ความเข้าใจเรื่อง "กฐิน" (ภาคแรก)
โปรดทราบก่อน เนื่องจากกำลังจะออกพรรษาแล้ว เมื่อใดที่ถึง วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็จะถึงเทศกาล "ถวายผ้ากฐิน" ก็เห็นว่าควรจะได้ทำความเข้าใจเรื่องกฐิน กันให้ชัดเจนมากขึ้น จะได้ทอดถวาย "ผ้ากฐิน" กันให้เป็นบุญกุศลจริงๆ ป.ล. บทความนี้ยาวมาก เพราะมีเรื่องที่ต้องทำ "ความเ้ข้าใจ" กันให้ถูกต้องอยู่หลายเรื่อง อาจทำให้ท่านที่ไม่ค่อถนัดอ่านข้อความ หรือตัวหนังสืออะไรเยอะๆ รู้สึกลำบากใจบ้าง
ความเข้าใจเรื่อง "กฐิน" การทำบุญทอดกฐิน หรือการถวายกฐินทาน เป็นการทำบุญประเภทถวายทานที่ถือว่าเป็นบุญใหญ่ ที่พุทธศาสนิกชน ชาวพุทธ นิยมทำกันมาก (แม้จะมีบางท่านที่ทำหน้าตาแปลกๆเวลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ยื่นซองร่วมทำบุญกฐินให้ก็ตาม) สาเหตุที่การทำบุญทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ที่ชาวพุทธร่วมกันมาก ก็เพราะเป็นกิจกรรมบุญ ถวายทาน ที่ทำได้เพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี (เฉพาะในวัดนั้นๆ) และการที่จะทอดกฐินได้ ต้องเป็นการร่วมกันของบุคคลหลายๆคน มีทั้งตัวผู้ประสงค์จะทำบุญ หรือผู้เป็นเจ้าภาพ ผู้เป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูง และชาวบ้านชาวชุมชนที่ทราบข่าว (โดยมากจะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้วัดนั้น) ที่ได้ทราบว่า วัดนี้ จะมีผู้มาทำบุญทอดกฐิน ก็จะมาขอร่วมทำบุญทำกุศลด้วย สรุปได้ว่า กฐินนั้นเป็นงานบุญที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยความสามัคคีของทุกๆฝ่าย และเป็นสิ่งที่ทำให้ยืนยันถึงความมีใจสามัคคีร่วมกันที่จะทำบุญทำกุศลในกฐินทานนี้ ถ้าหากไม่สามัคคีกัน เช่นว่าคนๆนี้ต้องการจะทอดกฐิน อีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยก็ไม่ร่วมทำบุญด้วย หรือว่าคนๆนี้ต้องการทอดกฐิน ส่วนอีกคนได้ยินข่าวว่า การทอดกฐินมีคนๆนี้เป็นเจ้าภาพ ตัวเองมีความรู้สึกไม่พอใจ, เกลียดชัง หรือมีเรื่องหมางใจกับคนๆนี้อยู่ ก็ไม่อยากร่วมทำบุญด้วย การที่บุญกฐินจะเกิดขึ้น และมีผู้เข้าร่วมกันมากๆได้ ก็เป็นด้วยความสามัคคีของผู้คนที่มีจิตศรัทธาร่วมกันนี่เอง และนอกจากฝ่ายทายก ทายิกาแล้ว ถ้าหากพระสงฆ์ในวัดนั้นๆไม่สามัคคีกัน เมื่อจะตกลงมอบผ้ากฐินให้พระรูปไหนเป็นผู้ครองกฐิน ก็จะมีความไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นแบบนี้กฐินก็ไม่สามารถเกิดขึ้นและสำเร็จได้ด้วยความบริสุทธิ์แท้ๆ ในยุคสมัยที่คนในสังคมแบ่งแยก, แตกแยก เป็นพรรค เป็นพวก เป็นสีต่างๆ มีความไม่สามัคคีกัน ถ้าจะนำเอาการทอดกฐิน, การทำบุญกฐิน มาใช้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อรวมคนให้สามัคคีกันได้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ประเภทการทอดกฐิน ๑. กฐินราษฎร์ หมายถึงกฐินที่ประชาชนโดยทั่วไป ผู้มีศรัทธา ไปทอดถวายตามวัดราษฎร์ ต่างๆ โดยยังแบ่งออกเป็น ๑) มหากฐิน เป็นกฐินที่ใช้เวลาตระเตรียมนาน เช่น มีการบอกบุญ เชิญชวนกันหลายวัน ก่อนจะนำไปทอดในวัดใดวัดหนึ่ง มหากฐินนี้ มักเรียกกันโดยทั่วไปว่า กฐิน ๒) จุลกฐิน เป็นกฐินที่มีเวลาตระเตรียมน้อย เช่น อาจต้องทอดภายในเวลาก่อนจะหมดฤดูกฐิน จุลกฐินนี้ จะมีพิธีการตั้งแต่เริ่มเก็บฝ้ายมาปั่นเป็นด้ายแล้วทอจนเป็นผืนผ้า และ ซัก ตัด เย็บ ย้อม จนะกลายเป็นผ้าไตรจีวร แล้วจึงทอดถวาย ๓) กฐินจร, กฐินโจร เป็นกฐินที่ผู้มีจิตศรัทธา สืบเสาะหาวัดที่ยังไม่มีการทอดกฐิน แล้วนำไปทอดถวาย โดยไม่ได้มีการแจ้งหรือจองไว้กับทางวัดก่อน กฐินจร หรือกฐินโจรนี้ มักกระทำกันก่อนจะหมดฤดูกฐิน เป็นความศรัทธา และกุศลเจตนาของอุบาสกอุบาสิกา ที่ต้องการสงเคราะห์ให้พระสงฆ์ในวัด ได้รับอานิสงส์กฐิน กฐินจรที่ว่านี้ มักทอดถวายในรูปแบบของมหากฐิน คือนำผ้าสำเร็จรูปไปทอดถวาย ไม่ได้มีการตระเตรียม ตั้งแต่นำผ้ามาตัด เย็บ ย้อม อย่างจุลกฐิน กฐินราษฎร์นี้มักมีการทอดถวายในสองประเภท คือ แบบที่มีเจ้าภาพเพียงคนเดียว และแบบที่เป็นกฐินสามัคคี คือมีการรวมกลุ่มกันเป็นคณะใหญ่ แต่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นประธานในการทอดกฐิน ๒. กฐินหลวง คือกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงนำไปทอดถวายในวัดหลวง หรือทรงพระราชทานให้ผู้แทนพระองค์นำไปทอดถวาย ถ้าหากเป็นผ้ากฐินหลวงที่ทรงพระราชทานให้หน่วยงานราชการ หรือเอกชน นำไปทอดถวายที่วัดหลวง จะเรียกว่า กฐินพระราชทาน การขอรับพระราชทานผ้ากฐินเพื่อไปทอดในวัดหลวงต่างๆนั้น เว้นวัดหลวงสำคัญ ๑๖ วัด ที่ห้ามขอพระราชทาน นอกจากจะทรงพระราชทานให้ผู้ใดผู้หนึ่งไปทอดแทนพระองค์ วัดหลวง ๑๖ วัด คือ ๑. วัดเทพศิรินทราวาส ๒. วัดบวรนิเวศวิหาร ๓. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ๔. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๕. วัดมกุฏกษัตริยาราม ๖. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๗. วัดราชบพิธ ๘. วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ๙.วัดราชาธิวาส ๑๐. วัดสุทัศนเทพวราราม ๑๑. วัดราชโอรสาราม ๑๒. วัดอรุณราชวราราม ๑๓. วัดนิเวศธรรมประวัติ ๑๔. วัดสุวรรณดาราราม ๑๕. วัดพระปฐมเจดีย์ ๑๖. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ความเข้าใจผิดในเรื่องกฐิน มีสิ่งที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดกันมากในเรื่องกฐิน ซึ่งพอจะประมวลความเข้าใจผิดเหล่านั้นได้ดังนี้ ๑. เข้าใจว่า การทอดกฐิน คือ การรวมจำนวนเงินให้ได้มากๆ (อย่างน้อยก็จำนวนหมื่นขึ้นไป) แล้วนำไปถวายพระที่วัด ความเข้าใจเช่นนี้ คือความเข้าใจที่ผิด เพราะตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเรื่องกฐิน และให้พระสงฆ์รับกฐินได้นั้น คือการทรงอนุญาตให้พระสงฆ์มีผ้าไตรจีวรไว้ใช้สอย สาเหตุที่เกิดเรื่องกฐินขึ้นมา มีอยู่ว่า พระภิกษุในเมืองปาฐา ต้องการจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้เดินทางกันมาเข้าเฝ้า ปรากฏว่ามาถึงเมืองสาเกต (เมืองเล็กๆ ใกล้เมืองสาวัตถี ห่างจากเมืองสาวัตถีประมาณ ๖โยชน์ - ๙๖ กิโลเมตร) ก็ถึงช่วงเข้าพรรษาพอดี จึงได้หยุดเพื่อจำพรรษาก่อน พอออกพรรษาก็รีบเดินทางกันมาเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเพราะเพิ่งหมดฤดูฝนใหม่ๆ พื้นยังเปียกแฉะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทำให้พระภิกษุที่เดินทางมานั้น จีวรเปียกปอน เปื้อนดินโคลนกันเต็มไปหมด และจีวรก็เก่าคร่ำคร่ามาก เมื่อมาเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุ จึงทรงอนุญาตว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว ให้พระภิกษุร่วมกันทำจีวรได้ และเมื่อทำจีวรเสร็จแล้ว ก็พร้อมใจกันถวายให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในวัดเดียวกัน ที่จำพรรษามาด้วยกันนั้น อย่างนี้เรียกว่ากฐิน ส่วนเรื่องที่มีการถวายผ้ากฐินโดยฆราวาสนั้น เนื่องมาจากว่าฆราวาสญาติโยม เห็นพระภิกษุลำบากด้วยการแสวงหาผ้าบังสุกุล (ผ้าห่อศพ, ผ้าเปื้อนฝุ่น ที่เขาทิ้งแล้ว) ก็เลยหาผ้ามาถวาย พระสงฆ์จะได้ไม่ต้องลำบากไปแสวงหาผ้า ก็เหลือเพียงการซัก ตัด เย็บ ย้อม ให้เป็นจีวรเท่านั้น หรือบางทีก็ถวายเป็นผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปเลย พระสงฆ์ก็เหลือเพียงขั้นตอนการยกผ้ากฐินนั้นให้เป็นของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ที่ตกลงกันในที่ประชุมสงฆ์แล้ว หลังจากกรานกฐินด้วยผ้านั้นแล้ว ก็ถือเป็นอันเสร็จการทอดกฐิน ส่วนเรื่องเงินทองเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่กฐิน "แต่เป็นบริวารกฐิน" กฐินจะสำเร็จได้ ก็เพราะตัวผ้า ไม่ใช่ที่ตัวเงิน ถึงแม้จะไม่มีการถวายเงินในพิธีเลย ถ้ามีแต่เพียงผ้าไตรจีวรอย่างเดียว ก็เป็นกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่เชื่อกันว่ากฐินคือเงินทำบุญเข้าวัด (จะด้วยจุดประสงค์ เพื่อนำไปซ่อมแซมเสนาสนะ ปฏิสังขรณ์อุโบสถวิหารที่ชำรุดทรุดโทรม ก็ตาม) นั้น เพราะไปให้ความสำคัญกับตัวเงินมากไป รวมถึงอาจจะเป็นเพราะเกรงว่าตนเองผู้เป็นเจ้าภาพกฐิน จะเสียหน้า ถ้าหากทำบุญทอดกฐินและเงินเข้าวัดไม่เยอะ หรือเกรงว่าพระท่านจะไม่รับกฐิน เพราะเงินทำบุญเข้าวัดไม่มาก จนเชื่อกันไปเองว่า กฐิน คือเงินเข้าวัด ผู้ที่จะทอดกฐินจึงควรมุ่งจุดประสงค์หลักไปที่การถวายผ้าไตรจีวร