ไหมคะว่าเขาน่ะร้ายจะตาย”
ทราบย่ะ... แล้วก็เพิ่งทราบด้วยว่ายัยเลขาข้างห้องก็ร้ายพอกัน... ดังนั้นแบ๊งค์พันจึงตามตบท้ายแม่นักต่อรองก่อนจะกล่าวขู่สำทับ “ทำงานให้ดีด้วยล่ะอย่าให้พลาดเชียว ไม่งั้นฉันจะกลับมาฉีกอกเธอแน่”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ มือชั้นนี้แล้วไม่มีพลาด” ช่อม่วงยิ้มพลางทุบอกตัวเองเบาๆ อย่างให้ความมั่นใจกับผู้ติดสินบน ซึ่งกฤษณาก็เบะปากแสยะยิ้มตอบรับและข่มขู่ไปอีกคำรบโดยอ้างถึงอำนาจบารมีของตน แน่นอนว่าคนถูกขู่ยังยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าแผนนี้ไม่มีทางพลาด ฟันธงได้เลย
ใช่แล้ว ยากมากที่จะพลาด เพราะบทสนทนาเรื่องสุภาษิตจนถึงเสียงหัวเราะชนิดแก้วหูแทบระเบิดนั่นถูกบันทึกไว้หมดโดยมือถือเครื่องโปรดของเธอ และช่วงที่ขอตัวออกมานั้นช่อม่วงได้ส่งมันต่อให้ธรรม์เทพเรียบร้อย แต่ถึงไม่ผ่าน คนที่หญิงสาวโทรหาจริงๆ ก็คือธรรม์เทพอยู่ดี ดังนั้นการนัดแนะส่งมอบหลักฐานให้โจทย์ฟังคงเสร็จสิ้นไม่เกินช่วงบ่าย หลังจากนั้นมาดูกันสิว่าคนต้องโทษโดนฉีกอกจะเป็นใครกันแน่ระหว่างเธอหรือคุณกิ๊บซี่... โฮะๆ

นครินทร์ขบกรามและกำหมัดแน่นขณะฟังบทสนทนาที่ยุคันต์ส่งมาให้หลังจากได้รับมันต่อจากธรรม์เทพ แม้ความยาวจะมีไม่มากหากถ้อยคำที่กฤษณาพูดก็ครบถ้วนถึงเรื่องส่วนตัวของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มโกรธจัดจนเกือบจะขว้างมือถือทิ้งเดี๋ยวนั้นคือน้ำเสียงเหยียดหยามอดีตเพื่อนร่วมห้องอย่างเต้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของไอ้กั้งด้วยซ้ำ
มันช่างกล้า... กล้ามาก!
โชคดีว่าเลขาของเขาไม่อยู่รับรู้แผนการณ์อันชั่วร้ายซึ่งอาจทำให้เจ้าหล่อนโดนหางเลขจากพายุอารมณ์โกรธาได้ เพราะพี่เง็กเรียกตัวไปสอนงานเพิ่มทันทีที่เห็นว่าปั้นหยามีศักยภาพพอจะช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ พูดให้ถูกคือดูเหมือนพี่สาวต่างบิดามารดาแต่ร่วมตายายเดียวกันคนนี้เห่อยัยแว่นบ้างานแถมความอดทนสูงนั่นแล้วเรียบร้อย ทั้งยังชมเปาะเรื่องความเป็นหนึ่งในใต้หล้าที่สามารถมองทะลุเปลือกเทพบุตรจนเห็นเนื้อซาตานในร่างน้องชายคนนี้อีก... ชิ! ลองให้ยัยเตี้ยนั่นทำแว่นสายตาใหม่แล้วค่อยตัดสินกันสิ คุณพี่ที่เคารพ!
