บันทึกความทรงจำ...จากดอยหลวงเชียงดาว ตอนที่ 5

ทางช่วงแรกที่จะขึ้นดอยหลวงนั้นเป็นทุ่งหญ้าสูงชันขึ้นไป เมื่อไต่ความสูงมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็น โขดหินแหลมคม ทางชัน ต้องปีนป่ายขึ้นไป โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนกลัวความสูง แต่ดันหันหลังกลับไปมองทางที่เดินผ่านมา ....ไม่อยากจะบอกเลยว่าเสียวสยองสุดๆ ทั้งชันและสูง คิดออกมาดังๆ ว่า ตรูเดินมาได้ยังไงฟะ หลังจากหันไปมองทางข้างหลังเท่านั้นเอง จากเดิน 2 ขา ก็กลายมาเป็นเดิน 4 ขาโดยปริยาย อาการกลัวความสูงเริ่มกำเริบ อยากจะร้องให้ออกมาอยู่มะรอมมะร่อ เริ่มจะถอดใจว่าเมื่อไหร่จะถึงยอดดอยหลวงเสียทีหนอ กลุ่มที่มาด้วยกันก็เดินไปถึงยอดดอยนานแล้ว ค่อยๆ เดินขึ้นคนเดียว หยุดเดินเป็นระยะๆเพื่อเรียกสติและความกล้ากลับมา จะได้เดินขึ้นต่อไป เห็นดอกไม้ตามรายทาง สวยๆ ตรงไหนหยุดยืนได้แบบไม่ค่อยจะหวาดเสียวค่อยมีแรงยกกล้องขึ้นมาส่องหน่อย ตรงไหนหวาดเสียวมากๆ แค่หยุดยืนก็รู้สึกเหมือนจะหงายหลังลงไปเสียตั้งแต่วินาทีนั้นกล้องไม่เอาแล้ว กลัวๆๆ แล้วอีตอนลง จะไหวไหมเนี้ยะ ทางแบบนี้น่ะ อดทนอีกนิดเดียวได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ มาบ้างแล้วทำให้รู้ว่าใกล้จะถึงแล้วนะ กำลังใจมาเป็นกองเลย...




ขึ้นไปถึงยอดดอย โอ้โห คนเยอะชะมัดเลย ยืนชมวิวกันเต็มไปหมด จนแทบจะไม่มีที่ว่างให้ยืน ตาลายเลยเรามองหาคนกลุ่มเดียวกับเราไม่เจอ ค่อยๆเดินอย่างคนหมดแรง ด้วยทั้งเหนื่อยและทั้งกลัวความสูง เดินตามสันเขาไปเรื่อยๆ อากาศข้างบนนั้นลมพัดแรง และหนาวเหมือนกัน มองเห็นกลุ่มของเราอยู่ไกลลิบๆ กำลังเก็บภาพดอกไม้อยู่ ดอกไม้บนยอดดอยหลวงเมื่อเทียบกับ กิ่วลมแล้วนับว่ามีน้อยมาก ที่เห็นมีอยู่ก็คือ “กุหลาบเลื้อยเชียงดาว หรือศรีจันทรา” เป็นดอกกุหลาบไทยพื้นเมืองเป็นดอกไม้กลางคืน กลีบดอกจะร่วงเมื่อต้องแสงแดดจัดๆ ลักษณะดอก เป็นสีขาว กลีบชั้นเดียว เกสรสีเหลือง ลำต้นเป็นหนามสีน้ำตาลเข้ม ความพิเศษของ ศรีจันทราคือ ตอนกลางคืนเกสรจะเป็นประกายยามต้องแสงจันทร์ เพื่อล่อแมลงกลางคืน และเป็นพืชที่พบที่ดอยหลวงเชียงดาวเพียงแห่งเดียวเท่านั้น “ชมพูเชียงดาว” มีอยู่ไม่กี่ต้น ขึ้นประปรายทั่วไป “หญ้าดอกลาย” และมี “เยอบีร่าดอย” ขึ้นตามหน้าผา อีกต้นที่เห็นชัดคือ “ค้อเชียงดาวหรือปาล์มรักเมฆ” เป็นพืชเฉพาะถิ่นอีกเช่นกัน





