"นับแต่ครั้งลู่อวี่ถือกำเนิด...มนุษยชาติเกิดวิทยาชาศึกษา"
"นับแต่ครั้งลู่อวี่ถือกำเนิด มนุษยชาติเกิดวิทยาชาศึกษา" [ชื่อหัวข้อนี้ ยกมาจากสำนวนแปลของ คุณ ม. ประภา ห้องจีนศึกษา] [บทความด้านล่างนี้ คัดมาจาก ที่เจ้าของ BLOG เคยเขียนตอบในห้องจีนศึกษา] ผมเป็นคนชอบเรียนประวัติศาสตร์ เพราะผมกระหายใคร่รู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่เราเห็น จนชาชินนั้น แท้ที่จริงแล้ว มีต้นกำเนิดเช่นไร เมื่อครั้งที่แล้ว ได้เล่าถึงประวัติ เสินหนง และ ชาถ้วยแรก ที่มนุษยชาติได้ลิ้มรส จึงคิดว่าน่าจะเล่าต่อไป ถึงการศึกษาวิจัยเรื่องใบชาอย่างจริงจัง จนในที่สุดเกิดเป็นวัฒนธรรมชาขึ้น และแพร่หลายไปทุกๆส่วน ของโลก ไม่ว่าจะเป็น ชาจีน ชาญี่ปุ่น ชาฝรั่ง ชาเขียวขวด ไปจนถึง ชาไทยใส่นม ที่ทุกๆคนคุ้นเคย เมื่อจะกล่าวถึงตำนานชา คงจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก หากไม่ได้กล่าวถึง "ลู่อวี่" ซึ่งลู่อวี่ผู้นี้ มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง ช่วง ค.ศ.733 - 804 ประวัติชีวิตของลู่อวี่นั้น ออกจะคลุมเครือสักหน่อยครับ ไม่มีเอกสารจากแหล่งใดยืนยันชัดเจนนัก ประวัติคร่าวๆ ของ ลู่อวี่ นั้นมีเพียงว่า เขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ ตั้งแต่ 3 ขวบ และอยู่ภายใต้การดูแลของหลวงจีนรูปหนึ่ง ลู่อวี่ เป็นเด็กฉลาด รักการเรียนรู้ และแม้ว่าลู่อวี่จะถูกเลี้ยงมาในวัด แต่ก็ไม่ได้บวชเรียนเป็นหลวงจีนครับ ลู่อวี่ยังอยู่ในเพศฆราวาส แต่ก็ไม่ได้มีครอบครัว ตราบจนสิ้นอายุขัย
มีตำนานเล่าขานเรื่องของ "ลู่อวี้" มาเสริมครับ
ตำนานว่าลู่อวี่กำพร้าพ่อ ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงและน้องต่างแม่ ชีวิตความเป็นอยู่ก็เข้าตำรารันทดแบบซินเดอร์เรย์ร่า แต่ลู่อี้ไม่รู้ตัวครับ เพราะยายแม่เลี้ยงเจ้าเล่ห์กว่าเยอะ ด้วยความที่อยากกำจัดหนามยอกอก แต่ก็ยังต้องการรักษาหน้าไม่ให้เพื่อนบ้านนินทา จึงปรุงอาหารเป็นพิเศษสำหรับเด็กชาย "ลุ่อี้" มาตลอด
อาหารที่ปรุงพิเศษนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือทุกมื้อของเด็กชายลู่อี้จะเต็มไปด้วยส่วนผสมของน้ำมันหมู มันหมูชิ้น และกากหมูจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนครับ ใครที่ชอบกินอาหารจีนนอกบ้านย่อมรู้ดี ว่าอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันหมู (แม้แต่ผัดผักไฟแดงที่หลายคนชื่นชอบ แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าหรอกว่าทำไมกินผักแล้วถึงอ้วนเอาอ้วนเอา) รสชาติจะหอมอร่อยขนาดไหน
นานวันเข้าเด็กชายลู่อี้ก็อ้วนขึ้นพร้อมกับสุขภาพที่แย่ลง ข้างแม่เลี้ยงกลับได้คำชื่นชมจากเพื่อนบ้านเพราะเห็นเด้กชายลู่อวี้ตัวอ้วนกลม ชมว่าดูแลลูกเลี้ยงดีกว่าลูกของตัวเองเสียอีก
วันหนึ่งเด็กชายลู่อวี่ก็ไปเล่นที่วัดใกล้บ้านที่ชอบไปเที่ยววิ่งเล่นเป็นประจำ เจ้าอาวาสซึ่งเป็นสหายของพ่อลู่อวี่ ได้เฝ้าสังเกตอาการของเด็กชายลู่อวี่มาโดยตล อด จนวันหนึ่งจึงเรียกหนูน้อยเข้ามาถาม
"ลูกเอย แม่ของเจ้าดีต่อเจ้าหรือเปล่า" เจ้าอาวาสถาม
"ดีขอรับ ท่านแม่ทำกับข้าวอร่อยให้กินทุกวันเลย" ลู่อวี่ตอบ
"แล้วที่อร่อยน่ะ แม่เจ้าให้เจ้ากินอะไร" เจ้าอาวาสถามต่อ
"กินมันหมูผัดครับ อร่อยมากเลย หนูกินทุกวันชอบมาก" เด็กชายลู่อวี้ตอบด้วยความไร้เดียงสาตามประสาเด็กอายุ ห้า - หกขวบ
"งั้นต่อไปนี้เจ้ามาที่นี่ทุกเย็นหลังอาหารนะ ข้ามีอะไรให้เจ้าดื่ม" เจ้าอาวาสซึ่งเริ่มเดาอะไรออกบอกกับเด็กชาย
หลังจากนั้นสิ่งที่ลู่อวี่ได้ดื่มร่วมกับเจ้าอาวาสทุกเย็น ก็คือชา "กงฟูฉา" หรือ "กังฮูเต๊" ในภาษาเต้จิ๋ว ซึ่งก็คือชาอู่หลงชงเข้มข้นด้วยกรรมวิธีพิถีพิถันใส่ถ้วยเล็ก ๆ ซึ่งแรก ๆ เด็กก็ดื่มยาก แต่ด้วยความมคะยั้นคะยอจากเจ้าอาวาส ในที่สุดก็ยอมดื่นเป็นนิสัย แต่ได้รับการกำชับจากเจ้าอาวาสว่าห้ามไปบอกใครว่ามาดื่มน้ำชาที่วัด
