space
space
space
<<
เมษายน 2561
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
28 เมษายน 2561
space
space
space

ทำไม ปริ๊นเตอร์ถึงพัง ทำไมถึงต้องเปลี่ยนอยู่เรื่อย


เรานี้นั้น น่าจะเป็นคนคนหนึ่งที่ใช้ปริ๊นเตอร์เปลืองที่สุดคนหนึ่ง ในชีวิตนี้ มีใครควักกระเป๋าซื้อปริ๊นเตอร์ไปแล้วถึง 7-8 ตัวบ้าง


ทำไมปริ๊นเตอร์ถึงไม่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต มันมีเหตุผลอะไร


ของเอปสันอิงค์เจ็ท น่าจะเป็นหัวพิมพ์ตัน อันนี้คือปัญหาที่มีคนบ่นมากที่สุด ตันล้างไม่ออกจนต้องโยนทิ้ง เพราะค่าเปลี่ยนหัวพิมพ์น่าจะแพงพอ กับซื้อเครื่องใหม่ ซื้อเครื่องใหม่ก็มักจะได้เครื่องที่ดีกว่า พิมพ์เร็วกว่า ก็เลยเปลี่ยนดีกว่า


ส่วน laser นั้น ที่ทำงานเพิ่งจะต้องโละเจ้า HP color laserjet 3800 ออกมา ทั้ง ที่ยังพิมพ์พอไหว แต่เค๊าเกิดปัญหาเรื่องชอบพิมพ์แถบสีให้เรา แถบฟ้า บ้าง เหลืองบ้าง ชมพูบ้าง หลายต่อหลายครั้งซึ่งหากเปลี่ยนตลับผงหมึกสีนั้น มันก็จะหายไป แต่เราต้องทิ้งตลับไปทั้ง ที่มันยังไม่หมด ท้ายที่สุด เราก็ไม่อยากผลาญตลับผงหมึกบนภาษีประชาชนอีกต่อไป ก็เลยต้องจูบลาหลังจากใช้มากว่า 10 ปี


ขอย้อนกลับมาเรื่อง inkjet ในอดีตนั้น เครื่องปริ๊นเตอร์อิงค์เจ็ทอีกสองยี่ห้อ (HP, Canon) ทำหัวพิมพ์ติดอยู่บนตลับหมึกเลย ซึ่งตลับหมึกสมัยก่อนมักจะแยกหมึกดำกับหมึกสี (มีสามสีอยู่รว่มกัน) สำหรับสองยี่ห้อนั้น เค๊าใช้เทคโนโลยี Thermal  inkjet คือใช้ความร้อนต้มหมึกให้เดือดและยิงออกมา ของ HP เรียก deskjet ของ Canon นี่เรียก bubblejet  ซึ่งในรายละเอียดผู้บริโภคก็คงรู้ไม่เยอะนักหรอก แต่สองยี่ห้อนั้นเค๊าเปลี่ยนหัวพิมพ์ให้ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับหมึก และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ตลับหมึกมันเคยแพ๊งแพง แต่ที่แลกมาก็คือได้หัวพิมพ์ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนหมึก คุณภาพไม่เสื่อมถอย


Epson เองไม่เคยทำ Thermal inkjet กะเค๊า เอปสันใช้ Piezoelectric  printhead มาตลอด ซึ่งเค๊าอ้างว่าหัวพิมพ์ของเค๊าทนทาน เพราะไม่ได้ใช้ความร้อนขึ้นไปถึง 1000 องศา ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพร้อมตลับหมึก ของเค๊าดีโง้นงี้ เพราะคุณสมบัติเลอเลิศของน้ำหมึกไม่ถูกทำลายไปเมื่อโดนความร้อนจาก Thermal print head เหมือนยี่ห้ออื่น แต่ที่ผู้ใช้งานหลายคนรู้สึกก็คือ ทำไมหัวพิมพ์เอปสันมันตันบ่อยจังฟระ