นั่งรอเวลาพระอาทิตย์จะตกดิน ฟ้ายังไม่ยอมเปิด ม่านหมอกลอยอ้อยอิ่งไม่มีลมมาช่วยพัดไปเลย ทุกคนต่างลุ้นให้ฟ้าเปิด สักครู่ ลมพัดให้หมอกลอยเข้ามาหาเรา พัดพาความหนาวเหน็บมาให้ก็ยังพอทนความหนาวไหว แต่สุดท้ายฟ้าไม่เป็นใจ ไม่ยอมเปิดทางให้เราได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อเห็นว่าไม่มีหวังแล้ว จึงชวนกันเดินลงก่อนจะมืด เพราะคิดตั้งแต่ตอนขึ้นแล้วว่าขาลงทางน่าจะเดินลำบากกว่าตอนขึ้นอีก ดังนั้นเราเลยรีบลงไปให้เร็วที่สุด แต่เร็วที่สุดมันก็ยังช้าอยู่ดีเพราะขาสั่นอีกแล้ว ขาลงนี่น่ากลัวกว่าตอนขาขึ้นอีก เดินลงช้าๆ เมื่อมาถึงทุ่งหญ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว แต่ยังพอเห็นทางอยู่บ้างเพราะคืนนี้ขึ้น 10 ค่ำ พระจันทร์เกือบจะเต็มดวงแล้วมีแสงจันทร์ส่องนำทางให้เราอยู่บ้าง ก็ยังพอไหวอยู่ อิอิ บรรยากาศโรแมนติคมากถ้ามากับคนรู้ใจ
กลับลงมาทำกับข้าวกินกัน...นั่งกินไปคุยไป ต้มน้ำขิงกินพอช่วยให้รู้สึกว่าอุ่นคลายหนาวบ้าง คุยเพลิน 4 ทุ่มกว่าแล้ว ถึงเวลาแยกย้ายกันไปนอนเต็นท์ใครเต็นท์มันเก็บแรงเอาไว้พรุ่งนี้เช้าเราต้องเดินกลับกันแล้ว







 

Create Date : 30 ธันวาคม 2548    
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 15:23:15 น.
Counter : 647 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ...จากดอยหลวงเชียงดาว ตอนที่ 4

หลังจากที่เราได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกจนจุใจแล้ว นั้น พี่คนนำทางก็พาเราไปดูพรรณไม้บนยอดกิ่วลม ณ ที่แห่งนี้เราพึ่งจะได้เห็นหน้าตาของ “บัวหิมะ” ต้นที่เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็น ลักษณะคล้ายๆ กับเฟินต้นเล็กๆ ขึ้นเป็นกอ ตามซอกหินผา “ฟองหินเหลือง” ดอกสีเหลืองสวย “คำหิน” ดอกสีเหลืองเล็กๆน่ารัก “เทียนเชียงดาว” สีบานเย็นสวย “เทียนหมอคา หรือเหยื่อเลียงผา” เทียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอื่นๆ อีกมากมายหลากหลายเกินจะบรรยายได้หมด