ส่วนเงินทำบุญเข้าวัด ที่เป็นบริวารกฐิน ถือว่าเป็นเพียงส่วนประกอบ เป็นเรื่องความศรัทธาของเจ้าภาพผู้มาทอดกฐิน เคยได้ทราบว่ามีบางที่บางแห่ง มีผู้มีจิตศรัทธาท่านหนึ่ง จัดคณะไปทอดกฐินที่วัดแห่งหนึ่ง ปรากฏว่า มัคทายกไปบอกผู้มาทอดกฐิน ว่ามีคนเอา "เงินกฐิน" มาทำบุญเข้าวัดแล้ว (แต่ไม่มีผ้ากฐินมาด้วย มีแต่ตัวเงิน) ดังนั้นผ้าที่ผู้มาทอดกฐินนำมาถวาย จึงเป็นเพียงผ้าป่า การพูดของมัคทายกแบบนี้ ถือว่าผิดหลักศาสนพิธี ผิดธรรมวินัย และเป็นการทำลายศรัทธาของเจ้าภาพ เป็นการให้สำคัญแต่ตัวเงิน จนไม่สนใจตัวหลักตามพระธรรมวินัย คือผ้าไตรจีวร ๒. เข้าใจว่า กฐินมีการถวายได้เป็นกองๆ เช่น วัดแห่งหนึ่งบอกบุญให้ญาติโยมร่วมกันทอดกฐิน เท่านั้นกอง เท่านี้กอง (ที่ได้ยินบ่อยมาก อย่างเช่น กฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง) และแต่ละกองก็มีเจ้าภาพประจำกอง และทุกคนเป็นเจ้าภาพกฐินทั้งหมด
ความเข้าใจเช่นนี้ ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากว่า กฐิน จุดสำคัญอยู่ที่ผ้าไตรจีวรที่จะนำมาเป็นผ้ากฐิน และมีผ้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น ที่เป็นผ้ากฐิน ส่วนผ้าที่เหลือนอกนั้น เช่นผ้าสำหรับถวายพระคู่สวด หรือจะมีผ้าไตรจีวรสำหรับถวายพระทุกรูปในวัดนั้นก็ตาม ไม่เป็นกฐิน ถือว่าเป็นบริวารกฐินไป เหมือนกับตัวเงิน ที่ไม่ใช่กฐิน ยิ่งถ้าหากมีการประกาศว่า กฐินแต่ละกอง ต้องมีเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ยิ่งเป็นการผิดเอามากๆ และถ้าหากจัดขึ้นด้วยการบอกหรือการโฆษณาของพระสงฆ์ ก็เท่ากับเป็นการแสวงหาทรัพย์สินในทางอเนสนา ไม่ถูกต้อง และผิดต่อหลักพระธรรมวินัย ถ้าหากยังจะมีจัดกฐินเป็นกองๆอยู่ ก็ขอให้เรียกให้ถูกต้องและบอกกันตรงๆว่า กฐินครั้งนี้ จะแบ่งบริวารกฐินเป็น ๘๔,๐๐๐ กอง หรือจะเท่านั้นเท่านี้กองก็ว่ากันไป เพราะกฐินสำเร็จด้วยผ้าไตรจีวรชุดเดียว,ผืนเดียว ไม่ใช่สำเร็จที่ตัวเงิน และไม่มีการแบ่งกฐินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้กอง จะมีอะไรเป็นกองๆ ก็ให้เป็นบริวารกฐินไป
กฐินต้องห้าม
กฐินต้องห้าม คือกฐินที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย หรือก็คือ ไม่เป็นกฐิน นั่นเอง (ถึงแม้จะมีพิธีที่เรียกว่า ทอดกฐิน เกิดขึ้นก็ตาม) ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหลายประการ แต่ที่พบมากในปัจจุบันก็คือ พระสงฆ์หากฐินเอง