เราก็ไม่รู้หรอกว่าหัวพิมพ์ยี่ห้อไหนใครตันใครไม่ตันบ่อยกว่าใคร เพราะจะว่าไปก็จะเกิดความลำเอียงเนื่องจากตัวเองนั้นใช้ Epson printer เยอะที่สุด ไม่เคยเป็นเจ้าของ HP inkjet เคยเป็นเจ้าของ Canon G3000 หนึ่งครั้งและก็เจอปัญหาหัวพิมพ์เสื่อม แต่เท่า ที่แอบฟังผู้คนและสังเกต ก็จะขออนุมานไว้ตรงนี้ โปรดรับทราบว่าข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าเองเท่านั้น ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความสัมพันธ์แบบ love-hate relationship กับ Epson  ก็ตาม จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ที่เป็นเจ้าของปริ๊นเตอร์มาหลายเครื่อง ก็ขอสรุปว่า


1. ปัจจุบัน HP คงเป็นเจ้าครองตลาด Laser printer อย่างลอยลำ เป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย หลายองค์กรและโดยส่วนตัวก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะ Laser color printer ที่เคยเป็นเจ้าของเมื่อหลายปีก่อน ก็ยังสร้างความประทับใจให้จนถึงทุกวันนี้ รวมถึงที่อยู่ที่หน่วยงานที่ทำงานซึ่งเป็นหน่วยงานราชการก็ใช้เครื่อง HP laser เป็นส่วนใหญ่ ยกนิ้วให้


2. ในด้านของ Inkjet ต้องถามว่าเอา inkjet สำหรับอะไร เพราะมันมีทั้ง photo inkjet printer, inkjet บ้าน ราคาถูก และ inkjet สำหรับสำนักงาน

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีของ inkjet กำลังจะเอาชนะ laser printer เพราะปัญหาหลักของ laser printer คือความสิ้นเปลือง  laser printer นั้นจะคุ้มค่าดีเฉพาะ mono laser คุณภาพงานพิมพ์สำหรับตัวหนังสือมีความคมชัดและดำเข้มเป็นเลิศ ชนิดที่ inkjet เอาชนะยาก (บนกระดาษปกติ)  แต่พอจะพิมพ์สีด้วย color laser ปุ๊บก็พบว่าสิ้นเปลืองมาก โดยเหตุที่มีตลับผงหมึกเพิ่มมาอีก 3 ตลับและด้วยตัวเทคโนโลยีเองต้อง heat แผ่น transfer ทั้งหมด 4 รอบ กว่าจะพิมพ์สีออกมาได้หนึ่งหน้า เวลาสั่งงานพิมพ์สี ถ้ามีรูปเยอะ จะเสียเวลานานมากกว่าจะคลอดหน้าแรกได้ ถ้าอยากได้เร็วต้องลงทุนเพิ่ม RAM หรือรุ่นสูง จะให้ใส่ HDD ลงไปได้ จากจุดเริ่มต้นถึงปัจจุบัน ต้นทุนงานพิมพ์สีโดยเลเซอร์ไม่ลงมาเลย จะผ่านไปกี่ปีกี่ปี (ราคาเครื่องลงมาแต่เจ้ากรรม ผู้ผลิตหันไปฟันกำไรจากการขายตลับผงหมึก แต่เดิมเคยให้ตลับหมึกเต็ม ใส่ผงหมึกมาเยอะ ปัจจุบันให้ตลับเริ่มต้นมาพร้อมเครื่องมีปริมาณผงหมึกนิดเดียวแล้วคอยขายตลับหมึกใหม่ฟันกำไรเอา ราคาซื้อตลับผงหมึกแท้ใหม่ 1 ชุด 4 สีมักจะเป็นมูลค่าเท่ากับราคาที่จ่ายตอนซื้อเครื่อง) ต้นทุนต่อหน้าก็ยังแพงเหมือนเดิมคือประมาณหน้าละ 5 บาท สิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนแพงนอกจากตลับหมึกแล้วก็คือตัวเทคโนโลยีเอง เพราะ laser นั้นยังมีเรื่องของ drum แล้วของ transfer belt จิปาถะซึ่งผู้ใช้ปริมาณน้อย จะไม่รับทราบ หรือ laser รุ่นใหม่ มักจะฝัง drum ลงไปในตลับหมึกแล้วก็เปลี่ยนพร้อมกัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลับของแท้ราคาแพงอิ๋บอ๋าย ความ evil อย่างหนึ่งของผู้ผลิตคือไม่ยอมใส่ผงหมึกมาให้เต็ม ตลับตั้งเบ่อเริ่ม ถ้าจะใส่ผงหมึกให้เต็มที่ คาดว่าน่าจะพิมพ์ได้สักสองสามหมื่นหน้า แต่ไม่เค๊าไม่ใส่ให้เต็ม เค๊ายังอยากฟันกำไรจากค่าตลับหมึก เค๊าก็จะใส่ผงหมึกให้พอพิมพ์ได้สัก 3000 หน้าเป็นอย่างเก่ง แล้วก็ขายตลับใหม่ ช่างเป็นการเอากำไรที่ร้ายกาจและไม่เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเลย จะไปว่าทาง HP เค๊าอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะทางเอปสันและ Canon และทุก ยี่ห้อก็ทำวิธีนี้เช่นกันกับหมึกอิงค์เจ็ท กลยุทธ์การขาย printer ให้เริ่มต้นราคาถูก แต่ไปฟันค่าตลับหมึกทีหลัง มันเหมือนกับการผ่อนส่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งปวงดี นั่นเอง


