อ่านใจธรรมชาติ โดย พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)

ขอขอบคุณ เทปม้วนที่ 4 เรื่อง อ่านใจธรรมชาติ
หมายเหตุ : ธรรมบรรยายชุดนี้จัดทำเป็นหนังสือชุดมรดกธรรมเล่มที่ ๕๑
ชื่อ “อ่านใจธรรมชาติ” พิมพ์เดือนมกราคม ๒๕๔๘

พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
อบรมพระนวกะ หลังทำวัตรเย็น
ณ วัดหนองป่าพง
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑

เอ้า ! มันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ มันเป็นลักษณะเปรียบเทียบ เรื่องภาวนานี่ ให้คิดดูให้ชัดๆ

การภาวนาหมายความว่า ให้คิดดูให้มันชัดๆ พยายามอย่ารีบอย่าร้อน อย่าช้าเกินไป อย่ารีบเกินไป ค่อยๆ ทำ แต่ให้มีวิธีการและจุดหมายในการปฏิบัติภาวนานั้น

โดยมาก ทุกคนมันอยาก ที่ออกมาปฏิบัตินั้น ไม่ใช่อะไร มันอยากนี้ มันก็ปนกับความหลง ถ้าอยากแล้วไม่หลง มันก็อยากด้วยปัญญา ฉะนั้นความอยากอย่างนี้ท่านเรียกว่า เป็นบารมีของคน แต่ไม่ใช่ทุกคนนะ คนที่มีปัญญา

บางคนไม่อยากจะให้มันอยาก เพราะเข้าใจว่า มาระงับความอยาก ความจริงน่ะ ถ้าหากว่าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติ ไม่รู้ว่า จะทำอะไร เราพิจารณาดูก็ได้

ทุกคน แม้องค์พระพุทธเจ้าของเราก็ตาม สาวกทุกองค์ก็ตาม ท่านออกมาปฏิบัติ ก็เพื่อว่าจะให้มันบรรเทากิเลสทั้งหลายนั้น

แต่ว่ามันต้องอยากทำ อยากปฏิบัติ อยากให้มันสงบ และก็ไม่อยากให้มันวุ่นวาย ทั้งสองอย่างนี้มันเป็นอุปสรรคทั้งนั้น ถ้าเราไม่มีปัญญา ถ้าหากเราถอดใจความจริงๆ แล้วน่ะ เราไม่รู้เรื่องอะไรน่ะ ถึงจะรู้อะไรมาก็ช่างมันเถอะ ไม่มีความฉลาดในการกระทำอย่างนั้น ก็มันปนกัน อยากทั้งสองอย่างนี้ มันมีราคาเท่าๆ กัน

อยากจะพ้นทุกข์ มันเป็นกิเลสสำหรับบุคคลที่ไม่มีปัญญา อยากด้วยความโง่ ไม่อยากมันก็เป็นกิเลส ไม่อยากอันนั้นมันประกอบด้วยความโง่เหมือนกัน คือทั้งอยาก ไม่อยาก ปัญญาก็ไม่มี นักปฏิบัติของเรา สิ่งทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นกามสุขัลลิกานุโยโคกับอัตตกิลมถานุโยโค ซึ่งพระพุทธองค์ของเรา ที่สอนเป็นครูเป็นอาจารย์ ท่านก็หลงในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ท่านหาอุบายหลายประการกว่าจะพบของสองสิ่งนี้

ทุกวันนี้ เราก็เหมือนกัน สิ่งทั้งสองอย่างนี้มันกวนอยู่ เราจึงเข้าสู่ทางไม่ได้ก็เพราะอันนี้ ความเป็นจริงนั้น ทุกคนที่มาปฏิบัติ ก็เป็นปุถุชนมาทั้งนั้น ปุถุชนก็เต็มไปด้วยความอยาก ความอยากที่ไม่มีปัญญา อยากด้วยความหลง ไม่อยากมันก็มีโทษเหมือนกัน “ไม่อยาก” มันก็เป็นตัณหาเหมือนกัน “อยาก” มันก็เป็นตัณหาเหมือนกัน

ทีนี้ผู้ปฏิบัติยังไม่รู้เรื่องว่า จะเอายังไงกัน เดินไปข้างหน้าก็ไม่ถูก เดินกลับไปข้างหลังก็ไม่ถูก จะหยุดก็หยุดไม่ได้ เพราะมันยังอยากอยู่ มันยังหลงอยู่ อยากเมื่อไหร่นั้น มีแต่ความอยาก ปัญญาไม่มี มันอยากด้วยความหลง มันก็เป็นตัณหาถึงแม้ไม่อยาก มันก็เป็นความหลง มันก็เป็นตัณหาเหมือนกัน เพราะอะไร มันขาดปัญญา

ความเป็นจริงนั้น ไอ้ความอยากนั้น ทั้งสองอย่างนี้หรือความไม่อยากนี้นะ ธรรมะมันอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เราไม่มีปัญญา ก็พยายามไม่ให้มันอยาก เดี๋ยวก็อยากบ้าง อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ ทั้งสองอย่างนี้ หรือทั้งคู่นี้มันตัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวอื่น แต่เราทั้งหลายไม่รู้เรื่องมัน

พระพุทธเจ้าของเราและสาวกทั้งหลาย ท่านก็อยากเหมือนกัน แต่ “อยาก” ของท่านนั้นเป็นเพียงอาการของจิตเฉยๆ หรือ “ไม่อยาก” ของท่านก็เป็นเพียงอาการของจิตเฉยๆ เท่านั้นแหละ มันวูบเดียวเท่านั้นก็หายไปแล้ว

ดังนั้น ความอยากหรือไม่อยากนี้ มันมีอยู่ตลอดเวลา ผู้มีปัญญาเห็นแล้ว “อยาก” ก็ไม่มีอุปาทาน “ไม่อยาก” ก็ไม่มีอุปาทาน เป็น “สักแต่ว่า” อยากหรือไม่อยากเท่านั้น ถ้าพูดตามความจริงแล้ว มันก็เป็นแต่อาการของจิต อาการของจิตมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ถ้าเรามาตะครุบมันอยู่ที่ใกล้ๆ นี่ มันก็เห็นชัด

ดังนั้น ผมจึงว่าการพิจารณานั้น ไม่ใช่รู้ไปที่อื่น มันรู้ตรงนี้แหละ เหมือนชาวประมงที่ออกไปทอดแหนั่นแหละ ทอดแหออกไปถูกปลาใหญ่ๆ เข้า เจ้าของผู้ทอดแหจะคิดอย่างไร มันก็กลัว กลัวปลาจะออกจากแหมันไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนั้นใจมันก็ดิ้นรนขึ้น เร็ว ระวังมาก บังคับ ตะครุบไปตะครุบมาอยู่นั่นแหละ ประเดี๋ยวปลามันก็ออกไปจากแหไปเสีย เพราะไปตะครุบมันแรงเกินไป อย่างนั้นโบราณท่านพูดถึงเรื่องอันนี้ ท่านว่าค่อยๆ ทำมัน แต่อย่าไปห่างจากมัน นี่คือปฏิปทาของเรา ค่อยๆ คลำมันไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ

อย่าปล่อยมัน หรือไม่อยากรู้มัน ต้องดูมัน ต้องรู้เรื่องของมัน พยายามทำมันไปเรื่อยๆ เป็นปฏิปทา ขี้เกียจเราก็ทำมัน ไม่ขี้เกียจเราก็ทำมัน เรียกว่าการทำ ต้องทำไปเรื่อยๆ อย่างนี้

ถ้าหากว่าเราขยัน มันก็ขยันเพราะความเชื่อ มันมีศรัทธา แต่ปัญญาไม่มี อย่างนี้ เมื่อขยันแล้วมันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมากมาย แต่ว่าเราทำขยันไปนานๆ เข้า แต่มันไม่ถูกทาง มันก็ไม่สงบไม่ระงับ ทีนี้ความเห็นอย่างนั้นจะวกมาหาเราอีกว่า เรานี้มีบุญน้อยหรือมีวาสนาน้อย หรือคิดว่า มนุษย์ในโลกนี้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก อย่างนี้ก็ถอน ตรงนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง

ให้มีขันติความอดทน ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับเราจับปลาตัวใหญ่ ก็ให้ค่อยๆ คลำมันไปเรื่อยๆ ปลามันก็จะไม่ดิ้นแรง ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด นานๆ ปลาก็หมดกำลัง ถ้าปลาหมดกำลัง มันก็จับง่าย เอาที่ถนัดๆ เราก็จับมันง่าย ถ้าเรารีบจนเกินไปปลามันก็จะดิ้นออกจากแหเท่านั้น โดยมากก็เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น การปฏิบัตินี้ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเราพิจารณาตามพื้นเพของเรา เช่นว่า เราไม่มีความรู้ในปริยัติ ไม่มีความรู้ในทางอื่น ที่จะให้การปฏิบัติมันเกิดผลขึ้น ก็ความรู้ที่เป็นพื้นเพเดิมของเรานั่นแหละ อันนั้น ก็คือ “ธรรมชาติของจิต” นี่เอง มันมีของมันอยู่แล้ว เราจะไปเรียนรู้มัน มันก็มีอยู่ หรือเราจะไม่ไปเรียนรู้มัน มันก็มีอยู่

อย่างธรรมะที่ท่านพูดว่า พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม หรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม อันนั้นก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ไม่พลิกแพลงไปไหน มันเป็นสัจธรรม เราไม่เข้าใจในสัจธรรม ก็ไม่รู้ว่าสัจธรรมเป็นอย่างไร นี้เรียกว่า การพิจารณาในความรู้ของผู้ปฏิบัติไม่มีพื้นปริยัติ ขอให้ดูจิต

ผมเคยพูดว่า พยายามอ่านจิตเจ้าของ พยายามพูดกับจิตของเจ้าของ มันจึงจะรู้เรื่องของจิต ค่อยๆ ทำไป ถ้ายังไม่ถึงที่มัน มันก็ไปอยู่อย่างนั้น ทำไป

ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่าทำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ ถ้าหากเรามาคิด “เออ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้เรื่องของมัน ถ้าทำไม่ถูกที่มัน มันจะรู้อะไร” อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นในสิ่งที่เราพากเพียรทำนั้น

ผมเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน มันเหมือนกันกับบุรุษที่ไปสีไฟ ได้ฟังท่านบอกว่า เอาไม้ไผ่สองอันมาสีกันเข้าไปเถอะ แล้วจะมีไฟเกิดขึ้น บุรุษนั้นก็จับไม้ไผ่เข้าสองอัน สีกันเข้า แต่ใจร้อน สีไปได้หน่อย ก็อยากให้มันเป็นไฟ ใจก็เร่งอยู่เรื่อย ให้เป็นไฟเร็วๆ แต่ไฟก็ไม่เกิดสักที บุรุษนั้นก็เกิดความขี้เกียจ แล้วก็หยุดพัก แล้วจึงลองสีอีกนิด แล้วก็หยุดพัก ความร้อนที่พอมีอยู่บ้าง ก็หายไปล่ะซิ เพราะความร้อนมันไม่ติดต่อกัน

ถ้าทำไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เหนื่อยก็หยุด มีแต่เหนื่อยอย่างเดียวก็พอได้ แต่มีขี้เกียจปนเข้าด้วยเลยไปกันใหญ่ แล้วบุรุษนั้นก็หาว่าไฟไม่มี ก็ทิ้งเลิก ไม่สีอีก แล้วก็ไปเที่ยวประกาศว่า ไฟไม่มี ทำอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีไฟหรอก เขาได้ลองทำแล้ว

ก็จริงเหมือนกันที่ได้ทำแล้ว แต่ทำยังไม่ถึงจุดของมัน คือความร้อนยังไม่สมดุลกัน ไฟมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งที่ความจริงไฟมันก็มีอยู่ อย่างนี้ก็เกิดความท้อแท้ขึ้นในใจของผู้ปฏิบัตินั้น ก็ละอันนี้ไปทำอันโน้นเรื่อยไป อันนี้ก็ฉันใดเหมือนกัน

การกระทำนี้ก็เรียกว่า เหมือนปฏิปทาทางกายทางใจทั้งสองอย่างมันพร้อมกัน ใครก็เป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะพื้นเพมันเป็นคนมีกิเลสทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็มีกิเลส แต่ท่านมีปัญญามากหลาย พระอรหันต์ก็เหมือนกัน เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ก็เหมือนกับเรา มันคิดไม่ถูก ก็เป็นปุถุชนอยู่อย่างนั้น

เมื่อความอยากเกิดขึ้นมา เราก็ไม่รู้ เมื่อความไม่อยากเกิดขึ้นมา เราก็ไม่รู้จัก บางทีก็ร้อนใจ บางทีก็ดีใจ ถ้าใจเราไม่อยาก ก็ดีใจแบบหนึ่ง และวุ่นวายอีกแบบหนึ่ง ถ้าใจเราอยาก มันก็ไม่วุ่นวายอย่างหนึ่ง และดีใจอย่างหนึ่ง มันประสมประเสกันอยู่อย่างนี้

อันนี้คือปฏิปทาของผู้ปฏิบัติเรา เช่นว่าพระวินัยที่เราฟังๆ กันไปนี้ ดูแล้วมันก็เป็นของยากจำเป็นจะต้องรักษาสิกขาบททุกอย่าง ให้ไปท่องทุกอย่าง ตรวจดูศีลของเจ้าของ ก็ต้องไปตรวจดูทุกสิกขาบท ก็คิดไปแล้วก็ว่า “โอ อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว”