ที่ว่า หากฐินเอง นี้ ก็คือ อาจจะมีบางวัด(หรือหลายวัด) ที่ไม่มีเจ้าภาพมาติดต่อจองกฐิน จนจะถึงหน้าทอดกฐิน ใกล้จะออกพรรษาแล้ว ก็ยังไม่มีญาติโยมผู้มีศรัทธามาติดต่อขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ทำให้เจ้าอาวาส หรือพระในวัด (หรือเจ้าอาวาสจะสั่งพระในวัด) ไปหาเจ้าภาพมาทอดกฐิน เช่น ไปออกปากบอกญาติโยมผู้มีศรัทธา แล้วก็ได้เจ้าภาพมาทอดกฐินที่วัดของตน การหากฐินเองแบบนี้ ไม่ว่าจะบอกด้วยปากเปล่าก็ตาม หรือใช้วิธี ประกาศหาเจ้าภาพด้วยการติดป้าย, ติดต่อทางโทรศัพท์, ประกาศทางรายการวิทยุโทรทัศน์, ประกาศทางอินเตอร์เนต หรือจะด้วยวิธีไหนก็ตามที ที่เป็นการหากฐินมาทอดที่วัด "ตนเอง" ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่ ไม่เป็นกฐิน ทั้งสิ้น ถ้าหากถามว่ามีอะไรยืนยัน ว่าการออกปากขออย่างนี้ไม่เป็นกฐิน ก็ตอบได้ว่า เป็นไปตามพระวินัย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ข้อที่ ๙๗ ตอนหนึ่ง ว่า นะ ปะริกะถากะเตนะ อัตถะตัง โหติ กะฐินัง - กฐินไม่เป็นอันกราน เพราะเอ่ยปากขอมา ในอรรถกถาพระวินัย ได้อธิบายไว้ว่า "บทว่าปะริกะถากะเตนะ คือ ด้วยผ้าที่ภิกษุให้เกิดขึ้นด้วยพูดเลียบเคียงอย่างนี้ว่า การถวายผ้ากฐิน สมควรอยู่ ทายกเจ้าของกฐินย่อมได้บุญมาก ขึ้นชื่อว่า ผ้ากฐิน เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ จึงจะสมควร แม้มารดาของตน ก็ไม่ควรออกปากขอ ต้องเป็นดังผ้าที่ลอยมาจากอากาศนั่นแล จึงจะเหมาะ. ตามที่อรรถกถาได้อธิบายไว้นี้แสดงว่า การออกปากขอกฐิน โดยการพูดเลียบเคียง ตามตัวอย่างนี้ หรือแม้แต่ใช้คำพูดอย่างอื่น เช่นบอกกับญาติโยมว่า "แหม ปีนี้ที่วัดยังไม่มีเจ้าภาพทอดกฐินเลย" และเป็นการบอกทำนองเลียบเคียงขอให้เขาเป็นเจ้าภาพ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการขอแบบไหนๆก็ตาม ก็ไม่สมควร ไม่เป็นกฐิน แม้แต่การขอกับมารดาของตนเองก็ตาม ยกเว้นแต่ว่าญาติโยมเขาถามว่า "ปีนี้ที่วัดมีเจ้าภาพมาจองกฐินหรือยัง" ก็บอกไปตามตรงเพียงว่า "ยังไม่มีผู้มาจองกฐิน" ส่วนเขาจะมีศรัทธา แสดงความจำนงค์ขอเป็นเจ้าภาพ จองกฐินหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของญาติโยม เมื่อมีพระวินัยระบุไว้เช่นนี้แล้ว พระภิกษุในวัด หรือเจ้าอาวาสวัดใดๆก็ตาม พึงทราบไว้ว่า ถ้าหากต้องการให้กฐินที่มีผู้มาทอดถวายในวัดของตนนั้น เป็นกฐินสมบูรณ์ และได้อานิสงส์กฐินสมบูรณ์ ไม่ควรไปออกปากขอโดยปริยายใดๆ ไม่ว่าจะขอกับพระหรือขอกับฆราวาสก็ตาม การรับผ้ากฐิน เป็นพุทธานุญาตที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ถึงแม้จะไม่มีผู้มาทอดกฐินเลยก็ตาม ภิกษุในวัดก็สามารถจัดทอดกฐินเอง ด้วยการตัดเย็บผ้าบังสุกุลที่หาได้ ให้กลายเป็นจีวร แล้วก็ร่วมกัน ยกผ้าให้กับพระภิกษุในวัดรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อกรานกฐิน การทำอย่างนี้ เป็นกฐินโดยสมบูรณ์ในตนเอง และเป็นไปตามพระธรรมวินัยด้วย ไม่ต้องไปแสวงหากฐินโดยการออกปากขอจากฆราวาสญาติโยมที่ไหน เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เป็นผ้ากฐินที่บริสุทธิ์แล้ว