วัยไหน ไปเรียนต่อที่ไหนดี?

Happy new year ทุกคนนะคะ พิชไม่ได้เขียนบล็อกนานเลย เพราะช่วงก่อนทำงานหนักมากกกก (บริษัทเกาหลีในไทยก็ใช่ว่าจะไม่หนักเท่าที่เกาหลีเน้อ) ขอให้ทุกๆคนที่กำลังเตรียมตัวจะสอบชิงทุน สอบ TOPIK หรือไปเรียนต่อที่ไหนก็ตาม สมหวังตามที่ตั้งใจไว้นะคะ^^


วันก่อนน้องสาวพิชเพิ่งได้คะแนน IELTS และเตรียมตัวจะไปเรียนต่อที่อังกฤษปีนี้ เลยทำให้นึกถึงตอนที่ตัวเองได้ทุนและกำลังจะไปเรียนต่อที่เกาหลีเลย แอบคิดนิดนึงว่าตอนนั้นเราคิดยังไงถึงไปเรียนเกาหลีน้า? และถ้าตอนนั้นไม่ได้เลือกไปเกาหลีแต่ไปทีอื่นแทนตอนนี้เราจะเป็นยังไงน้อ ด้วยความที่พิชเคยไปเรียนมาแล้วสองประเทศ (แลกเปลี่ยนที่แคนาดาตอนอยู่ปีสาม + เกาหลีปอโท) บวกกับมีพี่ชายและเพื่อนๆที่จบเมกาและอังกฤษหลายคน เลยขอแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวนิดนึงนะคะ^^

ถ้าคุณอยู่มอปลาย...
เชื่อมั้ยว่าพิชอยากไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งแต่อยู่มอหนึ่ง แบบเตรียมตัวมากๆกว่าขึ้นมอสี่ชั้นจะไปสอบ AFS นะ พอขึ้นปุ๊บ เลือกเมกาปั๊บ สรุป ตก 555 เพราะคนเลือกเมกาเยอะมากๆ มามองกลับไปตอนนี้เสียดายค่ะ ถ้าเลือกได้จะเลือกประเทศที่ในอนาคตเราไปเรียนไม่ได้ อย่างอิตาลี สวิส เดนมาร์คไรงี้ ได้ภาษาที่สามด้วย บวกกับเราไม่ต้องแคร์ชื่อมหาลัยมากเท่าตอนไปเรียนปริญญาโท (เพราะมันจะติดตัวเราไปตลอด ไปสมัครงานเค้าก็จะเลือกคนที่จบยูดังๆ) ถ้ามีน้องๆคนไหนกำลังจะไปแลกเปลี่ยน แนะนำว่า เลือกประเทศที่อยากไป และไปได้ยากๆเถอะค่ะ เมกาอังกฤษ น้องค่อยไปเรียนตอนปอตรีปอโทก็ได้ พอเห็นเพื่อนที่ไปยุโรปกลับมา พูดภาษาเยอรมัน สวิดิชคล่องยังกะเติบโตที่นั่นแล้วก็อิจฉาาา

ถ้าคุณอยู่มหาลัย...
ในกรณีที่เป็นเด็กมหาลัย แล้วจะไปแลกเปลี่ยน จุดนี้ทุกคนมักจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ อยากฝึกภาษา ส่วนใหญ่ยูที่มหาลัยในไทย (เช่น จุฬา ธรรมศาสตร์ แผนกวิเทศสัมพันธ์) หรือคณะของเรามีคอนเนคชั่นจะเป็นยูที่เมกา ดังมั่งไม่ดังมั่ง แต่ไม่ดังจะมีเยอะกว่า ถ้าไม่ได้แคร์ว่าต้องเข้ายูท็อปๆ ก็ไม่ต้องกดดันตัวเองมาก ทำ TOEFL ให้ได้เกิน 80 แล้วเลือกยูที่อยู่ในสภาพแวดล้อมดี มีบ้านให้ทำกับข้าวได้ มีวิชาน่าเรียน เพื่อนในคณะไปด้วยไม่เยอะมากก็พอ แต่ในกรณีที่น้องเป็นเด็กเกรด 3.5 อัพชั้นได้ภาษาอยู่แล้ว พ่อแม่อยากให้ชั้นเข้า UCLA อยากจะสอบ TOEFL ให้ได้ 100 จบมาชั้นจะได้สมัครเข้าบริษัทอินเตอร์ท็อปๆในไทย อันนั้นก็แล้วแต่น้องเถิด

ตอนนั้นพิชอยากแค่ฝึกภาษา เลยเลือกไปแคนาดา เมือง Victoria เป็นเมืองที่สงบ เรียบง่าย (บ้านนอก) คนใจดีมาก ส่วนใหญ่คนดั้งเดิมเป็นคนอังกฤษที่อพยพมาอยู่ สำเนียงเป๊ะ ใน campus ด้วยความที่ติดป่า เลยมีกระต่ายมากระโดดบ่อยๆ วันดีคืนดีมีกวาง!? เพื่อนๆน่ารักค่ะ มีเด็ก exchange จากญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ ยุโรปครบ ทุกวันนี้ไปเทียวประเทศเค้า ก็เรียกมานัดเจอกัน เพื่อนญี่ปุ่นมาที่เกาหลี พิชก็พาไปกินซัมกเยทัง (ไก่ตุ๋นโสม) ถึงจากกันมาหลายปีแล้วก็ยังไม่ขาดการติดต่อกัน :) 

ชีวิตที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะชิวๆกว่าในเอเชียเยอะค่ะ คนไม่ค่อยคิดมาก วัฒนธรรมไ่ม่ซับซ้อน จะแต่งตัวยังไงก็ได้ไม่มีใครมาสนใจเรา (ถ้าอยู่เกาหลีใส่เสื้อสีสดใสในหน้า winter นี่มีหวังมองกันทั้งโบกี้รถไฟ) แต่ข้อเสียก็คือข้าวของแพง คิดถึงบ้าน ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเพราะไกล เวลาต่างกันเยอะ แล้วก็อาหารไม่ถูกปาก ที่สำคัญอ้วนง่าย! บวกกับหาที่ฝึกงาน ทำงานก็ยากแสนยาก เพราะเด็กเอเชียที่โตที่นี่เก่งภาษากว่าเราเยอะ