อันนี้ได้เปรียบว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนให้พิจารณากาย อย่างเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ มันก็มีแต่กายทั้งนั้น อย่างที่ท่านให้กรรมฐานครั้งแรก ก็มีแต่เรื่องกายทั้งนั้น ท่านให้พิจารณาอยู่ตรงนี้ ให้ดูตรงนี้ ถ้าหากเราเห็นไม่ชัด มันก็จะเห็นคนไม่ชัดสักคน คนอื่นก็ไม่ชัด ตัวเราเองก็ไม่ชัด เห็นตัวเราก็สงสัย เห็นคนอื่นก็สงสัยอยู่ตลอดไปเพราะอะไร มันเหมือนกัน แต่หากเราเห็นตัวเราได้ชัดเท่านั้น มันก็หมดสงสัย

เพราะว่ารูปนามมันเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าหากเราเห็นชัดในตัวเราคนเดียว คนในโลกเฉพาะร่างกายก็เหมือนกัน ก็เหมือนเห็นคนทั้งโลก ไม่ต้องตามไปดูทุกคน ก็รู้ว่าคนอื่นก็เหมือนกับเรา เราก็เหมือนกับเขา ถ้าเราคิดได้เช่นนนี้ ภาระเราก็น้อยลง ถ้าเราไม่คิดเช่นนั้น ภาระเราก็มาก จะต้องตามไปดูทุกคนในจักรวาลนี้ให้หมด จึงจะรู้คนทุกคน ภาระมันก็มากน่ะซิ ถ้าคิดอย่างนี้มันก็ทำให้ท้อแท้

อย่างพระวินัยของเรานี้ก็เหมือนกัน อ่านสิกขาบทอยู่มากมายเหลือเกิน ไม่รู้จักเท่าไหร่ ถ้าเพียงนึกว่า จะต้องอ่านให้ครบทุกสิกขาบท ก็แย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว เห็นว่าเหลือวิสัยเสียแล้ว เห็นจะไม่มีทางไปตรวจดูศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ นี่ความเข้าใจของเรามันเป็นอย่างนั้น เหมือนท่านให้รู้แจ้ง ซึ่งมนุษย์ทั้งหลาย ทุกคนก็คิดว่าจะต้องไปดูคนให้ทุกคน มันถึงจะรู้ทุกคน อย่างนี้มันก็มากเท่านั้นแหละ

นี่ก็เพราะว่าเรามันตรงเกินไป ตรงตามตำรา ตรงตามคำของครูบาอาจารย์เกินไป ความเป็นจริงถ้าเราเรียนปริยัติขนาดนั้น มันก็ไปไม่ไหวเหมือนกัน มันทำให้หมดศรัทธาเหมือนกัน เรียกว่ามันยังไม่เกิดปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดแล้ว ก็จะเห็นว่า คนทั้งหมดก็คือคนคนเดียว ถ้ามันคือคนคนเดียว เราก็พิจารณาคนเดียว ก็เพียงพอ เพราะเราก็มีรูป เพราะเรามีนาม ลักษณะของรูปนามมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอยู่อย่างนี้เหมือนกัน มันเห็นเช่นนั้น ภาระที่จะต้องคิดก็น้อยลง เพราะมันอันเดียวกัน

ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า อัตตะนา โจทะยัต ตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง ให้เตือนตัวเจ้าของเองนี้ ไม่มีที่อื่น ถ้าเราเห็นตัวเราเองแล้ว มันก็เห็นไปหมดทุกคน เพราะอันเดียวกัน บริษัทเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน เพียงแต่ต่างสีสัณฐานกันเท่านั้น เหมือนอย่างยาทัมใจกับยาบวดหาย มันก็ยารักษาโรคปวดเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนรูปห่อเสียหน่อยเท่านั้น แท้จริงมันก็ยารักษาโรคเดียวกัน

ถ้าเราเห็นได้เช่นนี้ มันก็จะง่ายขึ้น ค่อยๆ ทำมันไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะเกิดความฉลาดขึ้นในการกระทำ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเกิดความเห็น แล้วจะเห็นความจริงของมันจริงๆ

ถ้าจะพูดเรื่องปริยัติแล้ว ทุกอย่างมันเป็นปริยัติได้ทั้งนั้น ตาก็เป็นปริยัติ หูก็เป็นปริยัติ ทุกอย่างเป็นปริยัติ รู้ว่ารูปเป็นอย่างนั้น ก็รู้ว่ารูปเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรามันมัวไปติดอยู่ในรูป ไม่รู้จักทางออก

เสียงเป็นอย่างนั้น ก็รู้ว่าเสียงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไปติดอยู่ในเสียง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์นี้ มันจึงเป็นบ่วงสำหรับที่เกาะเกี่ยวให้มนุษย์สัตว์ทั้งหลายติดอยู่ในตัวของมัน ฉะนั้น ก็ให้เราปฏิบัติไป คลำไปอย่างนั้นแหละ แล้ววันหนึ่งก็จะต้องได้ความรู้ เกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นของแปลกๆ เพราะอะไร เพราะการกระทำไม่หยุด เพราะกำหนดไม่หยุดนั่นเอง

นานไป นานไป พอสมควรกับนิสัยปัจจัยของคนเรา มันก็จะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า “ธัมมวิจยะ” มันจะเดินโพชฌงค์ของมันเอง โพชฌงค์ทั้งหมด มันจะเกิดอยู่อย่างนี้สอดส่องธรรมไป

โพชฌังโค สติสังขาโต ธัมมานัง วิจโย ตถา วิริยัมปีติปัสสัทธิง โพชฌังคา จะ ตถา ปะเร

สมาธุเปกขโพชฌังคา สัตเตเต สัพพทัสสินา

เบื้องแรกมันเกิดอย่างนี้ อาการนี้มันจะเกิดขึ้นมา มันก็เป็นโพชฌงค์ เป็นองค์ที่ตรัสรู้ธรรมะทั้งนั้น ถ้าเราได้เรียนรู้มัน ก็รู้ตามปริยัติเหมือนกัน แต่ไม่มองเห็นที่มันเกิดที่ในใจของเรา ไม่เห็นว่ามันเป็นความคิดของเรา ไม่เห็นว่าเป็นโพชฌงค์ ความเป็นจริงนั้น โพชฌงค์นั้นเกิดมาในลักษณะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงบัญญัติ ผู้รู้ทั้งหลายจึงบัญญัติเป็นข้อความออกมาเป็นปริยัติ ปริยัตินี้ก็เกิดจากที่ได้มาจากการปฏิบัติ แต่มันถอนตัวออกมาเป็นปริยัติเป็นตัวหนังสือ แล้วก็ไปเป็นคำพูด แล้วโพชฌงค์ก็เลยหายไป หายไปโดยที่เราไม่รู้ แต่ความเป็นจริงนั้น มันก็ไม่ได้หายไปไหน มันมีอยู่ในนี้ทั้งหมด

