space
space
space
<<
ตุลาคม 2562
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
space
space
7 ตุลาคม 2562
space
space
space

Jamaica Rum

ตะนิ่นตาญี ชอบเขียนหนังสือ พยายามเขียนทุกวัน เพื่อ เก็บ ความทรงจำ ไว้ ไม่ให้ สูญหาย

บางครั้ง-บางคราว เขียน-เขียน ไป มันสนุกเหลือใจ มือ ก็ จ้ำพรวดพรวดไป ไม่มี ยั้ง

บางที ก็มีบ้าง ที่ เขียนไม่ออก ... ที่ เขียน ไม่ออก ไม่ใช่ เพราะ ไม่มี ความทรงจำ - ไม่มี อดีต

แต่เป็นเพราะ กลัว กระมัง? หวาดกลัว ตัวหนังสือ ระมัด-ระวัง ว่า ตัวเอง จะ เขียน ได้ เลว ลง

ก็ ได้ แต่ ปลอบใจตัวเองว่า ไม่ได้หวาดกลัว ตัวหนังสือ แต่เป็นเพราะ ขี้เกียจ ต่างหาก !

พยายาม สะกดจิต ตัวเอง ให้ เชื่อว่า เราไม่ได้กลัว เราไม่ได้ละทิ้ง เราไม่ได้ถอยหลัง

แต่เรากำลังเขียนหนังสืออยู่เสมอ เขียน ด้วย ความครุ่นคิด บน กระดาษ ใน อากาศ เขียน อยู่ ในใจ !

***********************************************************************************

ไม่ได้ สิ ... เขียนหนังสือ บน อากาศ ไม่ได้ หรอก ... เขียน หนังสือ ในใจ ก็ ไม่ได้

ต้องเขียน ลงมา บน กระดาษ ... เอ็งจะใช้สมองได้เก่งกาจเพียงใดพลิกแพลงได้แค่ไหน

ก็ ไม่สามารถทำให้ มันสมอง พ่น ตัวหนังสือ ลง บน กระดาษ ได้ เลย

เอ็ง จะต้องเขียนด้วยมือ ... เขียนบนกระดาษ ... เขียนให้เพื่อนเพื่อนอ่าน ไม่ใช่ ให้ เดา !

เพราะต่อให้คิดได้เสร็จแล้ว หากไม่อาจนำมาถ่ายทอดลงบนกระดาน electronic ได้

จะเรียกว่า เสร็จสิ้นกระบวนความ ก็ ดู จะน่าอายไปแล้วกระมัง ?

***********************************************************************************

หาก จะบอกว่า สติปัญญา และ มันสมอง ของ ตะนิ่นตาญี นั้น เหมือน โต๊ะทำงาน

โต๊ะทำงานนี้ ก็ คง ถูกรื้อ-ถูกค้น เสีย กระจัด-กระจาย บนโต๊ะ-ใต้โต๊ะ

หรือ แม้แต่ ใน ลิ้นชัก เพื่อ ค้น หา ความทรงจำ ... นั่นคือ ความทรงจำ ใน ครั้งเยาว์วัย

ค้นแล้ว ค้นอีก เจอแต่กระดาษซับหมึกปึกเบ้อเริ่ม มัน เป็น รอยหมึก แห่ง ความทรงจำ !

***********************************************************************************

ในหัวสมองเต็มไปด้วย plot plot และ plot ... plot เรื่องที่หละหลวม ... plot เรื่องที่เหลวไหล

plot เรื่องที่เลื่อนลอย ... plot เรื่องที่เลือนราง ... ในใจเต็มไปด้วยความโลภที่คว้าไม่ติด

คิดว่า ยังมีเรื่องอีกมากมาย ที่ ยังจะหยิบฉวย มาเขียนเสีย "เมื่อไหร่" ก็ ได้

แต่ คำว่า "เมื่อไหร่" นั้น มัน ก็ ยัง เป็น "เมื่อไหร่" อยู่ นั่นเอง มันไม่เป็น "เมื่อนั้น" ได้สักที

มัน เริ่มต้น ด้วยความวาบใจว่าจะเขียน แล้วก็จบวูบเดียว เมื่อนิ้วแตะลงที่แป้นพิมพ์ !

***********************************************************************************

นั่นสินะ ... ตะนิ่นตาญี จะเขียนถึง ไอ้ตี๋ อย่างไรดี ? เรื่องอะไรดี ?