ส่วนคนที่อาจจะอยากชิงทุนรัฐบาลเกาหลี ญี่ปุ่น ทุนมหาลัยอย่าง ritsumeikan ewha,etc. ไปเรียนปอตรีที่นู่นสี่ปี อันนี้ก็บอกว่าอย่าเห็นแก่ของฟรี! แน่ะ รู้ทัน เพราะเราก็เคยเป็น555 ให้ดูก่อนว่าคณะที่เราจะเข้าที่นั่นเค้าดังมั้ย ไปอยู่เกาหลีเรียนแข่งกับเด็กเกาหลีหนักมากนะ น้องๆหลายคนขนาดเป็นติ่งยังบ่นอยากกลับไทยตั้งแต่ปีแรกเลย เราจะทนได้รึเปล่า เป็นลูกคนเดียวพ่อแม่เราหวงมั้ย ไม่ใช่บ่นกระปอดกระแปดกลับบ้านทุกวัน จนพ่อแม่เป็นห่วง อันนี้ก็ไม่ไหวนะ แต่ยังไงถ้าตัดสินใจมาแล้ว ก็ขอให้อดทน พยายามให้ถึงที่สุด รุ่นก่อนๆเค้าเรียนกันจบไปได้ เราก็ต้องทำได้ ฮึดด!

สุดท้าย

ถ้าคุณจบมหาลัยแล้ว...
อันนี้ถือเป็นรุ่นป้าของการไปเรียนต่อ555 (นับตัวเองด้วย) จุดนี้จะไปต่อที่ไหนต้องนึกถืงชื่อเสียงมหาลัยบ้างแล้วแหละ ต่อให้จะมีทุนฟรีมาล่อตาล่อใจขนาดไหนก็ตาม แม้ว่าในใจแต่ละคน ยิ่งเด็กจบใหม่จะรู้สึกว่า เหยย ชั้นทำงานมาปีนึงแล้ว อยากไปตามหาโลกกว้าง ค้นหาชีวิต let it go ฯลฯ แต่อย่าลืมว่าซักวันนึงจบมา เราก็ต้องกลับมาทำงานที่ไทย (แม้หลายๆคนจะอยากทำงานที่เมืองนอกต่อ แต่โอกาสมีน้อยมาก คิดเผื่อไว้หน่อยก้ดี) ต่อให้เราจะพรีเซ็นต์ว่าเราเป็นเด็กทุนนะจ๊ะ เราฝ่าฟันอุปสรรคในเกาหลีมามากกว่าคนที่ไปทุนพ่อแม่นะจ๊ะ ยังไงก็ตามเถอะ ถ้ามหาลัยที่เราได้ทุนมันไม่ดัง HR เค้าไม่รู้จัก โอกาสได้งานก็ยากมากๆอยู่ดี ยกเว้นว่าจะพรีเซ็นต์ตัวเองได้ดีมากๆตอนสัมภาษณ์ หรือสร้างสมประสบการณ์ทำงานตอนเรียนที่นู่นไว้เยอะ ส่วนจะไปอังกฤษ เมกา เกาหลี ญี่ปุ่นอะไรก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล อย่าลืมว่า 2 ปีเหมือนนาน แต่จริงๆจะว่าสั้นก็สั้นแป๊บเดียว เราก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ไทยต่ออยู่ดีนะ

หลายๆคนสงสัยว่าทำไมคนที่เรียนต่อเกาหลี ไม่ทำงานต่อกันที่เกาหลีหลังจบ ? คือถ้าไม่นับเรื่องหางานยาก และงานที่มีไม่ตรงกับที่อยากทำแล้ว ส่วนใหญ่ก็คืออิ่มตัวกับการใช้ชีวิตที่เกาหลีอะ คือเราเที่ยวมาครบแล้ว เจอสี่ฤดูเวียนมาสองรอบแล้ว (เรียนสองปี) และเริ่มเบื่อกับการใส่เสื้อผ้าเป็นหมีในหน้าหนาว ยืนเขย่งๆเข้าห้องน้ำที่ไม่มีฮีตเตอร์ (เพราะเช่าบ้านราคาประหยัด) กินข้าวแพ็คอบจากไมโครเวฟ รามยอน ข้าวที่มีเนื้ออยู่น้อยนิดแทบจะจามแล้วปลิวไปกับสายลม กลับจากเรียนทำงานมา ก็มาอยู่คนเดียวในห้อง (คือแฮงค์เอาท์ก็มีบ้างแต่ที่รู้ๆกัน คนไทยในเกาหลีก็ยุ่งๆเอาตัวเองกันไม่รอด คนเกาหลีก็ตัวติดกับแฟน) คนที่บ้านก็แก่ลงทุกวัน ก็ต้องอยากกลับมาอยู่กับพ่อแม่ อากงอาม่านะ :)  แต่การทำงานที่ต่างประเทศก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วแต่ว่าเราแบ่งให้ความสำคัญกับแต่ละส่วนยังไง

เขียนซะยาวเลย ยังไงก็ขอให้โชคดีทุกคน happy new year นะคะ^^





 

Create Date : 04 มกราคม 2558   
Last Update : 4 มกราคม 2558 15:35:10 น.   
Counter : 2395 Pageviews.  


