เวลา..ศัตรูที่แฝงเร้น เรื่องโดย รองศาสตราจารย์ นพ.ธวัชชัย กฤษณะประกรกิจ

มีสุภาษิตฝรั่งว่า “ Time and tide wait for no man ” ผมรู้จักคำพูดประโยคนี้เมื่อฟังเพลงโฆษณาของนาฬิกายี่ห้อหนึ่งสมัยที่เป็นเด็กว่า “สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใคร” แต่ก็มีคนแปลได้ไพเราะมากขึ้นอีกว่า “กาลเวลาและวารี มีแต่หนีหายไป”

ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วเกิดภาพในใจ ความคิดเห็น และความรู้สึกกับข้อความนี้อย่างไรบ้างครับ

คำสอนนี้ตั้งใจจะให้คนเราไม่ประมาท ไม่นิ่งนอนใจ ควรเร่งเรียนรู้ศึกษา เร่งทำงาน สร้างผลงาน โดยไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไป เหมือนกับสำนวนที่ว่า “อย่าผัดวันประกันพรุ่ง” ใช่ไหมครับ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีอีกหลายท่านที่ยึดคำสอนนี้อย่างเคร่งครัด จริงจังจนเกินไปกลายเป็นนิสัยรีบเร่ง ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเร่งรีบ

มนุษย์สมัยโบราณคงสังเกตเห็นโลกนี้ประเดี๋ยวก็มืด ประเดี๋ยวก็สว่าง พระอาทิตย์ลอยข้ามศีรษะไปตกอีกฟากหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้คิดประดิษฐ์เครื่องบอกเวลา โดยแบ่งช่วงขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าออกเป็นช่วงเท่าๆ กัน และใช้เงาของแสงอาทิตย์ซึ่งตกลงในจานหมุนเป็นตัวชี้วัด เรียกว่านาฬิกาแดด ใช้บอกเวลา ต่อมาจึงมีนาฬิกาแบบตุ้มแกว่งไปมา จนถึงนาฬิกาควอร์ตซ์ในปัจจุบัน เราสร้างเวลาไว้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต เพื่อให้กิจกรรมทั้งหลายที่เราต้องทำร่วมกันนั้นเกิดความสอดคล้อง กลมกลืน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เวลานั่นเองที่เป็นศัตรูของจิตใจ สร้างความกดดัน ความเร่งรีบ เพื่อให้ทันเวลา เกิดเป็นความเครียด และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพความเจ็บป่วยอื่นๆ อีกมากมาย

ลักษณะบุคลิกภาพแบบหนึ่งซึ่งแพทย์โรคหัวใจสองท่านคือ ดร.เมเยอร์ ฟรีดแมน ( Meyer Friedman ) และดร.เรย์ เอซ. โรเซนแมน ( Ray H. Rosenman ) เรียกว่า บุคลิกภาพชนิดเอ ( Type A personality ) คือผู้ซึ่งจริงจังในเรื่องเวลา ด้วยการเร่งรีบไปกับทุกเรื่อง ไม่อดทนรอคอย ทำอะไรก็ต้องแข่งกับเวลา และชอบแข่งกับคนอื่น มีความทะเยอทะยานสูง จะต้องเอาให้ได้ในสิ่งที่ตนเองหวังไว้ หากไม่ได้ก็จะรู้สึกโกรธ หัวเสียง่าย ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยว่า ผู้มีบุคลิกภาพแบบนี้ จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า

ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่าน คงร้องอ๋อว่า ใช่เลย คนใกล้ชิดหลายคนรอบๆ ตัวหรือตัวท่านเองก็อาจมีบุคลิกภาพแบบนี้

ศาสตราจารย์ชาวต่างประเทศท่านหนึ่งที่ผมรู้จักบอกว่า ท่านเป็นคนบุคลิกภาพชนิดเอตัวจริง อาจจะเรียกว่าบุคลิกภาพชนิดเอตัวพ่อก็ได้ ท่านสังเกตว่า เวลาเดินไปธุระกับเพื่อนๆ เพื่อนของท่านมักจะเดินตามไม่ทัน ท่านจะก้าวเร่งเร็วอย่างนี้ กลายเป็นนิสัยและแทบไม่รู้ตัวเลย รวมไปถึงการรับประทานอาหารอย่างเร่งรีบ และยังทานไปด้วยอ่านตำราไปด้วย แม้ในขณะที่กำลังเดินไปเข้าประชุมตอนบ่ายสองนั้น ใจก็คิดไปล่วงหน้าแล้วว่ายังมีนัดหมายอีกช่วงตอนบ่ายสี่ หลังจากนั้นจะต้องรีบเขียนบทความที่ค้างไว้ให้เสร็จ และเร่งตอบอีเมลเพื่อนจากต่างสถาบันที่ขอให้ช่วยตรวจทานตำราให้ ซึ่งท่านเองก็ต้องรีบยื่นข้อเสนอขอทุนวิจัยระดับประเทศให้ทัน ก่อนกำหนดเส้นตายวันศุกร์นี้

นิสัยเร่งรีบเช่นนี้ ไม่ใช่มีเฉพาะกับคนทำงานที่มีความรับผิดชอบมากเท่านั้นนะครับ หลายคนที่แม้จะไม่ได้ทำงานแล้วก็ตาม ความเป็นบุคลิกภาพชนิดเอก็ยังออกอาการอยู่ ทำให้เกิดความกดดันในชีวิตของคนนั้นโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น คุณป้าท่านหนึ่งซึ่งเกษียณมาหลายปีแต่ยังมีปัญหาเครียด นอนไม่หลับ แม้ว่าท่านจะบอกว่า ท่านไม่มีเรื่องเครียดอะไรแล้วก็ตาม เมื่อได้พูดคุยถึงชีวิตประจำวัน ทำให้ทราบว่าในแต่ละวันนั้น ท่านต้องรีบตื่นแต่เช้าตีสี่เพื่อไปตลาดสด เพราะจะได้ไปซื้อผัก ปลา ผลไม้ที่สดใหม่ และผู้คนไม่พลุกพล่าน

หลังจากนั้นก็จะรีบกลับมาทำอาหารและรีบทานอาหารเช้าให้เสร็จ จะได้ไปรดน้ำต้นไม้ ดูแลสวน แล้วกลับมานอนพักผ่อนสักงีบ ซึ่งจะต้องตื่นก่อนสิบเอ็ดโมง เพื่อดูรายการข่าวช่วงเที่ยงวันของทีวีช่องประจำหลังจากทานอาหารกลางวัน แล้วก็จะต้องรีบทำธุระ เก็บกวาดบ้านให้สะอาดที่สุด ชนิดที่จะต้องไม่มีฝุ่นใดๆจับๆไม่ว่าจะเป็นที่ราวบันได เก้าอี้ ชุดรับแขก ที่จะต้องสะอาดและจัดวางให้เป็นระเบียบ

ต่อมาก็จะต้องเตรียมอาหารเย็นและต้องทานให้เสร็จก่อนหกโมงเย็น เพื่อที่ว่าจะได้ดูละครหลังข่าว และต้องรีบเข้านอนตอนสองทุ่ม เพื่อที่จะได้รีบตื่นตอนตีสี่ในเช้าวันถัดไป

