ย้อนไปเมื่อสองปีก่อน ตอนที่จะสมัครทุน EGPP (Ewha Global Partnership program) การหาประสบการณ์ในการสมัครทุนนั้นหายากกกมาก ส่วนใหญ่จะบอกแต่เอกสารที่ต้องเตรียมซะมากกว่า ตอนนี้ได้เป็นนักเรียนทุนแล้วก็เลยขอนำประสบการณ์ของตัวเองมาฝากกันค่ะ^^ แต่ยังไงก็ต้องเช็คกับทางมหาลัยอีกทีนะคะ เพราะว่าอันนี้ก็สองปีมาแล้ว เอกสารหรือขั้นตอนอาจเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
D-Day 60 เตรียมเอกสารวัดระดับทางภาษา จดหมายแนะนำจากอาจารย์
เอกสารสมัครทุนนั้นมีตั้งมากมาย โดยเฉพาะคะแนนสอบภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลี ถ้าจะต้องสอบ TOPIK ในไทยจัดสอบแค่ปีละครั้งเดียว ส่วนภาษาอังกฤษเช่น TOEFL ก็จะต้องสมัครล่วงหน้า และใช้เวลาอย่างน้อยสองอาทิตย์กว่าจะได้รับผลสอบ ยังไม่รวมกับเวลาเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบซึ่งกินเวลาหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น (แล้วแต่ความสามารถทางภาษาที่มีอยู่แล้วของแต่ละคน) นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีส่วนของจดหมายแนะนำจากอาจารย์ ซึ่งบางท่านก็ติดธุระ ให้เราร่างให้ไปให้ดูก่อน บางท่านใช้เวลาเขียน และรอตอบกลับหลายอาทิตย์ หากไม่เตรียมตัวไว้ก่อน รอประกาศรับสมัครทุนแล้วค่อยเตรียมตัวก็จะสมัครไม่ทันจ้า เลยอยากแนะนำให้เตรียมตัวอย่างน้อยสองเดือนก่อนสมัคร หรือหากจะสมัครรอบ spring ก็ดูรายละเอียดเอกสารของรอบ Fall ไว้ก่อนเนิ่นๆ จะได้เตรียมตัวทันไง ยิ่งถ้ามีเวลา เขียน essay ไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะหัวข้อก็มักจะซ้ำๆกับปีเดิมนั่นแหละ
D-Day 40 เตรียมเอกสารที่ต้องขอหรือต้องรับรองจากทางหน่วยงาน
เอกสารเช่นใบรับรองความเป็นบิดามารดาที่ต้องนำไปให้หน่วยงานแปลภาษา เป็นภาษาอังกฤษหรือเกาหลี แล้วให้ทางกรมกงศุลรับรองการแปล ต้องใช้เวลานานมาก หลายๆคนอาจจะเคยไปนั่งรอทำพาสปอร์ต อันนี้ก็คล้ายๆกัน ต้องรอคิวนานนนนนมาก~คิดจะถอดใจหลายรอบ อีกอย่างนึงก็คือถ้าใกล้เวลาส่งเอกสารสมัครทุนมากๆ อาจจะต้องเสียค่ารับรองเอกสารด่วนที่กงศุล ทำให้เปลืองเงินโดยเปล่าๆ ส่วนเอกสารอื่นๆเช่นทรานสคริปส์ ใบแจ้งจบการศึกษาอาจจะใช้เวลาไม่มากเท่าเอกสารจากราชการ แต่ถ้ามีเวลาก็ไปติดต่อมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนไว้ก่อนเนิ่นๆก็ดีจ้า
D-Day 30 ตรวจร่างกาย
โอ๊ย ชิวชิว เหมือนตรวจร่างกายตอนเข้าโรงเรียนมัธยม ใกล้ๆค่อยทำก็ได้ อันนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นล่ะสิ อย่างพิชปกติก็สุขภาพแข็งแรงดี กลับตรวจเจอเชื้อทีบีซะงั้น (แต่เป็นแบบไม่ออกฤทธิ์นะ) คุณหมอต้องทดสอบ ให้นั่งรอซักพัก แล้วตรวจซ้ำอีกที สรุปว่าผ่าน นึกว่าจะไม่ได้ไปเกาหลีซะแล้ว >___< เพราะมีเพื่อนที่เป็นต้องรักษาอยู่ 6-7เดือนก็มี เลยขอแนะนำให้ตรวจเนิ่นๆดีกว่า เผื่อว่า อาจจะมีเหตุไม่คาดคิด เช่น ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย จะได้ไม่เสียดายว่าอุตส่าห์เตรียมเอกสารมามากมาย แต่ตายตอนจบ +_____+
D-day 20 เตรียมเอกสารที่เราสามารถทำเองได้ เช่น ใบสมัคร, Study plan, Statement of Purpose