ยังส่อแสดงถึงความต้องการจะหาลาภผล หรือปัจจัยใดๆที่เป็นบริวารกฐิน มาเข้าวัดตนเอง (และยังอาจสื่อได้ว่า ทางวัดคงไม่มีญาติโยมผู้ศรัทธามาทอดกฐินโดยบริสุทธิ์แล้วกระมัง ถึงต้องมาร้องขอกันแบบนี้) ถือได้ว่าเป็นการหาเลี้ยงชีพในทางมิชอบ เป็นอเนสนา พระพุทธเจ้าทรงตำหนิการกระทำเช่นนั้น ถึงแม้จะได้ปัจจัยบริวารกฐินมาก็ตามที แต่ก็ไม่ได้อานิสงส์กฐิน ถ้าหากต้องการเงินปัจจัยบริวารกฐิน ก็ควรบอกญาติโยมกันไปตรงๆว่า "ขอให้ญาติโยมร่วมกันเอาเงินมาถวายวัด" ไม่ใช่บอกให้ญาติโยมมาทอดกฐินที่วัด วัดที่มีพระภิกษุสามเณรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงนั้น จะไม่ต้องห่วงในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะอุบาสกอุบาสิกา พร้อมที่จะอุปถัมภ์บำรุงอยู่แล้ว ดังนั้นพระคุณเจ้าในวัดต่างๆ ควรศึกษา ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัยโดยถูกต้อง บริสุทธิ์ บริบูรณ์เถิด ญาติโยมผู้เห็นความสำคัญ และเห็นการปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส ก็จะมาสนับสนุนเอง โดยไม่ต้องออกปากขอเลย สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ชาวพุทธ ที่มีจิตศรัทธาเอง ก็ควรทราบในข้อวินัยนี้ของพระภิกษุสงฆ์ หากมีพระคุณเจ้ารูปใดมาออกปากขอให้ไปทอดกฐินในวัดของท่านเอง ก็ควรกราบเรียนท่านไปตรงๆว่า "พระคุณเจ้ามาออกปากขอกฐิน อย่างนี้ไม่ถูกต้องเลย ไม่เป็นกฐิน" เพื่อช่วยกันปกป้องรักษาพระธรรมวินัย ข้อควรทราบที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฐิน ๑. กฐินคือการทอดถวายผ้า ที่วัดใดวัดหนึ่ง โดยผู้มีจิตศรัทธา ไปทอดถวายเอง โดยไม่ได้เกิดจากการออกปากขอของพระภิกษุสงฆ์
๒. พระภิกษุสงฆ์ในวัด ที่จำพรรษาครบ ๓ เดือน และมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป จึงจะสามารถรับกฐินได้ ๓. กฐิน รับได้เพียงครั้งเดียว ใน ๑ ปี กำหนดการรับผ้ากฐิน , ทอดกฐิน ทำได้ตั้งแต่ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เท่านั้น ถ้าก่อนกำหนด หรือเกินกำหนดนี้ ไม่เป็นกฐิน ๔. แต่ละวัด จะรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว โดยเจ้าภาพผู้ทอดถวายเพียงรายเดียว หรือคณะเดียว หลังจากนั้นแล้ว แม้มีผู้จะมาทอดกฐินอีก จะกี่ราย หรือเงินบริวารกฐินจะมากแค่ไหน ก็ไม่เป็นกฐิน ๕. การทำสังฆกรรมคือ กรานกฐิน จะต้องทำภายในวันรับกฐินนั้น ก่อนรุ่งเช้าของวันใหม่ ถ้าไม่ทำภายในเวลาดังกล่าว ผ้านั้นไม่เป็นกฐิน ดังในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ ระบุว่า นะ สันนิธิกะเตนะ อัตถะตัง โหติ กฐินัง - กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน ๕. ตัวกฐินจริงๆ คือ ผ้าไตรจีวร ซึ่งก็คือ อันตรวาสก (สบง) อุตตราสงค์ (จีวร) และ สังฆาฏิ เท่านั้น ของอย่างอื่นจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินปัจจัย บาตร ตาลปัตร เครื่องโยธา หรือของถวายอื่นใดก็ตามในพิธีนั้น ถือว่าเป็นบริวารกฐินทั้งหมด ผู้มีจิตศรัทธาควรจะมุ่งใจเป็นกุศลไปที่การถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์ เพื่อให้ท่านได้กรานกฐิน ไม่ควรกังวลในเรื่องอื่น เช่น เงินจะถวายเข้าวัดน้อยเกินไป เป็นต้น ฝ่ายพระสงฆ์เองก็ไม่ควรมีจิตเป็นอกุศล ด้วยการทำเหมือน รังเกียจทาน ของผู้มาทอดกฐิน ถ้าหากเงินบริวารกฐินน้อยเกินไป เพราะจุดประสงค์ของการรับผ้ากฐิน การทอดกฐิน และ กรานกฐิน ก็อยู่ที่ "ผ้ากฐิน" (ผ้าไตรจีวร) เพียงเท่านั้น ถ้าคิดจะหาเงินปัจจัยอะไรต่างๆเพื่อบำรุงวัดของตนเอง ควรไปทำในโอกาสอื่นมากกว่า เพื่อให้กฐิน เป็นกฐินบริสุทธิ์บริบูรณ์จริงๆ ๖. พระภิกษุสงฆ์จะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินเองก็ได้ แต่ต้องทอดถวายที่วัดอื่น ไม่ใช่ในวัดของตนเอง อานิสงส์กฐิน คำว่า อานิสงส์กฐิน ในที่นี้ หมายถึงอานิสงส์ของพระภิกษุผู้รับกฐิน ส่วนอานิสงส์การทอดกฐิน หรือการถวายผ้ากฐินของฆราวาสนั้น มีอานิสงส์ในส่วนของการถวายทาน ซึ่งเป็นบุญกุศลโดยตัวเองอยู่แล้ว
อานิสงส์กฐิน ในฝ่ายพระภิกษุสงฆ์นั้น ก็คือ พุทธานุญาตในพระวินัยบางประการ หมายถึง มีพระวินัยบางข้อ ที่ถ้าหากพระภิกษุสงฆ์ไปละเมิดเข้า ก็มีโทษอาบัติ แต่เมื่อได้กรานกฐิน ได้รับกฐินแล้ว สามารถจะได้รับการลดหย่อนในพระวินัยบางข้อนั้นได้ ตามช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ โดยอานิสงส์ในการลดหย่อนพระวินัยบางข้อนั้น มีระยะเวลา ๔ เดือน หลังจากรับกฐินแล้ว กล่าวคือ ได้รับอานิสงส์กฐินนี้ ตั้งแต่ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อานิสงส์ทั้ง ๕ ข้อนั้น มีดังนี้ ๑. สามารถไปในที่อื่นได้โดยไม่ต้องบอกลา คือ เมื่อพระภิกษุจะไปในที่ใดก็ตาม ในเวลาก่อน หรือหลังจากฉันภัตตาหาร จะต้องบอกภิกษุรูปอื่นๆก่อน แต่ถ้าหากได้กรานกฐินแล้ว ก็ได้อานิสงส์ คือไม่ต้องบอกลาก็ได้ ๒. เที่ยวจาริกไปในที่ต่างๆโดยไม่ต้องนำจีวรไปครบสำรับ (ผ้าสบง, จีวร สังฆาฏิ) ๓. สามารถฉันคณโภชน์ได้ โดยปกติเมื่อทายกทายิกา ผู้มีศรัทธา จะนิมนต์ฉันอาหารโดยออกชื่อโภชนะ (คำว่าออกชื่อโภชนะ คือบอกชนิดอาหาร หรือเครื่องปรุง ที่จะถวาย เช่น บอกว่า นิมนต์ไปฉันสุกี้ นิมนต์ไปฉันพิซซ่า นิมนต์ไปฉันแป๊ะซะปลาช่อน นิมนต์ไปฉันหมูสะเต๊ะ ฯลฯ) เป็นต้นนั้น พระสงฆ์ไม่สามารถรับการนิมนต์ และไม่สามารถไปฉันได้ โดยกำหนดว่า ถ้าฉันเป็นหมู่คณะ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป มิฉะนั้น จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ (เว้นแต่รับนิมนต์ฉัน