มองเกาหลีอย่างที่เกาหลีเป็น

วันนี้พิชได้อ่านหนังสือของนิ้วกลม เรื่อง 'ความสุขโดยสังเกต'

อยากบอกว่าได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้ ตอนกำลังโยคะ ตีลังกากับพื้น แล้วไปป๊ะกับหนังสือเล่มนี้ ที่บังเอิญวางหันหน้าให้เรา อยู่บนชั้นหนังสือจับฝุ่นที่บ้านพอดี

ด้วยความที่เหนื่อยล้ากับชีวิตเมืองๆ เบียดเสียดฝูงชนไปทำงานบริษัทที่อยู่ใจกลางย่าน bts 
บวกกับชอบหนังสือของนิ้วกลมเป็นทุนเดิม 
(แม้บางเรื่องปัญญาเราจะไม่ค่อยถึง อินกับเรื่องไม่100%ก็ตาม) 
จากตีลังกาบนผืนเสื่อโยคะ เลยเปลี่ยนท่ามีตีลังกาบนโซฟา พลิกหน้าหนังสือแทน


สิ่งนึงที่ชอบจากหนังสือเล่มนี้ คือประโยคที่ทิ้งท้ายบทที่ 8 ว่า เมื่อเราตัดภาพในใจออก 

มองโลกอย่างที่โลกเป็น 'โลกก็สวย'
.
.
.
(คนอ่าน: นี่แกอ่านทั้งเล่มจำได้ประโยคเดียวเรอะ
 พิช: เรื่องอื่นก็จำได้นะคะ แบบลางๆ แฮ่--)


***

เทอมแรกที่พิชใช้ชีวิตในเกาหลี เป็นช่วงเวลาที่จะเรียกว่าแย่ที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
อาจเป็นเพราะซีรีย์ดูดีที่เราเคยเห็น โอป้าที่เราเคยคบ เอ้ย สนิท เพื่อนเกาหลีที่เราเคยเจอ ทำให้เราคาดหวังกับประเทศนี้ไว้เยอะ ว่าจะต้องเป็นคนดี๊ดี อากาศอบอุ่นโรแมนติก ใบไม้ร่วงสีแดง นามิเหมือนที่เคยเห็นในทีวี

แต่พอได้มาอยู่จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แถมยิ่งเรียนภาษาเกาหลี ยิ่งฟังรู้เรื่อง ก็ยิ่งช้ำใจ (หลายๆคนถึงว่าบางทีเรารู้ เฉพาะเรื่องที่เค้าอยากให้เรารู้ก็พอ) 

ร้องไห้ก็บ่อย เพราะเรามีภาพว่าเกาหลีจะต้องเป็นยังงั้น จะต้องดีอย่างงี้ เหมือนภาพที่เราคิด(เองเออเองอยู่คนเดียว)

จนกระทั่งวันนึง ได้มีโอกาสมารับเพื่อนจากไทย พาเที่ยวในโซล

เพื่อนคนนั้นตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ไก่ผัดวุ้นเส้นที่เรากินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา นางกินแล้วทำหน้าบุริ้มอร่อยมากมาย เจอเด็กเกาหลีบนรถไฟก็ไปทักทายน้อง ทั้งๆที่คุยกันไม่รู้เรื่อง นางบอกว่าเกาหลีสวย อยากอยู่นานๆ อยากตระเวณกินอาหารไปเรื่อยๆ 

พอได้ฟังนางชมเกาหลีอย่างงู้นอย่างงั้น เราก็เริ่มมาสังเกตจริงๆ เออว่ะ ไก่นี่มันอร่อยเนอะ ตอนเรามาถึงแรกๆก็ตื่นเต้นกะมันซะมากมาย เด็กอนุบาลข้างหอ เวลาเอามือแตะบ่าคนข้างหน้า แล้วเดินเป็นขบวนตามครูอนุบาลมันน่ารักเนอะ ยิ่งเวลาแย่งกันเก็บใบไม้ร่วงข้างหอ แล้วตะโกน '내거야 내거야' (อันนี้ของชั้นนะๆ) ก็ยิงน่ารักปนน่าถีบ 

บางทีเราก็มัวเครียดเรื่องอาจารย์ด่า เพื่อนเกาหลีดูถูก แปลศัพท์ไม่ออก โอป้าห่างเหิน (เอ๊ะ เริ่มจากเล่าประวัติตัวเองลึกไปป่าวเนี่ย55) จนลืมชื่นชมสิ่งธรรมดาๆ ที่อยู่รอบตัว 

เราไม่ชอบอาจารย์เกาหลีที่ตั้งภาพเราไว้สูง ให้เป็นเด็กทุนต่างชาติที่ขยัน เก่งเกาหลี และกดดันเรามากๆ แต่เรากลับเป็นคนกดดันในมโนตัวเอง ว่าคนเกาหลีจะต้องดียังงั้น ช่วยเหลือเรายังงั้น เกาหลีจะต้องสวยอย่างในดราม่าตลอดเวลา

