grassroot ยินดีต้อนรับทุกท่าน สู่ Blog ความคิดเสรี มิตรภาพ ความสุข และความงดงามของชีวิต
Group Blog
 
 
เมษายน 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 เมษายน 2549
 
All Blogs
 

เข้าถึง-> “กรอบความคิด” นักวิชาการไทย





นักวิชาการ, นักบริหาร (รัฐมนตรี+นักธุรกิจ), นักการเมือง, นักเคลื่อนไหวมวลชน (NGO + การเมืองภาคประชาชน) และสื่อมวลชน คือกลุ่มบุคคล 5 กลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการกำหนด ทิศทางการเมืองและแนวทางการพัฒนาประเทศ

สำหรับข้อเขียนนี้จะขอกล่าวเฉพาะนักวิชาการเป็นเบื้องแรก.....

นักวิชาการสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก

----------กลุ่มแรก..ได้แก่นักวิชาการที่เข้าไปมีบทบาทในกลุ่มนักบริหาร นักธุรกิจ นักการเมือง นักสื่อสารมวลชน และนักเคลื่อนไหวมวลชน กล่าวได้ว่าโลกทัศน์(จุดยืน ทัศนะ วิธีการ)ของนักวิชาการกลุ่มนี้ได้ผสมผสานและค่อนข้างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกลุ่มที่ตนสังกัด.....

----------กลุ่มที่สองได้แก่นักวิชาการที่อยู่กับมหาวิทยาลัยทำหน้าที่สอนและทำวิจัยเป็นงานหลัก กล่าวได้ว่านักวิชาการกลุ่มนี้มีโลกทัศน์(จุดยืน ทัศนะ วิธีการ)ตามองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการที่ตนถนัดเป็นสำคัญ

เมื่อเราพูดถึงนักวิชาการเรามักพูดโดยรวม มิได้แยกแยะกลุ่มที่นักวิชาการสังกัดดังกล่าวข้างต้น อาจทำให้เกิดการมองภาพแบบเหมารวมซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ดำรงอยู่.....

----------แต่ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ กลุ่มแรกหรือกลุ่มที่สอง..ต่างก็ทำหน้าที่วนเวียนในเรื่องเหล่านี้คือ...การค้นคว้าความเป็นจริงด้วยการวิจัย การใช้องค์ความรู้อรรถาธิบายปรากฎการณ์ต่างๆทางสังคม และการใช้ภูมิปัญญาเพื่อสร้างสรรค์ แก้ปัญหา หรือพัฒนายุทธศาสตร์ ตลอดถึงแนวทาง นโยบาย....

ความเป็นจริง......ได้มาจากการสังเกตุการณ์ความเป็นไปในสังคมและจากการวิจัย ทดลอง

องค์ความรู้..........ได้มาจากการร่ำเรียน เช่นองค์ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ องค์ความรู้ด้านรัฐศาสตร์ ด้านกฎหมาย เป็นต้น...องค์ความรู้ก็คือความรู้ที่ถูกรวบรวมเป็นสาขาวิชาที่เป็น “องค์” แล้วนั่นเอง

ภูมิปัญญา............ได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหา กำหนดแนวทางแก้ปัญหา สาขาวิชาการที่เป็น How to, Technology, การคิดค้นยุทธศาสตร์ แนวทาง นโยบาย ล้วนต้องใช้ภูมิปัญญาทั้งสิ้น....กล่าวโดยสรุป ภูมิปัญญาคือการแก้ไขปัญหาหรือการสร้างสรรสิ่งใหม่ที่ต้องพึ่งพา ไหวพริบ ปัญญา ความฉลาดของคน+การเข้าใจความเป็นจริง+การมีองค์ความรู้ที่เพียงพอ ...

----------นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ ได้รับการรับรองจากปริญญาบัตรว่าเป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ในสาขาใดสาขาหนึ่งที่ตนร่ำเรียนมา..และมักใช้องค์ความรู้นี้เป็นกรอบในการคิด....กล่าวคือ.... เอากรอบความรู้ที่ตนร่ำเรียนมาเป็นตัวตั้ง แล้วเอาปรากฎการณ์ที่ตนสังเกตเห็นมาเป็นตัวเทียบ หากปรากฎการณ์ต่างๆ อยู่ในกรอบองค์ความรู้ของตนเองก็สามารถยอมรับได้ แต่ถ้าปรากฎการณ์ทางสังคมไม่อยู่ในกรอบ หรือ อยู่นอกกรอบองค์ความรู้ของตนเองก็เป็นเรื่องที่จะต้องแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ และมักจะขัดแย้งกับนักการเมืองและนักบริหารอยู่เป็นนิจ....

