คารวะจอกที่ 1
ความคิด เจตคติ ทัศนคติ ของผมถูกหล่อหลอมมาจาก ปรัชญาตะวันตก เริ่มแรกนั้น ผมไม่ได้เป็นนักอ่านตัวยงอะไร แต่ด้วยเพราะเหตุจำเป็น ที่ต้องอ่านหนังสือนอกเวลา ไปสอบสมัยมัธยม ทำให้ผมสนใจในการเสพวรรณกรรมขึ้นมา จำได้ว่า วรรณกรรมเล่มแรกๆ ที่ได้อ่านอย่างเอาจริงเอาจัง น่าจะเป็นเรื่อง ตามล่า และต่อมาด้วยวรรณกรรมไทยอย่าง ข้างหลังภาพ
หลังจากที่รู้จักการเสพวรรณกรรม ก็เริ่มหาหนังสือที่สนใจอ่าน ต้องยอมรับว่า ช่วงแรกเริ่มนั้น อ่านแบบสะเปะสะปะ หาแก่นสารอะไรไม่ค่อยได้ และเนื่องด้วย สังคมไทยช่วงนั้นก็ถูก ปรัชญาตะวันตกถาโถมเข้ามาอย่างจัง ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมเยาวชน หนังสือ How To ทั้งหลายแหล่ ซึ่งท่านผู้นำของประเทศ ในยุคนั้น แนะนำให้อ่านหลายต่อหลายเล่ม ผมก็ซื้อตามบ้าง อาศัยหยิบยืมจากคนอื่นเขามาอ่านบ้าง
ช่วงนั้น จานดาวเทียมสีแดงในหัวสมองของผม (สีคล้ายๆ จานของ True Vision ฮ่าๆๆๆ) หันไปทางทิศตะวันตก ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ต้องเป็น หนังฝรั่ง เพลงฝรั่ง อ่านหนังสือที่แปลมาจากภาษาฝรั่ง ช่วงนั้นยอมรับว่าตัวเป็นไทย แต่ใจฝรั่ง มีโอกาสได้ชม ภาพยนตร์ไทย เรื่อง ทวิภพ จำที่นางเอกพูดได้ เราอยากเป็นเขา...และปฏิเสธที่จะเป็นเรา เป็นแบบนั้นเลยจริงๆ ทัศนคติของผมตอนนั้น ออกจะเห็นว่า ความคิด ทัศนคติ ดั้งเดิมของเราเป็นอะไรที่ล้าสมัย ไม่ทันการ
คารวะจอกที่ 2
สิ่งที่ตามมา พร้อมกับการทำความคิดให้เหมือนฝรั่งคือ กาแฟ ปกติ ที่บ้านของผม ก็คงเหมือนกับเด็กทั่วๆไป คือ แม่ไม่ให้ดื่มกาแฟ พอใด้ลิ้มลองบ้าง ก็แอบชงกินตอนแม่ไม่อยู่ ได้รับอนุญาตให้ดื่มกาแฟ ตอนเข้าช่วงชั้นมัธยมปลาย กาแฟที่ดื่มก็เป็นจำพวกกาแฟสำเร็จรูปทั่วไปที่ขายตามท้องตลาด ชงแล้วดื่มลิ้มรสความหวานมัน ของครีมเทียม และน้ำตาล กลิ่นก็ได้จากกาแฟ(ที่แต่งกลิ่นสังเคาระห์เข้าไป) หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยเหตุผลกลใด ไม่ทราบได้ กระแสกาแฟสด เกิดตูมตามขึ้นมาในเมืองไทย ร้านกาแฟสดผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ดูเหมือนการที่คนๆหนึ่ง ดื่มกาแฟสด จะทำให้ดูมีรสนิยม ดูเป็นคนมีระดับกว่าคนอื่นเขา ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่า ต้องเปลี่ยนรสนิยมเสียที จากที่ดื่มกาแฟ สำเร็จรูป 3in1 ก็อยากลองเปลี่ยนมาดื่มกาแฟดำ ก็ลองเอากาแฟสำเร็จรูป มาลองชงดู โดยไม่ใส่ทั้งน้ำตาล ทั้งครีม