นอกจากนี้เรายังเห็นวิถีชีวิตที่เร่งรีบของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการขับรถบนท้องถนนของเมืองใหญ่ การรีบไปจองซื้อตั๋วหนังในโรงภาพยนตร์ การวิ่งกรูกันผ่านประตูรถไฟฟ้าบีทีเอส การรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่มีการจับเวลา คือห้ามทานนานเกินเวลาที่กำหนด ดูเหมือนว่าเวลาช่างมีอิทธิพลเหนือชีวิตของคนทุกวันนี้ เวลาและความเร่งรีบถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แฝงเร้นทำลายชีวิตเราแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยนะครับ

เรามาหยุดพักความเร่งรีบกันสักวันในหนึ่งสัปดาห์ดีไหมครับ เพื่อทำให้จังหวะชีวิตช้าลง เราจะได้สัมผัสและเฝ้าดูประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างแท้จริง คือได้ทานอาหารจริงๆ ได้เดินจริงๆ ได้นั่งพักสบายจริงๆ ด้วยการทำให้วันนั้นเป็นวันแห่งสติ คือมีสติอยู่กับตัวเอง

อาจจะเริ่มด้วยการตื่นนอนตอนเช้า โดยไม่ต้องใส่นาฬิกา ไม่ต้องพะวงกับเวลา เดินเล่นออกกำลังกายเบาๆในละแวกบ้าน ทำอาหารและทานอย่างไม่เร่งรีบกับสมาชิกในครอบครัว หลังมื้ออาหารก็ล้างจานอย่างมีสติ ทำความสะอาด เก็บกวาดบ้านให้แลดูสะอาดตา

หากมีธุระ เดินทางออกจากบ้านก็ไปอย่างช้าๆ ไม่ต้องเร่งรถแซงขึ้นหน้าใคร ยืนเข้าคิวซื้อของด้วยใจสงบ แม้คิวจะยาวสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะทุกขณะที่ท่านดำรงชีวิตอย่างมีสตินั้น เป็นชั่วขณะของชีวิตที่แท้เป็นความงาม ความเบิกบาน ความสุข ความพึงพอใจที่สมบูรณ์อยู่ในตัวแล้วนั่นเอง

ท่านจะพบว่าวันนั้นทั้งวัน จะเป็นวันที่ชีวิตได้พบกับความสุขสงบที่ประณีตยิ่งกว่าความสำเร็จอื่นๆ ที่ต้องวิ่งไปไขว่คว้าหามา และเวลาก็จะไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือต่อชีวิตท่านเมื่อได้ดำรงความมีสติไว้ จนสามารถบอกตนเองได้ว่า

“กาลเวลาและวารีแม้จะหนีหายไปก็ช่าง เพราะตอนนี้ฉันได้ชีวิตทั้งชีวิตกลับคืนมาแล้ว”




 

Create Date : 25 มีนาคม 2554   
Last Update : 25 มีนาคม 2554 20:53:14 น.   
Counter : 866 Pageviews.  

ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง
ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก
ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นแต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่
คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น
คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้
คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ
จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน
ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน?
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องมีความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุข มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข
และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลารางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด
ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคน
ที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ
และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ

...ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข
มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..
ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน


สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่ กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้
๑.อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่นคุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒.อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย,ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓.อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔..อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕.อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖.จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗.ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘.ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสียและอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลยเพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙.ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...เพราะฉะนั้นจงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น,จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียนคุณมาเพื่อเรียนรู้และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓.จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อยๆ
๒. จงหาอะไรดีๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓.จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔.จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน70และต่ำกว่า6ขวบ
๕.พยายามทำให้อย่างน้อย3คนยิ้มได้ทุกวัน
๖.คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณซักหน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอกแต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้,ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
๑.ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์,ไม่สวย,ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้งไปเสียเก็บไว้ทำไม?
๓.เวลาย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๕.ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน,จงลุกจากเตียง,แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖.คิดไว้เสมอสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗.ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้,อย่าลืมขอบคุณพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘.เชื่อเถอะว่าส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอดังนั้นส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า

ขอขอบคุณ Forward mail




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2554   
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 22:20:30 น.   
Counter : 366 Pageviews.  

ดีท็อกซ์ชีวิตด้วย “Slow Living” เรื่องโดย คุณศรัณยู นกแก้ว

“ 7.00น. ตื่นนอน อาบน้ำ 7.30 น. แต่งตัว กินข้าว ขับรถ 8.30 น. ถึงที่ทำงาน โทรศัพท์ ส่งแฟกซ์ นัดลูกค้า ปั่นงาน 12.00 น. กินข้าว 12.30 น. ทำงานต่อ ประชุม 19.00 น. กลับบ้าน 20.30 น. กินข้าวเย็น อาบน้ำ ดูละครหลังข่าว เคลียร์งานต่อ 24.00 น. หมดเวลา ปิดไฟ นอน ”
ท่ามกลางความเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเล็กๆ ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนสังคม วิ่งวนอย่างรีบเร่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร่งรีบในที่ทำงาน ความเร่งรีบบนโต๊ะอาหาร ไปจนถึงความเร่งรีบที่จะล้มตัวลงนอน เพื่อชาร์จแบตให้มีแรงตื่นขึ้นมาพบกับความเร่งรีบอีกครั้งในเช้าวันใหม่ แน่นอนว่าความเร่งรีบเหล่านี้ไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ความรีบเร่งในทุกจังหวะชีวิตกลับทำให้สุขภาพกายย่ำแย่ ที่สำคัญ ยังก่อให้เกิดมลพิษทางจิตและสร้างมลพิษแก่โลกใบนี้อีกด้วยก่อน ที่ความเร่งรีบจะทำร้ายตัวเราและโลกไปมากกว่านี้นักสิ่งแวดล้อมและนักบำบัดทั้งหลาย จึงได้คิดค้นการใช้ชีวิตแนวใหม่ที่ช้าลง ในแบบที่เรียกว่า Slow Living ขึ้น

สิงคโปร์ แชมป์ Fast Living
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์( University Of Herfordshier ) ประเทศอังกฤษ ได้ทำการวิจัยพบว่าในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา คนเมืองอย่างเราๆใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยความเร่งรีบนี้สามารถวัดได้จากความเร็วในการเดิน ซึ่งปัจจุบันคนทั่วโลกเดินเร็วขึ้นประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วที่เราใช้เดินกันในช่วง พ.ศ. 2537 ส่วนแชมป์ในการเดินเร็วนั้นต้องขอยกให้ประชากรจากเกาะสิงคโปร์ ซึ่งเดินเร็วมากกว่าในอดีตถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขนี้ถือได้ว่าเป็นดรรชนีวัดความเร่งรีบและความเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของประเทศเล็กๆแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