หลังจากเดินวนรอบห้องเป็นครั้งที่สามแถมด้วยการชำเลืองดูนาฬิกาอีกห้าครั้งเพราะต้องข่มใจไม่ให้แล่นลงไปชั้นล่างเพื่อต่อยไอ้คนปากพล่อยนั่นสักหมัด นครินทร์ก็เริ่มฉุนเฉียวว่าเหตุใดเพื่อนรักสองพระหน่อจึงยังไม่มาส่งข่าวความคืบหน้า ทั้งที่แผนร่วมดัดหลังนายกฤษณาควรมีเขาร่วมขบวนด้วยถึงจะถูก ในขณะตัดสินใจว่าจะจู่โจมเข้าประจันบานเลยดีไหม ยุคันต์ก็โทรศัพท์ตามตัวเขาพอดี คนอารมณ์ร้อนจึงปรี่ไปยังจุดหมายชนิดทำลายสถิติจากการก้าวเดินตามปกติ เมื่อถึงห้องก็กระชากประตูเปิดพลางตะโกนถามโดยไม่สนใจเลยว่านอกจากยุคันต์และธรรม์เทพแล้ว ที่นั่นยังมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“ช้าชะมัด แค่จัดการไอ้กั้งคนเดียวนี่ใช้เวลานานขนาดนี้เลยเรอะ!”
ยุคันต์และธรรม์เทพทำเพียงละสายตาจากแลปท็อปชำเลืองท่านประธานหนุ่มเท่านั้น ขณะที่บุคคลแปลกหน้าขยับตัวอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วน ร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินตัวปลิวผ่านเธอไปนั่นไม่ทำกระทั่งเหลือบแลดูเลยสักนิด... อีตาคุณชายบ้า คนทั้งคนเลยเชียวนะทำเป็นมองไม่เห็น
“ใจเย็นสิเพื่อน ฉันต้องเสียเวลาแปลงเสียงเพื่อเอาไปลงในมือถือเครื่องใหม่ แถมยังต้องหารุ่นที่เหมือนกับไอ้กั้งเป๊ะเพราะเดี๋ยวคุณช่อม่วงจะเดือดร้อนถ้าแผนไม่เนียนพอนะเฟ้ย” ยุคันต์บอกด้วยน้ำเสียงกึ่งฉุน แต่แทนที่คนฟังจะโวยวายตามปกติ เขากลับขมวดคิ้วแล้วถาม
“ใครกัน ช่อม่วง”
ธรรม์เทพพยักพเยิดไปทางผู้หญิงผมสั้นที่มองมาอย่างไม่รู้จะวางสายตาตรงไหน ซึ่งนครินทร์ก็เหลียวไปดูเธอก่อนพยักหน้าด้วยท่าทางเหมือนว่าจำไม่ได้
“คุณช่อม่วงเป็นเพื่อนสนิทของคุณปั้นหยา เลขาของนายยังไงล่ะ เคยพบกันแล้วจำได้หรือเปล่า”
“มั้ง... ไม่รู้สิ ตัวเล็กๆ ไม่ทันสังเกต”
เล่นเอาคนตัวเล็กซึ่งถูกเมินคิ้วกระตุก หากสำหรับอีกสองคนที่ได้ยินกลับแอบลอบยิ้มให้กัน เป็นเรื่องแปลกมากถึงมากสุดๆ ที่นครินทร์จำช่อม่วงไม่ได้ แม้เคยพบกันแค่ครั้งเดียวตอนมาสมัครงาน แต่ช่อม่วงเป็นคนออกหน้าโชว์พาวจับคนร้ายลักลอบย่องเข้าหาท่านประธานหนุ่มเลยเชียวนะ (ถึงคนต้นคิดตัวจริงคือเพื่อนสนิทของเจ้าหล่อนก็เถอะ) ทว่าวีรกรรมอันน่าชื่นชมนั่นกลับไม่สร้างความประทับใจเท่าที่ควร คงเพราะสายตาคุณชายไปหยุดตรงหญิงสาวตัวประกอบที่ชื่อปั้นหยากระมัง