ในความ evil ของพ่อค้า ก็ยังมีความดีบ้าง ปัจจุบัน Epson เองเป็นผู้แหกคอกความร้ายกาจอันนี้เองด้วยการนำ ink tank ออกมาสู่ตลาด จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ถือว่าเป็นความดีอย่างหนึ่งหรือจะมองว่าต่อให้เธอไม่ทำเอง ผู้ใช้ก็จะเอาไปติดแท๊งค์เถื่อนอยู่แล้ว ความ evil ในอดีตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการติดชิป การป้องกันการเติมหมึกนู่นนี่ เราจะอภัยให้ได้บ้าง


ถ้าไม่ใช่ Epson ออก ink tank อย่างเป็นทางการออกมาคนแรก Canon, Brother ก็คงไม่ออกตามมา สุดท้าย HP คือผู้ที่ช้าที่สุด ออกมาคนสุดท้ายและการออกแบบก็ต้องบอกว่า เห่ยที่สุด ในขณะที่ยี่ห้ออื่นเค๊าสามารถทำให้แท๊งฝังในตัวเครื่องได้ไม่ต้องยื่นติ่งออกมาได้ คุณ HP เธอยังออกมาเป็นแท็งค์ยื่นมานอกเครื่องอยู่เลย เชยซะไม่มี


สาเหตุที่ ink jet จะมาโค่น Laser ได้ ก็ต้องเป็นเรื่องคุณภาพ สำหรับตอนนี้ ปี 2018 คุณภาพงานพิมพ์จาก inkjet ดี บางเครื่องดูเผิน อาจจะสังเกตยากว่าเป็นงานพิมพ์จาก laser หรือ inkjet ความไม่ทนน้ำก็หมดไปหากใช้ pigment inks ถ้าดูด้านความเร็ว ตอนนี้ color inkjet ที่เร็วที่สุด พิมพ์ได้เร็วกว่า color laserjet ที่เร็วที่สุดเกือบสองเท่าตัว นอกจากนี้พลังงานที่ใช้ในการพิมพ์น้อยกว่ากันเกือบ 10 เท่า เนื่องจากไม่ต้องใช้ความร้อนมากมาย (ยกเว้น thermal inkjet ซึ่งใช้ความร้อนแต่พลังงานที่กินก็น้อยกว่า laser printer หลายเท่านัก) เรื่องความคุ้มทุน ฮ่า ไม่ต้องพูดถึงถ้าใช้ระบบ ink tank หรือ ink pack (R12 ของ Epson)  ดังนั้น เครื่อง hi-end ink jet printer ที่ใช้ระบบ ink tank หรือ ink pack คุ้มค่ากว่า laser มาก มาก มาก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติบางอย่างที่ laser ทำไม่ได้หรือไม่เคยทำ เช่น เทคโนโลยีการพิมพ์ไร้ขอบ ขนาดของหน้าที่พิมพ์ inkjet สามารถพิมพ์หน้ากว้าง (เครื่องตั้งพื้น) ได้หลายนิ้ว พิมพ์กระดาษม้วนได้ยาวเฟื้อย พิมพ์ panorama ได้ เลเซอร์ไม่มีทางทำได้เลย ถ้าเทียบเรื่องงานพิมพ์ภาพ (photo printing) ยิ่งไม่มีทางสู้ hi-end photo inkjet ได้ไม่ว่าจะเรื่อง resolution หรือ color gamut