เรื่องไปเที่ยวกัน ที่ outrigger พัทยา หรือ เรื่องโบกรถ ไป สงขลา หรือ เรื่องซ้อมมวย

หรือ เรื่องที่ ครูสุนันท์ คล้ายแก้ว ครูผู้ประเสริฐ ให้ สมญานามเราว่า Three Musketeers

หรือ เรื่องอะไรดี ? มันเยอะไปหมด

***********************************************************************************

ตะนิ่นตาญี ไม่ลืม ไอ้ตี๋ หลับตานึกเมื่อไหร่ ก็ เห็น มัน ยืน ถ่างขา เท้าเอว อยู่ กลางแดด

ข้างข้าง ตัว มี กระเป๋า นักเรียน หนังควาย ใบเบ้อเริ่ม ที่ มัน ภูมิใจ เป็น หนักหนา

สวมชุดลูกเสือใส่หมวกสักหลาด ผิวขาวอย่างลูกจีน จมูกโด่งปลายจมูก เป็น สีชมพูอ่อน

ขน จากรูจมูก และ จากรูหู เลื้อยยุ่มย่าม ออกมาให้เห็น เหมือนปลายพู่กันเก่าเก่า

คิ้วดก สีดำเข้ม โด่เด่ ไปตามแนวคิ้วหนาปื้น เป็น เหมือน กันสาด ให้แก่ ลูกนัยน์ตา

ซึ่ง มี แก้วตาสีดำขลับ ดุจดั่ง เอา บรั่นดี ชั้นดี ไป กลั่นเสียให้แห้ง แล้วปั้นเป็นเม็ดกลม

มา ยัดไว้ ให้ กลิ้งเกลือก มอง สิ่งต่างต่าง อย่าง พินิจ อันแสดงถึงความรู้ทันคน

แต่ใสพราว อย่าง คน อารมณ์ดี ซึ่ง ถูกปิดบัง ด้วย แว่นสายตาสั้น หนาปึ๊ก

บ่งบอก ถึง ลักษณาการ ของ ผู้คงแก่เรียน ... แต่ ที่ น่าดู ที่สุด เห็นจะเป็นแก้ม ของ ไอ้ตี๋

มัน ออก สีชมพู สีเดียว กับ สาวสาว ที่ ปัดแก้ม ด้วย brush on แต่ดันด้าน และ ย่น

ไม่รู้ว่าเพราะ ความแก่แดด-แก่ลม หรือ อย่างไร ...

ไอ้ตี๋ เป็น ลูกจีน สมัยใหม่ มี รูปร่างล่ำสัน สูงพอพอ กับ ตะนิ่นตาญี เห็น จะได้ กระมัง

วันไหนเจอกับมัน จะยืนเทียบดูสิว่า ตอนแก่ กับ ตอนเด็ก ยัง จะสูงพอๆกันอีกหรือไม่ !

***********************************************************************************

วันนั้น เป็น วันจันทร์ .... วันจันทร์ อัน สดใส วันแรก ของ การเปิดเทอม ชั้นประถมปีที่ ๕

ไอ้จ๋อ-ไอ้ป๊อก และ ตะนิ่นตาญี แม้น จะ เจอกันเกือบทุกวัน แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น อยู่ดี

เมื่อ ได้พบ-ได้เจอ เพื่อนเก่าเก่า เกือบทุกคน แถมยัง มี นักเรียประจำสอง-สามคน

ที่ ถูกย้ายมาเรียน ห้องเรา อีกด้วย แม้จะเห็นหน้า-เห็นตา กันอยู่เ แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกัน

หนึ่ง ใน นั้น หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ เดินตัวเอียง มาที่โต๊ะ ของ พวกเรา ...

"นั่งด้วยดิ" นั่น คือ เสียงทักทาย แม้จะแฝงไว้ด้วยความยะโส แต่ ก็ เต็มไปด้วย มิตรไมตรี

จริงอยู่ถึงจะคุ้นหน้า-คุ้นตากัน แต่ ก็ ยังอดกวนตีนใส่กันไม่ได้ ...

ไอ้ป๊อก ถาม "ทำไมไม่นั่งกับพวกนั้นวะ"

พร้อมกับป้ายนิ้วชี้ไปยัง กลุ่มพวก "เด็กตู้" อันสื่อถึงเด็กเรียน

"มันไม่คบกูว่ะ" เสียงตอบกลับมาพร้อม กับ รอยยิ้ม ที่ เยาะเย้ย และ เหยียดหยัน

ไอ้จ๋อ หัวเราะ พร้อมทั้ง ถามกลับไปว่า "พวกมัน ไม่ คบมึง หรือ มึง ไม่คบ พวกมัน ว่ะ"

***********************************************************************************

เหมือนแจกบทพูดบนเวทีละคร คราวนี้ถึงบท ของ ตะนิ่นฯ บ้าง "นั่งดิ" พร้อมทั้งขยับเก้าอี้ให้

ไอ้ตี๋ นั่งลง และ ผุดลุกขึ้นมา ทันที เพราะ นับทับ ลงบน ปลายเข็มวงเวียน

เสียงหัวร่อดังลั่นห้อง ... ไอ้ติ๊ก นั่งอยู่หลังสุด แต่เป็นอีกแถว ของ โต๊ะเรียน พูด ขึ้นมา

พร้อม เสียงกลั้วหัวเราะ ว่า "กูว่าแล้ว" ในขณะที่ ไอ้จ๋อ บอกว่า "จะ คบ กะ พวกกู ได้ไหมล่ะ"

คราวนี้ ไอ้ตี๋ หัวเราะ บ้าง ...