ทำไมต้อง “ ช้า ”
หลายคนคงตั้งคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมชีวิตต้องเชื่องช้า คำตอบก็คือ หากหันไปมองรอบๆตัวเรา จะพบว่าทุกวันนี้ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสายด่วน อาหารจานด่วน บทสนทนาที่รีบเร่ง ชะโงกทัวร์แบบด่วนจี๋ เอสเอ็มเอสย่อยข่าวทุกนาทีฯลฯ
แม้ความเร็วจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย แต่หากมากไปก็อาจทำให้เราลืมรายละเอียดสำคัญๆรอบกายได้ เช่น ลืมให้เวลากับคนที่เรารัก ลืมใส่ใจความอร่อยของอาหารรสเลิศที่อยู่ตรงหน้าหรือลืมแม้กระทั่งความสุขที่อยู่สองข้างทางระหว่างบ้านถึงที่ทำงาน
ความเร็วนอกจากจะเป็นตัวการสำคัญในการบั่นทอนความสุขทางใจแล้ว ในทางการแพทย์ ความเร่งรีบยังก่อให้เกิดโรค Hurry Sickness Syndrome ทำให้คนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบเกินไป รู้สึกหายใจไม่ทันหรือหายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ส่งผลให้แขนขาหมดแรง ใจหวิว และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ความรีบเร่งยังเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม เพราะความเร่งรีบทำให้ต้องใช้สารเคมีมากมาย เพื่อกระตุ้นผลผลิตทางการเกษตรและเพิ่มศักยภาพทางการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
เพื่อเป็นการหยุดชีวิตที่เร่งรีบ ขอเสนอเทคนิคการใช้ชีวิตแช่มช้า ในแบบที่เรียกว่า Slow Living ซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ดังนี้
1. ตื่นให้เร็วขึ้น แต่หายใจให้ช้าลง ใครที่เคยชินกับชีวิตในแบบที่เร่งรีบ และรู้สึกว่าเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันนั้นไม่เคยพอ ให้ลองเริ่มต้นใหม่ด้วย การตื่นให้เช้าขึ้น เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง หายใจให้ช้าลง เพื่อเรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เคยสังเกตไหมว่า เมื่อไรที่คุณตื่น คุณก็จะรีบอาบน้ำ รีบกินข้าว โดยที่ใจไม่เคยได้สัมผัสกับความเย็นฉ่ำของน้ำหรือความอร่อยของอาหารมื้อแรกเลยสักนิด แต่หากเมื่อไรคุณตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม แล้วค่อยๆล้างหน้า แปรงฟัง อาบน้ำ และถ้าใครไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานนานนัก อาจจะลองเดินออกจากบ้านไปตักบาตร หรืออาจจะเดินไปรดน้ำต้นไม้สักนิด พร้อมทั้งสำรวจว่าต้นไม้แต่ละต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง นับแต่วันแรกที่เราซื้อมาแล้ว ที่สำคัญ อย่าลืมสูดอากาศยามเช้าให้เต็มปอด เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสุขใจ และไม่เร่งรีบได้แล้ว ประสิทธิภาพสมองกับ Slow Morning รู้ไหมว่า หากเราตื่นนอนอย่างงัวเงีย เราจะสามารถดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การจะดึงอีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาใช้ ทำได้ด้วยการทำให้คลื่นสมองช้าลง ด้วยการหยุดความเร่งรีบในยามเช้านั่นเอง
2. ปฏิบัติการเพื่อความเงียบ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงหรือมหานครที่มีแต่ความวุ่นวาย ขอให้คุณลองหามุมเงียบๆให้ใจได้พักบ้าง สักสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี มุมเงียบๆที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหนีไปไหนไกลๆ แต่ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่อยู่กับตัวเองเงียบๆ สักวัน แล้วปิดโทรศัพท์มือถือ เลิกดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ รวมทั้งงดใช้งานอินเทอร์เน็ตและการแชตชั่วคราว เพื่อให้คุณได้หยุดวิ่งตามกระแสต่างๆ แล้วหันกลับมาฟังเสียงธรรมชาติดูบ้าง ที่สำคัญ การอยู่เงียบๆคนเดียว ยังทำให้เราได้ยินเสียงลมหายใจเข้า-ออกและเสียงของหัวใจตัวเองชัดเจนขึ้นอีกด้วย วันหยุดเพื่อหยุด อย่ากลัวที่จะปิดโทรศัพท์มือถือในช่วงวันหยุดพักร้อนของคุณ ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายและใจของคุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หลังจากทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี
3. ทำงานช้าลง แต่ได้ผลเต็มร้อย บางครั้งการทำงานด้วยความรีบเร่งก็ไม่ได้เกิดประโยชน์เสมอไปตรงกันข้าม การทำงานด้วยความรอบคอบและมีสติ ต่างหากที่จะทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ ลองหัดทำงานให้ช้าลงแต่ได้ผลเต็มร้อยด้วยเทคนิคง่ายๆเหล่านี้
• ทำให้คลื่นสมองช้าลง หากเรากำลังเครียด ลองผ่อนคลายด้วยการนั่งหลับตา ผ่อนคลายใบหน้า วางมือและเท้าในท่าที่สบาย แล้วจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม เพื่อให้คลื่นสมองทำงานช้าลง รู้สึกเบาสบาย และสามารถคิดสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น
• รอบคอบ แต่ไม่คิดมาก หัวใจของการทำงานแบบเชื่องช้าก็คือ การคิดและทำอย่างรอบคอบแต่ไม่ใช่การคิดมาก เพราะการคิดมากจะทำให้เรากลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่ที่เดิม โดยไม่ได้พบทางออกของปัญหา
• ใส่ใจกับปัจจุบัน ฝึกตัวเองไม่ให้กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เลิกวิตกกับกำหนดเวลาแต่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างผ่อนคลาย
• รับมือกับความเครียดด้วยสติ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อความเครียดเกิดขึ้น เราสามารถรับมือกับความเครียดอย่างมีสติ ด้วยการเตือนตัวเอง ให้ค่อยๆคิดทบทวนอย่างช้าๆเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา วิธีนี้จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสามารถหาทางแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีและถูกต้องตรงจุดยิ่งขึ้น
4. รักษ์โลกและร่างกายด้วย Slow Food slow food ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธอาหาร fast food เท่านั้น แต่ slow food ยังหมายรวมถึงการให้ความสำคัญกับศิลปะในการปรุงอาหาร ตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม การคัดสรรวัตถุดิบ รวมทั้งการปรุงอาหารแต่ละจานด้วยความใส่ใจ ไปจนถึงการค่อยๆเคี้ยวอาหารแต่ละคำ เพื่อให้ได้รับรสของอาหารอย่างแท้จริง ลองฝึกเทคนิคการบริโภคแบบ slow food ดังนี้
• ใช้วัตถุดินในท้องถิ่น เพื่อให้ได้ของสดใหม่ รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง
• กินตามฤดูกาล เพื่อลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ย และสารเคมีในการเร่งดอกออกผล
• สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ แบบไม่ใช้สารเคมี ซึ่งแม้ว่าจะทำให้ได้ผลผลิตช้ากว่าการใช้สารเคมี แต่รับรองว่าปลอดภัยกว่าแน่นอน
• ปรุงด้วยการนึ่ง ต้ม ตุ๋น แทนการผัดและทอดที่อุณหภูมิสูง เพื่อรักษาคุณค่าของสารอาหาร และลดการปล่อยความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อม
• เคี้ยวอย่างเชื่องช้า เพื่อช่วยระบบการย่อมอาหาร และทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติของอาหารอย่างแท้จริง
ผัก-ผลไม้สดกู้โลก แทบไม่น่าเชื่อว่า การบริโภคผัก-ผลไม้สดแทนผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องหรือแช่แข็งจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมาก เพราะแค่ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ก็สูญเสียพลังงานจากการแช่แข็งและผลิตผัก-ผลไม้กระป๋องไปถึงสามพันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากพอจะทำให้หลอดไฟทุกดวงในมหานครนิวยอร์กสว่างไสวได้นานถึงสามปี
5. ชีวิตแช่มช้าด้วย Slow Shopping เชื่อไหมว่าการช็อปปิ้งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการใช้ชีวิตอย่างแช่มช้าได้เช่นกัน ด้วยการสนับสนุนสินค้าในท้องถิ่นหรือสินค้าแฮนด์เมดที่ต้องใช้เวลาในการผลิต รวมทั้งการซื้อผัก ผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้รับประทานอาหารสดใหม่ อีกทั้งยังช่วยลดปรากฏการณ์เรือนกระจก เพราะมลพิษจากการขนส่งสินค้าทางไกลอีกด้วย
ใช้บริการร้านค้าใกล้บ้าน
อีกวิธีที่จะช่วยประหยัดพลังงานหรือ พยายามซื้อสินค้าจากร้านและตลาดใกล้บ้าน หรือแวะซื้อจากร้านที่เป็นทางผ่าน แทนการตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปห้างสรรพสินค้าไกลๆ เพื่อซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้น
6. ชีวิตไร้มลพิษกับ Slow Travel ใครที่ชอบเดินทางด้วยความด่วนจี๋ ลองเปลี่ยนวิธีเดินทางเป็นแบบ slow travel ดูบ้าง
เริ่มจากเปลี่ยนการเดินทางด้วยเครื่องบินมาเป็นรถไฟ เรือ จักรยาน หรือแม้แต่การเดิน เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่โลก และใช้เวลาต่อหนึ่งทริปให้นานขึ้น โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมระหว่างทาง เช่น แวะไปเที่ยวตลาดสดกลางหมู่บ้าน ทักทายผู้คนสองข้างทาง และเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยการเลือกไปพักแบบโฮมสเตย์ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเดินทางในครั้งนี้ให้เต็มที่
7. ออกกำลังกายสร้างสมาธิ
อีกวิธีที่จะสลัดความเคร่งเครียดที่มาพร้อมกับความเร่งรีบก็คือการออกกำลังกายในแบบที่แช่มช้า เช่น โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง และการออกกำลังกายตามแบบเต๋า ซึ่งนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงจากความเครียดผ่อนคลายลงแล้ว ยังช่วยให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้สติและสมาธิที่กระเจิงไปเพราะความรีบเร่งกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดสติและสมาธิที่เกิดขึ้นนี้เอง จะเป็นตัวการสำคัญในการดึงจังหวะชีวิตของเราให้ช้าลงโดยอัตโนมัติ
เมื่อคุณวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะไปสู่จุดหมาย
ความสนุกย่อมหล่นหายไประหว่างทาง
เมื่อคุณพะวงและรีบร้อนให้แต่ละวันผ่านพ้น
ก็เท่ากับคุณได้โยนของขวัญที่ยังไม่ได้เปิดทิ้งไป
ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน จงปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างช้าๆ
หยุดฟังเสียงดนตรีอันมีค่า ก่อนหมดเวลาของเสียงเพลง
________________________________________
Slow Life City วิถีชีวิตใหม่ของชาวญี่ปุ่น
เป็นที่น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่พลเมืองญี่ปุ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นประชากรของประเทศที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบและบ้างานถึงขั้นเป็นโรค workaholic ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางออกให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในแบบ slow life
รัฐบาลจึงตอบรับด้วยการประกาศให้เมืองเล็กๆ บางเมืองนำวิถีชีวิตแบบแช่มช้ามาเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ
เมืองคะเกะกะวะ จังหวัดซิซุโอะกะ คือเมืองหนึ่งที่ได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเป็น slow life city และได้ออกบัญญัติการใช้ชีวิตแบบ slow life สำหรับประชาชนไว้ 8 ประการ ได้แก่
1. slow pace สร้างจังหวะให้ชีวิตช้าลง ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชน หันมาเดิน แทนการใช้รถยนต์ ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการจราจรด้วย
2. slow wear รณรงค์ให้ประชาชน สวมใส่ผ้าพื้นเมือง ที่ทำจากวัสดุในท้องถิ่น จะได้ไม่ต้องเสียค่าขนส่งและยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุนชน อีกทั้งยังเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของประเทศเอาไว้ด้วย
3. slow food รับประทานอาหารญี่ปุ่นที่ ปรุงด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาล และปฏิเสธอาหารจานด่วนที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
4. slow house อยู่บ้านแบบญี่ปุ่นโบราณที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
5. slow industry รณรงค์ให้ประชาชนดูแลเรื่องทรัพยากรธรรมชาติการทำฟาร์มหรืออุตสาหกรรม จะต้องไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง
6. slow education ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ทางศิลปะวิถีแห่งชีวิต วัฒนธรรมญี่ปุ่น และเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมมากกว่าความเป็นเลิศทางการศึกษา
7. slow aging มุ่งไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยวิถีธรรมชาติ
8. slow life ดำเนินชีวิตอย่างแช่มช้าตามวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพื่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมโดยรวม

คัดลอกจาก : //www.kanlayanatam.com




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553   
Last Update : 13 ธันวาคม 2553 20:21:05 น.   
Counter : 380 Pageviews.  

ศิลปะแห่งการท่องเที่ยว(โดยไม่ต้องเที่ยว) เรื่องโดย คุณฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา

เคยไหมที่หลังจากได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆแล้ว คุณกลับรู้สึกแย่กว่าก่อนออกเดินทาง
หลายครั้งความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นอาจจะมาจากประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์ที่คุณได้รับจากการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินดีเลย์ เที่ยวบินถูกยกเลิก กระเป๋าเดินทางหาย ถูกล้วงกระเป๋า โรงแรมไม่หรูหราอย่างที่คาดหวังไว้ สภาพอากาศขมุกขมัว สถานที่ท่องเที่ยวปิด เพราะเกิดการไตรค์ขึ้น ฯลฯ
แต่อีกหลายครั้งคุณก็ยังรู้สึกแย่ แม้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีตามแผนที่วางไว้ และเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง นอกจากคุณจะไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแล้ว คุณกลับพบว่า การท่องเที่ยวได้ดูดพลังไปจากจิตวิญญาณของคุณอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“ ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น ”
“ นี่การท่องเที่ยวที่หมายถึงวันลาพักร้อนอันทรงคุณค่า และเงินทองที่เราเฝ้าเก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดทั้งปี ไม่ใช่ทางออกสำหรับชีวิตจริงๆหรือ ”
“ ถ้าการไปเที่ยวก็ช่วยให้ชีวิตอันแสนเหน็ดเหนื่อยและน่าเบื่อหน่ายของเราดีขึ้นไม่ได้ แล้วจะพึ่งอะไรกันต่อไปดี ”
จะพาคุณไปพบกับคำตอบของคำถามเหล่านั้น ณ บัดนี้
ไม่ต้องไปไหนไกลก็สุขได้
ดร.เคิร์ก ไบรอน โจนส์ ( Kirk Byron Jones ) ผู้เขียนหนังสือ Holy Play:The Joyful Adventure of Unleashing Your Divine Purpose กล่าวว่า “ แม้การเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นได้ก็จริง แต่การเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการพักผ่อนที่ช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ชีวิตอย่างแท้จริงนั้น เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งภายนอกที่อยู่รอบตัวเรา”
ซาวีเยร์ เดอ เมสเตรอ ( Xavier de Maistre ) กวีชาวฝรั่งเศลผู้โด่งดังในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากการตีพิมพ์บันทึกการเดินทางที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ภายใต้ชื่อว่า บันทึกการเดินทางไปรอบๆ ห้องนอนของฉัน ( Voyage autour de machambre ) คือบุคคลแรกที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นอย่างเป็นทางการว่า ความรู้สึกเป็นสุขจากการท่องเที่ยว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่หากแต่อยู่ที่สภาพจิตใจในขณะนั้น หากเราสามารถเปิดใจให้กว้างและสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจได้แล้วละก็ เราจะสามารถมีความสุขได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล
เขากล่าวว่า “ คนเรามักจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเป็นเรื่องน่าเบื่อกันจนเป็นนิสัย เราจึงเลิกใส่ใจสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว และพลาดโอกาสที่จะเห็นความสวยงามเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย ”
เมื่อได้อ่านบันทึกของเขา หลายคนอาจจะมองชายผู้นี้ว่าเป็นมนุษย์แปลกประหลาดหรือถึงขั้นเสียสติ แต่ลึกๆ แล้วคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่เดอ เมสเตรอ สามารถมองสิ่งที่ตนเองคุ้นชินให้กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นและสวยงามได้ทุกครั้งนั้น ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
8 วิธีสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจ เพื่อให้คุณรู้สึกสุขสนุก และมีชีวิตชีวาได้โดยไม่ต้องไปไหน
พฤติกรรมผิดๆอย่างหนึ่งที่มนุษย์เราทำอยู่โดยไม่รู้ตัวก็คือ เรามักจะปล่อยชีวิตประจำวันซึ่งกินเวลาถึงร้อยละ 90 ของชีวิตไปกับการหลับหูหลับตาใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ โดยมองข้ามความงดงามของสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายไป แต่กลับไปคาดหวังว่าหากเราได้เดินทางไปยังดินแดนอันห่างไกล ได้ชื่นชมและสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ แม้เพียงชั่วเวลาไม่ถึงร้อยละ 10 ของชีวิตแล้ว ชีวิตของเราจะมีชีวามากขึ้น โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วพลังชีวิตที่เราเฝ้าฝันนั้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลไปไขว่คว้าหาจากที่ไหน แต่พบได้ง่ายๆ ที่นี่และตรงนี้ ขอเพียงแค่เรา เปิดใจ มองชีวิตในมุมใหม่และใส่ใจ ให้มากขึ้น
ต่อไปนี้คือ 8 ขั้นตอนมหัศจรรย์ที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเหมือนได้บินไปพักผ่อนที่รีสอร์ทหรูบนเกาะส่วนตัวโดยไม่ต้องขยับตัวไปไหน
1. รู้จักปิดสวิตซ์บ้าง อย่าใช้ชีวิตในโหมดมนุษย์ออฟฟิศที่พกงานติดตัวไปด้วยทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ยอมตอกบัตร สลัดเรื่องงานออกจากหัวบ้าง เพราะการพักผ่อนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากคุณไม่ลดการทำกิจกรรมที่ดูดพลังจากตัวคุณ โดยเฉพาะการครุ่นคิดเรื่องเครียดๆเช่นเรื่องงาน
2. ละเลียดแทนที่จะเร่งรีบ โยนออร์แกนไนเซอร์ทิ้งไป หันหน้าปัดนาฬิกาไปทางอื่น คว่ำปฏิทินลง เลิกกังวลถึงสิ่งที่คุณเพิ่งทำเสร็จไป เลิกหมกมุ่น คว่ำปฏิทินลง เลิกกังวลถึงสิ่งที่คุณเพิ่งทำให้หมด แล้วหันมาใส่ใจกับปัจจุบันขณะให้มากขึ้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะไม่ค่อยพอใจกับปัจจุบันขณะของตนเอง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ทุกข์กายก็ทุกข์ใจ เช่น หากเราถูกบังคับให้ยืนนานๆ เราย่อมอยากนั่ง แต่เมื่อได้นั่งสักพัก เราก็เริ่มกระสับกระส่าย อยากจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เด็กๆ มักไม่พอใจกับความเป็นเด็กของตนเอง เร่งวันเร่งคืนอยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่สมใจ มีใครบ้างที่ไม่เคยบ่นว่า “ อยากกลับไปเป็นเด็กเหลือเกิน ” ชาร์ล โบเดอแลร์ ( Charles Baudelaire ) กวีชาวฝรั่งเศสยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวไว้ว่า “ ชีวิตก็คือโรงพยาบาล ที่คนไข้แต่ละคนหมกมุ่นอยู่กับการย้ายเตียงนอน คนนี้อยากจะนอนป่วยอยู่หน้าเครื่องทำความร้อน ในขณะที่คนนั้นคิดว่าตนเองจะต้องรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ หากได้นอนข้างหน้าต่าง ” ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะรู้สึกเบื่อกับอยู่เสมอๆ มากน้อยต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้ว ย่อมไม่มีใครที่ไม่เคยประสบพบเจอกับ “ ความเบื่อหน่าย ” ครั้งต่อไปที่ต้องเผชิญหน้ากับความเบื่อหน่าย แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการ “ ฆ่า ” เวลา โดยรีบเร่งทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างจบลงและผ่านไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพียงเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าได้ทำสิ่งนั้นๆแล้ว ลองหันมา “ ฆ่า ” ความเบื่อหน่ายด้วยการใส่ใจกับปัจจุบันขณะ และหาวิธีที่จะตักตวงจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้ได้มากที่สุด ดังที่จอห์น รัสกิน ( John Ruskin ) ศิลปินอังกฤษผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุควิกตอเรียกล่าวไว้ว่า “ โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เห็น ขอเพียงเราเดินช้าลงหน่อย...ความสุขของมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ที่การก้าวไปข้างหน้า หากแต่เป็นการดำรงอยู่ในแต่ละขณะอย่างเต็มตื่นมากกว่า ”
