bloggang.com mainmenu search
{afp}
นายจุนทะ : คนฆ่าหมูผู้เลือดเย็น
 จุนทสูกริกชาดก​​​​​​​


 

ได้ยินว่า มีชายผู้หนึ่งตั้งครอบครัวอยู่ไม่ไกลจากวัดเชตวัน เขาผู้นี้มีชื่อว่า นายจุนทะ ด้วยอาชีพฆ่าหมู ชาวบ้านจึงเรียกว่า “จันทสูกะริก” ,นายจุนทะนั้น ฆ่าสุกรทั้งหลายกินบ้าง ขายบ้าง เลี้ยงชีวิต อยู่สิ้น ๕๕ ปี. ในเวลาข้าวแพง เขาเอาเกวียนบรรทุกข้าวเปลือกไปสู่ชนบท แลกลูกสุกรบ้านด้วยข้าวเปลือกประมาณ ๑ ทะนานหรือ ๒ ทะนาน บรรทุกเต็มเกวียนแล้วกลับมา 

 อันวิธีฆ่าหมูของเขาก็พิศดารยิ่งนัก คือ จับหมูมามัด ด้วยเชือกทั้งสี่ทิศ , แล้วใช้ฆ้อนไม้ขนาดใหญ่  ตีลงที่หน้าดั้งของหมู แล้วใช้ไม้ฆ้อนนั้นทุบตามตัวของหมูเพื่อใช้ช้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้หมูมีสีแดงและฟูนิ่ม จากนั้น  ก็ง้างปากสอดไม้เข้าไปในระหว่างฟัน แล้วเอาน้ำร้อนที่เดือดพล่าน กรอกเข้าไปในปากหมู เพื่อไล่สิ่งปฏิกูลภายในท้องหมู แล้วเอาน้ำร้อนราดลงไปบนตัวหมูเพื่อให้สะอาด ต่อจากนั้น ตัดศีรษะด้วยดาบอันคม รองโลหิตที่ไหลออกด้วยภาชนะ เคล้าเนื้อด้วยโลหิต แล้วปิ้งนั่งรับประทาน ในท่ามกลางบุตรและภรรยา ขายส่วนที่เหลือ. โดยที่มิได้สนใจว่า ขั้นตอนนั้น หมูจะได้รับความทุกทรมานอย่างไร 

 

 ครั้นทำตามกำมวิธีดังนี้แล้ว จึงได้จัดการชำแระหมูออกเป็นส่วนต่างๆ โดยมีภรรยา บุตร ธิดา เป็นผู้ช่วยในขั้นตอนสุดท้าย แล้วจึงนำไปขายในตลาด กับทั้งเก็บไว้บริโภคเอง เขาทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายสิบปี โดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านสงสารหรือเวทนาหมูแต่ประการใด 

      

            เมื่อเขาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองนี้นั้น , เวลาได้ล่วงไป ๕๕ ปี. เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในธุรวิหาร, การบูชาด้วยดอกไม้เพียงกำหนึ่งก็ดี การถวายภิกษาเพียงทัพพีหนึ่งก็ดี ชื่อว่าบุญอื่นน้อยหนึ่งก็ดี มิได้มีแก่เขาสักวันหนึ่ง. 

 คราใดที่เพื่อนบ้านของเขาเดือนทางไปทำบุญที่สัด ผ่านมาเห็นเข้า เพื่อนบ้านก็ออกปากชวน “พ่อคุณ พ่อจุณทะ มาเถิดมะ ละปาณา ตัดใจ ไปวัดวา หยุดการฆ่า คร่าสุกร หากหลงประสงค์ฆ่า เกิดชาติหน้า พาเดือดร้อน จายไปตกไฟฟอน นอนมอดไหม้ในนรก” 


 ทุกครั้งที่เพื่อนบ้านชวน เขาตอบกลับไปว่า ขอบคุณครับ ขอบคุณ ที่การุณหนุนชักนำ เชิญท่านหมั่นกระทำกรรมดีเถิด ประเสริฐศรี สวรรค์ พระท่านบอก พระมาหลอกว่ากรรมดี นรกก็ไม่มี พระท่านชี้ไปลางๆ สวรรค์นั้นคือเงิน รวยแล้วเพลินเดินกว้างขวาง ยากจนคนถากถาง คือนรกตกใต้ดิน พวกท่านฉันขอบอก ถูกพระปอกลอกทรัพย์สิน พวกพระตะกะกิน บิณฆบาตรขาดความเพียร ฟังพระเทศนา ฉันคิดว่าน่าปวดเศียร ฟังนาน พาลอาเจียน ฆ่าหมูขายได้เงินทอง 

 