7.45 น. ท้องเริ่มเรียกร้องหาอาหารแล้ว จึงได้เดินลงจากกิ่วลมเพื่อไปกินมื้อเช้าที่จุดพักแรมของเรา และจะกลับขึ้นมาอีกในตอนสายๆ เพื่อดูพรรณไม้ดอกไม้ต่างๆ ที่เรายังไม่ได้เห็น
9.50 น. เรามุ่งหน้าเดินขึ้นกิ่วลมอีกรอบ ใครได้ยินคงว่าเราบ้าเดินขึ้น 2 รอบในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่สำหรับเราแล้ว การเดินขึ้นครั้งที่ 2 นี้ ยังมีสิ่งที่ตื่นเต้น และน่าสัมผัสอีกมากมายรอเราอยู่บนกิ่วลม การเดินรอบ 2 นี้เราเดินกันอย่างสบายๆ ไม่ได้รีบขึ้นไปให้ทันแสงแรกเหมือนตอนเช้า เดินไปแวะถ่ายรูปดอกไม้ตามรายทางไปเรื่อยๆ พี่คนนำทางเค้าจะหยุดบอกชื่อดอกไม้เป็นระยะ จากนั้นเราก็จะต่อคิวกันถ่ายรูปคนละใบ สองใบ ก่อนเดินต่อไป ตามรายทางในทุ่งหญ้าอัลไพล์นั้นเราจะเห็นดอกไม้หลายชนิดเช่น แอสเตอร์ นางจอย หญ้าข้าวกล่ำ หรีดเชียงดาว หญ้าดอกลาย และอีกหลายๆ ชนิด บรรยายไม่หมด บรรยากาศยามเช้าขนาดสายแล้วแต่แสงอาทิตย์ยังไม่ส่องลงมาถึงทำให้การเดินไม่ร้อนออกจะเย็นสบายเสียด้วยซ้ำ พอถึงทางเดินขึ้นเขา น้ำค้างเมื่อตอนเช้าเริ่มตกลงสู่พื้นดินทำให้ทางเดินลื่นยิ่งกว่าตอนเดินช่วงเช้าอีก แต่คราวนี้เราไม่กลัวเพราะ สามารถมองเห็นทางแล้ว และก็พึ่งมองเห็นว่าทางนั้นเดินลำบากมากเหมือนกัน ยังแอบคิดอยู่ในใจว่า..แล้วตอนเช้าเราเดินมาได้ยังไงเนี้ยะ




บนกิ่วลมนั้นมีดอกไม้เฉพาะถิ่นอยู่หลายชนิด เมื่อได้ขึ้นไปรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก อันนู้นก็จะถ่าย อันนี้ก็จะถ่าย ไหนจะ วิว ไหนจะดอก เมมโมรี่มีเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกค่ะ ย้ำว่าเตรียมไปเยอะๆ เลยละกันค่ะ
เที่ยงครึ่ง เรานั่งทานข้าวบนยอดกิ่วลม กลางสายหมอกและดงดอกกุหลาบพันปี ที่ยังไม่บาน มองลงไปข้างล่างเห็นบริเวณจุดกางเต็นท์ที่อ่างสลุงด้วย สังเกตเห็นว่ามีเต็นท์กางเพิ่มมากขึ้นจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด มื้อเที่ยงวันนี้ช่างเป็นอาหารมื้ออร่อย แม้จะเป็นเพียงข้าวเหนียวกับแกงกระป๋องแต่ก็อิ่มกับบรรยากาศสวยๆ แบบ 360 องศา เลยทีเดียว มองนาฬิกาใกล้จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว เราเลยรีบลงไปเพื่อพักผ่อนเอาแรงขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินดอยหลวง อีก หุหุ ทำไมวันนี้เรามีแรงเยอะอย่างนี้หนอ ขึ้นดอย วันละ 3 รอบ นี้ไม่ใช่ระยะทางน้อยๆ เลยนะนี่ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ต้องไปให้หมด ไปให้คุ้มกับที่เดินมาตั้งไกลแสนไกล ระหว่างที่นั่งพักเราก็เตรียมหั่นผัก เตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นไปพลางๆ ก่อน เมื่อถึงเวลาเราทั้งหมดจึงมุ่งหน้าขึ้นดอยหลวง แต่ขอย้ำก่อนว่า ถ้าจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกบนดอยหลวงสิ่งที่ขาดไม่ได้อีก ก็คือ ไฟฉายและเสื้อกันหนาว เพราะหากลงมาตอนหลังพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะมืดมากและทางค่อนข้างจะโหดมาก ทั้งสูงและชัน แถมมีแต่ก้อนหินคมๆ ให้เกาะปีนขึ้นไป




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2548    
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 15:11:00 น.
Counter : 687 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ...จากดอยหลวงเชียงดาว ตอนที่ 3