โพชฌังโค สติสังขาโต ธัมมานัง วิจโย

มันจะเกิดธัมมวิจยะ การพินิจพิจารณาตามไปเกิดปีติ เกิดความเพียร และเกิดอะไรขึ้นทั้งหมดไปตามลำดับของโพชฌงค์ ถ้ามันเกิดการกระทำขึ้นทั้งหมดดังนี้ มันก็เป็นองค์ที่ตรัสรู้ธรรมะ ถ้าทำถูกทาง ปฏิบัติถูกทาง มันต้องเกิดอาการอย่างนี้ ธรรมะมันก็ต้องมีอยู่ในนี้

ดังนั้น ท่านจึงว่า ค่อยๆ คลำไป ค่อยๆ พิจารณาไป อย่านึกว่ามันอยู่ข้างโน้น อย่านึกว่ามันอยู่ข้างนี้ เหมือนอย่างท่านอาจารย์จันทร์ไปเรียนบาลีแปลธรรมบทกับเขา เรียนไม่ได้ เพราะไปนึกแต่ว่า ปฏิบัติกรรมฐานนั้นมันสะอาด มันแจ้ง มันรู้มันเห็น ท่านก็ออกมาปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง ท่านว่าจะมานั่งปฏิบัติแล้วไปแปลบาลี ท่านนึกว่าจะไปรู้อย่างนั้น ไปเห็นอย่างนั้น ผมก็เลยอธิบายให้ท่านฟังว่า ท่านหลงในการเห็น ไม่รู้ในการเห็น เห็นเป็นอย่างไง มันเป็นคำพูดอันเดียวกัน เห็นอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้นอย่างหนึ่ง เห็นจากการเรียนปริยัติธรรมนั้นก็อีกอย่างหนึ่ง มันก็เห็นเหมือนกัน แต่ว่ามันลึกซึ้งกว่ากัน

ถ้าเห็นจากการปฏิบัติแล้ว มันละ มันละไปเลย หรือถ้ายังละไม่หมด ก็พยายามละ ไม่ใช่ว่าเฉยๆ มีความโกรธเกิดขึ้นมา มีความโลภเกิดขึ้นมา ท่านไม่วางมัน พิจารณาแดนที่มันเกิด มันเกิดแล้วก็พิจารณาโทษให้มันเห็นด้วย แล้วก็เห็นโทษในการกระทำเช่นนั้น เห็นประโยชน์ในการละสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ความเห็นอันนี้ ไม่ใช่อยู่ที่โน่นที่นี่ มันอยู่ในจิตของตนเอง จิตที่มันผ่องใส ไม่ใช่อื่นไกล

อันนี้พวกปริยัติ และพวกปฏิบัติ พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง โดยมากมักจะโทษกันว่า นักปฏิบัติพูดไม่มีรากฐาน พูดไปตามความเห็นของตน ชอบโทษกันอย่างนั้น ความเป็นจริงมันก็อย่างเดียวกันแหละ เหมือนหน้ามือกับหลังมือของเรา เมื่อเราคว่ำมือลง หน้ามือมันก็หายไป แต่มันไม่ได้หายไปไหน มันหายไปอยู่ข้างล่างนั่นแหละ แต่มองไม่เห็น เพราะหลังมือมันบังอยู่แล้วเมื่อเราหงายฝ่ามือขึ้นมา หลังมือมันก็หายไป แต่มันก็ไม่ได้หายไปที่ไหน มันก็หายไปอยู่ข้างล่างเหมือนกันนั่นแหละ

ดังนั้น ให้เราเห็นอย่างนี้การปฏิบัติ นึกว่ามันหายไปไหน ไปหาทางอื่นถึงจะเรียนรู้ขนาดไหน หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นก็ไม่รู้จัก คือไม่รู้ตามที่เป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้วก็เรียกว่า “ละ” ได้เมื่อนั้น ถอนอุปาทานได้ ไม่มีความยึดหรือถ้ามีความยึดมันก็บรรเทาลง มันไปคนละแง่อย่างนี้

อย่างนั้นผู้ปฏิบัติชอบอย่างนี้ หลงอย่างนี้ อยากได้ง่ายๆ อยากได้ตามใจของเรา อย่าไปดูอื่นเลย ดูร่างกายของเรานี่แหละ มันได้ดังใจของเราไหม อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากได้เป็นอย่างนี้ มันตามใจเราหรือเปล่า เรื่องกายนี้ก็เหมือนกัน เรื่องจิตก็เหมือนกัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ดังนั้นคนจึงมองข้ามมันเสีย อะไรมันไม่ถูกใจเราก็ทิ้งมันเสีย อะไรไม่ชอบใจเราก็ทิ้งมันเท่านั้นแหละ หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น อันใดผิด หรือถูก เราไม่รู้จัก รู้แต่เพียงว่าอันนั้นไม่ชอบ อันนั้นแหละผิด ไม่ถูกเพราะเราไม่ชอบ อันใดที่เราชอบ อันนั้นแหละถูกแล้ว เพราะเราชอบ

อันนี้ให้คำนึงถึงทีฆนขพราหมณ์ ดูซิ ทีฆนขพราหมณ์ พราหมณ์เล็บยาวๆ ที่พระพุทธเจ้าลงมาจากดอยคิชกูฏ เพื่ออะไรนี่ แกมีความเห็นว่า ด้วยปัญญาของแก เรื่องทิฐิทั้งสาม ทิฐิคือความเห็น ความเห็นอย่างไร ก็ไปยึดอย่างนั้น อะไรที่ชอบใจของเขา เขาก็ไปยึดว่าอันนั้นมันถูก อะไรที่ไม่ชอบใจเขา ไปยึดมั่นมันผิดคือ เขาเอาใจเขาเป็นธรรมะ คือเขาเอาใจเขาเป็นสัจธรรม ความเห็นพราหมณ์เป็นมาอย่างนี้หลายปีจนแก่ เมื่อพระพุทธเจ้าลงมาจากดอยคิชกูฏกับพระสารีบุตร ก็เข้าไปกราบเรียนถามเรื่องทิฐิทั้งสามต่อหน้าพระพุทธเจ้า

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นธรรมะ อย่างเราเรียนปริยัติมา เมื่อมันเกิดความรู้สึกอย่างใด มันก็วิ่งไปตามปริยัติ การภาวนา ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนี้ มันก็ต้องวิ่งไปตามนี้ ถ้าเราไม่มีปริยัติ เรามีธรรมชาติจิตของเรา อันนี้ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน มันก็มีความรู้สึกนึกคิดไปตามธรรมชาติอันนี้ ถ้าหากว่าเรามีปัญญาพิจารณา มันก็เป็นปริยัติด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นปริยัติ

