รัฐสภาไทย แสงและเงารัฐสภา รัฐสภาไทย ในประเทศไทย รัฐสภา เป็นสถาบันที่พระมหากษัตริย์พระราชทานอำนาจให้เป็นผู้ออกกฎหมาย สำหรับการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ รัฐสภาจะประกอบด้วยสภาเดียวหรือสองสภา ย่อมแล้วแต่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้รัฐสภาประกอบด้วยวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะประชุมร่วมกันหรือแยกกันตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา ต่อมาเมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ห้องประชุมรัฐสภา เริ่มใช้ประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 ประชุม 3 อย่าง คือ 1. การประชุมวุฒิสภา 2. การประชุมสภาผู้แทนราษฎร 3. การประชุมร่วมกันของรัฐสภา (วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร) ที่นั่งสำคัญ ๆ ประธาน : ที่นั่งตรงกลาง รองประธานคนที่ 1 : ที่นั่งขวามือของประธาน รองประธานคนที่ 2 : ที่นั่งซ้ายมือของประธาน นายกรัฐมนตรี : ที่นั่งแรกของแถวบนขวามือของประธาน คณะรัฐมนตรี : ที่นั่ง 2 แถวขวามือของประธานถัดจากนายกรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการ : ที่นั่ง 2 แถวซ้ายมือของประธาน เลขาธิการและรองเลขาธิการ : ที่นั่งถัดจากประธานลงมาในชั้นที่ 2 ที่นั่งของสมาชิก การจัดที่นั่งในการประชุม - การประชุมวุฒิสภา สมาชิกจะนั่งเรียงตามลักษณะชื่อที่จัดไว้แล้ว - การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลนั่งซีกขวามือของประธาน พรรคฝ่ายค้านที่นั่งซีกซ้ายมือของ ประธาน - การประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภานั่งซีกขวามือของประธาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั่งซีกซ้าย มือของประธาน ที่นั่งของประชาชนที่นั่งการประชุม - ในวันที่มีการประชุมสภา ประชาชนทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถขออนุญาตและเข้าฟังการประชุมสภา โดยจัดให้นั่งที่ชั้นลอยด้านหลัง มีจำนวนทั้งหมด 145 ที่นั่ง ที่นั่งของสื่อมวลชน - บนชั้นลอยด้านซ้ายมือของประชาชน อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวฉบับ / แห่งละ 2 คน (ข่าวภาพ 1 คน ผู้สื่อข่าว 1 คน)อำนาจหน้าที่ของรัฐสภาด้านนิติบัญญัติ1. การเสนอร่างกฎหมาย 1.1 การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (มาตรา 139) (1) คณะรัฐมนตรี (2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (3) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น 1.2 การเสนอร่างพระราชบัญญัติ (มาตรา 142) (1) คณะรัฐมนตรี (2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน (3) ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรและกฎหมายที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ (4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า10,000 คนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 163 (เฉพาะหมวด 3 และหมวด 5)2. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนเสนอ (มาตรา 163 วรรคสี่) 2.1 สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติ 2.2 คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จองจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด3. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย (หมวด 8 การเงิน การคลัง และงบประมาณ มาตรา 166 - 170)4. การพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญขงพระราชกำหนดอย่างเคร่งครัด (มาตรา 185)5. การให้ความเห็นชอบในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจาก (มาตรา 291 (1)) (1) คณะรัฐมนตรี (2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ประการสำคัญ การพิจารณาในวาระที่สอง ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วยควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน1. การรับทราบคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี - คณะรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและชี้แจงการดำเนินการตามแนวโนบายพื้นฐานแห่งรัฐ - การจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการแต่ละปี (มาตรา 176)2. การตั้งกระทู้ถาม ให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่จะต้องเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาเพื่อชี้แจงหรือตอบกระทู้ถามในเรื่องนั้นด้วยตนเอง เว้นแต่มีเหตุจำเป็น (มาตรา 162 วรรคหนึ่ง)3. การเปิดอภิปรายทั่วไป 3.1 การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ (1) การเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภากรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน (มาตรา 179) (2) สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญ (มาตรา 161 วรรคหนึ่ง) 3.2 การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (1) การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตีร โดยใช้เสียง 1/5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 158 วรรคหนึ่ง) (2) การเสนอญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเปิดอภิปรายรัฐมนตรี โดยใช้เสียง 1/6 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 159 วรรคหนึ่ง) นอกจากนี้ เมื่อบริหารราชการแผ่นดินครบ 2 ปี ในกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนเสียงไม่ถึงเกณฑ์ก็สามารถเปิดอภิปรายได้โดยง่าย (มาตรา 160) 4. การตั้งคณะกรรมาธิการ 4.1 ประเภทของคณะกรรมาธิการ (1) คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา (2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (3) คณะกรรมาธิการร่วมกัน (4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา (5) คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา (6) คณะกรรมาธิการตามมาตรา 121 ของรัฐธรรมนูญ 4.2 อำนาจของคณะกรรมาธิการในการออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวนหรือศึกษาอยู่นั้นได้ (มาตรา 135 วรรคสอง)การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญ 1. การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา 19) 2. การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ (มาตรา 23) 3. การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม (มาตรา 189) 4. การให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา (มาตรา 190) 4.1 กำหนดขอบเขตของหนังสือสัญญาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางหรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และรัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว (มาตรา 190 วรรคสอง) 4.2 ก่อนดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญา คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น และให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอควมเห็นชอบด้วย (มาตรา 190 วรรคสาม) 4.3 ให้มีกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญา มาตรา 190 วรรคห้า) 4.4 ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดว่าหนังสือสัญญาใดจะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่ (มาตรา 190 วรรคหก)การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง1. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาจถูกถอดถอนได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด 1) มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ 2) ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ 3) ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ 4) สอ่ว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม 5) ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย 6) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้ (มาตรา 270 วรรคหนึ่ง)2. ผู้มีสิทธิเสนอเรื่อง 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 271 วรรคหนึ่ง) 2) สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่งได้ (มาตรา 271 วรรคสอง) 3) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน (มาตรา 164)การให้ความเห็นชอบและการพิจารณาเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ1. อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาในการให้ความเห็นชอบและการพิจารณาเลือกบุคคล 1.1 อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบบุคคล (1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 206 (2)) (2) กรรมการการเลือกตั้ง (มาตรา 231 (4) และ (5)) (3) ผู้ตรวจการแผ่นดิน (มาตรา 243) (4) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (มาตรา 246 วรรคสาม) (5) กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (มาตรา 252 วรรคสาม) (6) กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (มาตรา 256 วรรคห้า) (7) เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (มาตรา 251 วรรคสอง) (8) อัยการสูงสุด (มาตรา 255 วรรคสาม) 1.2 อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเลือกบุคคล (1) กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 คน (มาตรา 221 (3)) (2) กรรมการตุลาการศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 คน (มาตรา 226 (3))2. การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมบุคคของวุฒิสภา (มาตรา 121)ทำเนียบประธานรัฐสภา๒๘. นายชัย ชิดชอบประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฏร๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ๒๗.นายยงยุทธ ติยะไพรัชประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฏร๒๓ มกราคม ๒๕๕๑ - เมษายน ๒๕๕๑๒๖.นายโภคิน พลกุลประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฏร๘ มีนาคม ๒๕๔๘ - ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ๒๕.นายพิชัย รัตตกุลประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ - ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓๒๔.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ - ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ ๒๓.นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร๑๑ กรกฏาคม ๒๕๓๘ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๘ ๒๒.ศาสตราจารย์มารุต บุนนาคประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร๒๒ กันยายน ๒๕๓๕ - ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘๒๑.นายมีชัย ฤชุพันธ์ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ - ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ประธานวุฒิสภา ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๕ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๙๖ เมษายน ๒๕๓๙ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๓๒๐.ร้อยตำรวจตรี วรรณ ชันซื่อประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒ - ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ๑๙.ศาสตราจารย์อุกฤษ มงคลนาวินประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๓๐ เมษายน ๒๕๒๗ - ๓๐ เมษายน ๒๕๒๘๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘ - ๒๓ เมษายน ๒๕๓๐ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๐ - ๒๒ เมษายน ๒๕๓๒๓ เมษายน ๒๓๓๕ - ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒ เมษายน ๒๕๓๔ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๕๑๘.นายจารุบุตร เรืองสุวรรณประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๒๖ เมษายน ๒๕๒๖ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๗ ๑๗.พลอากาศเอก หะริน หุงสกุลประธานรัฐสภา และประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ - ๒๒ เมษายน ๒๕๒๒ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๙ พฤษภาคม ๒๕๒๒ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๖ ๑๖.พลอากาศเอก กมล เดชะตุงคะประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและประธานรัฐสภา๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๙ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ๑๕.