เกร็ดคำสอนดีๆ จาก พระสุปฏิปันโน

ท่านพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฏร์ธานี




อย่าอยู่ด้วยความหวัง แต่อยู่ด้วยสติปัญญา สติปัญญารู้ว่าควรทำอะไรก็ทำ
อย่าไปหวัง ทำให้มันถูกต้อง ผลมันมาเอง ไม่ต้องหวังให้มันกัดกินหัวใจ
หวังเมื่อไหร่ มันกัดหัวใจเมื่อนั้น....อย่าอยู่ด้วยความหวัง
แต่อยู่ด้วยความถูกต้องของการประพฤติการกระทำ



หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



ชีวิตของเรานี้มันแก่ทุกวัน เกิดมามีการยกเว้นไม่แก่บ้างไหม
วันคืนของเรานี้ ตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น ตอนค่ำ มันยกเว้นอายุเราไหม
วันนี้มันก็ให้แก่ พรุ่งนี้มันก็ให้แก่ นอนหลับอยู่มันก็ให้แก่ ตื่นอยู่ก็ให้โตขึ้น ตามเรื่องของมัน
เรียกว่าปฏิปทาของมันสม่ำเสมอเหลือเกิน เราจะนอนอยู่ มันก็ทำงานของมันอยู่
เราจะเดิน มันก็ทำงาน คือความโตของเรานี่แหละ
กลางวันมันก็โต กลางคืนมันก็โต จะนั่งจะนอนมันมีความโตของมันอยู่
เพราะชีวิตประจำวันมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ร่างกายมันได้อาหารมันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าปฏิปทาของมัน
มันจึงทำให้เราโตจนไม่รู้สึก ดูเหมือนกับไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็โตของมันเอง
แต่สิ่งที่เราทำคือเรากินอาหาร กินข้าว ดื่มน้ำนั่นเป็นเรื่องของเรา
เรื่องร่างกาย มันจะโตจะอ้วน มันก็เป็นของมัน เราก็ทำงานของเรา
สังขารมันก็ทำงานของสังขาร มันไม่พลิกแพลงอะไร
ที่ปฏิปทาของมันติดต่อกันอยู่เสมอ การทำความเพียรของเราก็เหมือนกัน
ต้องพยายามอยู่อย่างนั้น เราจะต้องมีสติติดต่อกันอยู่อย่างนั้นเสมอ



แก้วแตก
โยมว่า "อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ" ของมันแตกได้ โยมจะไปห้ามมันไม่ได้ ไม่แตกเวลานี้ ต่อไปมันจะแตก เราไม่ทำแตก คนอื่นจะทำแตก คนอื่นไม่ทำแตก ไก่มันจะทำแตก

พระพุทธเจ้าท่านให้ยอมรับ ท่านมองทะลุไปว่า แก้วใบนี้แตกแล้ว แก้วที่ไม่แตกนี้ ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว จับทุกทีใส่น้ำดื่มเข้าไปแล้ววางไว้ ท่านก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้ว เข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของท่านเป็นอย่างนั้น เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบที่ไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้ว ไม่ดีเมื่อไรมันก็จะแตกเมื่อนั้น ทำความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็ใช้แก้วใบนี้ไป รักษาไป
อีกวันหนึ่ง พอมันหลุดมือแตก "ผัวะ" สบายไปเลย ทำไมสบาย เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว เห็นไหม แต่ถ้าเป็นโยม "แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน อย่าทำให้มันแตกนะ" อีกวันหนึ่งสุนัขทำแก้วแตก เกลียดสุนัข ถ้าลูกทำแตกก็เกลียดลูก เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่ให้น้ำไหลออกไป กั้นไว้อย่างเดียว ไม่มีทางระบายน้ำ ฝายมันก็แตกเท่านั้นแหละใช่ไหม ต้องทำฝายแล้วทำทางระบายน้ำด้วย พอน้ำได้ระดับแค่นี้ ก็ระบายน้ำข้าง ๆ นี่ เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกข้างนี้
ท่านเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเป็นทางระบายของท่าน
อย่างนี้โยมจะสงบ นี่คือการปฏิบัติธรรมะ




หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์



สิ่งอันประเสริฐที่มีอยู่เฉพาะหน้าแล้วไม่สนใจ
กลับไปหวังไกลถึงสิ่งที่เป็นเพียงการกล่าวถึง
เป็นลักษณะของคนไม่เอาไหนเลย...
ก็ในเมื่อมรรคผลนิพพานในศาสนาสมณโคดมในปัจจุบันนี้
ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ
เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก



พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ



คนที่ยังไม่มีปัญญามักปฏิเสธว่า "ฉันไม่มีปัญหา"
เมื่อเริ่มสว่างขึ้นมาหน่อยก็ยอมรับว่า "ฉันมีปัญหา"
ขั้นต่อไปก็คือ..."ฉันคือปัญหา"
เราต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เราปฏิบัติเพื่ออะไร ? เราปฏิบัติเพื่ออยากเอา อยากเด่นไหม
หลวงพ่อชาท่านก็สอนเสมอว่า "อย่าปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไร? อย่าปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร?"
อย่าเป็นพระพุทธเจ้า อย่าเป็นพระอรหันต์ อย่าเป็นพระอนาคามี
อย่าเป็นพระสกิทาคามี อย่าเป็นพระโสดาบัน
อย่าเป็นอะไรเลย เป็นแล้วมันจะเป็นทุกข์



พระอาจารย์มิตซูโอะ



ต้องละความชั่วก่อน

ถ้าเราต้องการพ้นทุกข์ ต้องการความสงบ ต้องการความบริสุทธิ์
ก็มีขั้นตอน คือ ต้องละความชั่วก่อน
เพราะฉะนั้นเราต้องเฝ้าสังเกตตัวเอง
การกระทำก็ดี การพูดจาก็ดี ความคิดก็ดี เราพยายามศึกษาดู ตั้งใจดู
ธรรมดาเราไม่ค่อยชอบดู เพราะเราไม่ซื่อสัตย์ เราทุจริต
เราไม่กล้า ไม่กล้ามองจุดอ่อน จุดบกพร่องของตัวเอง
การละความชั่วของตัวเองนี่เหนื่อยนะ แล้วเราก็ขี้เกียจด้วย

ปกติใจเราก็นึกแต่ “ให้เขาละความชั่ว”
คนอื่นที่ทำให้เราไม่ถูกใจ เราก็อยากให้เขาเปลี่ยน
เราไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง เรามองข้ามตัวเองเสมอ
อะไรไม่ถูกใจก็วิ่งไปชนแล้ว
จิตใจของเราก็มักจะเป็นอย่างนั้น

จริงหรือไม่จริงก็ดูใจตัวเอง
ตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร ไม่ถูกใจแล้วเป็นอย่างไร
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ไม่ถูกใจก็เกิดกิเลสออกจากภายในจิตใจ
ออกเป็นลักษณะ โกรธ โมโห จิตใจก็วิ่งไปชน อยากให้เขาแก้

ปกติเรามักขะสร้างปัญหา ทำเรื่องเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่
อะไรนิดหน่อย เราก็เกิดอารมณ์ แล้วกิเลสก็ปรุงแต่งไป
ยิ่งพูดกับเพื่อนๆ ในเรื่องที่เราไม่พอใจ
ใครทำอะไรให้เราไม่พอใจ เราก็พูดไปเรื่อยๆ ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นๆ
จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ เห็นคนอื่นเป็นคนชั่วหมด

ความจริงก็ไม่มีอะไรมากมาย
เราก็มองเห็นแต่เขาเป็นคนชั่ว คนไม่ดี คนบ้า เป็นโรคประสาท
ใจเราก็นึกอยู่อย่างนั้น เพราะไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ
จิตก็ปรุงแต่ง สร้างขึ้นมา
แต่ความจริงไม่ใช่เขาเป็นคนชั่ว ไม่ใช่เขาไม่ดี ไม่ใช่เขาเป็นโรคประสาท
ใจเรานี่ต่างหาก
ความจริงมันก็เหมือนกับเรานินทาตัวเอง ว่าตัวเองว่า
เป็นโรคประสาท เป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี เป็นบ้า
มีแต่ด่าตัวเองทั้งนั้น