 เวลาล่วงเลยผ่านไป ครั้งนั้น โรคเกิดขึ้นแก่เขาแล้ว, ความเร่าร้อนอเวจีมหานรก ปรากฏแก่เขาทั้งเป็นทีเดียว , ขึ้นชื่อว่าความเร่าร้อนในอเวจี ย่อมเป็นความร้อนที่สามารถทำลายนัยน์ตาของผู้ยืนดูอยู่ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ได้  ก่อนที่เขาจะตาย สามวัน กรรมนิมิตรฝ่ายชั่ว ปรากฎแก่เขา วิญญาณหมูที่เขาฆ่าได้ปรากฎขึ้น  อีกทั้งเมื่อความเร่าร้อนนั้น ปรากฏแก่นายจุนทแล้ว, อาการอันสมควรด้วยกรรมก็เกิดขึ้น. คลานหนีอย่างทุรนทุราย สงเสียงร้องอย่างหมูที่เขาเชือด ภรรยาของเขาเฝ้าดูอยู่ด้วยความเสียใจ  เขาผู้ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว โดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ทั้งพระและชาวบ้านใน ๗ หลังคาเรือนโดยรอบ ย่อมไม่ได้หลับนอน ตลอดทั้งสามวัน 

 

 ในวันที่สาม  ยมฑูตปรากฎตัวต่อหน้านายจุณทะ พร้อมด้วยหอกอันแหลมคม แล้วกล่าวกับเขาว่า “ฮะฮ้า ไอ้สาทาน ยมบาลมาหนา จุณทะผู้ปาณา ผู้เพิกเฉยต่อกรรมดี ดจ้าทำกรรมวิบัติ มุ่งฆ่าสัตว์ด้วยบัดสี  มากมายหลายวิธี มิเคยมีความเมตตา วันโกนและวันพระ มิเคยละ ซะเลยหนา เพื่อนเตือนก็เบือนหน้า ซ้ำค่อนว่า มิปรารม จิตเจ้าเฝ้าเกลือกกลั้ว กระทำชั่ว มั่วสะสม ไปหาพญายม ให้ท่านส่งลงอเวจี 

 

 ด้วยความเร่าร้อนในนรก. เขาเที่ยวไปอย่างนั้นตลอด ๗ วัน ,เหล่าภิกษุเดินทางผ่านประตูบ้านของนายจุนทะ ได้ยินเสียงนั้นแล้ว เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสียงร้องของสุกร ที่ถูกฆ่าและก็คงเป็นการฆ่าสุกรหลายตัว เพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานมงคลอะไรสักอย่างเป็นแน่ เขาช่างมีความโหดร้ายทารุณผิดกับผู้ฆ่าสุกรรายอื่นๆ เขาจะมีความเมตตากรุณาสงสารสัตว์แม้สักนิดก็ไม่มี จึงได้นำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา ทำให้ได้ทราบว่า นั่นไม่ใช่เสียงร้องของสุกรแต่ทว่าเป็นเสียงร้องเหมือนสุกรของนายจุนทะขณะคลานอยู่ในบ้านตลอดเวลา 7 วันนั้นต่างหาก 

 

 ในวันที่ ๘  นายจุณทะก็ตายลงอย่างทรมาน วิญญาณของเขาเกิดเป็นร่างใหม่ ในร่างแห่งสัตว์นรก. ความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกนั้น มีความร้อนกว่าไฟปกติเหลือคณานับ

             

 เมื่อเหล่าภิกษุกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เขาเศร้าโศกอย่างนี้ในโลกนี้แล้ว ยังจะไปเกิดในฐานะเป็นผู้เศร้าโศกเช่นกันอีกหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ประมาทแล้ว จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง” 

 

 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  ว่า “คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คือ เศร้าโศกในโลกนี้ และเศร้าโศกในโลกหน้า , เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมเดือดร้อน เพราะมองเห็นกรรมชั่วของตนเอง.”

 

  “ผู้ใดใจหยามหยาบ มิซึมทราบ กลัวบาปกรรม เห็นบาปเป็นเรื่องขำ มุ่งกระทำมิยำเกรง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อำมหิต คิดข่มเหง ทำไปใจครื่นเครง เป็นนักเลงเก่งปาณา อีกทั้งเป็นมือปืน ฆ่าผู้อื่นด้วยหรรษา ครั้นได้เงินทองมา ดื่มสุราบ้าพนัน ผู้นั้นต้องคำสาบ เพราะแบกหาบบาปมหันต์ กรรมชั่วตัดซากสัตว์ มันเดือดร้อนเมื่อก่อนตาย ยมฑูตผู้เหี้ยมหาญ คร่าวิญญาณปานกระหาย พาตกนรกร้าย ปรากฎกายหน้าพระยม ทัณฑ์สั่งยมบาล ทรมานให้สาสม อาวุธสุดแหลมคม พุ่งทิ่มแทงทุกแห่งหาย น้ำทองแดงร้อนแรงมาก กรอกเข้าปากหลากหลากหลาย ดิ้นรนกระวนกระวาย อย่าหมายพ้น ภจณกรรม”

 

ในกาลจบพระธรรมบท ภิกษุเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว. เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

​​​​​​​ติดตามเรื่องราวต่างๆผ่านการเล่าเรื่อง : Lifesty ธรรมดา channel

Create Date :22 เมษายน 2566 Last Update :22 เมษายน 2566 16:57:11 น. Counter : 125 Pageviews. Comments :0