ต่อมาลู่อวี่ที่สุขภาพเคยแย่เพราะความอ้วน ก็แข็งแรงขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย เป็นลมง่ายเหมือนเดิม แก้มมีสีนวลขึ้นกว่าเดิม ข้างแม่เลี้ยงเห็นสภาพแล้วก็เกิดสงสัย ว่าอาหารที่ทำให้ลู่อวี่กิน ท่าจะทำให้เด้กแข็งแรงผิดจากที่คิดไว้ นับแต่นั้นนางก็ทำอาหารมันหมูให้ลูกของนางกินตลอด จนที่สุดลูกของนางเองก็เสียชีวิตเพราะโรคอ้วน
ตำนานนี้แม้ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเป็นเรื่องของลู่อวี้จริงหรือไม่ แต่ก็เชื่อว่าเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เฝ้าสังเกตสรรพคุณของชา ที่มีผลต่อการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ลดโอกาสการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวจีนนิยมดื่มชาหลังอาหารมาจนทุกวันนี้
เรื่องนี้คงช่วยอธิบายได้ว่าทำไมพอดื่มชาเข้าไปถึงหิวนัก เพราะการกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกายนี่เอง จากคุณ : ม. ประภา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 13:59:22
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชา อ่า....ก็ ลู่อวี่นี่ล่ะครับ ถือว่าเป็นผู้ รสจนาแต่งคัมภีร์ชา เล่มแรกของโลก ซึ่งถูกแปลไปมากมายหลายภาษามาก (ยกเว้นภาษาไทย แฮ่ะๆๆ) ลู่อวี่มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือนิยมชมชอบ ในการดื่มชา เมื่ออายุย่างเข้า 21 ปี ก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอุทิศชีวิตให้กับการศึกษาเรื่องชา อย่างจริงจัง คราวนี้ ถ้าพูดตามภาษานิยายกำลังภายในแล้วละก็ ประมาณว่า จะออกท่องยุทธภพว่างั้น... ลู่อวี่ ก็เลยออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วจงหยวน แสวงหาชามาชงดื่ม บันทึกเรื่องราวของชาท้องถิ่นไหนคุณภาพเป็นหนึ่งในแผ่นดิน น้ำจากที่ใดเมื่อนำมาชงชาแล้ว จะได้น้ำชารสเลิศในปฐพี (แฮ่ะๆๆ) กระบวนการผลิตชาแต่ละชนิดเป็นอย่างไร ก็จดบันทึกเอาไว้ จดไปจดมา เวลาล่วงเลยไป 20 ปี จึงได้หนังสือมา หนึ่งชุด 3 ม้วน จำนวน 10 บท และกลายเป็นคัมภีร์ชาที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา เมื่อหนังสือรสจนาชา ของลู่อวี่ กลายเป็นคัมภีร์แห่งชาเล่มแรก และถูกเผยแพร่ในวงกว้าง ลู่อวี่จึงถูกยกย่องให้เป็น บูรพาจารย์แห่งชา บ้างก็ยกให้ลู่อวี่เป็น เซียนชา หรือ เทพแห่งชา (ว่ากันไปนั่น) ร้านขายอุปกรณ์ชา หรือแม้แต่ ร้านน้ำชา (ยกเว้นโรงน้ำชาในบางประเทศ อิอิ) จะมีรูปปั้นของลู่อวี่ไว้บูชา ร้านขายอุปกรณ์ชา บางร้าน จะสมนาคุณลูกค้า ที่ซื้ออุปกรณ์ที่แพงที่สุดในร้าน ด้วยรูปปั้นของลู่อวี่ ลู่อวี่ เป็นคนสมถะ เรียบง่าย ไม่กระเสือกกระสน ที่จะแสวงหาลาภยศสรรเสริญ แม้แต่ ถังเต๋อจงฮ่องเต้ มองเห็นศักยภาพ ในภูมิความรู้ในตัวเขา และได้เชิญ ลู่อวี่ เข้ารับราชการถึงสองครั้งสองครา แต่ลู่อวี่ไม่เคยตอบรับเลยแม้แต่ครั้งเดียว....ลู่อวี่ ใช้ชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต...
คำจารึกบนเสาหินทั้งสองฝั่งหลุมศพของ "ลู่อวี่" มีความหมายว่า
"นับแต่ครั้งลู่อวี่ถือกำเนิด มนุษย์ชาติเกิดวิทยาชาศึกษา" จากคุณ : ม. ประภา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 52 21:17:22
รูปปั้นขนาดใหญ่ ของ ลู่อวี่ ...เอวัง... "น้ำค้างหยกเก้าบุปผา"
*ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก - Wikipedia และ รวยรินกลิ่นชา* *ภาพประกอบทั้งหมดในหน้านี้ จากอินเตอร์เน็ต* *All images on this page from internet*
Create Date : 02 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 0:21:01 น. |
|
57 comments
|
Counter : 5408 Pageviews. |
|
|