3. ปรนเปรอตัวเอง ถามตัวเองว่า ลึกๆแล้วคุณอยากทำอะไร ต้องการอะไร และอยากเห็นชีวิตของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วลงมือทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยมาก จนไม่อยากทำอะไรเลย ก็จงตามใจตัวเองด้วยการอยู่เฉยๆ แล้วดื่มด่ำกับความสุขจากการไม่ต้องทำอะไรเลยให้เต็มที่ ก่อนจะออกเดินทางเที่ยวไป ลองถามตัวเองว่า เพราะเหตุใดคุณจึงต้องการที่จะออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ คุณรู้สึก “ ขาด ” อะไรและตั้งใจจะไป “ ค้นหา ” อะไรจากสถานที่เหล่านั้น แล้วพยายามหาหนทางเติมเต็มสิ่งที่คุณขาดเสียตั้งแต่วันนี้ เช่น แทนที่จะออกเดินทางรอนแรม เพื่อมองหาสถานที่ในฝันของคุณ ก็ทำบ้านของคุณให้กลายเป็นสถานที่ในฝันนั้นเสียเลย หลายๆครั้งความพึงพอใจในชีวิตก็มักจะมาจากสิ่งละอันพันละน้อย อย่างผ้าปูเตียงสีขาวแบบเดียวกับที่ใช้ในโรงแรม หรือโซฟาหนังตัวใหญ่ที่ทำให้คุณอยากทิ้งตัวลงไปทุกคนเพื่ออ่านหนังสือดีๆสักเล่มก่อนนอน แวนโก๊ะ กล่าวว่า “ บ้านของผมด้านนอกทาสีเหลืองเฉดเดียวกับเนยสด ตัดกับบานเกล็ดสีเขียวสว่าง อยู่ท่ามกลางแสงแดดในจัตุรัสที่มีสวนสีเขียวๆกับไม้พุ่มที่ให้ดอกสีม่วง ขาวและชมพูส่วนด้านในของบ้านเป็นสีขาวสนิท พื้นปูด้วยอิฐสีแดง และคลุมด้วยท้องฟ้าสีฟ้าจัดด้านบน เมื่ออยู่ในที่แบบนี้ ผมสามารถหายใจทำสมาธิและวาดภาพได้ ” อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่จะนำความสุขมาสู่ชีวิตประจำวันของคุณ เพราะแม้คุณจะไม่ใช่ศิลปินเอกของโลกเช่นแวนโก๊ะ แต่ทุกคนก็ควรค่าที่จะได้อยู่ท่ามกลางสิ่งที่ตนรักมิใช่หรือ
4. สวมวิญญาณศิลปิน เสพศิลป์เพื่อสร้างสุข เติมสิ่งดีๆ ให้ชีวิตด้วยการเสพศิลปะ หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมอบให้แก่ตัวเอง ศิลปะทำให้จิตใจของมนุษย์ละเอียดอ่อนขึ้น จนกระทั่งสามารถหันกลับมา “ ใส่ใจ ” ในรายละเอียดที่เราไม่เคยใส่ใจมาก่อน และเข้าถึงความสวยงามของสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง ศิลปะทำให้ความงดงามของสรรพสิ่งปรากฏขึ้นและประทับใจในความทรงจำของเราอย่างหนักแน่นกว่าปกติ วัตถุธรรมดากลายเป็นสิ่งสูงค่าขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ ป่าเขาที่รกร้างกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังได้ เพียงเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมีโอกาสได้ไปอวดโฉมอยู่บนผืนผ้าใบของศิลปินของโลก ตัวโน๊ตไม่กี่ตัวกลายเป็นบทเพลงอันงดงามสลับซับซ้อนที่ได้รับการบรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะตัวโน้ตเหล่านั้นได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่โดยนับประพันธ์ผู้เปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพ จอห์น รัสกิน กล่าวว่า “ ศิลปะทำให้มนุษย์รู้จัก “ สังเกต ” แทนที่จะ “ มองเพียงผ่านๆ ” เราจะเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดสิ่งหนึ่งจึงงดงาม และเพราะเหตุใดเราจึงหลงรักสิ่งนั้น ก็ต่อเมื่อเรารู้จักมองสิ่งนั้นด้วยสายตาอันละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับสายตาของศิลปิน ดังที่แวนโก๊ะกล่าวว่า “ กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันยิ่งกว่าตอนกลางวัน ถ้าเราใส่ใจอย่างแท้จริง เราจะเห็นว่าดาวบางดวงเป็นสีเหลืองมะนาวบางดวงเป็นสีชมพูสุกสว่าง บางดวงเป็นสีเขียว บางดวงเป็นสีฟ้าเรืองรองเหมือนดอกฟอร์เกตมีนอต ดังนั้นจึงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมการแต้มจุดสีขาวเล็กๆลงไปบนพื้นสีฟ้าจึงไม่เพียงพอ ” จงสวมวิญญาณศิลปินมองหาความงดงามในสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัว แล้วดึงเอาความสวยงามเหล่านั้นมาเติมเต็มชีวิตในแต่ละวันของคุณ
5. เปิดบันทึกชีวิตหน้าใหม่ ลองเริ่มทำอะไรใหม่ๆ อะไรก็ได้ที่คุณไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการลองชิมอาหารเมนูใหม่ หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตที่เหลือของคุณ เช่น การตกลงใจสมัครเรียนปริญญาตรีอีกฉบับในสาขาวิชาที่คุณแอบหลงรัก แต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิตได้เสมอ
6. ปลุกใจให้ตื่นจากความซ้ำซากจำเจ แซมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ ( Samuel Taylor Coleridge ) กวีอังกฤษกล่าวไว้ว่า “ แทนที่เราจะปลุกจิตใจให้ตื่นขึ้นจากความซ้ำซากจำเจ แล้วพุ่งความสนใจไปที่ความงดงามและความแปลกใหม่ของสิ่งที่อยู่รอบกาย อันเป็นสมบัติที่ไม่มีวันหมดไปของมนุษย์ เรากลับถูกความคุ้นเคยและความหมกมุ่นกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของตนเองครอบงำ จนกระทั่งเรามีตาที่มองไม่เห็น มีหูที่ไม่ได้ยินเสียง และมีจิตใจที่ไม่เคยรู้สึกรู้สาหรือเข้าอกเข้าใจสิ่งต่างๆรอบกายเลย ” ด้วยเหตุนี้ศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตก็คือ ความสามารถในการมองเห็นความงดงามและแปลกใหม่ในสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ ด้วยการทำตามคำแนะนำง่ายๆ ของมาดอนน่า ( Madonna ) ที่ว่า “Like a virgin, touched for the very first time” คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จงทำราวกับว่ามันคือครั้งแรกสำหรับคุณ แม้ว่าคุณจะเคยทำสิ่งนั้นมาแล้วบ่อยแค่ไหนก็ตาม คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุด สำหรับการสร้างสภาวะแห่งการเดินทางขึ้นในจิตใจก็คือ ความสามารถในการเปิดใจให้พร้อมมองสิ่งเดิมๆ ในแง่มุมใหม่ๆ อย่างปราศจากอคติ โดยไม่ตัดสินหรือตีตราในใจไว้ก่อนว่า อะไรคือสิ่งแปลกใหม่ที่น่าสนใจ และอะไรคือความธรรมดาที่น่าเบื่อหน่าย แต่ค่อยๆสัมผัสโลกอย่างตื่นตาตื่นใจ และศึกษาทุกซอกทุกมุมของสิ่งต่างๆ ด้วยความใส่อกใส่ใจ ราวกับว่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณได้เห็นมัน แล้วคุณจะพบว่า ในสิ่งที่ธรรมดานั้นมีความวิเศษที่คาดไม่ถึง รอให้คุณค้นพบอยู่เสมอ
7. กลายร่างเป็นเจ้าหนูจำไม ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวเหมือนเด็กๆ แล้วใส่ใจกับการหาคำตอบให้แก่คำถามเหล่านั้น เพราะสิ่งที่จะเป็นแรงขับชั้นดีซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและช่วยให้บุคคลธรรมดากลายเป็นคนที่รุ่มรวยขึ้นในเชิงประสบการณ์ชีวิตก็คือ ความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งเปรียบเหมือนน้ำมันเชื้อเพลิงที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของเหล่านักปราชญ์ นักคิดนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกทั้งหลายได้เสมอมา ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด
8. กลับเป็นเด็กอีกครั้ง ถามตัวเองว่า นานเท่าไรแล้วที่คุณไม่ได้ปล่อยใจให้กลับไปคิดอย่างเด็กๆอีกครั้ง นานเท่าไรแล้วที่คุณลืมก้มลงมองน้ำหรือแหงนมองฟ้า แล้วตั้งคำถามตลกๆ กับตัวเองหรือคนใกล้ชิด เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะ หน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งที่คุณรับผิดชอบ ความคาดหวังของผู้อื่น และปัญหาที่นอนเนื่องอยู่ในหัว ถ้าคำตอบของคุณคือ “ นานมากแล้ว ” ขอแนะนำให้คุณลองทิ้งตัวตน เลิกสนใจสายตาคนรอบข้าง แล้วทำตัวให้เหมือนเด็กๆ ดูบ้าง เช่น หยุดยืนพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เราเดินผ่านทุกวันอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าจะถูกเพื่อนร่วมทางที่เดินผ่านไปมามองอย่างประหลาดใจ นั่งลงสเก็ตซ์ภาพต้นไม้หน้าออฟฟิศอย่างตั้งอกตั้งใจ เพียงเพราะว่าเราเห็นว่ามันช่างงดงามเหลือเกิน ค่อยๆ ละเลียดเดินชม และทำความรู้จักสินค้าทุกชิ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน อย่างตื่นตาตื่นใจ และชี้ชวนคนรักให้แหงนหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แล้วก้มลงมองท่วงท่าของเต่าทองที่ค่อยๆ คลี่ปีกแข็งของมันออกด้วยความพิศวง ไม่ต่างจากที่คุณเคยทำสมัยเรียนอยู่ชั้นประถม แล้วคุณจะพบว่า ความสุขนั้นเกิดขึ้นได้ที่นี่และตรงนี้ ด้วยวิธีที่ง่ายกว่าที่คุณคิด ก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง ลองถามตัวเองดูสิว่า กี่ครั้งแล้วที่คุณเฝ้าเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันพักร้อน เพียงแค่จะรุดหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือให้ได้ชื่อว่า “ เคยไป ” “ เคยทำ ” “ เคยกิน ” “ เคยลอง ” แล้วได้กลับมาเพียงแต่รูปถ่ายที่จะไม่มีวันย้อนไปดูซ้ำอีก หรือของที่ระลึกไร้ค่าที่จะกลายเป็นขยะในเวลาเพียงไม่กี่ปีต่อมา จะดีกว่าไหม หากการออกเดินทางครั้งต่อไปของคุณจะเป็นการเดินทางเข้าสู่ภายใน เพื่อเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆ และสร้างความสุขให้เกิดขึ้นที่ใจของคุณเองอย่างแท้จริง