ข้อดีของเลเซอร์มีอยู่อย่างเดียว คือ ไม่มีวันที่หัวพิมพ์จะตัน เพราะไม่มีหัวพิมพ์ ฮี่


สรุปดังนี้


1. Ink jet ราคาถูกใช้ขำ สองปีทิ้ง เอายี่ห้อไหนก็ได้ เห็นสูสีกันทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะ HP, Epson, Brother, Canon เค๊าใช้นโยบายเดียวกันครับ คือขายเครื่องถูก ไม่กี่พันก็ซื้อได้ ที่เมกานี่แทบจะยกเครื่องให้ฟรี  60USD อะไรประมาณเนี้ย ระวังให้ดี เค๊าจะฟันค่าตลับหมึกตามมา แล้วที่น่าทู่เรศใจที่สุดก็คือตลับหมึกที่ขายตลับละ 300-500 บาทนั้น มีหมึกอยู่ประมาณ 5 มล.ครับ ไม่สนับสนุนให้ใครซื้อเครื่องพวกนี้เลยครับ เพราะ running cost ไม่คุ้ม นอกจากจะซื้อมาใช้พิมพ์ไม่เกิน 500 หน้าแล้วทิ้งเลย สงสารโลกเถอะครับ ขยะพลาสติกมันเยอะไปหมด


2. Business inkjet สูสีระหว่าง HP หรือ Epson (ตระกูล Workforce)  Canon แทบจะไม่ลุยตลาดด้านนี้เท่าไร ในขณะที่ Brother มาทีหลัง ชื่อเสียงไม่ค่อยมี ฟังดูมีแต่ชื่อเสีย เค๊ามาทีหลังอีก 3 ยี่ห้อแรกมาก เมื่อ 10 ปีก่อนเราจะไม่ได้ได้ยินปริ๊นเตอร์ยี่ห้อพี่น้องนี้ ดังนั้นประสบการณ์เค๊าจะไม่เยอะ ต้องให้โอกาสเค๊าลองผิดลองถูกเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี แต่ที่ดีคือเค๊ามักจะเอา feature มาสู้  Business inkjet ในท้องตลาดตอนนี้มีให้เลือกหลายตัว ส่วนใหญ่ยังใช้ตลับหมึกอยู่แต่เค๊าจะให้หมึกเยอะกว่าประเภทแรก ในอดีตเคยให้เยอะมาก ในปัจจุบันความ evil เข้าครอบงำ ต่อให้เป็น high volume business inkjet เธอก็ให้ปริมาณหมึกมาได้ทุเรศมาก และที่ร้ายกาจก็คือการไม่แจ้งปริมาณหมึกเป็น cc ต่อผู้บริโภค เค๊าจะแจ้งเป็นปริมาณหน้ากระดาษ ซึ่งใคร ก็รู้ว่า overestimate  ดังนั้นถ้าโม้มาว่าพิมพ์ได้ 1000 หน้า ให้อนุมานเอาไว้ก่อนว่าได้จริงแค่ครึ่งเดียว เพราะใคร ก็รู้ว่าไม่ว่าจะ inkjet ยี่ห้อไหนไหน มันก็จะต้องมีการล้างหัวพิมพ์ ไม่เครื่องมันแอบล้างเองก็เรากดล้าง ล้างบางทีก็หลายรอบล้างไม่ออก ล้างไปล้างมา หมึกหมดไปครึ่งตลับอะไรเงี้ย ข้อดีก็คือพวก business inkjet เหล่านี้มักจะเป็น pigment ink ใครจะซื้อก็ขอให้ดูตรงนี้ให้ดี ดู running cost ด้วยว่าตลับหมึกละเท่าไหร่ ปริ๊นท์ได้กี่หน้า ดูเหมือนตอนนี้ Epson น่าจะเป็นเจ้าเดียวที่ยอมให้มีถังทิ้งหมึกเปลี่ยนได้ ส่วนยี่ห้ออื่น นี่ไม่แน่ใจว่ามีกะเค๊าหรือเปล่า อันนี้เป็นข้อพิจารณาอีกอันสำหรับคนที่คิดว่าจะปริ๊นท์เยอะจริง เพราะมิฉะนั้นก็จะพอปัญหาซับหมึกเต็ม ต้องเอาเครื่องเข้าศูนย์ ถ้าใครเป็นหน่วยงานใหญ่จริง ก็อยากให้พิจารณา HP pagewide ไปเลย หรือถ้าเป็น Epson ก็ต้องใช้รุ่นเว่อร์สุดของเค๊า Workforce enterprise 100 หน้าต่อนาที ราคาน่าจะถึง 6 หลักแน่นอน ในต่างประเทศมี Epson รุ่นเล็กและราคาย่อมเยากว่า Workforce enterprise ซึ่งใช้ ink pack R12 ข้างในเป็นหมึก pigment DuraBrite Ultra ถึงละ 160 mL แต่ขนาดก็ยังใหญ่แต่ตั้งโต๊ะได้ไม่ต้องวางพื้น ราคาน่าจะห้าหลักหรือครึ่งแสนได้