ใบสมัครโดยเฉพาะส่วน study plan (แผนการเรียน) และ Statement of Purpose (เป้าหมายในอนาคต) เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินว่าเราควรได้รับทุนมั้ย มีแนวโน้มจะสร้างชื่อเสียงให้มหาลัยภายหลังได้หรือเปล่า หรือมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดเรียนจบได้ตลอดระยะเวลาทุนมั้ย เพราะฉะนั้น จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะที่เราอยากสมัคร และถามตัวเองดีๆว่าเรามีเป้าหมายอะไรในการไปเรียนเกาหลีนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อสมัครอย่างเดียว แต่เพื่อค้นหาตัวเองด้วย ว่าเรามาเพื่ออนาคต ไม่ใช่วิ่งตามดารานักร้อง หรือลัลล้ากับบรรยากาศซีรีย์เกาหลี ถ้ารู้สึกว่าคิดไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไร ไม่รู้จบแล้วอยากเป็นอะไร ก็คงต้องทบทวนอีกทีแล้วล่ะ ว่าเราควรจะสมัครเป็นนักเรียนทุน (เรียนปริญญา) หรือควรจะเปลี่ยนแผนไปเรียนภาษาดี
(อันนี้ไม่ได้ขู่ แต่หวังดีจริงๆ ไม่อยากให้เห็นแก่ทุน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเรียนปริญญาโท เพราะหลักสูตรของเกาหลีหลายๆที่จะเน้นงานวิจัย ซึ่งต้องให้ความอดทนมว้ากกกก ในการเรียนกว่าจะจบ ไว้จะมาเล่าตอนหลังนะคะ~) ส่วนภาษาเกาหลี ภาษาที่สามของเรา ก็ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆเหมือนภาษาอังกฤษ ใครที่เคยเรียนแกรมม่าร์มาแล้วอาจจะพอรู้ได้ว่ามันสลับกันเยอะมาก จนถึงตอนนี้พิชก็ยังงงๆอยู่ +____+)
D-Day 14 ส่งเอกสารและสมัครออนไลน์
การส่งพัสดุไปเกาหลีกินเวลาสิบวันถึงสองอาทิตย์ ยิ่งถ้าไม่มีเวลาแล้วต้องส่งด่วน เช่น สามหรือสี่วันก่อนปิดรับสมัคร ต้องส่งแบบ DHL ซึ่งแพงกว่าเป็นสองเท่า (พันกว่าบาท) เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวจัดเวลาแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่แค่ให้เรามีเวลาตรวจเอกสารให้ถี่ถ้วน แต่ช่วยให้เราประหยัดค่าสมัครทุน (ซึ่งแพงอยู่แล้ว) อีกด้วย นอกจากนี้แล้วระบบการสมัครมหาวิทยาลัยออนไลน์ของเกาหลี ที่เป็นภาษาอังกฤษครึ่ง เกาหลีครึ่ง ก็ทำให้คนที่ภาษาเกาหลียังอ่อนด้อยอยู่อย่างเราๆ งงไม่น้อย ตอนที่สมัคร อ่านไม่ออกว่าจ่ายตังค์แต่ละวิธีต่างกันยังไง ไม่รู้ด้วยว่าถ้าจ่ายบัตรเครดิตต้องเป็นของเกาหลีอีกต่างหาก กว่าจะส่งอีเมลล์ไปถามมหาลัย และไปทำแคชเชียร์เช็คที่ธนาคาร ก็ทันเวลาปิดรับสมัครแบบหวุดหวิด -____-^ (นึกแล้วก็ขอปาดเหงื่อหนึ่งที งึง~)
ท้ายสุดแล้ว คนที่ได้ทุน ไม่ใช่คนที่เรียนเก่งสุด ๆ หรือเก่งภาษาสุดๆ เสมอไปและก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเด็กที่จะมาเรียนเอกเกาหลี หรือสังคมศาสตร์ เพราะพิชก็เลือกคณะนิเทศศาสตร์ ทั้งๆที่ไม่คิดเลยว่าเค้าจะเลือก (เพราะดูไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติเหมือนเอกเกาหลี กฎหมาย รัฐศาสตร์เหมือนหลายๆคนที่ได้ทุนมาที่นี่) แต่ก็ขอซื่อสัตย์กับตัวเองเลือกในคณะที่เราชอบจริงๆค่ะ ^^ สุดท้ายก็ได้มาเรียนสื่อ โฆษณา Digital Media อย่างที่ตั้งใจไว้ (บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่สาวก Kpop และรู้จักแค่ SnSD หรือลุงซายเหมือนคนไทยส่วนใหญ่แหละเอ้อ)
พิมพ์ซะยืดยาวเรยย~ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนซักนิสนึงก็ยังดีนะคะ :D