เรียนต่อดี vs. กลับบ้านดีกว่า

  เทอมแรกที่ทุกคนมาเรียนต่างประเทศ (โดยเฉพาะที่เกาหลี) มักจะมีโมเมนต์นี้บ่อยๆที่ว่า 

  "เราคิดถูกรึเปล่าวะ" 

อาการนี้จะหนักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนที่เมืองไทยโพสรูปบนเฟซลัลล้ากินอาฟเตอร์ยู แต่งตัวฟรุ้งฟริ้งไปเดินสยามเซ็น หรือเห็นพี่น้องกินโต๊ะจีนกะอากงอาม่าที่เคารพรัก ในขณะที่ตรูแดกมาม่าในห้องกะเมทเกา อากาศหนาวเหน็บ ตาพร่าหลังจากแปลพรีเซ็นท์ให้เป็นภาษาเกาหลีมาร่วมหลายชั่วโมง บางคนอาการหนักขนาดจะจองตั๋วเครื่องบินจะกลับไทย มีกระเป๋าเดินทางที่วางแสตนบายไว้ในห้องเรียบร้อย เตรียมแพ็คกลับบ้านได้ทุกเมื่อ จนเพื่อนๆต้องคอยเกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผลต่างๆนาๆให้อยู่ด้วยกันต่อไป 

จริงๆก็มีหลายคนที่หยุดเรียนปอโทกลางคัน แล้วเปลี่ยนไปเรียนภาษาแทน หรือย้ายไปเรียนต่อที่ประเทศอื่นไปเลย ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเมกา เพราะทนไม่ไหวกับการเรียนเป็นภาษาเกาหลีหรือวัฒนธรรมแบบเกาหลีๆในห้อง แล้วก็มีอีกหลายๆคนมักทนอยู่ต่อเพราะกลัวเสียหน้าที่เรียนไม่จบแล้วเลิก ไม่รู้จะตอบเพื่อน ญาติพี่น้องที่ไทยยังไง สงสารพ่อแม่บ้าง เกรงใจทุนบ้าง 

แต่ส่วนตัวแล้ว เราว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งนั้นแหละว่าจะตัดสินใจยังไง อยากให้ลองถามตัวเองแบบใช้เหตุผล ไม่เอาอารมณ์มาเป็นที่ตั้ง (ก็ใจมันท้อแท้อยากจะกลับ ไม่คิดถึงเหตุผลอะไรแล้วตอนนั้น) คำถามที่อยากให้ลองถามตัวเองก็อย่างเช่น 

1. การอยู่/เรียนที่เกาหลีมันตอบโจทย์เราอยู่มั้ย 
ถึงแม้เราจะมาเกาหลีเพื่ออยากเรียนเรื่องนิเทศเกาหลี เนื่องจากเกาหลีโด่งดังเรื่อง Kpop มาก มาเรียนที่นี่มันน่าจะดี แต่มาแล้วพบว่าการเรียนเป็นแบบวิจัย ซึ่งไม่ใช่แนวที่เราชอบเลย อาจจะเปลี่ยนที่เรียนมั้ย หรือลองมองมุมใหม่กับงานวิจัยดูเผื่อว่าอาจจะเป็นอีกด้านนึงที่เราไม่รู้มาก่อนว่ามันน่าสนใจมากก็ได้

2. มีทางเลือกอื่นมั้ย ที่ทำให้เราถึงเป้าหมายเหมือนกัน โดยที่ไม่ต้องลำบากขนาดนี้
หลายคนมาเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลี ชอบความมุ๊งมิ๊ง เลยเลือกมาเรียนต่อปอโท ทั้งๆที่จริงๆก็ไม่ได้อยากเรียนอะไรขนาดนั้น แต่เพราะอยากมาใช้ชีวิต + มีทุนให้ อาจจะลองมองทางอื่นมั้ย อย่างเช่นโรงเรียนสอนภาษา ซึ่งจริงๆถ้าเราตั้งใจเรียนที่ไทยให้ได้ซักจบเลเวล 2 มาต่อเลเวล 3-4 ที่เกาหลี ก็ใช้งบไม่ได้เยอะมาก หลายๆคนเห็นว่าโรงเรียนมีถึงเลเวล 6 ถ้าเรียนให้จบต้องใช้เงินเยอะแน่เลย แต่จริงๆแล้วคนที่เรียนต่อเลเวล 5-6 มีแต่คนที่จะเข้ามหาลัยในเกาหลีนะ ถ้าจะเอาแค่พอพูดได้ 3 ก็ได้แล้ว เลเวล 4 นี่คือ presentation อ่านข่าวเป็น

3.  ถ้าไม่ติดเรื่องเสียดายค่าเรียน เสียดายเวลาที่เสียไป เรายังอยากเรียนต่อมั้ย
หลายๆคนอยากกลับบ้านตั้งแต่เทอม 1 สุดท้ายให้เวลาตัวเองอีกเทอมนึงละกัน เผื่อว่าเราชินกับภาษาแล้วจะสนุก พอมาเทอม 2 ก็ยังรู้สึกว่าการเรียนไม่ตอบโจทย์เรา จะไปต่อก็รู้สึกลำบาก จะเลิกซะก็เสียดายหนึ่งเทอมที่อุตส่าห์เรียนมา เอาจริงๆอยากบอกว่าช่วงเวลาที่เหมาะแก่การหันหลังกลับคือภายในเทอมแรกนะ คือจริงๆเข้าไปเรียนกัน 2 อาทิตย์หลายๆคนก็เปลี่ยนใจแล้วอะ 555 คือถ้ายิ่งรอนานก็จะยิ่งเสียเวลาอะ แต่ถ้าตั้งใจว่าจะให้จบแล้ว ก็ต้องต่อให้สุด 

ตอนเรียนบริหารที่มธ. อาจารย์เคยสอนเรื่อง "sunk cost" แปลตรงตัวก็คือค่าใช้จ่ายที่จมแล้ว!? เอ๊ะ ยังไง ถ้าเปรียบกับการเรียนที่เกาหลีก็เหมือนกับเวลาที่เราได้เสียไป เงินค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตเกาหลีเทอมแรก เราได้เสียไปแล้ว ไม่ว่าเราจะหยุดตอนนี้หรือเรียนต่อ ก็คือเสียไปแล้ว เราเอามันกลับคืนมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะเอามันมาเป็นตัวตัดสินอนาคตของเราต่อไป หลายๆคนคิดว่าเสียดายเงินค่าเรียน เสียดายเวลาเทอมนึง เพราะฉะนั้นต้องเรียนต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตัวเองไม่อยาก สุดท้ายเรียนจบไม่ได้ใช้อีก 

หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้น เรารู้ว่าหุ้นนี้กำลังจะตก แต่เราไม่กล้าขาย เพราะเสียดายเงินที่ลงทุนไป หรือขายตอนนี้ขาดทุนแน่ๆ ทำให้เราถือมันต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายขาดทุนยิ่งกว่าเดิม