3. Ink tank ก็คงไม่ต้องโฆษณาอีกต่อไปว่าใครเข็น ink tank ออกมาก่อน ใครมี ink tank ให้เลือกมากที่สุด (จริง ก็ไม่รู้จะออกมาทำไมเยอะแยะไปหมด สร้างความสับสนอลหม่านให้ผู้บริโภค) ก็จริง แล้ว โดยส่วนตัวคิดว่าอันนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับปัจจุบัน เหลืออยู่อีกนิดนึงก็คือหมึกพิมพ์ ตอนนี้ตลาดแข่งกันขนาดที่ว่าหมึกดำต้องเป็นหมึก pigment กันเกือบหมดแล้ว เหลือรอดูว่าใครจะเป็นคนออกหมึก 4 สีเป็น pigment ink tank แบบสมบูรณ์แบบเป็นทางการเจ้าแรก โดยส่วนตัวแนะนำให้หาซื้อหมึกEpson DURABrite pigment มาใส่ Epson inktank นะครับ แต่อย่าลืมเรื่องบริษัทเค๊าขอไม่รับประกันให้ถ้าใช้หมึกนอกคอก ในปัจจุบัน inktank printer ตัวเกรดดี จะมีถังซับหมึกให้เปลี่ยนด้วย ที่สังเกตก็คือบริษัทเองเพิ่มระยะเวลาประกันและจำนวนหน้าเพิ่มขึ้นจากในอดีตมาก น่าจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีอย่างหนึ่งว่าหัวพิมพ์น่าจะมีความทนทานเพิ่มขึ้น


4. Photo inkjet ยิ่งเขียน blog ก็เริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นเซลล์เอปสัน แต่เอาเถอะ จะบอกว่าเคยเกลียดเอปสันมากขนาดที่ตั้งใจว่าชาตินี้ ตรูจะไม่ใช้มันอีก สุดท้ายก็กลับมาซื้อมันจนได้ ขออนุญาตตอบว่า ตอนนี้ HP ไม่สู้ตลาด photo inkjet เลย เคยเหมือน ทำท่าจะแข่งกะเค๊า แล้วก็พับไป ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องหมึกรึเปล่า ตอนนี้ถ้าจะเอาซื้อ photo inkjet จริง เหลือให้แข่งกันแค่สองเจ้าเท่านั้นแหละครับ Canon หรือ Epson เอา Epson ก่อนแล้วกัน