ทั้งทีจริงแล้ว คนเกาหลีก็เป็นคนธรรมดาคนนึง เกาหลีก็เป็นประเทศนึง เหมือนกับไทย

บางที่ก็มีโมเม้นต์อยากจะช่วย แต่บางวันกุการบ้านตัวเองก็เอาไม่รอดแล้ว ให้วีกุกกิ้น (คนต่างชาติ) มันช่วยตัวเองไปละกัน ที่เป็นคนแข็งๆ และไม่อยากเป็น 'คนใจดี' ก็เพราะในอดีตเคยอ่อนแอ และโดนชาติอื่นแกล้งมาเยอะ เลยทำให้ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ 

ที่คิดว่าคนไทยจะหน้าตาไม่ดี คนไทยต้องดำ ก็เพราะเค้าอยู่แต่กับสื่อเกาหลี ใช้เสริชเอ็นจิ้น naver แทนที่จะเป็นสากลโลกอย่าง google (อย่าว่าแต่เสริชเลย MS office ยังให้ใช้ Hancom แทนเลยเอ้า)

หากมองถึงเหตุผลที่เค้าจะต้องเป็นยังงั้น เอาใจออกห่าง มองเค้าในมุมมองของเค้า เราก็จะเข้าใจมากขึ้น

'พอเราไม่ยึดติด มองเกาหลี อย่างที่เกาหลีเป็น เกาหลีก็จะสวยเองในใจเรา' 

แบบไม่ต้องศัลยกรรม :) 









 

Create Date : 20 เมษายน 2558   
Last Update : 21 เมษายน 2558 22:11:26 น.   
Counter : 325 Pageviews.  


ถ้าเรายอมรับมัน มันก็จะเป็นอย่างนั้น

กลับจากเกาหลีมาได้สองอาทิตย์แล้ว วันอังคารหน้าก็ต้องกลับไปเรียนต่อ นาฬิกาชีวิตก็คงหมุนต่อไป


แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้ กับการที่ต้องลาหม่าม๊าไป แต่ก็รู็สึกยังงงๆกับชีวิตตัวเองอยู่เลย


เมื่อวานไปรื้อตู้เสื้อผ้าหม่าม๊าเพื่อเอาไปบริจาค เจอรูปถ่ายเก่าๆมากมาย


ทั้งรูปสมัยเด็กที่เพื่อนๆให้แทนเฟรนชิบสมัยก่อน ทั้งรูปหม่าม๊าตอนซ่าๆเมื่อตอนสาว


ทำให้รู้ว่า เออ หม่าม๊าเราก้อใช้ชีวิตมาอย่างเต็มที่แล้วเนอะ


เราจำได้แค่บทบาทของหม่าม๊า เมื่อตอนเป็นแม่เรา โดยลืมไปว่า


หม่าม๊าก้อมีชีวิต ที่เป็นเด็ก เป็นสาว มาเป็นสิบปีก่อนที่จะมาเจอเรา


มีเพื่อน มีรุ่นพี่รุ่นน้องที่มหาลัย มีไปเที่ยว มีโดนพ่อแม่ว่า มีโดดเรียน


มีความสนุกสนานมามากแล้ว


ชีวิตเราเองก็เหมือนกัน เราได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเต็มที่แล้วหรือยัง


หรือกำลังปล่อยตัวเราให้ไปตามวิถึชีวิต ที่คิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น


ทำงาน เพราะเราจบแล้ว


เรียน เพราะทุกคนควรต้องต่อโท


เจอหน้ากัน และได้แต่บ่นเรื่องที่ทำงาน ไม่อยากทำ แต่ก็ปล่อยชีวิตไป ด้วยคิดว่า "เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ"



เคยอ่านหนังสือบุคคลมีชื่อเสียงคนนึงกล่าวไว้ว่า


มีสองเหตุผล ที่ทำให้คนเรา ลุกขึ้นมาพัฒนาอะไรซักอย่าง


หนึ่ง เพราะเขารักมันมาก จึงใช้เวลาที่จะทำให้มันดียิ่งๆขึ้น


หรือ สอง เพราะเขาเกลียดมันมาก จึงอยากจะแก้ไขมัน จะได้ไม่ต้องรำคาญอีก


หลายๆคน อาจจะบอกว่าตัวเองยังไม่เจอสิ่งที่รัก


แต่อาจจะมีหลายอย่างที่เราไม่ชอบ และพิชคิดว่า เราคงสังเกตเห็นสิ่งนั้นง่ายกว่า


บางที ถ้าเรา"เริ่ม"แก้ไขอะไรจริงๆจังๆ สิ่งนั้นก็จะเปลี่ยนแปลง


สิ่งสำคัญ คือการ "เริ่ม" และการไม่ยอมรับเหตุผลที่ว่า "เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น"



มีเพื่อนพิชคนนึง ตอนที่เพิ่งเรียนจบ เค้าอยากเป็นนักวางแผนกลยุทธ์โฆษณามาก


ซึ่งขัดกับหลักการไต่เต้าในวงการปกติ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กจบใหม่จะต้องไปเป็น เออี (Account Executive) ผู้ประสานงานระหว่างลูกค้ากับเอเจนซี่