นายอุทัย พิมพ์ใจชนประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๑๙ เมษายน ๒๕๑๙ - ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ - ๕ มกราคม ๒๕๔๘๑๔.นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ -๑๒ มกราคม ๒๕๑๙๑๓.นายประภาศน์ อวยชัยประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๑๗ - ๒๕ มกราคม ๒๕๑๘ ๑๒.พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๖ -๗ ตุลาคม ๒๕๑๗๑๑.พลตรีศิริ สิริโยธินประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๑๘ ธันวามคม ๒๕๑๕ - ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ ๑๐.พันเอก นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์)ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๒๒ กรกฏาคม ๒๕๑๑ - ๖ กรกฏาคม ๒๕๑๔๗ กรกฏาคม ๒๕๑๔ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ๙. นายทวี บุญยเกตูประธานรัฐสภา และประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ๘ พฤษภาคม๒๕๑๑ -๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๑๘.พลเอก หลวงสุทธิสารรณกร (สุทธิ์ สุทธิสารรณกร)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๒๐ กันยายน ๒๕๐๐ - ๑๔ ธันวาคม ๒๕๐๐ประธานรัฐสภา ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ - ๑๗ เมษายน ๒๕๑๑ ๗.พลเอก พระประจนปัจนึก (พุก มหาดิลก)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๑ ธันวาคม ๒๔๙๔ - ๑๗ มีนาคม ๒๔๙๕๒๒ มีนาคม ๒๔๙๕ - ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๕๒๘ มิถุนายน ๒๔๙๕ -๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๖๒ กรกฏาคม ๒๔๙๖ - ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๗๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๗ - ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๘๒ กรกกาคม ๒๔๙๘ - ๒๓ มิถุนายน ๒๔๙๙๓๐ มิถุนายน ๒๔๙๙ - ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐๑๖ มีนาคม ๒๕๐๐ - ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๐๒๘ มิถุนายน ๒๕๐๐ - ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๐ - ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๑ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๐๑ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ ๖. พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา๔ มิถุนายน ๒๔๘๙ - ๒๔ สิงหาคม ๒๔๘๙ ๕.พระยามานวราชเสวี (วิเชียร ณ สงขลา)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๓ สิงหาคม ๒๔๗๙ - ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๐๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๐ -๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๑๒๘ มิถุยายน ๒๔๘๑ - ๑๐ ธันวามคม ๒๔๘๑๑๒ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒๒๘ มิถุนายน ๒๔๘๒ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๓๑ กรกฏาคม ๒๔๘๓ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔๑ กรกฏาคม ๒๔๘๔ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๕ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๘๕ - ๒๔ มิถุนายน ๒๕๘๖๒ กรกฏาคม ๒๔๘๗ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๘๒๙ มิถุนายน ๒๔๘๘ - ๑๕ ตุลาคม ๒๔๘๘๒๖ มกราคม ๒๔๘๙ - ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ๔. เจ้าพระยาศรีธรรมมาธิเบศ (จิต ณ สงขลา)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๒๒ กันยายน ๒๔๗๗ - ๑๕ ธันวาคม ๒๔๗๗๑๗ ธันวาคม ๒๔๗๗ - ๓๑ กรกฏาคม ๒๔๗๘๗ สิงหาคม ๒๔๗๘ - ๓๑ กรกฏาคม ๒๔๗๙ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ - ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ - ๑๔ มิถุนายน ๒๔๙๒๑๕ มิถุยายน ๒๔๙๒ - ๒๐ พศจิกายน ๒๔๙๓๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ - ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ๓.พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี (พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ - ๒๒ กันยายน ๒๔๗๗๖ กรกฏาคม ๒๔๘๖ -๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๗ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา๓๑ สิงหาคม ๒๔๘๙ - ๙ พฤษภาคม ๒๔๙๐๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๐ - ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ๒. เจ้าพระยาพิชัยญาติประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร๒ กันยายน ๒๔๗๕ - ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๖ ๑. เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ๒๘ มิถุนายน - ๑ กันยายน ๒๔๗๕๑๕ ธันวาคม - ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ ที่มาวิกิพีเดีย//www.parliament.go.thปล. ก่อนหน้านี้มีแฮกเกอร์มือดี เข้าไปแฮกค์ที่เวปรัฐสภา (//www.parliament.go.th)โดยเอารูป ตัวเงินตัวทองไปใส่แทนรูปประธานสภา คนปัจจุบัน Create Date :07 ตุลาคม 2551 Last Update :7 ตุลาคม 2551 0:11:30 น. Counter : Pageviews. Comments :3 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก ความรู้ดีๆอีกแล้ว ขอบคุณนะคะลุง โดย: Picike 7 ตุลาคม 2551 3:04:38 น.วันนี้รัฐสภาไทยกำลังเป็นข่าวไปทั่วโลก แหม๋ ไอ้พวกพันธมารนี่มันวอนจริงๆ โดย: joblovenuk 7 ตุลาคม 2551 8:31:07 น.1.รัฐดำเนินการปล่อยกู้ให้กับประชาชนรายย่อยในนามของรัฐเอง แก้ปัญหาดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด 2.เพลี้ยกระโดด ศึกษาพฤติกรรมและวงจรชีวิต คิดค้นอาหารที่เพลี้ยกระโดดชอบ ใช้สารเคมีกำจัด 3.เงินช่วยเหลือน้ำท่วม รอให้น้ำลดแห้งก่อนนะครับ ตรวจสอบความเสียหาย แล้วจะนำเงินไปจ่ายครับ โดย: ทศพร เดชภิญญา เนติบัณฑิตไทย IP: 182.53.234.115 8 กันยายน 2554 14:12:18 น.
โดย: Picike 7 ตุลาคม 2551 3:04:38 น.
โดย: joblovenuk 7 ตุลาคม 2551 8:31:07 น.
โดย: ทศพร เดชภิญญา เนติบัณฑิตไทย IP: 182.53.234.115 8 กันยายน 2554 14:12:18 น.