11 ธค. 48
ตี 5 ต้องตื่นเพราะเสียงปลุกจากเต็นท์ข้างๆ “ตื่นได้แล้วนะครับ จะตี 5 แล้วนะครับ เราต้องเดินอีกประมาณ 45 นาที เดี๋ยวเราจะไม่ทันแสงแรกนะครับ ฯลฯ” พี่โอ่งเรียกให้เราตื่นไปชมทะเลหมอกจากยอดกิ่วลม ตอนเช้าๆ เราใช้เวลาในการเดินเกือบ ชม. หรือมากกว่านั้นก็ไม่รู้เพราะลืมนาฬิกาไว้ที่เต้นท์
ทางเดินมืดและค่อนข้างจะลื่นเพราะน้ำค้างลงแรงมากในเวลากลางคืนจนเหมือนฝนตกเลยค่ะ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมให้พร้อมคือ ไฟฉาย หากไม่มีจะไม่สามารถไปได้เลยเพราะเส้นทางในช่วงแรกจะเป็นทุ่งหญ้าอัลไพล์ จากนั้นจะตัดขึ้นสู่ยอดดอยซึ่งเป็นป่าดิบชื้น มีแต่โขดหินสูงให้ปีนป่ายขึ้นไป ระยะทางไม่สามารถประเมินได้ว่ากี่ กม. รู้แต่ว่าเดินไปด้วยความกลัวนิดๆ เมื่อทิ้งช่วงห่างกัน อยู่คนเดียวมันก็น่ากลัวไม่น้อยสำหรับคนไม่เคยเดินป่าอย่างเรา เพราะป่าจะสงบมาก ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินนอกจากเสียงเดินแต่ละก้าว และเสียงหายใจของตัวเอง ทุกคนต่างเดินจ้ำกันให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็วเพื่อต้องการจะไปชมแสงแรกของวันใหม่ ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นให้ทัน จุดหมายข้างหน้ายังมืดมิด แต่ความหวังของเราอยู่ที่เสียงของคนข้างหน้าบอกต่อมาเป็นระยะๆ ว่า อีกเพียงนิดเดียวอดทนเข้าไว้ ใกล้จะถึงแล้ว และเมื่อเราใกล้จะเดินไปถึง ก็ได้ยินอีกว่า แสงแรกเริ่มออกแล้วนะครับ ฟ้ากำลังจะเปิดแล้ว รีบหน่อยนะครับ เพียงเท่านี้ขาที่เริ่มจะล้าเพราะต้องเกร็งกับทางที่ลื่นและชันมาตลอดทางก็มีแรงขึ้นมาในทันที......
เมื่อเราโผล่หน้าขึ้นไปเห็นยอดดอยซึ่งเป็นที่โล่ง ลมหนาวพัดมาปะทะร่างกาย แต่ในเวลานี้เรากลับรู้สึกร้อนไม่ต่างจากตอนกลางวันจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออกเพื่อสัมผัสความหนาว แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็เริ่มจะรู้สึกว่ามันหนาวจนต้องรีบคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่ตามเดิมด้วยเหงื่อที่ออกจนเสื้อเราเปียกโดนลมหนาวพัดจนทำให้เรารู้สึกหนาวจับใจขึ้นมาทันทีทันใดไม่ต่างกับตอนก่อนขึ้นมา....
แสงแรกของวันใหม่ครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเห็นที่ดอยหลวงเชียงดาว



6.00 น. ฟ้าเริ่มเปิดแล้ว แสงแรกแห่งอรุณกำลังจะเริ่มเปิด ตีนฟ้ากำลังยกเหมือนม่านโรงละครกำลังจะเปิด ภาพที่เห็นช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ รอยต่อแห่งรัตติกาลและอรุณรุ่งสวยเกินคำบรรยาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการบุกป่าผ่าดงทั้งหลายหายไปในทันทีเมื่อสายตาได้สัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา




7.05 น. พระอาทิตย์เริ่มจะโผล่ออกมาแล้ว เห็นเพียงนิดๆ สีแดงฉานอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า สวยจับจิต เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นสูงขึ้นอย่างช้าๆ แว่วเสียงกดชัตเตอร์ ทั้งของตัวเองและคนร่วมทาง ดังลอยมาตามลม นับร้อยๆ ครั้งได้ ความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ก็เข้ามาเยือน จากป่าที่สงบจนไม่ได้ยินเสียงใดๆเลย ณ เวลานี้เริ่มได้ยินสรรพเสียงของป่าตื่นฟื้นจากการหลับใหล เสียงนกร้องออกหากิน เสียงชะนีกู่ร้องดังก้องป่า เสียงสรรพสัตว์ ต่างๆ เริ่มดังขึ้นแล้วทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ของขุนเขาแห่งนี้เช่นกัน....






