ผมเชื่อว่าคนที่ชอบเขียนหนังสือส่วนมากมักมีตัวละครในจินตนาการเป็นผู้หญิง / ผู้ชายในฝันที่เราอยากจะครอบครอง เป็นคนรัก มีความสัมพันธ์(และเพศสัมพันธ์) ต่อกัน หากแต่มันเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเขามีเจ้าของแล้วเขาไม่มีทางชอบเรา หรือถ้าให้พีคไปกว่านั้น คือเขาไม่มีตัวตนจริงๆ
เราจึงทำได้เพียงแค่เขียนเรื่องราวของเขาเอาไว้บนกระดาษเป็นเพียงตัวละครสมมติที่ไม่มีอยู่จริงมันเป็นความเพ้อฝันที่เรารู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นจริงแต่เราก็ยังคงเขียนเรื่องราวของเขาเหล่านั้นลงไป แม้ไม่อาจครอบครองด้วยเรือนกาย หากแต่บนกระดาษนั้นขอเพียงเราได้รักกันก็ยังดี
Ruby Sparks เป็นเรื่องราวของนักเขียนหนุ่มที่เขียนเรื่องราวของเด็กสาวที่เขาคุยด้วยในฝันลงบนกระดาษ ยิ่งเขียนเขายิ่งเชื่อว่าเธอมีตัวตนอยู่จริงเขาและเธอรักกันบนขอบเขตของจินตนาการที่บอกเล่าออกมาเป็นตัวหนังสือมันเป็นความสัมพันธ์ที่เขาเองก็บอกไม่ถูก แต่ที่รู้ๆ มันคือความรัก
แต่แล้ววันหนึ่ง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นรูบี้ สปาร์คส์ ผู้หญิงในจินตนาการ ที่มีตัวตนอยู่แค่ในต้นฉบับนิยายของเขาปรากฏตัวขึ้น! และนี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้นในโลกของความจริง
ในครึ่งแรกของหนังเต็มไปด้วยความน่ารักชวนให้หวามหัวใจของคู่รักคู่นี้ ที่รักกันอย่างหวานชื่นดูดดื่ม เข้ากันไปหมด ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ(จะว่าไปก็เหมือนกับช่วงโปรโมชั่นของความรักนั่นแหละ)จนทำให้คนดูฟินและอินไปกับความสัมพันธ์อันน่ารักนี้ การที่เราได้รักกับคนที่เราอยากจะรักมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราโหยหา นั่นอาจเป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างเราๆ ต้องการก็ได้
รูบี้เป็นตัวละครในจินตนาการของเขาเขาเป็นคนสร้างเธอขึ้นมา ดังนั้น สิ่งใดที่เขาเขียน เธอจะทำและเป็นอย่างนั้นโดยไม่สวามารถขัดขืนใดๆ ได้ (เขาเขียนให้เธอดีใจ มีความสุข คิดถึง และแม้กระทั่งพูดฝรั่งเศสก็ยังได้)มีบางตอนที่น้องชายของเขาบอกว่านี่มันช่างสุดยอดและขอให้พี่เขียนให้เธอนมใหญ่กว่านี้ สวยกว่านี้มันทำให้ผมนึกถึงมุมมองของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงในฐานะเครื่องระบายทางเพศ(ถ้าหากเป็นน้าชาติ กอบจิตติจะใช้คำว่า ที่ปอกกล้วย)
อาชีพนักเขียนเป็นคนมีปมผมเชื่ออย่างนั้น และโรคซึมเศร้าความโดดเดี่ยวก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญตัวเอกของเรื่องเป็นคนไม่ค่อยมีสังคม อยู่แต่บ้านกับหมาหนึ่งตัวหมกมุ่นกับการเขียนหนังสือเสียเป็นส่วนใหญ่นั่นทำให้เขาต้องการอยากจะมีใครสักคนที่อยู่กับเขา คอยดูและเป็นอย่างที่เขาต้องการและดูเหมือนรูบี้จะตอบโจทย์ทุกอย่าง
เป็นธรรมดาของความรักที่ต้องมีการทะเลาะกันแต่สำหรับเขา แค่เขียน รูบี้ก็จะทำตามที่เขาต้องการทุกอย่างไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์ที่เขียนโปรแกรมการทำงานให้ก็ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว เขาพยายามทำให้เธอเป็นผู้หญิงในอุดมคติทุกอย่างไม่ให้เธอไปไหน อยู่กับเขาตลอดเวลา ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำนั่นก็สอดคล้องกับความเป็นดิสโทเปียนั่นแหละ
ยูโทเปียสำหรับคนๆ หนึ่งอาจเป็นดิสโทเปียสำหรับคนอื่นก็ได้และดูเหมือนความสัมพันธ์ของเขาและรูบี้จะเป็นอย่างนั้น
การบังคับให้เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็นให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ นั่นจะเรียกว่าความรักได้อย่างไร และในตอนท้ายของเรื่องที่เขาเฉลยว่าเขาคือผู้สร้างเธอ มีอำนาจให้เธอทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการเขาเขียนให้เธอร้องเพลง แก้ผ้า ชื่นชมและสรรเสริญเขา ('ชั้นชอบก้นคุณ", "ชั้นชอบไอ้จู๋ของคุณ" ฯลฯรวมไปถึงสิ่งที่เขาพยายามปฏิเสธกับผู้อื่นมาตลอด "คุณเป็นอัจฉริยะ')ลึกๆ แล้วมันอาจจะเป็นปมที่เขาต้องการการยอมรับจากคนอื่นมากกว่าใครๆแต่ต้องซ่อนมันเอาไว้ภายในก็เป็นได้ นั่นทำให้เขาบ้าคลั่งและภาคภูมิใจกับคำสรรเสริญ (ที่เธอไม่เต็มใจจะพูด) อยู่คนเดียว
มันคือความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิงความคิดที่ว่าชายเป็นใหญ่ เป็นช้างเท้าหน้าที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์จะบ่นหรือทักท้วงใดๆ (ถ้าหากคิดต่อไปอีกสักนิดมันก็คือสิ่งที่คนมีอำนาจคิดกับคนไร้อำนาจ หรืออ่อนแอกว่านั่นแหละผมว่ามันไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไหร่หรอก)
และแนวคิดนั้นดูเหมือนว่ามันยังคงดำเนินมาอยู่จนถึงทุกวันนี้