คนมีโทสะ อยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น
จัดห้องแอร์ดีๆ ปรับอากาศดีๆ อาหารการกินดี ห้องน้ำดี
ทุกสิ่งทุกอย่างสบายดี แต่คนที่มีโทสะก็ยังโกรธได้
เพราะยกเอาของเก่าๆ ขึ้นมานึก.…. คิด แล้วก็โกรธอยู่อย่างนั้น
ไม่ใช่เพราะเราเจอคนไม่ดีหรอก
ถึงแม้ว่าเราไม่เจอใคร อยู่ดี กินดี ไม่มีอะไร
แต่ก็นึกอดีตขึ้นมา เอาอดีตขึ้นมาทะเลาะกันได้
นี่เป็นธรรมชาติของกิเลส
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอวกาศ คนโกรธก็โกรธอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้นที่เราคิดว่า เราทุกข์อย่างนี้เพราะเขาเป็นอย่างนั้น
อันนี้ไม่จริง



หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา



นี่มันอยู่ตรงนี้ เรื่องสมาธินี่ ถึงใครจะวิเศษวิโสสักปานใด
มันไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอกมันวิเศษอยู่ตรงที่ว่า
เมื่อจิตเราเป็นสมาธิแล้ว เราจะละบาปได้หรือเปล่า
ศีลห้าเราบริสุทธิ์หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ใครภาวนาไม่เป็นก็อย่าไปสนใจ
รักษาศีลห้าให้บริสุทธ์ แค่นั้น ปิดประตูอบายได้แล้ว




หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย



ตัวของเราทั้งหมดมีจิตอันเดียวเป็นของสำคัญอยู่ในตัวของเรา
คนมากมายหมดทั้งโลกนี้ก็จิตตัวเดียว
จิตคนละดวงๆเท่านั้นแหละ มันวุ่นวายอยู่นี่แหละ
แต่ละคนๆ รักษาจิตของเราไว้ได้แล้ว มันจะวุ่นอะไร มันก็สงบหมดเท่านั้น
ต่างคนต่างรักษาใจของตน ต่างคนมีสติรักษาใจเท่านั้นก็เป็นพอ
ที่มันยุ่งมันวุ่นก็เพราะเหตุที่ไม่รู้ใจของตน รักษาใจของตนไว้ไม่ได้
มีโลภโมโทสันสารพัดทุกอย่าง วุ่นวี่วุ่นวายเกิดแต่ใจนี่ทั้งนั้น
แล้วใจมันได้อะไรล่ะ โลภมันได้อะไรไปใส่ใจ โลภมันไปกองอยู่ที่ใจมันได้อะไร
โทสะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ ไปไว้ที่ใจมีไหมล่ะ โมหะ ความหลงไปไว้ที่ใจมีไหม
ใจไม่เห็นมียุ้งมีฉางใส่ ใจไม่เห็นมีตนมีตัว มันได้อะไร มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
ผู้ที่ว่าได้ว่าดีนั้น มันดีตรงไหน โลภโมโทสันได้มาแล้วว่าดีนั้น โกรธ โลภ หลง คนนั้นคนนี้
เห็นตนว่าวิเศษวิโส ว่าตนดี มันดีอะไร วิเศษอะไร มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย




สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



“โลกจะมีสันติภาพเพราะเมตตายิ่ง
ปีใหม่แล้ว ทุกคนขอให้เริ่มแก้ที่ตัวเองก่อน
แก้ที่ใจวุ่นวาย เร่าร้อนด้วยอำนาจจิตของกิเลส
ให้กลับเป็นใจที่สงบเย็นบางเบาจากกิเลส

ที่เคยโลภมาก ก็ให้ลดลงเสียบ้าง
ที่เคยโกรธแรง ก็ขอให้โกรธเบาลง
ที่เคยหลงจัด ก็ขอให้พยายามใช้สติปัญญา
ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน
ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็น
กว้างขวางออกไป อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

โลกเย็น เพราะเมตตายิ่ง
โลกร้อน เมตตาหย่อน
นี้เป็นความจริงที่ควรยอมรับและควรแก้ไข
อันการแก้นั้นก็ต้องไม่ไปแก้ผู้อื่น
ต้องแก้ที่ตัวเอง แก้ตัวเองให้ยิ่งด้วยเมตตา
หรือให้มีเมตตายิ่งขึ้นนั่นเอง เมื่อมีเมตตาอย่างจริงใจแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดผลงานมากมาย
เป็นคุณทั้งแก่ผู้รับ และเป็นคุณทั้งแก่ผู้ให้"









Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2553 23:24:05 น. 1 comments
Counter : 1715 Pageviews.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: billabong11 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:54:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Crescent-Norther-Star
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add Crescent-Norther-Star's blog to your web]