มัน นั่ง ลง อีกครั้งหนึ่ง ทับลงบน ปลายเข็ม ของ วงเวียน ที่ ตะนิ่นตาญี ยังคงวางไว้ ...

มัน นั่ง ทับ อยู่ อย่างนั้น แหละ ตลอด ทั้ง ชั่วโมงเรียน ใน ช่วงเช้า !

***********************************************************************************

บทเพลง แห่ง ความหลัง ที่ เคย ร้องได้ใน จังหวะ quick step ได้ เปลี่ยน เป็น slow เสียแล้ว

เมื่อความเกียจคร้านเข้ามาปูทับ ชีวิต ... ความทุรน-ทุราย ก็ เดือดปุดปุด อยู่เสมอ

ตะนิ่นตาญี เขียน ถึง เพื่อน คนนู้นบ้าง-คนนี้บ้าง แล้วก็ เก็บ เข้าไว้ตั้งเป็น file ใน computer

เขียน ไอ้นู่นบ้าง-ไอ้นี่บ้าง ... คนนู้นนิด-คนนี้หน่อย แต่ละบรรทัดดูจะยืดยาว ชั่วกัปป์-ชั่วกัลป์

นั่น มันเป็นงาน ของ คนจับจด ... ตะนิ่นตาญี เกลียด คำว่า จับจด

จะ มี ใคร เกลียด ความจับจด ได้ มาก เท่ากับ บุคคล ที่ จับจด เองเล่า?

ความทุรน-ทุราย ดิ้นรน ของ มัน ไม่หยุดนิ่ง ...

หน้าจอที่ว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่อยู่ในใจ ให้ ตะนิ่นตาญี ได้ เห็น แต่เพียงผู้เดียว

มัน คือ มโนภาพ ว่า เรื่อง ของ พวกเรา อย่างไรล่ะ เพื่อน ทำไม เอ็ง ไม่เขียน

เสียง กระซิบ เตือน ให้เขียน ต่อไป จาก ไอ้จ๋อ และ ไอ้ป๊อก ดัง กระหึ่ม มาจาก มโนคติ ...

แต่ เสียง ของ ไอ้ตี๋ ดัง มา จาก เสียงโทรศัพท์ ที่ แผดร้องเกรี้ยวกราด เร่ง ให้ เขียน

"เมื่อไหร่ มึง จะเขียนถึง กู วะ" ... "ให้ กู เป็น พระเอก นะโว้ย"

มัน เป็น ความเศร้า เมื่อคิดว่าตัวเองจะเขียนอะไรดีดี สนุกสนุก ให้ เพื่อนเพื่อน ทุกคน ได้อ่าน

มัน เป็น ความคาดหวัง ที่มีอันเป็นไป คือสิ่งที่เขียนนั้น ถ้าไม่หย่อนเกินไป ก็ มหึมาเกินไป

แต่แท้จริงแล้ว พลัง ใน การบรรยาย ของ ตะนิ่นตาญี คง พิการ ไป เสียแล้ว

พิการ จน มองข้ามเรื่องย่อย และ พิการ จน หวาดกลัว เรื่องมหึมา !

***********************************************************************************

ไอ้ตี๋ เป็น คน นครสวรรค์ ที่บ้าน ของ มัน ทำ โรงสีข้าว ... คนรู้จักเกือบทั้งจังหวัด

เมื่อแรกนั้นมันเป็นตัวละคร ใน ฉาก นี้ ที่ เรียกว่า "นักเรียนประจำ"

จวบจน พ่อ มัน มา ปลูกบ้าน ใน กรุงเทพฯ ที่ ซอยโชคชัยร่วมมิตร นั่นแหละ

มันถึง ได้ มาสนิท กับ พวกเรา ...