----------ทั้งนี้เพราะกรอบความคิดนักบริหาร เอาเป้าหมายเป็นตัวตั้งและเอาผลการดำเนินงานเป็นตัวเทียบ หากผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมายก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทบทวน กระบวนการ วิธีการทำงานบุคลากร งบประมาณ ตามแต่เหตุ...

----------ในขณะที่นักการเมืองเอาเรื่องการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองเป็นตัวตั้งและเอาความนิยมหรือคะแนนเสียงเป็นตัวเทียบ หากมีคะแนนเสียงไม่มากพอที่จะเข้าสู่อำนาจได้ก็ถือว่าล้มเหลว และกลับไปทบทวน ตัวบุคคล กลยุทธ ตลอดจน แนวทาง นโยบายทางการเมืองของตน....

ในแง่นี้....นักวิชาการ นักบริหาร และนักการเมือง จำต้องขัดแย้งกัน เพราะกรอบความคิดและตรรกะที่แต่ละฝ่ายใช้เป็นหลักยึดนั้น...แตกต่างกันตั้งแต่จุดเริ่มต้น...ยกเว้นนักวิชาการที่สังกัดกลุ่มมักจะใช้จุดยืน ทัศนะ และวิธีการด้านต่างๆ ตามกลุ่มที่ตนสังกัด.....หากประชาชนเข้าถึงกรอบความคิดของบุคลในกลุ่มต่างๆเหล่านี้...ย่อมพิจารณาเรื่องราวต่างๆได้ง่ายขึ้น

----------นักวิชาการของไทยทุกสาขารวมกัน มีผลงานวิจัย ไม่ถึง 0.5 เรื่องต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วถือว่ายังแตกต่างกันมาก...และนี้คือตัวบ่งชี้ว่านักวิชาการไทยยังเรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจความเป็นจริงรอบตัวน้อยมาก..

----------การที่นักวิชาการมีผลงานวิจัยน้อยนี่แหละคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้นักวิชาการแก่กล้าเฉพาะองค์ความรู้ แต่อ่อนด้อยด้านการทำความเข้าใจกับความเป็นจริงที่อยู่รอบตัว...และเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้นักวิชาการอ่อนแอทางภูมิปัญญา กล่าวคือไม่สามารถใช้ องค์ความรู้ที่มีอยู่ประสานกับไหวพริบ ปัญญา ความฉลาดของตนบนพื้นฐานของการเข้าใจความเป็นจริง(ที่ได้จากการวิจัย) ได้อย่างเหมาะสม....ภูมิปัญญาของนักวิชาการไทยจึงดูเหมือนหยุดนิ่ง..ลอกเลียนต่างประเทศ..กระทั้งอนุรักษ์นิยมจนไม่สามารถยอมรับกับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา...

----------นักวิชาการเป็นกลุ่มคนที่แทรกตัวอยู่ในหมู่นักธุรกิจ นักบริหาร นักการเมือง นักเคลื่อนไหวมวลชน และสื่อสารมวลชน....และถือว่าทำหน้าที่ในส่วนที่เป็นสมองให้กับคนกลุ่มต่างๆดังกล่าว...และยังทำหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาการให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะต้องเติบโตขึ้นมารับช่วงเพื่อดูแลสังคมในอนาคต.....ในแง่นี้...นักวิชาการมีความสำคัญต่อการกำหนดชะตากรรมของประเทศไม่น้อยกว่านักบริหาร นักการเมืองและคนกลุ่มอื่นๆเลย...

----------แต่ถ้านักวิชาการ มัวแต่ “เป็นปลื้ม” กับองค์ความรู้ของตนโดยละเลย การค้นคว้า วิจัยทดลองความเป็นจริงของสังคม และไม่มีทิศทางพัฒนาภูมิปัญญาให้ก้าวหน้า ออกมาในรูปของยุทธศาสตร์ แนวทางนโยบายสาธารณะด้านต่างๆ.....นักวิชาการไม่เพียงปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกาภิวัฒน์ แต่ยังกลายเป็นพวกอนุรักษ์กลุ่มใหม่ และบางกลุ่มไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ถึงขั้น “ขวางโลก” ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารยะขัดขืน หรือ อนาธิปไตย....

----------ในห้วงเวลา ที่สนธิ-จำลอง-พันธมิตร และเครือข่ายสนับสนุน เคลื่อนไหวกดดันให้นายกทักษิณลาออกนั้น...

.....มีนักวิชาการจำนวนมากได้หันหลังให้กับหลักการที่ทุกคนเคยเรียกร้องมาเมื่อเดือนพฤษภาคม’35 คือนายกมาจากการเลือกตั้ง มิใช่มาจากการแต่งตั้ง หรือขอนายกพระราชทาน...