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่อยู่ในเกาหลีแล้วคิดจะกลับบ้านตอนนี้ รวมถึงคนที่กำลังจะได้ไปเกาหลี และต้องมีโมเมนต์ที่อยากกลับบ้านแน่ๆ (ไม่ได้ขู่นะเนี่ย ><) สุดท้ายอยากบอกว่าเวลาที่อยู่ในเกาหลีมันช้าาาากว่าไทยเยอะ เรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตที่นั่นนานมาก แต่เพื่อนเรา ครอบครัวเรา คนที่ไทยรู้สึกว่ามันแป๊บเดียวเท่านั้น เพราะถึงเราลำบากยังไง ชีวิตเราที่นู่นก็วนเวียนแค่เรื่องกินกีบเรียน ในขณะที่คนที่นี่มีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย ฉะนั้นถ้าใครกลัวว่า เพื่อนจะนินทาว่าเราเรียนไม่จบ พี่ร่วมรุ่นจะทักว่าทำไมเรากลับเร็วก่อนกำหนด อาจารย์จะรู้สึกแย่กับเรา ก็อยากบอกว่าอย่ากังวลมากเกินไป เรื่องของเรามันเป็นแค่หนึ่งในร้อยๆเรื่องในแต่ละวันของเค้าเท่านั้นเองแหละ แล้วเราเชื่อว่าทางไหนที่เราเลือกแล้วเราแฮปปี้ คนรอบข้างเราก็จะมีความสุขไปกับเราด้วย  :)







 

Create Date : 06 กันยายน 2557   
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2557 9:50:23 น.   
Counter : 1075 Pageviews.  


Life after my graduation in Korea




นับตั้งแต่รับปริญญาที่เกาหลีจนกลับมาไทยก็สี่เดือนละเนอะ ทุกครั้งที่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆแล้วกลับมาไทย เชื่อว่าหลายๆคนก็ต้องมีการปรับตัวกันเยอะทีเดียว กลับจากเกาหลีคราวนี้พิชใช้เวลาปรับตัวน้อยกว่าตอนไปอยู่แคนาดานะ ไม่รู้เพราะเป็นครั้งที่สองแล้ว หรือเพราะเกาหลีกับไทยมีอะไรคล้ายๆกันมากกว่า (อย่างน้อยก็เป็นเอเชียเหมือนกัน) แต่ถึงกลับมานานแล้วก็เหอะ ก็ยังมีนิสัยหลายๆอย่างที่ติดมาจากเกาหลีอยู่ บางคนอ่านแล้วจะว่านี่กระแดะ ไปอยู่มาแค่สองปี แต่จริงๆนะ ไม่เชื่อใครอ่านบล๊อกนี้แล้วสุดท้ายไปเรียนต่อที่เกาหลี ไม่เป็นอย่างเราบ้างให้กระโดดถีบเลย (หราาาา? 555)

1. แอบฟังคนเกาหลีคุยกัน
เวลาไปสยามหรือเซ็นทรัลเวิลด์ทีไรจะเจอคนเกาหลีบ่อยๆ หรือเวลาไปสนามบินไรงี้ อดแอบตั้งใจฟังเวลาเค้าคุยกันไม่ได้555 ไม่ใช่อยากรู้เรื่องราวอะไรของเค้านะ แต่อยากทดสอบสกิลภาษาเกาหลีตัวเองด้วยว่ายังใช้ได้อยู่มั้ย ฟังไปบางทีก็อดจะมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ เคยมีครั้งนึงเจอคุณป้ากำลังคุยกะลูกชายว่าสบู่แกะสลักก้อนนี้ 90 บาทแปลงเป็นราคาเกาหลีมันเท่ากับกี่วอน ลูกชายก็คำนวณช้าเหลือกันจนอยากจะตอบให้คุณป้าแทน มีใครเป็นอย่างเรามั้ยนะ?

2. ยังติดนิสัยเร่งรีบ
ตอนอยู่ที่เกาหลี โดยเฉพาะเวลาเดินในสถานีรถไฟใต้ดิน หรือย่านธุรกิจอย่างคังนัม ทุกคนจะรีบๆเดินกันเร็วๆ พอกลับมารู้สึกว่าคนไทยเดินช้ามากก บางทีเดินคุยกะเพื่อนกลางถนนไม่เหลือที่ไว้ให้คนที่รีบๆเดินแทรกเล้ย ถึงจะไม่มีเรื่องรีบร้อนก็รู้สึกว่าต้องเดินเร็วๆอยู่ดี หรือชีวิตคนเกาหลีจะรีบเร่งมากกว่าไทย - -?

อีกเรื่องนึงคือเวลารถไฟฟ้าเปิดประตูปุ๊บ คนเกาหลีจะรีบเข้าไปในตู้ นั่งจองที่นั่ง ก้มลงมองมือถือ (เลี่ยงการสบตากับผู้ที่มาทีหลังจองที่นั่งไม่ทัน) แต่คนไทยถึงแม้จะอยากรีบหาที่นั่งใจจะขาด ก็จะสงวนท่าที แค่เดินเร็วๆเข้าไปเฉยๆ แต่คือจุดๆนั้นพิชไม่ห่วงอิมเมจแล้วไง 555 คือแบบใส่ส้นสูงขึ้นรถช่วง rush hour นี่ การได้นั่ง ถือเป็นอะไรที่ฟินมาก แต่ดันอดเพราะผู้ชายที่เข้าคิวก่อนหน้าเรา มันเดินเข้าโบกี้ช้ามากกกก จนที่นั่งว่างๆ ถูกคนที่เข้ามาอีกประตูนึงนั่งจนหมด คือเข้าใจนะว่าแกเป็นผู้ชาย แกกะไม่นั่งอยู่แล้วไง แต่ช่วยกระตือรือร้นในการเดินเข้ารถเผื่อผู้หญิงน่าสงสารที่อยู่ข้างหลังบ้างก็ดีนะ 