ไอ้ตี๋ เคย เล่าให้ฟังว่า พ่อมันมาปลูกบ้านไว้ก็เพื่อเป็นที่พัก เวลา เข้า กรุงเทพฯ

ปกติ แล้ว มันจะอยู่ คนเดียว นานนาน ถึงจะมี ญาติ พี่น้อง มาอยู่ด้วย

อานิสงฆ์ผลบุญ จึงตกกับพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะ ที่นั่น ได้ กลายเป็น แหล่งส่องสุมให้กับพวกเรา หลังเลิกเรียน

มี อยู่ครั้งหนึ่ง ไอ้ตี๋ ให้ พวกเรานั่งรอมันอยู่ที่ร้านกาแฟ หน้าปากซอย

สักครู่หนึ่ง ก็ เห็นมันปั่นจักรยานหัวตั้ง มาหาพวกเรา บอกว่า พ่อ มัน กลับ นครสวรรค์ แล้ว

ย้าย ทำเล ไป กินเหล้า ที่ บ้านมันดีกว่า ...

เย็นวันนั้น เรา คึกกัน ราวกับ อยู่ใน โรงแรมดุสิตธานี ที่ สว่างไสว ด้วย แสงไฟ

มี ทั้ง เหล้าฟารั้ง และ กับแกล้ม ไส้กรอกกระป๋อง และ อาหารอีสาน

แถม ออร์เดริฟ์ ที่ ตะนิ่นตาญี เสนอตัวทำให้ พวกมัน กิน แกล้ม เหล้าชั้นดี

ขวดสุดท้าย ที่ ไอ้ตี๋ ไป รื้อ จาก ตู้โชว์ ของ พ่อ มัน คือ "จาไมก้า รัม"

มันเป็น เหล้ารัม ที่ ร้อนแรง ขนาดจิบไปนิดเดียว ต้อง พ่นไฟ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

นัยว่าทำมาจาก เกาะจาไมก้า ใน ทะเลแคริบเบียน แถบถิ่นร้อนอ้าว

ซึ่ง เหล้าต้องแรงเถื่อน ตามแบบฉบับ ของ ลูกทะเล ... หลายคนกินแทนยาแก้หวัด !

คืนนั้นเราสี่คน ลองกินเหล้า จาไมก้า รัม ...

แล้ว ก็ เริ่ม ทั้ง ร้อง และ รำ สลับ กับ การแสดงกายกรรม ใน ท่ายืนขึ้น แล้วล้มลง

ขณะที่กำลัง ระเริง กัน อยู่นั้น ก็ มี เสียงแปร๋น ของ แตรรถเก๋ง ดัง ขึ้น

มัน กำลัง เลี้ยว เข้า มา ตามทาง ใน บ้าน ของ ไอ้ตี๋ ... เราทุกคนรู้ได้ทันที ว่า ...

พ่อ ไอ้ตี๋ ไปไม่ถึง นครสวรรค์ อย่าว่าแต่ นครสวรรค์ เลย แค่ รังสิต ยังไปไม่ถึงเลย

อาจเป็นเพราะกลับใจไม่กลับ นครสวรรค์ หรือ กลับ มา เอาของ ที่ ลืม เอาไว้ ก็ เป็นได้

พวกเราเผ่นพรึบหลบเข้าเงามืดแหกรั้วลวดหนาม ปล่อย ไอ้ตี๋ ให้ รับ หน้า แต่ เพียงคนเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้ตี๋ เดิน หน้ามุ่ย เข้า ห้องเรียน เรา หัวเราะ กัน ดังสนั่น ...

"พวกมึงไม่ต้องหัวเราะ เย็นนี้ พ่อ กู ให้ พวกมึงไปหาที่บ้านไม่งั้นพ่อกูจะไปหาพ่อพวกมึง"

จากเสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงด่าไอ้ตี๋แทน ... วันนั้นทั้งวันเราอกสั่นขวัญแขวนกันตลอดวัน

ตกเย็น พวกเรา ไป รอรับโทษ จาก พ่อ ไอ้ตี๋ ที่ บ้าน พร้อม ดอกไม้ และ ธูปเทียน เพื่อขอขมา

เรา คลาน ไป กราบ พ่อไอ้ตี๋ โดย ไม่กล้า เงยหน้า ขึ้นมอง ...

พ่อไอ้ตี๋ หัวเราะ จน เราตกใจ พร้อม ถามว่า "ทำอะไร" ... ไอ้จ๋อ ตอบ แทน พวกเรา ว่า

"มา ขอ ขมา พ่อ ครับ" เสียงหัวเราะ จาก พ่อไอ้ตี๋ ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมบอกว่า

"อ้าว ... ตี๋ ไม่ได้บอกหรอกเหรอว่า จะให้มากิน เหล้า เป็น เพื่อน พ่อ หน่อย"

ตะนิ่นตาญี




Create Date : 07 ตุลาคม 2562
Last Update : 7 ตุลาคม 2562 13:18:08 น. 0 comments
Counter : 561 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

วิหยาสะกำ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add วิหยาสะกำ's blog to your web]
space
space
space
space
space