.....ในห้วงเวลาดังกล่าวเช่นกันนักวิชาการจำนวนมากยอมรับการกดดันโดยไม่เสนอทางออกแก่สังคม พร้อมที่จะให้สังคมเปลี่ยนจาก “ภาวะเสถียร” ไปสู่ “ภาวะเสี่ยงภัย”...เพียงเพื่อให้นายกทักษิณลาออกเท่านั้น..

.....มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งออกมากระแทกแดกดัน เสียงส่วนใหญ่ของสังคมว่าเป็นเสียงที่ไร้คุณภาพซึ่งถูกพรรคการเมืองซื้อ.....คนส่วนใหญ่เป็นแม้กระทั่งเหยื่อของนโยบายประชานิยม

.....มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งยุยงส่งเสริมให้ประชาชนทำผิดกฎหมายภายใต้หลักการแห่งลัทธิอารยะขัดขืน เปลี่ยนบรรทัดฐานของสังคมเสียใหม่ โดยเชิดชูพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างออกหน้าออกตา(คว่ำบาตรเลือกตั้ง และฉีกบัตรเลือกตั้ง) และเห็นการกระทำที่ถูก กฎ กติกา ตามระบอบที่เรายึดถือเป็นสิ่งอัปลักษณ์และสามานย์(การเลือกตั้ง)

.....แม้แต่วันนี้..นักวิชาการเหล่านี้ก็มิได้สำนึกและกลับตัวมายึดหลักการ ยังมีอาการตะแบงตามความถนัดของแต่ละคน....

----------ปรากฎการณ์เหล่านี้...ประชาชนตาดำๆต่างตั้งคำถามกันว่า....นักวิชาการไทย “สิ้นคิด” ได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ ?....นักวิชาการไทย “เพี้ยน” ได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ ?......สภาพของนักวิชาการกลุ่มนี้...ทำให้เราหดหู่ และมองไม่เห็นว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาที่ใช้พัฒนาประเทศได้อย่างไร....

----------เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง...ในขณะที่พรรคไทยรักไทยโดย พ.ต.ท.ทักษิณนำเสนอนโยบาย ออกมามากมาย...แต่นักวิชาการเหล่านี้แทนที่จะทำการศึกษา วิจัยผลกระทบทางบวก/ทางลบ หรือพัฒนานโยบายแนวอื่นมาเทียบเคียงเพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบแข่งขัน...เขากลับไม่ทำแต่กลับใช้วิธีเดียวกับที่พรรคเก่าแก่ใช้ นั่นคือ ดิสเครดิตนโยบายของรัฐบาลด้วยภาษาประดิษฐ์เช่น นโยบายประชานิยม นโยบายหว่านเงินหาเสียง คอรับชั่นเชิงนโยบาย...ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อกล่าวหาที่ยากจะพิสูจน์....

----------เมื่อนักวิชาการไม่มีข้อเสนอใดๆ ให้ประชาชนเทียบเคียง..ประชาชนก็ยังให้ความนิยมต่อพรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากกว่าพรรคการเมืองอื่น แม้ในยามที่ถูกกล่าวหา โจมตีอย่างรุนแรงที่สุดก็ตาม...พรรคการเมืองอื่นก็ดี, หัวหน้าพรรคการเมืองอื่นก็ดี, รัฐบาลพระราชทานก็ดี...ย่อมไม่สามารถเข้ามาแทนที่ได้....เพราะว่า...

----------การเมืองยุคต่อจากนี้ไป...แข่งกันที่วิสัยทัศน์ องค์ความรู้ ภูมิปัญญา บุคลากรทางการเมืองที่มีฐานแห่งความสำเร็จในชีวิต และความน่าเชื่อถือด้านการบริหาร....

การเมืองไทยได้เข้าสู่ยุค Solution Base แล้ว..............
มิได้เป็นการเมืองยุควาทะกรรม อีกต่อไป

ยิ่งเป็นมิจฉาวาทะด้วยแล้ว...ยิ่งจะตกยุคไปกันใหญ่



Create Date : 30 เมษายน 2549
Last Update : 26 พฤษภาคม 2549 8:36:24 น. 3 comments
Counter : 752 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะคุณ grassroot แวะมาเยี่ยมชมผลงานค่ะ ^ ^
เป็นบล็อกที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาจริงๆ
จะติดตามดูนะคะ


โดย: Without me วันที่: 6 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:44:00 น.  