3. เห็นนักท่องเที่ยวเกาหลีแล้วอดช่วยไม่ได้
ตั้งแต่กลับมาจากเกาหลี เวลาเห็นนักท่องเที่ยวเกาหลีปุ๊บจะรู้เลยว่ากลุ่มนี้เป็นเกาแน่นอน เวลาเห็นกลุ่มบอยแบนด์เกาหลียืนโบกแท็กซี่ตรงสยามเลยอดเห็นใจไม่ได้ เห็นนางโบกหลายคนแล้วก็ยังไม่ได้ไป สงสัยแท็กซี่คงโก่งราคา อยากจะช่วยนาง แต่ติดที่ของเราก็เต็มมือ บวกกับเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเค้าจะมองสาวไทยยังไง เค้าจะคิดว่าเราอ่อยเค้ามั้ย 555 สุดท้ายเลยต่อสู้กับความคิดตัวเองในใจ จะช่วยหรือไม่ช่วยดี - -"

เคยเจอเกาหลีหญิงนางนึงจะไปวัดพระแก้ว จากสยาม นางเดินมาถามว่าต้องนั่งรถเมล์สายไหน คิดดูว่าจากสยาม ไปวัดพระแก้ว ท่ามกลางบรรยากาศฝนตก มองไปที่ถนนเห็นรถติดแหงกอยู่กับที่แล้ว ไม่รู้ว่าสาวเกาหลีสวยๆจะโหนรถเมล์ไปถึงวัดพระแก้วถึงมั้ย เลยบอกนางว่านั่งแท็กซี่ไปดีมั้ย รถเมล์มันติดมากไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ แท็กซี่ไม่แพงหรอก อย่างมากก็ร้อยกว่าบาท (เท่ากับชานมที่เกาหลีหนึ่งแก้ว) นางดูอือออกับเรา แต่สุดท้ายก็รอรถเมล์ต่ออยู่ดี สงสัยเสียดายตังค์

นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่แปลกสำหรับคนเกาหลี คือคิดว่ามาเมืองไทยจะต้องทุกอย่างถูก ค่าเดินทางถูก ค่ากินถูก ซื้อของถูก คือเดี๋ยวนี้ค่าครองชีพในกรุงเทพฯแพงมาก พิชซื้อเสื้อผ้าที่เกาหลีตัวละ 10,000-20,000 วอน มาซื้อที่ไทย ร้านค้าในไอจีก็ 500บาทขึ้นไปแล้ว อาหารก็จานละ 200-300 บาท พอเพื่อนเกาหลีที่มาเที่ยวไทยเจออย่างนี้ ก็จะบ่นว่าแพง ยิ่งพวกอาจจุมม่าซื้ออะไรทีก็พยายามต่อสินค้าอย่างเอาเป็นเอาตาย อยากจะบอกว่าไทยเราใช่จะบ้านนอกๆนะจ๊ะ ห้างเราก็อลังการเว่อร์วีว่ากว่าเธอเยอะ 

4. อึดอัดเวลาต้องคุยภาษาอังกฤษกับคนเกาหลี
ที่บริษัทจะมีคนเกาหลีอยู่หลายคน เวลาเจอกันครั้งแรกเค้าไม่รู้ว่าเราพูดเกาหลีได้ ก็จะพูดอังกฤษกับเรา ทนพูดกับเค้าได้ไม่กี่ประโยค ก็หลุดเกาหลีออกมาจนได้ สุดท้ายเลยคุยเป็นเกาหลีกันไปเลย จริงๆไม่ใช่เพราะเค้าพูดอังกฤษไม่รู้เรื่องนะ (อะ ก็ส่วนนึง55) แต่มันชินว่าหน้าตาเกาหลีมาอย่างนี้ เราจะต้องพูดเกาหลีด้วยอะ - -^"

5. คิดถึงอาหารเกาหลี
คิดถึงทักคาลบิ กุกบับ เนื้อย่าง พัดบิงซู (น้ำแข็งใสเกาหลี) อยากกลับไปกินๆอีก 

6. ติดหูฟัง
ออกไปข้างนอกคนเดียว ขึ้นบีทีเอส ลงรถเมล์ ต้องฟังเพลงตลอด นั่งเฉยๆมองตาคนฝั่งตรงข้ามไม่ได้ จากแต่ก่อนเป็นคนที่เกลียดหูฟังมาก (เป็นคนหูเล็ก ยัดหูฟังแล้วมันจะเด้งออกตลอด ใส่ไม่เข้า หลังๆหูฟังแบบใหม่ทำแบบยัดรูหูเลย ชีวิตเลยง่ายขึ้นนิดนึง) ตอนนี้เวลาออกจากบ้านถ้าไม่มีหูฟังจะอึดอัดมาก เหมือนลืมมือถือจากบ้าน ถามพี่อีกคนนึงก็บอกว่าเป็นเหมือนกัน รายนั้นวันไหนไม่ได้เอาหูฟังมาแทบจะอยากซื้อใหม่ตอนนั้นเลย (สถานีรถไฟใต้ดินเกาหลีจะมีขายหูฟังกับเคสมือถืออยู่มากมาย ราคาคบได้)

7. หันมาช๊อบปิ้งออนไลน์
ก่อนไปเกาหลีเป็นคนไม่ซื้อของออนไลน์ กลัวของไม่ดีเหมือนในรูป รู้สึกยุ่งยาก แต่พอไปอยู่เกาหลี ได้รู้จัก gmarket หลังจากนั้นเกิดอาการขี้เกียจ เสื้อผ้าแฟชั่น หนังสือ รองเท้า มาม่า ข้าวกล่อง ซื้อออนไลน์หมด พอกลับมาไทยเลยติดนิสัยหาของทางอินเตอร์เน็ตก่อน ถ้าไม่มีจริงๆแล้วค่อยออกไปหาซื้อ 

8. หงุดหงิดกับความเร็วอินเตอร์เน็ต
ปกติดู Youtube ซีรีย์เกาหลี โคดฮิต เปิดปุ๊บ ดูได้ปั๊บ กลับมาไทย ต้องรอโหลด ยิ่งเวลาเปิดดูตอนอยู่ข้างนอกบ้าน ค้างไปเลยจ้า เวลาไปร้านกาแฟบางร้านก็ไม่มี wifi จริงๆอีกหน่อยเมืองไทยมีอินเตอร์เน็ตเข้าถึง เร็วทันใจกว่านี้ก็จะดีมากเลยนะ คงต้องรอ ~