รสชาติแรก ที่ลิ้นรับรสได้คือ เปรี้ยวมาก ซดไปแล้วแทบจะอาเจียนออกมา แต่พอดื่มไปสักพักก็เกิดความคุ้นเคย (แต่มันก็เปรี้ยวอยู่ดี) ก็เลยอยากลองเปลี่ยนไปทานกาแฟสด ลองหาซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตมาทานดู ซื้อมาชงครั้งแรก ด้วยความไม่รู้อะไรเลย (ระยะนั้นไม่มีคู่มือกาแฟขายกันดาษดื่นแบบทุกวันนี้) ผมเอาผงกาแฟสด ชงใส่น้ำทำแบบชงกาแฟสำเร็จคนๆ แล้วยกขึ้นดื่ม โอโห!! กากกาแฟเต็มปาก(ฮ่าๆๆ)
หลังจากประสบการณ์ครั้งแรก ดูเหมือนจะไม่มีความรู้เรื่องกาแฟสด ก็เลยไปเดินดูในห้าง ช่วงนั้นอุปกรณ์ชงกาแฟสดค่อนข้างน้อย ก็เลยซื้อเครื่องชง กาแฟสด แบบก้านกด (Coffee Press) มาลองชงดู ผลก็ออกมาในระดับน่าพอใจกาแฟหอมอร่อย ไม่เปรี้ยว แบบที่เคยดื่มกาแฟสำเร็จรูปเลย และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ของวัฒนธรรมกาแฟ แบบตะวันตก ซื้อต่อมาผมต้องซื้อกาแฟในร้าน ซื้อแพงกว่าข้าวแกงที่กินหลายเท่า
คารวะจอกที่ 3
หลังจากที่ดื่มกาแฟเป็น ชักเริ่มชื่นชอบความหรูหรา จากทานกาแฟที่บ้าน ก็ออกไปนั่งทานกาแฟในร้าน กาแฟแก้วหนึ่งนั้น ซื้อข้าวแกงได้มากกว่าสองจาน แต่ก็ซื้อกิน เพราะการนั่งทานกาแฟในร้านกาแฟ มันชั่งดูมีระดับพิลึก จิบกาแฟ มองดูผู้คนนอกร้าน เดินกันขวักไขว่ ระยะนั้นดื่มกาแฟ และมีความรู้เรื่องกาแฟพอสมควร แต่บุคลากร ในร้านกาแฟ ยังมีความรู้น้อยกว่าลูกค้า บางทีสั่งอะไรไปแล้ว พนักงานทำหน้างงๆ (มันคืออะไรหว่า ร้านเรามีด้วยเหรอ) เขียนไว้ ที่เมนู แต่พอสั่งไปกลับไม่รู้จัก ฮ่าๆๆๆ ผมเคยเดินผ่านร้านขายชาจีน ตามห้างบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยสนใจ จะลิ้มลอง ด้วยความรู้สึกเหมือนๆกับคนทั่วไปที่ว่า ชาจีนเป็นเรื่องของคนแก่ นั่งชง ซดชา หัวเราะพุงกระเพื่อม และเห็นว่าออกเป็นเรื่องล้าสมัย เชย อะไรทำนองนี้
จนระยะต่อมา ไม่รู้ทำไม กระแสชาเขียว บูมขึ้นมาแทนที่กาแฟสด ชาเขียวชงใส่ขวด มีอยู่หลายเจ้า หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ จนโรงงานน้ำอัดลม เจ้าของตลาดเดิม หนาวๆร้อนๆ ผลิตภัณฑ์ชาเขียว มาพร้อมกับโฆษณาชวนเชื่อสารพัด โฆษณาชวนเชื่อ มาพร้อมกับแผนการตลาดของบริษัทผลิต มีข้อมูลสารพัดที่อยากให้คนควักกระเป๋าซื้อ ชาเขียวต้านมะเร็ง? ต้านอนูมูลอิสระ? ผลการวิจัย(ที่มีนัยแอบแฝง) มีให้เห็นกันบานเบอะเยอะแยะ ผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมา ก็มีสารพัดรูปแบบ ชาเขียวขวด เค้กชาเขียว บะหมื่ชาเขียว ลูกอมชาเขียว ไอศครีมชาเขียว