คัดลอกมาจาก : //www.kanlayanatam.com




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2553   
Last Update : 13 ธันวาคม 2553 0:11:06 น.   
Counter : 742 Pageviews.  

The Cicada Market แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของคนหัวหิน


ความเป็นมา

หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากอัตราของนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย ทั้งนี้หัวหินนอกจากจะมีทรัพยากรทางธรรมชาติและบรรยากาศที่น่าพักผ่อนแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องการคมนาคมที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก พร้อมทั้งมีแหล่งพักอาศัยรองรับให้เลือกหลายระดับอย่างเพียงพอ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นต้นทุนทางการท่องเที่ยวที่ดีของเมืองหัวหิน อันมีผลทำให้ความต้องการทางการท่องเที่ยวในหัวหินมีอัตราขยายเพิ่มมากขึ้นดังที่กล่าวไว้ แต่ในขณะเดียวกันกิจกรรมหรือสันทนาการระหว่างการพักตากอากาศ กลับมีรองรับไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้วงจรการท่องเที่ยวของหัวหินในแต่ละครั้งเกิดความซ้ำ มีรูปแบบที่จำกัด อันจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายที่สามารถเกิดขึ้นต่อนักท่องเที่ยวได้

บริษัท ศศิอำไพ ลีเชอร์ บิซิเนส จำกัด จึงได้จัดทำโครงการ The Cicada Market ในธีม “Open Mind & Open Mat: เปิดเสื่อ-เปิดใจ-เปิดไอเดีย” ณ สวนศรี เขาตะเกียบ หัวหิน โดยได้รับความสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งโครงการฯ จะถูกสร้างสรรค์ขึ้น โดยอาศัยการบูรณาการระหว่างศิลปะร่วมกับไลฟ์สไตล์เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อระหว่างผู้สร้างสรรค์ นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา ชุมชน ให้ตอบสนองและเข้าถึงกันได้อย่างมีเสรีภาพ อีกทั้งเป็นแหล่งรวมชิ้นงานศิลปะร่วมสมัยแขนงต่างๆ รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด ของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้มือสอง สินค้าเอสเอ็มอีที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำมาแสดงและจำหน่ายในสไตล์เปิดเสื่อ อีกทั้งเปิดตาและเปิดใจร่วมทำกิจกรรม workshops จากชมรมต่างๆ เช่น กลุ่มเล่านิทาน กลุ่มละคร กลุ่มเต้นรำ กลุ่มถ่ายภาพ กลุ่มนักแสดงเปิดหมวก ฯลฯ ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างสีสันและเสริมสร้างสุนทรียภาพ ท่ามกลางบรรยากาศ Tropical Garden อันร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้งามอายุร่วมร้อยปีบนพื้นที่เกือบ 10 ไร่ของหัวหิน

วัตถุประสงค์

1. เพื่อสร้างพื้นที่ถาวรสำหรับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านศิลปะ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
2. เพื่อสร้างพื้นที่นัดพบระหว่างผู้ซื้อและผู้สร้างสรรค์ชิ้นงานศิลปะ ประเภทต่างๆ
3. เพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ศึกษาทางด้านศิลปะมีพื้นที่ในการแสดงผลงานแก่สาธารณชนมากขึ้น รวมถึงการสร้างรายได้ให้กับประชาคมท้องถิ่น