9. กินชานมอย่างสิ้นเปลือง
ชานมเกาหลีราคาเท่ากาแฟ ร้อยกว่าบาทขึ้นไป (แต่แก้วใหญ่ ไม่ใส่น้ำแข็งจนแทบถือไม่ไหวแบบไทย) พอกลับมาเลยเอ็นจอยกับรถเข็นชาตรามือแถวบ้านสุดๆ

10. คิดถึงอากาศสี่ฤดู
แต่ก่อนไม่ชอบอากาศเกาหลีมาก ทำไมต้องเปลี่ยนใจเปลี่ยนมาเปลืองเสื้อผ้า แล้วยังไม่สบายบ่อยอีก แต่พอกลับมาไทยรู้สึกคิดถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิเหมือนกันนะ อากาศเย็นๆ โรแมนติก พิชรู้สึกว่าเหมือนเราโตขึ้น ได้ทบทวนชีวิตตัวเองทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดู ยิ่งเวลาอากาศหนาวๆ นึกถึงว่าคนเกาหลีสมัยก่อนเค้าต้องใช้ชีวิตลำบากมากขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่เกิดมาในยุคที่อะไรๆก็สะดวกสบายไปหมด พอรู้สึกอย่างนี้เลยก็ต้องตั้งใจพยายาม ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมากขึ้นไปอีกเลยล่ะ :)





 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2557 21:05:42 น.   
Counter : 2001 Pageviews.  


เด็กจบใหม่เกาหลี กับการสมัครงานในไทย



สวัสดีค่าา ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพบล๊อคเลยเพราะเริ่มตันๆว่าจะแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเรียนต่อเกาหลียังไงดี เพราะเขียนไปเกือบหมดแล้ว 555 รวมทั้งวุ่นๆเรื่องสมัครงานในไทยด้วยแหละ 

หลายๆคนส่วนใหญ่มักจะสนใจเรื่องทำยังไงให้ได้ไปเรียนต่อเกาหลี รวมถึงชีวิตระหว่างที่เป็นนักเรียนอยู่ในเกาหลี แต่พิชอยากให้น้องๆที่กำลังคิดจะไปเรียนต่อให้ความสำคัญกับทัศนคติรวมถึงฟีดแบ็กจากคนรอบข้าง รวมถึงผู้จ้างงานของเราในอนาคตด้วยนะ จะได้เตรียมตัว (+เตรียมใจ) ไว้ก่อนเนิ่นๆ ตอนนี้พิชได้งานแล้วก็เลยขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้เจอมากับตัวเองนะคะ^^

ฟีดแบ็กจาก HR และ line manager
จากที่ไปสมัครงาน ส่วนใหญ่คำถามแรกคือ "จบจากไหนคะ" (ถึงแม้เราจะเขียนใน resume อย่างชัดเจนแล้วว่าจาก south korea เค้าก็จะถามอยู่ดี เสมือนเป็นคำทักทายอย่างนึง) พอเราบอกปุ๊บว่าจากเกาหลีค่ะ คำถามยอดฮิตคือ

"ทำไมถึงไปเรียนที่เกาหลี?" (พร้อมทำหน้างง)
ต้องเข้าใจนิดนึงว่าผู้ใหญ่มักจะรู้จักเกาหลีแค่เรื่อง เคป๊อบ อาหารเกาหลี แดจังกึม ดารานักร้อง ฯลฯ เกาหลีในเรื่องการศึกษานั้นไม่ค่อยดังเหมือนอย่างอังกฤษ เมกา หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น อันนี้เราก็ต้องอธิบายเป้าหมายที่ทำให้เราไปเรียนต่อ ของพิชอธิบายไปว่าไม่ได้มองการเรียนต่อปริญญาโทแค่เรื่อง degree ที่จะได้รับอย่างเดียว แต่มองเรื่องการฝึกงาน กิจกรรมระหว่างเรียน ซึ่งที่เกาหลีมันเปิดโอกาสให้เราได้มากกว่า รวมทั้งเกาหลีดังเรื่อง digital marketing ที่พิชสนใจอยู่ด้วย

"แล้วเรียนเป็นเกาหลีรู้เรื่องหรอ" 
อันนี้ตอบไปตามตรงว่า เทอมแรกไม่รู้เรื่องเลยค่าาาาาา แต่อาศัยความขยันและพยายาม ปรึกษาอาจารย์บ่อยๆก็ค่อยๆพัฒนาจนเรียนทันเพื่อนในที่สุด

"ได้เรียนรู้อะไรจากการไปเรียนที่เกาหลี"
จากการสัมภาษณ์หลายๆที่ HR รวมถึงเมเนเจอร์จะเน้นว่าเราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์หรือความผิดพลาดในชีวิตมาบ้าง ไม่เพียงแต่การไปใช้ชีวิตเมืองนอกอย่างเดียว แต่รวมถึงประสบการณ์ที่ทำงาน ฝึกงานมาก่อนไปเรียนต่อด้วย 

เด็กจบใหม่อาจจะยังไม่มีสกิลในการทำงาน ความทั้งความรู้ในวิชาชีพมากนัก แต่ทัศนคติ การรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตเป็นสิ่งที่เมเนเจอร์ให้ความสำคัญมาก