อาจจะเป็นเพราะเรื่องเทคโนโลยีหัวพิมพ์ จริง ก็ได้ที่เอปสันโม้ไว้ว่าตัวเองได้ประโยชน์จากการที่ไม่ใช้ความร้อน หมึกไม่เดือด คุณสมบัติการเคลือบเรซิ่นของหมึก pigment และสารเคมีอะไรต่าง ไม่เสียไป ส่งผลให้ ปัจจุบัน เอปสันกลายเป็นผู้นำด้าน photo inkjet ในท้องตลาดอย่างแท้จริง มีการพัฒนาของ pigment ink set อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ หมึก pigment ธรรมด๊า ธรรมดา (เดิมทีไม่เคยมีชื่อกะเค๊า) หลังจากประสบปัญหาเรื่อง color gamut เรื่อง metamerism or bronzing effect ก็มีการพัฒนาหมึก pigment ออกมาเรื่อย เรียกชื่อกันเวียนหัวไปหมด สรุปว่าในปัจจุบัน หมึก pigment ของ Epson หากใช้ใน business inkjet หรือ low end inkjet จะเป็นหมึก 4 สี คือ black, Yellow, Magenta และ Cyan เรียก DuraBrite Ultra inkset (พัฒนาจาก DuraBrite ink)

ถ้าเป็น pigment ink สำหรับ Photo inkjet จะเรียก Ultrachrome ซึ่งมีการพัฒนาไปหลายเวอร์ชั่นมาก (โปรดอ่านเพิ่มเติมใน blog เรื่อง หมึก pigment inks)

งานนี้ผู้เขียนไม่อยากเชียร์เพราะยังหงุดหงิดกับ Epson ที่ไม่ให้หัวพิมพ์ Photo black แยกตะหากจาก Matte black ทำให้การพิมพ์งานต้องสลับไปสลับมาตามกระดาษที่ใช้ ทุกครั้งที่มีการสลับจะทำให้มีการสูบหมึกทิ้งไปตามสาย เป็นการสิ้นเปลืองและเสียทรัพยากรอย่างยิ่งยวด ไม่แน่ใจว่ามูลค่าของ Piezoelectric print head นี่มันแพงนักหรือไง

เอาเป็นว่าใครชอบพิมพ์รูปภาพ แนะนำให้ถอย Photo inkjet แบบ ink tank ซึ่งก็ยังคงมีแต่ Epson เท่านั้นที่ทำออกมาขาย 3 รุ่น ได้แก่ L805, L850, L1800 ซึ่งทั้งสามรุ่นนี้ใช้หมึก 6 สีเป็นหมึก dye (black, yellow, cyan, light cyan, magenta, light magenta) เหมือนกัน และมีขายเฉพาะในตลาดแถบเอเซียเท่านั้น ที่เมกา Epson ไม่วางขาย ink tank 6 สี มีแต่รุ่น Expression Premium ET-7750 ซึ่งเป็น multifunction หน้ากว้า 11 นิ้วและใช้หมึก dye 5 สีคือ (black, photo black, yellow, cyan, light cyan, magenta) แต่ถ้าผู้เขียนจะถอย inktank photo inkjet เหล่านี้มาใช้ ก็คงจะเติม Epson pigment ink ลงไป คงจะไม่ใช้ dye ink แน่นอน


รู้สึกว่าเราจะบ่นออกมาไกลหัวข้อเดิมของเค๊าว่าทำไมเราถึงต้องเปลี่ยน printer อยู่เรื่อย คำตอบสั้น ก็คือ มีหลายเหตุผล ในตอนเริ่มแรกของชีวิต มันจะเป็นเพราะ ต้องเปลี่ยนที่อยู่ (เช่นมีการไปเรียนต่อเมกา มีการย้ายกลับเมืองไทย) ก็เลยสมอ้างเป็นเหตุผลที่จะสอยเครื่องใหม่ ในระยะหลังที่เปลี่ยนก็คงเพราะมันไม่ทำงานอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่จะผ่านการซ่อมมาทั้งนั้นไม่มากก็น้อย ยกเว้นตัว Lexmark laser color printer อันนั้นไม่พยายามซ่อมเลยเพราะไม่พอใจคุณภาพงานพิมพ์ เมื่อถึงวาระเลยจูบลา ส่วน Epson R1800 นั้น ต้องปล่อยเค๊าไปเพราะซ่อมมาหลายครั้งแล้วก็ยังงอแง ตอนนี้ Epson R3000 ก็กำลังงอแง ซึ่งขณะที่เขียน blog นี้ก็กำลังให้คุณมานพซ่อมอยู่ ส่วน Canon G3000 ก็จากไปเพราะหัวพิมพ์สีเสื่อมและซับหมึกเต็ม ส่วน Epson L365 นั้นสามารถฟื้นคืนชีพจากหัวพิมพ์ตันจากการไม่ใช้งานได้ เธออยู่มาสองปีละ แต่ส่วนใหญ่คลุมผ้าไว้ไม่ได้ใช้ ต้องรอดูต่อไปว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน


โดยส่วนตัวเริ่มมีความเชื่อว่าความทนทานของหัวพิมพ์นั้นแตกต่างกันไปตามราคาเครื่องพิมพ์ ซึ่งทางบริษัทไม่เคยแจ้งผู้บริโภคตรง หากสังเกตจากปริมาณหน้าพิมพ์ที่รับประกันหรือจำนวนปีที่รับประกัน มีความเป็นไปได้ว่าผู้ผลิตสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตหัวพิมพ์ให้มีความทนทานแตกต่างกัน ข้อสังเกตก็ได้แก่กรณีหัวพิมพ์ Thermal print head ในอดีตให้เปลี่ยนทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับหมึก ปัจจุบันไม่ต้อง หรือกรณี HP pagewide ปริมาณหน้าที่พิมพ์เป็นหลาย 10000 หน้าต่อเดือน (duty cycle) ตามความแพง แสดงว่าทางผู้ผลิตสามารถกำหนดได้ระดับหนึ่งว่าหัวพิมพ์จะทนทานขนาดไหน ซึ่งข้อสังเกตเดียวกันก็เห็นได้จาก Epson ที่เพิ่มระยะเวลาประกันและจำนวนหน้าที่พิมพ์ รวมถึงการออกแบบเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ให้มีถังซับหมึกเปลี่ยนได้ มีความเป็นไปได้ว่าหัวพิมพ์รุ่นใหม่แบบ PrecisionCore ของเอปสันน่าจะทนทานกว่ารุ่นเก่า ดังนั้นหากท่านอยากใช้งาน printer เป็นระยะเวลาหลาย ปี ก็ให้สังเกตที่จำนวนหน้าที่ผู้ขายระบุไว้ในหัวข้อ duty cycle ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่ HP ระบุ โดยเฉพาะสำหรับ business inkjet หรือดูจากจำนวนปีหรือจำนวนหน้าที่เค๊ารับประกัน หรือพยายามอย่าซื้อรุ่นถูก ๆเกินไป (คิดมุมกลับ ถ้าจ่ายแพงกว่าแล้วเจือกตายเร็วอีก น่ามันน่าเจ็บใจอยู่นะ)


เรามีความหวังว่า printer เครื่องหนึ่ง จะใช้งานได้ถึง 10 ปีขึ้นไป ไม่ต้องเปลี่ยนตลับหมึกเลยเพราะเราจะเลิกใช้ printer ที่ใช้ตลับหมึก ไม่ใช่เพราะอยากประหยัดเงินอย่างเดียว แต่ไม่อยากให้ตลับหมึกที่หมดแล้วไปอยู่ในท้องของเต่าทะเล นะ ท่านพี่เอปสัน เอชพี แคนนอน และ ยี่ห้อพี่น้อง รวมถึงแบรนด์อื่น ที่จะออกมาในอนาคต ขอให้ท่านพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมให้มาก





Create Date : 28 เมษายน 2561
Last Update : 28 เมษายน 2561 0:18:06 น. 6 comments
Counter : 5765 Pageviews.

 
สุดยอดดด เป็นเรื่อง printer ที่ละเอียดมากๆค่ะ คือตอนนี้กำลังจะซื้อ printer เครื่องใหม่แทนเครื่องเก่าที่พิมพ์ทีไรก็รวนๆตลอด เลยพยายามหาข้อมูลหลายๆยี่ห้อ แต่อ่านไปอ่านมาข้อมูลเยอะเกินจนเริ่มงงๆไม่แน่ใจว่ารุ่นไหนยังไงดี ถ้าจะขอรบกวนสอบถามจะสะดวกมั้ยคะ


โดย: aminas วันที่: 28 เมษายน 2561 เวลา:7:07:53 น.  

 
ถามว่าไรเหรอคับ


โดย: gollygui (gollygui ) วันที่: 4 พฤษภาคม 2561 เวลา:19:35:40 น.  