 

Create Date : 30 ธันวาคม 2548    
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 14:35:18 น.
Counter : 685 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ...จากดอยหลวงเชียงดาว ตอนที่ 2

ระหว่างทางเราก็ได้เห็นดอกเทียนนกแก้ว ดอกเทียนที่สวยที่สุดที่เคยเห็นเพราะเหมือนนกแก้วมากแต่คนนำทางบอกว่าก่อนจะถลาเข้าไปถ่ายรูปน่ะ มองซ้ายมองขวาดีดีก่อนเพราะเทียนนกแก้วเป็นพันธุ์ไม้ที่มีความบอบบางมาธรรมชาติเลยสร้างต้นช้างร้องมาอยู่ใกล้กันเพื่อป้องกัน ต้นช้างร้องนี่ร้ายกาจมาก ลักษณะใบจะเป็นขนๆ พอเราโดนในมันเข้า จะโดนขนมันปักแล้วขนจะหักคาผิวเราแล้วพิษจะปล่อยเข้าสู่ตัวเราทำให้เกิดอาการแสบร้อน และบวมขึ้นมา ยาที่ใช้ทาคือ แซมบัค แต่ต้องใช้เวลาให้ยุบนานถึง 4 ชม.ร้ายกาจมาก



ตามระหว่างทางที่เดินไป ทิวทัศน์ข้างทางสวยงามมากจนอดใจไม่อยู่ต้องยกกล้องออกมาถ่ายเสียเยอะแยะไปหมด มีทั้งดอกไม้ ต้นไม้ ทิวเขา และป่าสน มีอะไรมากมายให้เราถ่ายรูปได้อยู่ได้ตลอดทาง



18.30 น. มาถึงจุดที่จะกางเต็นท์ที่อ่างสลุง ที่ราบหุบเขาดอยหลวงเชียงดาว แหงนหน้าจนคอตั้งบ่าข้างหน้าเป็นดอยหลวงเชียงดาว ยิ่งใหญ่และอลังการจริงๆ ค่ะ หันกลับมาด้านข้างเป็นกิ่วลม สถานที่สำหรับชมวิว ชมดอกไม้ ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า โปรแกรมทั้งหลายนี่ต้องยกเอาไว้คุยกันทีหลังเพราะตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหนาว และหิวมาก แบ่งงานกันทำ คนกางเต็นท์ ก็กางเต็นท์ไป อีกส่วนก็ทำกับข้าวไป เสร็จพร้อมๆ กัน ก็จะได้ลงมือกินข้าวเสียทีท่ามกลางความเหน็บหนาว ดีที่ว่าลูกหาบในทริปนี้มี 4 คน 2 คนที่ขึ้นมาก่อนมีอาหารบางส่วนขึ้นมาก่อน อีก 2 คน ตามมาทีหลังสุด มีกระเป๋าของสมาชิกทริปและข้าวสารและอาหารบางส่วน ดีที่กระเป๋าตู่พี่ในทริปเค้าแบกมาให้ในนั้นมีเสื้อกันหนาวอยู่อีก 3 ตัว ก็เลยพอแบ่งให้กันใส่บรรเทาหนาวได้บ้าง
3 ทุ่ม ได้เวลาพักผ่อนหลังจากที่เดินกันมานานจนเหนื่อย หลับสนิทท่ามกลางความหนาวเย็น อากาศบนดอยช่างหนาวได้จับใจเสียจริง ๆ ZzZzZzZzZzZz





 

Create Date : 30 ธันวาคม 2548    
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 14:21:43 น.
Counter : 474 Pageviews.  