ที่ว่าธรรมชาติมันเป็นปริยัตินั้น คือ เมื่อมันมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอารมณ์ อาศัยอันนั้นเป็นปริยัติสำหรับผู้ภาวนาที่ไม่มีความรู้ในปริยัติ ต้องอาศัยความจริงอันนี้ ทุกอย่างมันก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน

ฉะนั้น คนเรียนปริยัติก็ดี คนไม่เรียนปริยัติก็ดี ถ้าเรามีศรัทธา มีความเชื่ออย่างที่ผมว่ามาแล้ว มีการกระทำพยายามทำให้การปฏิบัติของเรานั้นมีความเพียร มีขันติ ความอดทน สม่ำเสมอ มันมีสติเห็นหลัก คือความระลึกได้ว่า เรานั่งอยู่นี้ เรายืนอยู่นี้ เรานอนอยู่นี้ เราเดินอยู่นี้ ระลึกได้ไหมอิริยาบถอะไรอยู่

ให้รู้ตัวว่า ในเวลาที่เราอยู่นี้ เมื่อระลึกได้ขึ้นมา มันติดกันนะนี้ มันไม่ห่างไกลกันนะ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ถ้ามันเดิน มันจะเกิดทุกข์อันเดียวกัน สองอย่างนี้ เราจะไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร เมื่อความระลึกเกิดขึ้นมา ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นมา

เมื่อเราตั้งมั่นอยู่ มันก็รู้สึกง่ายๆ คือระลึกได้ว่า เป็นสติของเรา เราอยู่อย่างไร เป็นอะไร ทำอะไร เรามีสติเมื่อใด ก็มีความรู้ตัวอยู่เมื่อนั้น

ทีนี้ก็มีปัญญา บางทีปัญญามันน้อย มาไม่ค่อยทัน มีสติอยู่ก็จริง มีความรู้สึกอยู่ก็จริง แต่ว่ามันก็ผิดของมันได้ ตัวปัญญามันจะวิ่งเข้ามาช่วยสติความระลึกได้ และสัมปชัญญะความรู้ตัวนั้นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว อบรมปัญญาด้วยอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน เช่นว่ามันจะรู้อยู่ เราก็รู้มันอยู่ ระลึกได้ ก็ระลึกมันได้อยู่ อารมณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร เราก็ให้ระลึกอารมณ์นั้นได้อยู่ แต่ให้เห็นว่า อนิจจังเป็นพื้น เป็นรากฐาน ทุกขัง มันเป็นทุกข์ อนัตตาอันนี้ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้นแหละ มัน “สักแต่ว่า” เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ไม่มีตัวตน แล้วมันก็หายไปเท่านั้นเอง คน “หลง” ก็ไปเอาโทษกับมัน จึงไม่ใช้สิ่งทั้งหลายนี้ให้เกิดประโยชน์

ถ้าหากว่าเรามีปัญญาพร้อมอยู่แล้ว ความรู้สึกหรือความระลึกมันจะติดต่อกันเป็นลำดับ แต่ปัญญานั้นยังไม่ผ่องใส เมื่อเข้ามาถึงแล้ว สตินี้ไม่ใช่ว่าถูกไปทุกอย่าง สัมปชัญญะความรู้ตัว ก็เห็นว่าไม่ถูกสักอย่าง สติสัมปชัญญะมันก็อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง ปัญญาก็ต้องมาช่วย มีสติอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร หรือเอากันง่ายๆ ไอ้สติที่เกิดขึ้นนี้ก็ตามมันเถิด ไอ้ความรู้สึกก็ช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านยกอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานต้านทานมันเลยว่า สตินี้มันก็ไม่แน่นอน มันลืมได้เหมือนกัน สัมปชัญญะความรู้ตัวนี้ก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน มันล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง

อะไรที่มันไม่เที่ยง แล้วเราไม่รู้มัน อยากจะให้มันเที่ยง มันก็เป็นทุกข์ อยากได้ตามปรารถนาก็เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ตามปรารถนาของเรา อยากจะให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นความอยากที่เกิดจากอำนาจจิตของเจ้าของซึ่งสกปรก สกปรกด้วยความไม่รู้จักอันนี้ มันก็เกิดกิเลสตัณหาตรงนี้

ถ้าหากว่ามีปัญญาพอมีความรู้สึกเกิดขึ้นมา เช่นว่า เราได้กระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง อย่างนี้เป็นต้น คือ ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นมันเต็มอยู่ในใจของเรา ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้คลี่คลายออก เรื่องที่มันเกิดขึ้นมานี้ เรื่องของไม่เที่ยงเป็นหลักวินิจฉัยเท่านั้น

ของไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดมัน มันก็พาเราทุกข์ ทำไมมันจึงทุกข์ เพราะสิ่งทั้งหลายนี้ ไม่ใช่เหตุผลว่าเราจะไปจัดมัน จะเอาตามใจเจ้าของทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่มีอำนาจอย่างนั้น เพราะจิตของเรานี้ไม่ใช่ว่าจิตเราคิดชอบอย่างไร จะเป็นไปอย่างนั้น ไม่ใช่ชอบใจอย่างไร มันจะเป็นธรรมะอย่างนั้น ความพ้นทุกข์ตรงนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น ทีนี้เรื่องกายกับเรื่องจิตสัมผัสกันมาแล้ว เรื่องจิตที่หลง มันก็ไม่มีความรู้ไปอย่างหนึ่ง เรื่องจิตที่รู้ เมื่อได้รับอารมณ์แล้ว ก็มีความรู้ไปอย่างหนึ่ง

พอมีความรู้สึกเกิดขึ้น จิตที่รู้มันก็เห็นว่า ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าไม่มีปัญญามันหลงตามไปด้วยความโง่ ไม่เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเฉพาะว่า เราชอบใจอันนี้ มันถูกแล้ว มันดีแล้ว อันนั้นเราไม่ชอบใจ อันนั้นมันไม่ดีแล้ว อย่างนั้นจึงไม่เข้าถึงธรรมะ ปัญญาไม่เกิด

ถ้ามันเกิดเช่นนี้ จะทำยังไงเราจะมีปัญญา พระพุทธเจ้าท่านให้เอาอารมณ์ของวิปัสสนามาตั้งไว้ในใจเลย มาต่อรับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ อะไรที่มันเกิดขึ้นมา ท่านก็เห็น ถึงแม้เราจะชอบมันอยู่ อันนี้มันไม่แน่ อันนี้ไม่เที่ยง ไว้ในใจของเรา เราคิดในใจของเรา อันนี้เป็นทุกข์ เพราะธรรมที่มันเกิดดับอยู่นี้ มันไม่เป็นไปตามอำนาจใจของมนุษย์

เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้ มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นเป็น “สักแต่ว่า” ให้ยืนอยู่ตรงนี้เสมอ ดังนั้น เราจะไปเลือกอารมณ์ไม่ได้ อารมณ์มันวิ่งมาหาเราทั้งทางดี ทางชั่ว ทางผิด ทางถูก วิ่งเข้าหาเรา ถ้าเราไม่รู้ ถ้าเราไม่มีปัญญา เราไม่รู้ว่าอันนี้มันผิด อันนี้มันถูก เราก็จะวิ่งไปตามตัณหา วิ่งไปตามความอยากอยู่นั่นแหละ จิตผู้ประพฤติปฏิบัติทั้งหลายแยกไม่ได้ก็ปนเปกัน บางทีก็สุขบ้าง บางทีก็ทุกข์บ้าง เป็นธรรมดาของมัน บางทีก็ดีใจบ้าง บางทีก็เสียใจบ้าง เพราะทำไม เพราะเอาใจของเราเป็นหลัก อะไรที่เราชอบใจ ก็เข้าใจอันนั้นว่ามันดี อะไรที่เราไม่ชอบใจ ก็ว่าอารมณ์อันนั้นไม่ดี อย่างนี้เรียกว่ายังห่างไกลจากธรรมะ มันก็เดือดร้อน ความอยากก็เริ่มเข้ามาเพราะความหลงมันเต็มอยู่แล้ว

ถ้าพูดเรื่องจิต ก็ต้องพูดอย่างนี้ ไม่ต้องออกไปห่างตัว มันเป็นอย่างนี้ เพราะเห็นว่า อันนี้มันไม่แน่ อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ถ้าเราเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่ก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เราควรรู้จักอารมณ์อันนี้ ตามอารมณ์อย่างนี้ มันจะทำให้เกิดปัญญา ท่านจึงเรียกว่า อารมณ์ของวิปัสสนา

อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ก็เหมือนกัน เราจะต้องกำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นรากฐาน ควบคุมจิตของเรา เป็นต้น ให้อยู่ในกระแสของลมนี้ ให้มันแน่วแน่ นิ่งนอนอยู่ เมื่อเราพยายามทำตาม จิตของเราก็จะสงบ นี้ท่านเรียกว่า อารมณ์ของกรรมฐาน

สมถกรรมฐานนี้มันมากจะทำจิตของเราให้สงบนี้ มันมากเหลือเกิน เพราะจิตมันวุ่นวายมากไม่รู้กี่ปีกี่ชาติมาแล้ว ลองนั่งดูก็ได้ อาการวุ่นวายจะเกิดขึ้นทันที มันจะไม่ยอมให้เราสงบ ฉะนั้น ท่านจึงให้หาอารมณ์กรรมฐานอารมณ์อันใดถูกใจ ถูกจริตของเรา ท่านให้พิจารณาอันนั้น เช่น เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ท่านให้พิจารณากลับไปกลับมาเมื่อทำอย่างนี้ บางคนพิจารณา ตะโจ หนัง รู้สึกพิจารณาได้สบายเพราะถูกจริต ถ้าอันใดถูกจริตของเรา อันนั้นก็จะเป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา สำหรับปราบกิเลสทั้งหลายให้มันเบาบางลง เช่นว่า มรณสติ คือการระลึกถึงความตายบ่อยๆ นี้เป็นต้น

บางคนมีโลภ โกรธ หลง อย่างแรงกล้า ก็ไม่มีอะไรจะปราบเจ้ากิเลสนี้ได้ พอพิจารณาถึงความตายของเรา มันจะสลดสังเวช เพราะว่าจนมันก็ตาย รวยมันก็ตาย ดีมันก็ตาย ชั่วมันก็ตาย อะไรๆ มันก็ตายหมดทั้งนั้น จิตใจเราก็สลด จิตใจเราก็สังเวช ยิ่งพิจารณาไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิก็สงบได้ง่ายๆ เพราะมันถูกจริตของเรา นี้เรียกว่า วิปัสสนา

อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรามันก็ไม่สลด ไม่สังเวช อันใดที่มันถูกจริต อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ คนเราไม่ค่อยจะได้สังเกต จึงควรสังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์ เปรียบเหมือนกับอาหารที่เขาจัดมาถวายสำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่างนั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอะไรที่เราชอบ อะไรที่เราไม่ชอบ อย่างไหนชอบก็ว่ามีรสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น นี่พูดถึงอาหาร อะไรควร อะไรถูกธาตุ

นี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูกจริตมันก็สบาย อย่างอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้าถูกจริตแล้วก็สบาย ไม่ต้องไปเอาอย่างอื่น พอนั่งลงก็กำหนดลมหายใจเข้าออกก็เห็นชัด ฉะนั้น ไม่ต้องเอาที่ไหน มันมากก็เอาของใกล้ๆ นี่ดีกว่า กำหนดลมหายใจให้มันเข้า มันออกอยู่นั่นแหละ ดูมันอยู่ตรงนั้นแหละ ดูไปนานๆ ทำไปเรื่อยๆ จิตมันจะค่อยวางสัญญาอื่นๆ มา มันก็จะห่างกันออกไปเรื่อยๆ เหมือนคนเราที่อยู่ห่างไกลกัน การติดต่อก็น้อย

เมื่อเราสนใจอานาปานสติ มันก็จะง่ายขึ้น นั่งสบาย ถ้าเราทำตรงนั้นอยู่ตรงนั้น เราก็รู้จัก ชำนาญในการกระทำของเรา ว่าลมเป็นอย่างไร สั้นเป็นอย่างไร ยาวเป็นอย่างไร เราจะคิดต่อไปว่า ถ้าทำไปแล้วจะเห็นว่า ลมที่เข้าออกเป็นอาหารอย่างวิเศษ มันก็ไม่มีอารมณ์ทั้งหลาย มันเกิดขึ้นมา มันมีอยู่ แต่มันห่างไป มันจะค่อยคิดตามไปเองของมันทีละขั้น มันเป็นอาหาร ยิ่งกว่าอาหารทางกายอย่างอื่น

จะนั่งอยู่มันก็หายใจ จะนอนอยู่มันก็หายใจ จะเดินไปก็หายใจ จะนอนหลับมันก็หายใจ ลืมตาขึ้นก็หายใจ ถ้าขาดลมหายใจนี้ตาย แม้แต่นอนหลับอยู่ก็ต้องกินลมหายใจนี้ พิจารณาไปแล้ว เลยเกิดศรัทธา เห็นว่าที่เราอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะอันนี้เอง ที่เราอยู่กันทุกวันมิใช่อย่างอื่น อาหารคือคำข้าว อาหารคืออย่างอื่นนะ มันก็ดีเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ยิ่ง มันไม่ได้กินชั่วระยะ ๓๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง หรือวันหนึ่ง มันก็ไม่เป็นอะไร เรียกว่าอาหารมันหยาบ อาหารคือลม มันชั่วระยะนิดเดียว มันไปไม่ได้ มันตายทุก ๑๕ นาที หรือ ๓๐ นาที หรือ ๑๐ นาที หรือ ๕ นาที ก็ลองดูซิ มันจวนจะตายไปแล้วนี่