พิชบอกเค้าว่า เห้ย มันจะเป็นไปได้หรอ ปกติเด็กจบใหม่มันต้องเป็นเออีไม่ใช่หรอวะ


เพื่อนพิชนิ่ง ใช้ความคิด แล้วตอบกลับมาว่า


คนส่วนใหญ่ก็บอกเราอย่างนั้น "แต่ถ้าเรายอมรับมัน เราก็จะเป็นอย่างนั้น"


หลังจากจบการฝึกงานระหว่างเรียน เพื่อนพิชคนนั้น ก็ได้เป็น planning executive และได้ไต่เต้าเป็น planner ในปีต่อมา


เพราะความดื้อดึง ไม่ยอมรับในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเราต้องเป็นนั่นเอง


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นจะได้มาง่ายๆ


เมื่อมันเป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ


เราจะต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่น มองตรงไปข้างหน้า


และจะต้อง "พิสูจน์" ตัวเอง มากกว่าวิถึธรรมดาเป็นหลายเท่าพันเท่า



ตัวพิชเอง เมื่อตอนตัดสินใจ ว่าจะรับทุนมาเรียนโท สายนิเทศที่เกาหลี ก็ใช้เวลานานมาก


ระหว่างเลือกทำงานโฆษณากับเอเจนซี่ดัง ในสายทำชอบ ซึ่งก็คงจะมีอนาคตไกล


กับการไปเรียนโท เป็นภาษาเกาหลี ที่เกาหลี ซึ่งมีแต่คนบอกว่า กลับมาแล้วจะทำอะไร แล้วจะเรียนรอดหรอ ภาษาเกาหลี


ผลสุดท้าย พิชก็เลือกอย่างหลัง ไม่ได้คิดถึงอนาคตว่าจะรอดหรือไม่รอด


คุณหนูดี เคยเขียนไว้ว่า ให้ถามตัวเองว่า ถ้าเราจะตาย จะเสียดายที่ไม่ได้ทำอะไรมากที่สุด


พิชคิดไป ก็นึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะพูด


"โหย เสียดายจังเลย ไม่ได้ทำงาน "


แต่คงเสียดาย ที่จะไม่ได้ใช้ชีวิต (ซึ่งอาจจะยากลำบาก) ในเกาหลีมากกว่า


พิชอาจจะเรียนไม่รอด ไม่ได้ปริญญา ก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่พิชหวังไว้แต่แรกอยู่แล้ว


พิชอยากมาให้ได้ประสบการณ์ ได้ภาษา ได้ศึกษาเรืองการใช้สิ่อดิจิตอลของเกาหลี


มาลองเป็นคนเกาหลี เพื่อจะได้ใช้ Kakao talk (โปรแกรมแชตบนมือถือเหมือนwhatsapp)กับรุ่นพี่ เพื่อนเกาหลี


ได้ใช้เว็บชอปปิ้งเกาหลี


อ่านนิตยสาร marketing เป็นภาษาเกาหลี เพื่อจะได้ทราบข่าวสารความเป็นไปให้ถึงแก่นแท้


เรียนหนักอย่างเด็กเกาหลี เพื่อจะได้รู้ว่า มันขยันกันยังไง ถึงทำให้ samsung เป็นแบรนด์ระดับโลกได้


ซึ่งสิ่งเหล่านี้ด้วยเวลา และความห่างไกล คงไม่สามารถทำได้หากพิชยังทำงานอยู่ในเมืองไทยแน่นอน



มันจะอาจจะยังไม่เคยมี successful case ที่เห็นเด่นชัดจากการศึกษาในเกาหลี


แต่มันก้อสิ่งที่เราหาไม่เจอ ก็ไม่ได้หมายความว่า "มันไม่มี"


และการที่คนอื่นหาไม่เจอ มันก็ไม่ได้หมายความว่า "คุณจะหาไม่เจอ"



อยู่ที่ว่าวันนี้ คุณ "เริ่ม" ที่จะออกตามหาแล้วหรือยัง







Free TextEditor




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 21 เมษายน 2558 22:10:14 น.   
Counter : 172 Pageviews.  



คุกกี้รูปปลา
 
Location :
Seoul Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




พื้นที่เล็กๆของเด็กจบเกาหลี :)
ตอนแรกแค่คิดอยากจะโพสเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นนักเรียนทุนไว้ เผื่อมีใครหลงมาอ่าน ไปๆมาๆ มีคนทักเข้ามาเรื่อยๆเลย ดีใจที่เป็นประโยชน์กับหลายๆคนนะคะ^^

ไม่ตอบทางไลน์น้า โพสในนี้ได้เลย จะได้เป็นข้อมูลให้คนอื่นๆด้วยเนอะ

Pich (피차야)
EGPP 2014, Communication dept.






New Comments
[Add คุกกี้รูปปลา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com