เพียง ๓ รูป) แต่ถ้าหากได้กรานกฐินแล้ว สามารถฉันคณโภชน์ได้ (คือรับนิมนต์ ที่ญาติโยมนิมนต์ฉันเป็นหมู่คณะ โดยออกชื่อโภชนะได้) ยกตัวอย่างเช่น ทายกทายิกา จะนิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูป ไปฉันที่บ้าน โดยกล่าวว่า "พรุ่งนี้ เวลาเพล ขอนิมนต์พระคุณเจ้า ๙ รูป ไปฉันก๋วยเตี๋ยว ที่บ้านโยม" ซึ่งตามปกติ การนิมนต์ออกชื่อโภชนะ ไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าได้อานิสงส์กฐินแล้ว ก็สามารถรับนิมนต์ฉันในลักษณะนี้ได้ ๔. เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา แต่เดิมพระภิกษุสงฆ์ มีไตรจีวร (สบง จีวร สังฆาฏิ) ที่อธิฏฐานเป็นผ้าครองได้เพียง ๑ชุดเท่านั้น หากมีเกินกว่านั้น เรียกว่า อติเรกจีวร ซึ่งสามารถเก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน เกินเวลานั้นต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ และต้องสละแก่สงฆ์ ยกเว้นแต่จะได้ทำวิกัปป์ คือทำให้เป็นของสองเจ้าของ (คือให้ภิกษุรูปอื่นสามารถใช้ได้ด้วย) แต่ถ้าหากได้รับอานิสงส์กฐินแล้ว สามารถจะเก็บอติเรกจีวรได้เกินกว่านั้น จนกว่าจะหมดเวลาอานิสงส์กฐิน ๕. ผ้าไตรจีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น ย่อมควรแก่พวกเธอ คำว่า พวกเธอ ในที่นี้ หมายถึงพระภิกษุที่จำพรรษาครบ ๓ เดือน ในอาวาสนั้น และได้กรานกฐินแล้ว ส่วนที่ว่า ย่อมควร นี้ หมายถึง เมื่อมีการถวายจีวรแด่สงฆ์ในวัดนั้น ภิกษุที่ได้จำพรรษาครบ ๓ เดือน และได้กรานกฐินเท่านั้น ที่สมควรมีสิทธิ์ได้รับการแบ่งจีวร อานิสงส์ทั้ง ๕ ข้อนี้ เป็นอานิสงส์ที่ได้เมื่อพระภิกษุจำพรรษาในอาวาสใดอาวาสหนึ่ง ครบ ๓ เดือน ซึ่งก็จะได้รับอานิสงส์การจำพรรษา ๑ เดือน นับแต่ออกพรรษา คือ หลังจาก วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ แต่ถ้าได้กรานกฐินแล้ว อานิสงส์นี้จะต่อไปได้อีก ๔ เดือน ก็คือ จนถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ดังนั้น อานิสงส์กฐินในที่นี้ ก็คือ สามารถต่ออายุ อานิสงส์การจำพรรษาไปได้อีก ๔ เดือน นั่นเอง ดังนั้น การที่พุทธศาสนิกชนได้มาร่วมกันทำบุญทอดกฐิน นอกจากเป็นการทำทาน ที่เรียกว่า กาลทาน แล้ว ยังถือได้ว่า มาช่วยอนุเคราะห์ เอื้อเฟื้อ ให้พระภิกษุสงฆ์ในวัดนั้นๆ ได้รับอานิสงส์กฐิน หรือก็คือ ได้รับสิทธิพิเศษ บางประการ ในพระวินัยด้วย เมื่อได้ทราบแล้วว่า การทอดกฐินมีอานิสงส์ทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์อย่างนี้ ก็มาถึงว่า ถ้าอยากจะทอดกฐิน ควรทำอย่างไรบ้าง ก็ขอยกยอดไปว่ากันต่อ ใน "ความเข้าใจเรื่อง "กฐิน" ภาคจบ"
Create Date : 11 ตุลาคม 2554 |
| |
|
Last Update : 11 ตุลาคม 2554 21:30:51 น. |
| |
Counter : 1858 Pageviews. |
| |
|
|