“คุณช่อม่วงเป็นคนอัดคำพูดพวกนี้มาให้ตอนที่เธออยู่ดูแลยัยคุณกั้ง นายไม่ได้เจอหมอนั่นนานมากคงยังไม่รู้ใช่ไหมว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน”
“ไม่สำคัญสักนิด ถึงเจ้านั่นจะแปลงเพศแล้วฉันก็ถือว่ามันเป็นผู้ชายอยู่ดี”
คำตอบของนครินทร์ไม่สร้างความประหลาดใจให้ยุคันต์เท่าใดนัก เขาเป็นคนแบบที่คิดว่าผู้ชายก็คือผู้ชาย ไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือร่างกายของตนอย่างไร ทั้งสรีระ พละกำลัง กระทั่งคำนำหน้าในบัตรประชาชนยังแสดงถึงความเป็นชายวันยังค่ำ กระนั้น หนุ่มหล่อผู้มองโลกแค่ขาวกับดำคนนี้ก็ยังหลงรักคนมีเพศเดียวกันกับตนเข้าจนได้ ทว่าหญิงสาวซึ่งไม่เคยใกล้ชิดกับพวกมีแนวคิดประหลาดกลับไพล่เข้าใจไปอีกทาง
งั้นก็ฟันธงได้เลยสินะว่าเขาเป็นเกย์ ประเภทชอบผู้ชายที่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงในร่างผู้ชาย... ช่อม่วงมองชายหนุ่มรูปงามแล้วลอบถอนใจเบาๆ อย่างแสนเสียดาย แต่พอคิดอีกแง่ก็นับเป็นข่าวดีของปั้นหยาว่าเพื่อนปลอดภัยจากการถูกเจ้านายคิดไม่ซื่อแน่นอน กำลังคิดเพลินๆ ว่าจะนำเรื่องนี้ไปเม้าท์กับยัยเปิ้ลอย่างไรดี ยุคันต์ก็ชิงเข้าเรื่องหลักเสียก่อน
“เสร็จแล้วล่ะ ลองฟังดูสิว่าใช้ได้ไหม”
ชายหนุ่มกดลำโพงของโทรศัพท์ที่เพิ่งถอยออกมาหมาดๆ เพื่อให้เพื่อนลองฟังเทคนิคการตัดต่อของตน ช่อม่วงรู้สึกว่ามันเบาไปเล็กน้อยแต่ก็ยังพอฟังออกว่านั่นคือเสียงของเธอและยัยกิ๊บซี่ ถ้าอย่างนั้นจะเสียเวลาทำไมกันนะ ให้เธอส่งเป็น SMS ถึงตาฝรั่งนั่นโดยตรงเลยดีกว่า หากคำถามของธรรม์เทพที่เข้าใจในเจตนาเพื่อนดีกลับตอบเธอได้หมด
“นายจะส่งทั้งเครื่องนี่ไปให้ตาโทมัสรึ”
“ใช่ ส่งกับมือเองเลย เผื่อไอ้กั้งยังเหลือบารมีมากพอจะกลับมาเล่นงานคนบันทึกบทสนทนานี้ ฉันจะได้เตรียมหาทางหนีทีไล่ได้ทัน”
หมายความว่าที่นั่งเสียเวลาอยู่เป็นนานสองนานนี่ก็เพื่อไม่ให้เรื่องถูกสาวมาถึงตัวเธอได้งั้นหรือ... หญิงสาวกระพริบตาขณะมองชายหนุ่มซึ่งง่วนอยู่กับการเทสต์เสียงอีกรอบ เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าการได้ยินเสียงของเธอในเวอร์ชั่นที่เบาเกินไปนั้นเท่ากับว่าคนบันทึกเสียงอาจซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งในห้อง ไม่ใช่ในระยะประชิดดังเช่นของต้นฉบับ และถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องจะสาวมาถึงตัวเธอก็มีความเป็นไปได้น้อยลง...