 
นักวิชาการที่ไม่มีข้อเสนอคือนักวิชาการที่ดีแต่วิจารณ์ ขาดการสังเคราะห์ในส่วนที่เป็นภูมิปัญญาแห่งตน รอปล้นเอาแต่ความคิดข้อเสนอ หรือไม่ก็แห่ตามเขาเพื่อเป็นแนวร่วม ไหลตามกระแส พอเขาเงียบก็เงียบตาม ไม่สามารถสร้างองค์ความรู้หรือบูรณาการเพื่อหาทางออกแห่งปัญญา จ้องแต่อวดภูมิปัญญา ตามแนวทาง win-lose ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ก่อเกิดความสมานฉันท์ เหมือนเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ มีผู้แพ้ผู้ชนะ ไม่น่ามีคำว่า Dr.นำหน้า เป็นอย่างไรบ้างนักวิชาการที่ออกมาทั้งหลาย ชัดเจนแล้วหรืไม่ว่าท่านไม่มีภูมิปัญญาที่จะหาทางออกให้กับประเทศไทย ท่านต้องให้ศาลตัดสิน แล้วความย่อยยับของประเทศไทยที่เกิดขึ้นใครเป็นคนรับผิดชอบ กติกาบ้านเมืองเขาให้เลือกผู้แทนเขามาเพื่อเป็นผู้นำ ไปต่อสู้ให้กับคนไทยทุกคนกับปัญหาต่าง นักวิชาการบางคนฉีกบัตรแล้วอ้างอารยะขัดขืน ท่านไม่เลือกผู้แทนท่านอย่าอ้างประชาธิปไตย ข้าฯอาจจะไม่ฉลาดอาจจะเบาปัญญาแต่ข้าพเข้าก็รู้จักหน้าที่ของข้าฯ รักประเทศเช่นทุกคน ท่านแน่จริงท่านต้องไปหาแนวร่วมกับนายสนธิฯ ผู้ที่ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ร่วมกับปีศาจเศรษฐกิจที่สูบเลือดเอาจากแมงเม่าในตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับนักการเมืองหนุ่มมีความรู้ดี แต่ไม่มีประสบการณ์ ช่วยไปเสริมทัพกันเข้ามาเอาชนะนายกฯทักษิณ อย่าอ้างประชาธิปไตย ไม่ไปเลือกตั้ง ถ้าแน่กันจริงๆ ลองมาหาทางออกแก้วิกฤตน้ำมันช่วยประเทศชาติบ้านเมืองเถิด ปัญหาการเมืองพวกท่านก็สร้างกันมามาก ตามด้วยปัญหาสังคมสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง แล้วยังปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มีใครเสนอหน้ามาแก้ไข ทำไม่ไม่ไปรวมกันหาคะแนนให้ได้ผู้แทนให้ได้มากกว่าเขาสิ แล้วมาบริหารประเทศ อย่าเอาแต่ดี เด่น ดัง แต่ประเทศชาติพังเสียหาย อายเขาบ้าง เห็นหรือยัง สิคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เขานั่งหัวเราะประเทศไทยอยู่นั่น เขาแซงไปไหนแล้ว นั่งดูแต่ตำราเปิดฟ้ามองโลกที่เป็นจริง ด้วย 10 ล้านถ้าไม่พอตั้งรัฐบาลก็ตรวจสอบรัฐบาลครับ ทำสิ อย่าเอาแต่ดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น สู้ด้วยข้อมูล สารสนเทศน์ อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร อย่าโหนกระแส เอาภูมิปัญญาที่ท่านเสียเงินเสียทองไปเรียนมาได้คำว่าด๊อกเตอร์นำหน้า มาสร้างปัญญาสู่แผ่นดินตามแนวทางสามานฉันท์( win-win) ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากนายกทักษิณมาเป็นใคร แต่การเปลี่ยนแปลงนั้น ทุกคน คนไทยต้องได้ประโยชน์ อย่าเอาแต่ประโยชน์ นายสนธิ (ขาย ซีดี หนังสือ เสื้อ ดาวเทียม แล้วไปบอกเขาเลิกใช้มือถือ .....ตลก..โกหกคนดู ..ได้ซิมไปกี่อันล่ะ) อย่าเอาแต่ประโยชน์นักวิชาการบางคน ได้ออกทีวี มีกิจกรรมข่าว แต่ประเทศชาติเศร้าหมอง อยากดัง ถ้าเป็นนักวิชาการ ต้องมีผลงานวิจัยที่ทำให้ประเทศชาติเจริญ อย่าเอาแต่วิจัยลมปาก ........


โดย: ประชาชน IP: 203.113.16.241 วันที่: 6 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:32:19 น.  

 
ดีมากครับ เเต่ทำไมคนที่ไม่ใช่สมาชิกถึงตกแต่งภาพไม่ได้ครับ


โดย: นัททิว IP: 202.149.25.234 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:20:13:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

grassroot
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






หากเอาเวลาของจักรวาลเป็นตัวตั้ง แล้วเอาเวลาของชีวิตมนุษย์คนหนึ่งเป็นตัวเทียบ......ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นยิ่งนัก...สั้นยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ....

Friends' blogs
[Add grassroot's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.