ทำไมต้องชื่อ The Cicada Market?
จักจั่น: ผู้ขับลำนำแห่งแสงจันทร์ (Cicada: The Choir of Moonshine) ทุกครั้งเมื่อแสงตะวันพลบค่ำต่ำลงในช่วงฤดูร้อน บรรยากาศของสวนที่รายล้อมร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ ที่ขนานนามเรียกตัวเองว่า “สวนศรี” ก็สว่างไสวจากดวงไฟที่ตกแต่งประดับประดา ล้อรับกับกระแสเสียงแห่งลำนำที่ดังก้องอยู่ทั่วจากศิลปินตัวน้อยอย่างจักจั่นที่ดุจคล้ายจะนัดหมายกันมาประโคมเพื่อประโลมแก่กันและกัน จนยากนักที่จะหาเสียงใดมากลบลบความกึกก้องนั้นลงได้ พลกำลังเสียงที่ดังก้องกังวานนั้นต่างตรงข้ามกับรูปลักษณ์ขนาดที่น้อยนิดของตัวมันอย่างสิ้นเชิง การส่งเสียงร้องของจักจั่นไม่จำเพาะแค่นัยแห่งการหาคู่เท่านั้น หากแต่ท่วงทำนองของเสียงร้องยังสื่อไปในความหมายอื่นอีก เช่น ส่งเสียงเพื่อการคัดค้าน ส่งเสียงเพื่อความพึงพอใจ ส่งเสียงเพื่อการข่มขู่หรือป้องกันตัว เป็นต้น ถึงแม้เสียงจักจั่นที่ดังแข่งขานกันนั้นจะมีสำเนียงเสียงฟังดูไม่แตกต่าง แต่สำหรับตัวพวกมันเองแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะแยกแยะว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากตัวใดและเพื่อเจตนาใด ซึ่งแต่ละตัวจะมีความจำเพาะของเสียงที่แตกต่างกัน จักจั่นจึงเป็นสัญลักษณ์นิยมที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของปัจเจกชนผู้มีอุดมคติในทางเดียวกัน ทุกเส้นเสียงของจักจั่นที่ดังก้องอยู่ทั่วนั้น ก็เสมือนความคิด ความสามารถของปัจเจกชนที่มีอัตลักษณ์ และอัตลักษณ์ในแต่ละปัจเจกชนก็สามารถสร้างพลังในทางสร้างสรรค์ร่วมกันได้ โดยยึดบริบททางศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องช่วยยกระดับจิตใจของผู้คน เพื่อสร้างความเสถียรภาพกลับคืนสู่สังคม
นอกจากนี้สัญลักษณ์นิยมของจักจั่นได้ถูกนำมาตีความและใช้เป็นอุดมคติในแนวทางการดูแลและเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะเนื่องจากวงจรชีวิตของจักจั่นตั้งแต่วางไข่ กลายเป็นตัวอ่อน และเจริญเป็นตัวเต็มวัยนั้น มีความสัมพันธ์กับต้นไม้ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับโลก ฉะนั้นความก้องกังวานแห่งลำนำกระแสเสียงจากหมู่มวลจักจั่นยังคงดังอยู่และทวีขึ้นมากเท่าไร นั่นก็หมายถึงสัญญาณแห่งการอยู่รอดของโลกใบนี้ย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น จากแนวคิดดังกล่าวจึงเป็นที่มาของชื่อโครงการ The Cicada Market อันนำไปสู่กระบวนทัศน์ที่จะทำให้เกิดการบูรณาการทางความคิด ความสร้างสรรค์ให้ปรากฎสังคมใหม่ที่อุดมด้วยสุขภาวะขึ้น โดยอาศัยการรวมตัวของปัจเจกชนผู้มีอุดมคติ ในแนวทางศิลปะ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม มีมุมมองทางสังคมเชิงบวก พร้อมแบ่งปันสิ่งต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของสังคม

ที่มาของ Cicada (จักจั่น)

Community of Identity Culture Art and Dynamic Activities
Community การรวมตัวของชุมนุมชนโดยมีวัตถุประสงค์
Identity อัตลักษณ์ หรือลักษณะเฉพาะอันโดดเด่น
Culture วัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่
Art ศิลปะทั้งปวง
Dynamic พลวัต หรือการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
Activities กิจกรรม การแสดงออกอันหลากหลาย

การเดินทางมายังโครงการ
โดยรถยนต์ส่วนตัว ได้ 2 เส้นทาง

1. สายธนบุรี-ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.เพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านเพชรบุรี เข้าหัวหิน ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่ง
2. สายพุทธมณฑล ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
-----------------------------------------
โดยรถทัวร์ปรับอากาศ
เริ่มต้นที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ รถปรับอากาศมี 2 ประเภท คือ ชั้น 1 และ ชั้น 2
รถปรับอากาศชั้น 1 จะจอดเฉพาะอำเภอที่สำคัญเท่านั้น
ส่วนรถปรับอากาศชั้น 2 จะแวะจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางด้วย
• รถปรับอากาศชั้น 1: บ.พุดตานทัวร์ โทร.02-435-5302 บ.หัวหิน-ปราณทัวร์ 02-884-6191-2 บางสะพานทัวร์ 02-435-5105
• รถปรับอากาศชั้น 2: รถร่วมบริการ 02-437-7414
-----------------------------------------
โดยรถไฟ
ลงสถานีหัวหิน ต้องนั่งรถสองแถวสีเขียวต่อมาลงที่หัวถนน หรือลงที่สถานีหนองแก (สามารถเดินเท้าจากสถานีหนองแกถึงโครงการ The Cicada Market ได้เพียงแค่ 5 นาที) มีรถไฟมาหัวหินทุกวัน เริ่มที่หัวลำโพง โทร. 02-233-7010, 02-223-7020 เริ่มที่สถานีธนบุรี-บางกอกน้อย 02-411-3104 (ดาวน์โหลด ตารางรถไฟกลับกรุงเทพฯ ตารางรถไฟออกจากกรุงเทพฯ)


-----------------------------------------

โดยรถตู้

จะมี ท่ารถตู้อยู่ที่ อนุสาวรีย์ชัย (อยู่บริเวณเซ็นจูรี่) จะเป็นท่ารถตู้ของ หัวหิน ชะอำ ซื่อตั๋วปลายทางหัวหิน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง – 2 ชั่งโมงครึ่ง ต่อด้วยรถสองแถวสีเขียวมาลงที่หัวถนน
หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

• ที่ว่าการอำเภอหัวหิน โทร. 0 32623000, 0 3260 2716
• เทศบาลเมืองหัวหิน โทร. 0 3251 1047, 0 3253 2293-5
• สถานีขนส่งอำเภอหัวหิน โทร. 0 3251 1230
• สถานีเดินรถโดยสารประจำทางปรับอากาศชั้นหนึ่ง โทร. 0 32511654, 0 3251 2543
• สถานีรถไฟหัวหิน โทร. 0 3251 1073
• ท่าอากาศยานหัวหิน โทร. 0 3252 0180
• โรงพยาบาลหัวหิน โทร. 0 3252 0401, 0 3252 0371 สถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวหิน โทร. 0 3253 3440-1
• ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยว โทร. 0 3251 1047
• ศูนย์ร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อการท่องเที่ยวหัวหิน (รับแจ้งเบาะแสหรือสิ่งผิดปกติ) โทร. 0 3251 9111, 191
แผนที่



ที่มา : //www.cicadamarket.net/







 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553   
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 1:01:02 น.   
Counter : 397 Pageviews.  


Crescent-Norther-Star
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add Crescent-Norther-Star's blog to your web]