จู่ๆ หัวใจเกิดเต้นผิดจังหวะจนในอกมันรู้สึกวาบโหวงแปลกๆ จนต้องบีบชายเสื้อไว้แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยคิดว่าการไม่เห็นหน้านายยุคันต์อาจทำให้เธอดีขึ้น หากการกระทำของช่อม่วงกลับไม่รอดสายตาของคนช่างสงสัยซึ่งเกิดประหลาดใจจากคำพูดเทคแคร์เกินกว่าเหตุของเพื่อนสนิทจนเผลอชำเลืองเจ้าของโทรศัพท์ต้นเหตุของเรื่องนี้ และได้เห็นอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ในท่าทางปั้นปึ่งกึ่งเขินอายนั่น
อืม ชัดเจนแฮะ... นครินทร์รีบเปลี่ยนรอยยิ้มรู้ทันให้กลายเป็นลมหายใจออกธรรมดาขณะกอดอกเพื่อฝืนอาการอยากหัวเราะ แล้วทำทีเป็นสนใจกับบทสนทนาไม่พึงประสงค์ที่เพื่อนสนิทอุตส่าห์ตัดต่อเพราะไม่อยากให้ใครบางคนแถวนี้เดือดร้อนอีกรอบ กระทั่งเป็นที่น่าพอใจแล้ว ยุคันต์ก็ปิดเครื่องและหันไปพูดกับช่อม่วง
“ผมบันทึกเสียงพวกนี้ลงในแลปท็อปของผมแล้ว คุณม่วงลบออกจากมือถือได้เลยนะครับ จะได้ไม่เหลือหลักฐาน”
“ค่ะ” ลบแน่แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะปั้นหยายังไม่ได้ฟังนี่... หญิงสาวตั้งใจไว้เช่นนั้นแต่กลับถูกยุคันต์ดักคอ
“ลบตอนนี้เลยดีกว่านะ ผมอยากให้เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเรา”
ฮึ่ย ไม่รู้ทันสักเรื่องจะป่วยหนักหรือไง อีตาแย้บ้า! ช่อม่วงเบะปากเล็กน้อยขณะกดลบเสียงที่เธอบันทึกไว้ในมือถือออก จนกระทั่งสัญญาณลบข้อความเสร็จสิ้นดังขึ้นจึงค่อยเก็บมันลงกระเป๋าด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ยุคันต์มองคนโมโหเหมือนจะวิเคราะห์อะไรบางอย่างก่อนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย อาการนั้นทำให้นครินทร์และธรรม์เทพมองช่อม่วงเป็นตาเดียว ครู่หนึ่งนั่นแหละกว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัวว่าตนเองถูกจ้อง เธอมองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วถาม
“เอ่อ... มีอะไรหรือคะ”
“แค่สงสัยว่าคุณทำตามที่ยุคันต์บอกแล้วจริงน่ะรึ” ธรรม์เทพถามด้วยแววตาคาดคั้น ช่อม่วงพยักหน้าพลางตอบ
“ค่ะ”
“งั้นก็อย่าให้ผมรู้แล้วกันว่าปั้นหยาก็รู้เรื่องนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องมีใครสักคนแถวนี้ลำบากแน่ๆ ผมรับรอง”
ชิ! ข่มขู่กันอย่างนี้คิดว่าจะกลัวหรือยะ... หากสายตากับใบหน้าดุของนครินทร์นั่นทำให้ช่อม่วงอดหวาดผวาอยู่ลึกๆ ไม่ได้ หญิงสาวจึงตัดสินใจบอก “จะเอามือถือฉันไปตรวจดูไหมล่ะคะว่าลบแล้วจริงรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไว้ใจคุณ” เป็นยุคันต์ที่พูดออกมาขณะเก็บมือถือตัวที่เขาเพิ่งแปลงเสียงเสร็จใส่กระเป๋าสูท จากนั้นเขาหันไปถามนครินทร์ “นายจะอยู่ฟังผลที่นี่หรือกลับไปคอยในห้อง”
“ในห้องสิ งานฉันยังอีกกองพะเนิน” ...หรืออีกนัย เขาอยากไปดักทางแม่เลขาด้วยว่าจะได้รับข้อความใดจากเพื่อนสนิทของเจ้าหล่อนหรือเปล่า เพราะยุคันต์ประกาศให้รับรู้ทั่วกันแล้วว่า ‘ผมไว้ใจ’ ไม่ใช่ ‘ผมเชื่อ’ ยัยสีม่วงอะไรนั่น!