ไปจนถึง ผ้าซับระดู กลิ่นชาเขียว ผมก็ถูกโฆษณา ชวนเชื่อเข้าเหมือนกัน เลิกดื่มกาแฟ หันมาดื่มชาเขียว ดื่มชาเขียวผสมน้ำตาล ที่ขายกันตามร้านสะดวกชื้อนี่ละ และแล้วก็คิดว่า ตอนดื่มกาแฟ นี่เราดื่มกาแฟดำ แล้วทำไมมาดื่มชาต้องดื่มชาใส่น้ำตาล ก็เลยไปดื่มชาเขียวขวด ไม่ผสมน้ำตาล ช่วงนี้เอง ที่ลิ้นเริ่มรับรสชา เนื่องจากน้ำชา มีรสที่อ่อนกว่ากาแฟ ดังนั้นจึงต้องปรับลิ้นพอสมควรเมื่อหันมาดื่มชา
ผมดื่มชาขวดอยู่พักใหญ่ เห็นว่า ราคาของชาขวดไม่สัมพันธ์กับคุณภาพ เพราะดูเหมือนต้นทุนแสนจะถูก แต่เอามาขายแพงมาก จึงเริ่มสนใจที่จะชงชาดื่มเอง แรกเริ่ม ก็ไม่รู้จักหรอกพวกชาจีนนี่ รู้จักแต่ชาสามม้า ชาน้ำเต้า ที่ขายกันตามท้องตลาด และผมก็เลยลองซื้อชามะลิ ยี่ห้อหนึ่งมาดื่ม รู้สึกว่ามันจะหอมมะลิมากๆ ซื้อมาดื่มได้พักใหญ่ กลับไปอ่านที่ข้างๆกล่อง ปรากฎว่า แต่งกลิ่นสังเคราะห์ อันนี้ผิดหวังมากเลย นึกว่าเป็นกลิ่นตามธรรมชาติซะอีก เห็นชาจีน ที่ขายในซุปเปอร์มาเก็ต เขียนว่า ทิกวนอิม ยี่ห้อนกยูง ห่อหนึ่ง ราคา 40 บาทเห็นจะได้ ซื้อมาชงดู กลิ่นที่ได้รับ เหมือนจะเป็นกลิ่นชา แบบจีนแท้ๆ ก็ซื้อมาดื่มอยู่หลายห่อเหมือนกัน จนในที่สุด จากการอ่านข้อมูลจากหนังสือหลายเล่ม และเวบไซด์หลายแห่ง ก็ถึงคราวที่ต้องไปซื้อชาที่เยาวราช
ไปเดินเยาวราช ซื้อชาต้งติ่งอูหลง มาทานดู ป้านชา ซื้อแบบราคาถูกกะบะหน้าร้าน ใบละ 80 บาท ปรากฎว่า กลิ่นนั้นหอมยวนใจจนเหลือล้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา พอดื่มชาจนรู้รส ก็ชักอยากจะหาซื้อป้านชาคุณภาพ มาเป็นเจ้าของ ครั้งแรกไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องเป็นป้านขนาดไหน เลยซื้อป้านขนาด 10 จอกเล็ก หรือ 6 จอกใหญ่ มาชงไปสักพัก ก็เริ่มมีป้านขนาดต่างๆเพิ่มขึ้น แต่ที่ใช้ชงอยู่ทุกวันนี้ เป็นป้านเล็ก ขนาด 4 จอกเล็ก หรือ 2 จอกใหญ่ ตอนนี้จากที่เป็นคนติดกาแฟ หันมา ดื่มชาป้านเล็ก นั่งชง ซดชา (แต่พุงไม่กระเพื่อม) เริ่มหันจานดาวเทียมในหัวสมองสู่ตะวันออก สู่ปรัชญาตะวันออก จาก แฮร์รี่ พอตเตอร์ สู่ มังกรหยก , กระบี่เย้ยยุทธจักร เริ่มเปิดรับปรัชญาตะวันออก มากขึ้น เสพวรรณกรรม ตะวันออก ดื่มชา ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายขึ้น ชาที่จิบ ยอมรับว่า ช่วงแรกๆนั้น ออกแนวบ้าๆ ซื้อชาแพงๆ เหมือนกัน แต่ตอนนี้ ชาคุณภาพ กลางๆ ก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนเดินดินกินข้าวแกง แบบ ผม....
อิอิ...