"ถึงไปอยู่เกาหลี แต่ภาษาอังกฤษยังใช้ได้ใช่มั้ย"
ไม่ว่าตอนปริญญาตรีเราจะเรียนอินเตอร์ เคยไปแลกเปลี่ยน หรือจบมาทำงานบริษัทฝรั่ง แต่พอเราจบปริญญาโทจากเกาหลีปุ๊บ เค้าจะสมมุติฐานไว้ก่อนเลยว่า "เราไม่ค่อยเก่งอังกฤษ" เพราะใช้แต่ภาษาเกาหลีในชีวิตประจำวันมาตลอด เอาจริงๆพิชว่าไปอยู่เกาหลีก็ทำให้พูดอังกฤษได้ไม่คล่องเท่าก่อนไปนะ มันจะต้องใช้เวลาคิดมากกว่าแต่ก่อนนิดนึง นึกศัพท์ก็ช้ากว่า แต่ก็ไม่ถึงกับใช้ไม่ได้เลย (แต่ก็ขึ้นอยู่กับทักษะทางภาษาของแต่ละคนก่อนไปด้วย) อันนี้ก็ต้องอธิบายยืนยันให้เค้าฟังว่าเรายังสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทำงานได้ปกติ ถ้ามีคะแนน TOEIC TOEFL ก็ใส่ลงไปใน resume ด้วย หลายๆที่ก็จะมีทดสอบบ้าง อย่างเช่นให้แนะนำตัว หรือพรีเซ็นท์เป็นภาษาอังกฤษให้ดู 

คำถามอื่นๆที่ไม่ได้เจาะจงเฉพาะจบเกาหลีอย่างเดียว แต่ถามเด็กจบใหม่ทั่วๆไปก็มี อย่างเช่น
"คิดยังไงที่เด็กจบใหม่สมัยนี้อยู่แต่ในกรอบ" "คิดยังไงที่เค้าว่าเด็กจบใหม่สมัยนี้อยู่ไม่ทน" ก็ขอให้เราตอบตามความคิดเห็นเราเอง แต่ก็ไม่ใช่อวยเด็กจบใหม่ ("หนูว่าไม่จริงอะค่ะ คนรุ่นเก่าอยู่ในกรอบเยอะแยะไป") หรือประจบคนรุ่นก่อนมากเกินไป พยายามตอบกลางๆ เช่น เด็กจบใหม่ก็มีทั้งอยู่ในกรอบและไม่อยู่ในกรอบ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล 

มาสมัครงานช่วงนี้ต้องยอมรับว่า หางานได้ยากมากๆ เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองทีกระทบรายได้ของบริษัท ตำแหน่งไหนที่ไม่ได้จำเป็นมาก ก็ชะลอการจ้างคนออกไปก่อน รวมทั้งบัณฑิตจบใหม่จากอังกฤษ เมกา ซึ่งดูจะภาษีดีกว่าบัณฑิตเอเชียอย่างเราๆ ก็มีเยอะสุดๆ แต่ก็ขอให้หลายๆคนอย่าท้อ พยายามพิสูจน์ตัวเองเวลาสัมภาษณ์ให้มากขึ้น เป็นตัวของตัวเอง  การได้งานบริษัทดีๆที่เราตั้งใจไว้ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ^^




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 21:54:51 น.   
Counter : 2456 Pageviews.  


เตรียมตัวสอบ TOPIK แบบใหม่ + ดาวน์โหลดตัวอย่างข้อสอบ


  ช่วงนี้ หลายๆคนอาจจะเริ่มเตรียมสอบ TOPIK เดือนตุลาคมนี้แล้ว พิชเลยเอาข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับข้อสอบ รวมทั้งวิธีดาวน์โหลดตัวอย่างข้อสอบมาฝากกันนะคะ 

  ถ้าถามว่าควรเตรียมตัวยังไง? แต่ก่อนพิชก็เคยสั่งพรีออเดอร์หนังสือเตรียมสอบ TOPIK รวมทั้งไปตามหาซื้อหนังสือตามร้านในกทม.หลายที่เหมือนกัน พอมาอยู่เกาหลีก็หาซื้อได้สะดวกขึ้น แต่ท้ายสุดก็ค้นพบสัจธรรมว่าทำข้อสอบเก่าๆ จากเว็บไซต์ TOPIK อย่างเดียวก็พอแล้ว เพราะแนวข้อสอบตรงที่สุด บวกกับหนังสือ TOPIK ที่มีขายส่วนใหญ่มักจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ก็จีน ญี่ปุ่น หนักสุดอธิบายเป็นภาษาเกาหลี !? (เออ ถ้าชั้นเก่งเกาขนาดนั้นชั้นจะมาสอบทำไมฟระะ) ทำให้ยิ่งอ่านยิ่งงงเข้าไปอีก จริงๆแค่ตัวอย่างข้อสอบที่มีในเว็บไซต์ก็มี 30 กว่าชุดแล้ว ทำจริงๆได้ไม่ถึงสิบชุดก็เหนื่อยแล้วค่ะ - -" เลยแนะนำว่าฝึกโดยการดาวน์โหลดเอาเหอะ ฟรีด้วย 

  ปีนี้พิเศษหน่อยตรงที่ข้อสอบ TOPIK จะเป็นรูปแบบใหม่ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ ก.ค ปีนี้ ซึ่งหลักๆแล้วก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากข้อสอบเดิมอยู่ 4 ส่วนด้วยกัน

  1. ชื่อข้อสอบ
  จากเดิมที่แยกเป็นระดับ beginner, intermediate, advance ปีนี้แยกเป็น 2 ระดับ คือ 
  1. TOPIK I ครอบคลุมระดับ 1 และ 2 
  2. TOPIK II ครอบคลุมระดับ 3-6
  แต่หลักการคิดคะแนนยังเหมือนเดิม สรุปง่ายๆก็คือคนที่จะสอบระดับกลางและระดับสูง จะใช้ข้อสอบเดียวกันนั่นเองค่ะ

 2. ประเภทเนื้อหาการสอบ
  จากเดิมที่ระดับกลางและสูง (TOPIK II) จะแยกเป็น 4 ส่วน คือ คำศัพท์ การอ่าน การเขียน และการฟัง ปีนี้จะไม่มีคำศัพท์แล้ว แต่จะแยกเป็น 3 ส่วน คือ การอ่าน การเขียน การฟังแทน ส่วน Level 1 และ 2 หรือที่เรียกใหม่ว่า TOPIK I จะทดสอบแค่ 2 ส่วน คือ การอ่านและการฟังค่ะ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะทำให้คนที่สอบ beginner ผ่านได้ง่ายขึ้นนะ เพราะไม่ต้องเขียน essay เหมือนแต่ก่อน ส่วนระดับกลางคงยากขึ้นทีเดียว เพราะต้องอ่าน reading ยาวๆ เหมือนกับคนที่สอบระดับ advance