 
คือตอนนี้ลังเลว่าจะซื้อ printer ตัวใหม่ ยี่ห้อ+รุ่นอะไรดี ที่ผ่านมาใช้ hp กับ canon ตัวล่าสุดคือ canon ที่ตอนนี้รวนๆแล้วอะคะ ปกติใช้พิมพ์เดือนนึงประมาณ 100+ หน้า ส่วนใหญ่จะขาวดำ มีสีบ้างแต่ไม่เยอะ ที่เน้นคืออยากให้กันน้ำได้ประมาณนึง หมายถึงถ้าโดนน้ำนิดหน่อยแล้วตัวหนังสือไม่เลือนประมาณนี้อะคะ (จะได้มั้ย ไม่ค่อยแน่ใจ? แต่อันที่ใช้อยู่ ถ้ามือเปียกไปจับโดนตัวหนังสือจะเลือนๆอ่านไม่ได้เลย) พอจะแนะนำยี่ห้อ+รุ่นได้มั้ยคะ


โดย: aminas วันที่: 4 พฤษภาคม 2561 เวลา:21:19:39 น.  

 
ไหน ๆ ก็เคยเล่น HP และ Canon มาแล้ว พิมพ์เดือนละ 100 หน้าก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ปีนึงเพิ่งจะ 2 รีมครึ่ง ถ้าราคาไม่เกี่ยงก็สอย Epson L6170 มาไหมละครับ ถ้าอยากประหยัดอีกนิดไม่สนใจหัวพิมพ์ precision core ก็ลอง L4170 ดู เรืองหมึกกันน้ำนี่ ก็ต้องทำใจว่าหมึก 001 ที่ให้มากันเฉพาะสีดำ และไม่มีเจ้าไหน (เล็งไว้ว่า Brother น่าจะเข็นออกมาเจ้าแรก) ให้ inktank pigment ink ทุกสีมา แต่ถ้าอ่านบล็อกอื่น ๆ ที่ผมเขียน ก็แนะนำให้หา Epson DuraBrite ultra ink บน อีเบย์ มาเติมแทน ส่วนสีดำใช้ 001 ได้ กลายเป็น perfect printer เลยครับ นี่ผมผ่านมาเกือบสามเดือนก็ยังใช้งานได้ดีทั้ง Epson L365 และ 6170 ใช้ pigment inks ทั้งสองเครื่องครับ


โดย: gollygui (gollygui ) วันที่: 17 พฤษภาคม 2561 เวลา:19:09:56 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ได้อ่าน blog ของคุณครบแต่ก็ยังงงๆอยู่บ้าง (ไม่ได้หมายถึงคุณรีวิวไม่ดีนะคะ แต่เรางงเอง ^^”) นี่ก็สนใจรุ่นที่คุณรีวิวไว้เหมือนกัน ส่วนเรื่องหมึกจากอีเบย์พอดีเครื่องนี้จะใช้พิมพ์งานเอกสารที่ไม่ใช่ของส่วนตัว ถ้าต้องซื้อหมึกจากอีเบย์เกรงว่าจะเป็นการเพิ่ม cost ขึ้นอีก อืม ยังไงจะลองคิดดูอีกที ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

ปล. ถ้าตัดสินใจใช้หมึกจากอีเบย์อาจจะมารบกวนอีกครั้งเรื่องร้านค้าจะสะดวกมั้ยคะ


โดย: aminas วันที่: 18 พฤษภาคม 2561 เวลา:16:31:18 น.  

 
หมึกดำใช้ 001 ไปเลยครับ ถูกกว่าแน่นอน หมึกสี Durabrite คงต้องหาบนอีเบย์น่ะครับ มีหลายคนขาย ส่วนใหญ่แบบที่หมดอายุแล้วจะถูกกว่า คนที่ผมเจอที่ขายถูกและค่าส่งถูกเค๊าใช้ชื่อว่า sourceit ไม่รู้ยังมีขายอยู่ไหม ผมตุนไว้ใช้ส่วนตัว น่าจะใช้ได้ถึงเกษียณอายุราชการ คงไม่ต้องปริ้นท์อะไรแล้วหลังจากนั้น


โดย: gollygui วันที่: 11 สิงหาคม 2561 เวลา:20:56:38 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space