นี่พูดถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้ปฏิบัติ มันจะรู้ขึ้นมาอย่างนี้ ความรู้จากการปฏิบัติมัน มันแปลกไหม มันแปลกซิ ถ้าเราไม่ได้กำหนดจิตใจของเจ้าของจะไปรู้สึกว่าอันนี้เป็นอาหาร ก็เห็นว่าคำข้าวเป็นอาหาร ก็เห็นว่าเนื้อปลาเป็นอาหาร อะไรมันเป็นอาหารหมด ถ้วยอะไรก็ซื้อมากิน สำรับอะไรก็ซื้อมา โต๊ะหนึ่งกี่ร้อยกี่พัน ว่าเป็นอาหารพิเศษ อย่างนี้ เป็นต้น มันก็ดีอยู่ แต่ว่ามันก็ไม่ยิ่งเท่าอาหารคือลม ถ้าเราทำไปความคิดจะเกิดอย่างนี้ หรือมันคิดต่อไปว่า ลมนี่ เราก็กินลมอยู่ทุกเวลา ออกไป เข้ามา ออกไป เข้ามา ติดต่อกันอยู่เรื่อยอย่างนี้เป็นปฏิปทา ติดต่อกันเรื่อย มันก็เป็นอาหารทางกายของเราอย่างละเอียดแล้ว ให้กายของเราเป็นอยู่ เคลื่อนไหวไปได้ก็เพราะลมอันนี้ เรายิ่งพิจารณาไปมากเท่าไหร่ เป็นต้น ลมนี้ก็ยิ่งเกิดประโยชน์มาก มีอาหารมากอย่างละเอียด ถึงแม้มันผ่านจากจมูกเราแล้ว มันถึงความสงบ มันไม่ใช่อยู่เฉยๆ หายใจก็ไม่รู้เรื่อง

ลมนี้ยังสามารถออกจากสรรพางค์ร่างกายเราได้ เราสงบนั่งอยู่เฉยๆ ปรากฏลมไม่ออก ลมไม่เข้า แต่ลมละเอียดเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะไปหล่อเลี้ยงร่างกายทั้งหลายนั้นแหละ ทุกขุมขน มันจะออกไปได้ของมันอย่างละเอียด มันก็เลี้ยงโดยวิธีอันนั้น คือมันละเอียด

ฉะนั้น เมื่อจิตเราละเอียดถึงที่สุด ลมหายใจก็จะขาด ลมหายใจจะไม่มี ถึงที่ตรงนี้ท่านว่าอย่าเพิ่งตกใจมันเลย ถ้าลมไม่มี จะทำอย่างไรอีก กำหนดรู้อยู่ตรงนั้น รู้ที่ว่าลมไม่มีตรงนั้นแหละเป็นอารมณ์ต่อไป

พูดถึงเรื่องสมถกรรมฐาน มันคือความสงบอย่างนี้ ถ้ากรรมฐานถูกจริตแล้ว มันเห็นอย่างนี้แหละ อธิบายเรื่องลม มันวิพากษ์วิจารณ์ของมันไปจนกว่าเรามีศรัทธาเห็นชัดจริงๆ อันนี้คือต้นตอมันทุกสิ่งทุกส่วน ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ มันก็จะเพิ่มกำลังของเราอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับน้ำในโอ่ง พอจะแห้งก็หาน้ำเติมลงไปอยู่เรื่อย ตัวสัตว์น้ำอยู่ในนั้นก็มีชีวิตอยู่ไม่ตาย

การกระทำเพียร การประพฤติปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้น มันจะกลับมาเป็นปฏิปทาของเรา ทีนี้ก็จะได้ความสบาย เรียกว่าสงบ สงบจากอารมณ์ทั้งหลาย คือเรามีอารมณ์เดียว คำที่ว่ามีอารมณ์เดียวนั้นพูดยากเหมือนกัน ไม่อยากให้มีอารมณ์อื่นมาแทรก อันความเป็นจริงอารมณ์อื่นเข้ามาแทรก ถ้าเราคิดแต่มีอารมณ์เดียวอยู่นั่นเอง คล้ายๆ กับที่ว่าสัดส่วนที่เราเกิดมา ผู้ชายเราก็เห็น ผู้หญิงเราก็เห็น แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนพ่อเรา แม่เรา นี่อันอื่นเรานึกไปได้ อันนั้นเป็นผู้หญิง อันนั้นเป็นผู้ชาย ก็รู้อยู่ แต่ผลที่สุดแล้ว ไม่มีความรู้สึกเหมือนแม่ของเราหรือพ่อของเรา นี่ มันเป็นอารมณ์เดียวอยู่อย่างนี้ มันเป็นจุดอยู่อย่างนี้ อย่างอื่นนั้นเรียกว่าเป็นอาการจิต เรื่องอาการของจิต มันเป็นไปตามสภาพของมันอย่างนั้น เมื่อสมถกรรมฐานความสงบเกิดขึ้น จิตใจก็ผ่องใส ตรงนั้นเป็นที่สงบ สิ่งที่มันสงบนั้น อารมณ์มันก็จะน้อยลงไป การพิจารณาปัญญาของเราก็จะเกิดขึ้นมา

เมื่อความสงบเกิดขึ้นมา หรือความสบายเกิดขึ้นมา ระวัง มันจะติดความสุข มันจะติดความสบาย แล้วมันจะยึดมั่นถือมั่น พอเรายกขึ้นมาความสุขนี้ก็ไม่เที่ยง หรือความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความที่เป็นอย่างงั้นๆ มันก็ไม่เที่ยงของมันอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันเลย

ความรู้สึกอย่างนี้มันก็เกิดขึ้นมา ทำไมมันจะเกิดขึ้นมา เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นสภาวะของทั้งหลายเป็นอย่างนั้น ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนคลายเกลียวนอตให้หลวมออก ไม่ให้มันตึง เมื่อก่อนมันตึงมันแน่น ความรู้สึกของเราที่มองก็เช่นกัน สมัยก่อนมองเห็นอันนั้นก็แน่นอน อันนี้ก็แน่นอน มันเลยตึง มันก็เป็นทุกข์ พอไม่ยึดมั่นถือมั่น เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของไม่แน่นอน มันก็คลายเกลียวออกมา