  3. จำนวนข้อสอบ
  ข้อสอบแบบเก่า แต่ละพาร์ทจะมีจำนวนข้อ พาร์ทละ 30 ข้อ (คำศัพท์ 30 ฟัง 30 อ่าน 30) ส่วนการเขียนจะมี multiple choice 10 ข้อ และ 4-5 short anwer และ 1 essay 
  แต่ใน TOPIK ใหม่ TOPIK II จะแบ่งเป็น การอ่าน 50 การฟัง 50 การเขียน 4 (2 short answer 2 essay) ทำให้คนที่จะสอบระดับกลางและสูง จากเดิมที่เราเขียน essay แค่อันเดียว แต่ต้องเขียนถึงสองอันแล้วทีนี้ ก็ต้องบริหารเวลากันนิดนึง ส่วน TOPIK I (beginner) จะมี reading 40 การอ่าน 30ข้อค่ะ

 4. หลักการคิดคะแนน
  ข้อดีของ TOPIK แบบใหม่คือ ไม่มีคะแนนขั้นต่ำที่ต้องผ่านในแต่ละพาร์ทอีกแล้ว เย้ >< จากเดิมที่บางคนอาจจะได้คะแนนรวมเกิน 50 แต่บางพาร์ทได้คะแนนไม่ถึง 40 ที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องกำหนดไว้ ทำให้พลาด TOPIK ระดับ 3 ไป คราวนี้ก็จะมีโอกาสมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการตัดสินจะดูจากคะแนนรวมทั้งหมด
  แต่การตัดสินระดับจากคะแนนรวม ก็ยังจะแปลกกว่าเดิมนิดนึง ตรงที่จะไม่มีคะแนนตายตัวว่า คะแนน 50 คือผ่านได้ระดับ 3 หรือคะแนน 70 ผ่านได้ระดับ 4 แต่คะแนนที่เป็นเกณฑ์นี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละรอบ และจะถูกประกาศเมื่อการสอบได้ผ่านพ้นไปแล้ว เนื่องจากการสอบแบบใหม่นี้จะบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ก.ค ปีนี้ก็เลยยังไม่มีตัวอย่างเนอะ ว่าต้องได้ประมาณเท่าไหร่ถึงจะผ่าน  - -" ยังไงระหว่างนี้เวลาฝึกทำข้อสอบก็ประเมินเองจากเกณฑ์เดิมไปก่อนละกันนะจ้ะ


 *Download ตัวอย่างข้อสอบ และข้อสอบ TOPIK เก่าๆ*

  ส่วนใครอยากลองดาวน์โหลดตัวอย่างข้อสอบแบบใหม่ ก็เข้าไปที่ www.topik.go.kr ไปที่มุมบนขวาที่เขียนว่า 정보 마당 เลือก 공지사항



จากนั้นเลือกกระทู้ที่เขียนว่า 2014년도 한국어 능력시험 개편 체제 및 샘플문항 공개 



จะเห็นว่ามีไฟล์แนบไว้ ไฟล์บนจะสำหรับ TOPIK I (beginner) ไฟล์ล่างสำหรับ TOPIK 2 (intermediate & advance) เลือกดาวน์โหลดได้ตามใจชอบเลยค่ะ



แต่ถ้าใครทำ TOPIK ใหม่แล้วยังฟิตอยู่ อยากหาข้อสอบเก่าๆมาทำซ้อมมือไปพลางๆ ก็สามารถทำได้โดยเปลี่ยนเมนูภาษามุมขวาบนของหน้าจอเป็น English จากนั้นเลือก download previous tests ด้านล่าง



พอเข้าไปแล้ว กระทู้จะแยกเป็น 3 ระดับ 초급 (beginner) 중급 (intermediate) 고급 (advance) ถ้าเราต้องการดาวน์โหลดตัวข้อสอบพร้อมเฉลย ให้เลือกกระทู้ที่ลงท้ายด้วย 문제지 및 정답표 แต่ถ้าต้องการดาวน์โหลดไฟล์เสียงสำหรับพาร์ทการฟัง ให้เลือกกระทู้ที่ลงท้ายด้วย 듣기 파일 





ถ้าใครไม่มีเวลา แนะนำให้เลือกอันที่ พ.ศ. ใหม่ๆ (ขึ้นต้นด้วย 2014년도, 2013년도) จะใกล้เคียงกับข้อสอบปัจจุบันมากกว่านะ เหมือนเวลาที่แต่ก่อนเราทำข้อสอบ 15 พ.ศ ย้อนหลังเตรียมแอดมิชชั่นไรงี้ (เอ๊ะ ไม่รู้เด็กรุ่นใหม่ทันกันมั้ยเนี่ย555)

สำหรับกำหนดการสอบรอบต่อไปในประเทศไทย รวมถึงประเทศในแถบเอเชีย คือ วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2014 ยังไงก็เอาใจช่วยทุกคนนะจ๊ะ ^^ 


ใครอ่านบล๊อกนี้แล้วคิดเห็นยังไงกันก็อย่าลืมเม้นเป็นกำลังใจให้คนเขียนนิดนึงน้า _/_





 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 21:55:03 น.   
Counter : 50038 Pageviews.  


1  2  3  

คุกกี้รูปปลา
 
Location :
Seoul Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




พื้นที่เล็กๆของเด็กจบเกาหลี :)
ตอนแรกแค่คิดอยากจะโพสเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นนักเรียนทุนไว้ เผื่อมีใครหลงมาอ่าน ไปๆมาๆ มีคนทักเข้ามาเรื่อยๆเลย ดีใจที่เป็นประโยชน์กับหลายๆคนนะคะ^^

ไม่ตอบทางไลน์น้า โพสในนี้ได้เลย จะได้เป็นข้อมูลให้คนอื่นๆด้วยเนอะ

Pich (피차야)
EGPP 2014, Communication dept.






New Comments
[Add คุกกี้รูปปลา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com