นครินทร์มองช่อม่วงด้วยแววบังคับแกมข่มขู่โดยใช้หางตาและหมุนตัวเพื่อเตรียมเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยวหนึ่ง ฉันก็จะออกไปเลยเหมือนกัน” ยุคันต์ว่าพลางขยับตัวออกจากโต๊ะ เห็นดังนั้นช่อม่วงจึงทำท่าจะเคลื่อนไหวตาม ชายหนุ่มจึงหันมาพูด
“คุณม่วงรออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากให้เป้าหมายเห็นคุณตอนนี้”
พอเข้าใจอยู่หรอก แต่เธอไม่อยากพลาดตอนสนุกนี่นา โดยเฉพาะเวลาที่ใบหน้าเชิดหยิ่งของแม่กิ๊บซี่นั่นซีดสลดเหมือนกั้งขึ้นอืดค้างปี... แต่รอยยิ้มแบบที่เล่นเอาขนต้นคอลุกเกรียวของคนปรามทำให้หญิงสาวเลือกจะทำตามคำแนะนำและนั่งแปะลงบนเก้าอี้รับแขกภายในห้องด้วยท่าทางเรียบร้อยประหนึ่งผู้เข้าประกวดนางสาวไทย
หลังจากลับร่างสองหนุ่มเพื่อนสนิทแล้วหญิงสาวก็ระบายลมหายใจยาวเหยียด จากนั้นเธอหยิบมือถือขึ้นมากด
“เบื่อหรือครับ”
ทำเอาคนได้ยินเกือบสะดุ้งและรีบเหลียวไปมองเจ้าของเสียง พอเห็นธรรม์เทพยืนยิ้มด้วยท่าทางเหมือนพ่อผู้รู้เท่าทันความผิดลูก ช่อม่วงก็ยิ้มแหยก่อนตอบ
“ก็... ทำนองนั้นค่ะ”
“ผมว่าคุณรอคุยกับคุณปั้นหยาหลังเลิกงานดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนเดือดร้อนจะไม่ใช่มีแค่คุณแน่”
หญิงสาวหน้าเจื่อนกับคำเตือนของชายผู้มากประสบการณ์กว่าก่อนเก็บมือถือลงกระเป๋า ธรรม์เทพยิ้มและหันไปให้ความสนใจกับข้าวของเครื่องตกแต่งภายในห้องราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน ครู่ใหญ่ทีเดียว ยุคันต์ก็เปิดประตูเข้ามาพลางบอกผลลัพธ์ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม
“เรียบร้อยทั้งสองเรื่อง”
คนหนึ่งฟังด้วยหน้าตางุนงงจัด ในขณะที่อีกคนเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี ธรรม์เทพจึงถามต่อ
“หนึ่งว่าไง”
“เย็นนี้จะพาไปเลี้ยงข้าว อ้อ เขาเชิญคุณด้วยนะ ช่อม่วง”
คนได้รับเชิญกระพริบตา ก่อนจะบรรลุในวินาทีต่อมาว่าที่นายประธานหล่อขั้นเทพนั่นเชิญก็เพราะอยากดักทาง ไม่ให้เธอคุยเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทมากกว่า... ชิ! ผู้ชายกลุ่มนี้แสบพอกันทั้งแก๊งค์เลยนะยะ... หากหญิงสาวก็เลือกซ่อนความหมั่นไส้ไว้ในใจแล้วใช้สีหน้านางเอกผู้แสนดีแทนขณะถามถึงอาการเหยื่อคมเขี้ยวของนายแย้
“แล้วคุณกั้งเป็นยังไงบ้างคะ” ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงหรอก แต่เพราะอยากรู้แค่เรื่องเดียวคือหลุมยัยกิ๊บซี่อะไรนั่นใหญ่และลึกพอจะกลบคุณเธอไม่ให้ขึ้นมาฉีกอกกันได้รึเปล่าเท่านั้น ซึ่งยุคันต์ก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ผมเองก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าคุณโทมัสโมโหน่าดู”
“อ้าว แล้วเขาจะไม่กลับมาคืนดีกันทีหลังหรือคะ”
“นั่นสินะครับ” ว่าแล้วก็ยิ้มให้คนใจแป้วอ้าปากตาเหลือกค้างเล่น หากผู้ฟังอีกคนกลับเฉลยแทน
“ไม่มีทางหรอกครับ พวกผมรู้จักนายโทมัสมานาน หมอนั่นเกลียดคนประเภทลอบแทงข้างหลังที่สุด”
“อ้อ...” ช่อม่วงพูดพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็ชำเลืองไปส่งสายตาพิฆาตให้ตาคนชอบแกล้งที่ลอยหน้าลอยตายิ้ม แถมยังพูดจาหวังดีจนน่าหมั่นไส้ปิดท้ายเสียอีก
“ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว ผมว่าคุณม่วงกลับไปทำงานต่อเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอทานอาหารเย็นได้แล้วครับ”
ย่ะ! นายแย้



Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 22:36:24 น. 0 comments
Counter : 270 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.