เรื่องความเห็นนี้เป็นทิฐิ เรื่องความยึดมั่นถือมั่น ถ้าเป็นอย่างหนึ่งเรียกว่ามานะ ท่านจึงสอนว่า ให้ลดทิฐิมานะ จะลดได้อย่างไร จะลดได้ก็เพราะเห็นธรรม อาศัยหลักว่าความไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง อะไรๆ ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น ถ้าเราเห็นอย่างนี้ อารมณ์ที่มีอยู่ที่เรากระทบอยู่ มันก็จะค่อยๆ หมดราคา หมดราคาไปมากเท่าไร ก็บรรเทาความเห็นผิดไปได้เท่านั้น บรรเทาเรื่อยๆ เรียกว่า คลายเกลียวมันออก หมุนซ้ายไม่ใช่หมุนไปทางขวา มันก็ไม่ตึง

อุปาทานก็จะถอนออกมาเรื่อยๆ เมื่อเราเห็นชัดในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสกนธ์ร่างกายนี้ หรือในรูปนามนี้ ในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดความเบื่อ คำที่ว่า “เบื่อ” ไม่ใช่เบื่ออย่างมนุษย์เรา ความที่เราว่ามันเบื่อ ไม่อยากรู้ มันไม่อยากเห็นมัน ไม่อยากพูดกับมัน เพราะไม่ชอบมัน ถ้าเป็นอะไรไปก็ยิ่งนึกสมน้ำหน้า ไม่ใช่เบื่ออย่างนี้ เบื่ออย่างนี้เป็นอุปาทาน ความรู้ไม่ทั่วถึง แล้วเกิดความอิจฉาพยาบาท เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้น ในสิ่งที่เรียกว่า “เบื่อ” นั่นเอง

เบื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เบื่อโดยที่ไม่เกลียด ไม่รัก มีอารมณ์เกิดขึ้นมา ก็ว่าอันนี้ไม่เที่ยง ที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจอันใดเกิดขึ้นมาก็เห็นทันทีว่า มันไม่เที่ยง “เบื่อ” โดยวิธีอย่างนี้เกิด “นิพพิทา” ความเบื่อหน่าย คลายจากความกำหนัด รักใคร่ในอารมณ์อันนั้น ไม่ไปสำคัญมั่นหมายในอารมณ์เหล่านั้น ที่เราชอบมันหรือไม่ชอบอันนั้น ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนให้เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด

เพราะว่าเราเห็นแล้ว ทุกข์นี่ ทุกข์ที่มันเกิดมา ที่ไม่รู้จักสุข ยึดในสุขนั้น ยึดในทุกข์นั้น ไปยึดในสิ่งที่ชอบนั้น ไม่ชอบนั้น เป็นเหตุให้ทุกข์มันเกิดความรู้ไม่สม่ำเสมอในอารมณ์นั้น ไปชอบอารมณ์อย่างนั้น ไปชอบอารมณ์อย่างนี้ ทั้งสองอย่างนี้มันเป็นทุกข์ ถ้าเราไปชอบอย่างนั้น ไปยึดมั่นถือมั่น ทุกข์เกิดขึ้นมา

พระพุทธเจ้าของเราให้ตามต่อไปอีกว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อันนี้มันเป็นทุกข์แล้ว จึงให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ที่เรามาภาวนานี้ ให้รู้จักทุกข์ ให้รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ ให้รู้ความดับทุกข์ ให้รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้ของสี่อย่างนี้เท่านั้น ถ้าสิ่งทั้งหลายรู้อย่างนี้ ทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ให้รู้ว่านี่ตัวทุกข์ แล้วทุกข์นี้มาจากไหน มันก็มีพ่อแม่เหมือนที่เราเกิดมาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นมาลอยๆ เมื่ออยากจะให้ทุกข์ดับ ก็ไปตัดเหตุของมันเสีย ที่ทุกข์มันเกิด ก็เพราะไปยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์ที่เราชอบ หรือเราไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เราไม่ชอบ ตรงนี้เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด รู้จักมันแล้ว ทุกข์มันเกิดเพราะเราอย่างงี้ สำคัญมั่นหมายมันอย่างนี้ ทุกข์มันก็เกิด ท่านให้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุ เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ เราก็คลายเกลียวมันซิ หมุนทางซ้าย อย่าหมุนทางขวาเข้าไปซิ คือเห็นว่า อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ก็ถอนตัวออกมา นี้คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็คือมรรค เป็นมรรค สัมมาทิฐิ สัมมาสัมกัปโป สัมมาอาชีโว สัมมากัมมันโต ไปตามเรื่องมันนะ คือมันเห็นชอบในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี่เป็นข้อปฏิบัติ ให้เราเข้าไปดับทุกข์ได้ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

มันตรงเข้าไปหาศีล หาสมาธิ หาปัญญา มันจะต้องเป็นอย่างนี้

เรื่องจิตใจของเราจะเป็นอย่างนี้ เมื่อเราเห็นชัดเช่นนี้ สิ่งทั้งสี่ประการนี้ที่เราอยากจะให้มันรู้หรืออยากจะให้มันเห็นตามความเป็นจริงของมัน เมื่อเราเห็นตามความจริงของมัน มันก็เป็นสัจธรรม มองไป ข้างไหน ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง มันเป็นสัจธรรมทั้งนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น

ดังนั้นผู้บรรลุธรรม หรือผู้รู้จักธรรม ไปนั่งที่ไหนก็มีธรรมทั้งนั้นแหละ รู้จักธรรม อย่างมันโกรธขึ้นมา รู้ว่า เออ อันนี้มันไม่แน่ มันไม่มีราคาทั้งนั้นแหละ ราคาสิ่งทั้งหลายมันหมดไปน้อยไป หมดไปน้อยไป เพราะเรารู้มัน ด้วยความรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับทุกข์มันเป็นอย่างนี้ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรามองอย่างนี้ มันมองเห็นเป็นสัจธรรมทั้งนั้น ใครจะนินทามันก็เป็นสัจธรรม ใครจะสรรเสริญมันก็เป็นสัจธรรมทั้งนั้น ทีนี้มันจะเหลือแต่อาการ อาการของจิตที่มันหยาบ คือมันสะสมมาแล้วแต่นานๆ

ถ้ามีความสุขเกิดขึ้นมามันก็รู้ แต่ว่ามันวาง มีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้ว่าทุกข์ คือรู้ตามความเป็นจริง รู้ถึงมันเสีย ถ้ารู้ถึงมัน มันก็วางสุข ถ้ารู้ถึงมัน มันก็วางทุกข์ ถ้าเราไม่รู้ถึงมัน เราก็จะตะครุบ มันก็จับให้มันแม่น เดี๋ยวมันก็กัดเราเท่านั้นแหละ ตะครุบมันดูซิ





Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 23:23:26 น. 0 comments
Counter : 597 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Crescent-Norther-Star
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add Crescent-Norther-Star's blog to your web]