บันทึกความทรงจำ...จากดอยหลวงเชียงดาว ตอนที่ 1

การเดินทาง
เช้าวันที่ 10 ธค.
เรานัดพบกันกับสมาชิกจากกทม. ตอน 6 .30 น. ที่อาเขต จากนั้นเริ่มออกเดินทางตอน 7.00 น. โดยรถกระบะ เราเริ่มออกเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 107 แวะทานข้าวเช้าที่ตลาดแม่มาลัย มีร้านข้าวหน้าเป็ดอยู่ร้านหนึ่ง รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้เลยที่เดียว จากนั้นเมื่อท้องอิ่มเราเริ่มเดินทางต่อไปที่ ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียง เพื่อติดต่อลงทะเบียนว่าจะขึ้นดอยหลวง

ประมาณ 10.00 น. เปลี่ยนรถเป็นรถ 4WD เพื่อขึ้นไปที่เด่นหญ้าขัด แต่เราจะต้องผ่านจุดตรวจสันป่าเกี๊ยะก่อน เพื่อลงชื่อว่ามาเยือนแล้ว ถนนที่ไปส่วนมาเป็นถนนลูกรัง มีลาดคอนกรีตเป็นบางช่วง ช่วงสั้นๆ เท่านั้น นอกนั้นเป็นลูกรังหมด ตอนที่ไปนี่ฝนพึ่งตกก่อนหน้านั้นและหยุดก่อนไปเพียงวันเดียว ถนนยังไม่แห้งเลย เห็นถนนตรงหน้าดินฟูหมด หาทางเรียบไม่ได้ ในใจคิดว่าจะขึ้นไปยังไงล่ะวะเนี้ยะ กลัวเฟ้ย แล้วเหตุการณ์สั่นประสาทและหัวใจก็มาเยือนเมื่อรถวิ่งผ่านไปตรงที่ดินฟูแล้วล้อหลังเกิดปัดไถลลื่นไปหาข้างทางที่เป็นเหว!!! แป้วเลยใจอ่ะ ตกไปไหนไม่รู้แล้วแต่คนขับเก่งมากเบรกไว้ได้ทันแล้วตั้งตัวใหม่ เร่งเครื่องขึ้นไปอีก คราวนี้กลับไถลลงไปอีกง่ะ ฮือๆๆกลัวยิ่งกว่าเดิมอีกเพราะเราเห็นเต็มๆ ตาว่าข้างหน้าเราเป็นเหวลึกขนาดไหน กลัวสุดขีดจนมือไม่อ่อนไปหมด กรี้ดไม่ออกกันทั้งคันรถเลยค่ะงานนี้ คราวนี้ตั้งตัวใหม่ครั้งที่ 3 เร่งเครื่องจนหลุดจากตรงที่ดินฟูมาได้ เห้อ...นึกว่าจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อหน้าแม่เสียแล้วสิเรา



เที่ยงกว่า ถึงหน่วยพิทักษ์ป่าเด่นหญ้าขัด (เราจะเริ่มเดินกัน ณ จุดนี้แหละ) ซึ่งจุดนี้เป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่ ที่นี่มีต้นดอกซากุระป่าด้วยนะ แต่เสียดายที่ดอกยังไม่บานเลยเห็นแต่กิ่งและตุ่มเล็กๆ บนกิ่งที่เตรียมจะบานเดือนหน้า เราเริ่มออกเดินทางกันตอนบ่ายโมงเพื่อที่จะเดินรวดเดียวไปถึงอ่างสลุงจุดพักแรมของเรา



ระหว่างทางเดินเราจะเห็นหญ้าคาสูงท่วมหัวเรา เวลาเดินต้องตั้งการ์ดเหมือนนักมวยไว้ก่อน ป้องกันหญ้าบาดหน้า และตอนเดินต้องชั่งใจก่อนเหยีบลงพื้นว่าเป็นพื้นดินจริงๆ หรือว่าหญ้าลวงตา ไม่งั้นมีหวังลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ก้นดอยแน่ๆ อิอิ แต่เรามีผู้ช่วยมือหนึ่งคือไม้เท้า ใช้สัมผัสพื้นดินดูก่อนเหยียบกันพลาด!!





 

Create Date : 30 ธันวาคม 2548    
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 11:46:55 น.
Counter : 400 Pageviews.  

1  2  
 
 

นู๋ตู่
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add นู๋ตู่'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com