[รีวิวซีรีส์] Wayward Pines อย่าออกไป จากเมืองนี้


หลังจากที่เข้าค่าย
Bangkok Creative Writing ผมก็ปรับตัวเองให้อยู่ในโหมดดิสโทเปียทันทีเพราะว่าต้องเขียนเรื่องสั้นแนวนี้ก่อนจบค่ายดังนั้นเรดาห์ทุกอย่างในหัวผมก็คือการเสพสื่อทุกอย่างที่เป็นแนวนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะพูดกันตรงๆ ผมแทบไม่เดยอ่านหรือดูอะไรพวกนี้เลย จนเพื่อนในค่ายแนะนำให้ลองดูซีรีส์เรื่องนี้ประจวบเหมาะกับเห็นว่ามีเวอร์ชั่นหนังสือ ที่แปลโดยพี่ธิดา ผลิตผลการพิมพ์บรรณาธิการนิตยสาร Bioscope ที่ผมอ่านประจำอีกด้วยก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้อยากติดตามเพิ่มขึ้นไปอีก

เล่าย่อๆ คือตัวเอก (อีธาน เบิร์ค)เจ้าหน้าที่สืบสวนถูกส่งมาตามหาเพื่อนสายสืบที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแต่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง เมื่อตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองเวย์เวิร์ด ไพน์ รัฐไอดาโฮ ซึ่งความแปลกของเมืองนี้ก็คือเมื่อคุณเข้ามาแล้ว อย่าหวังจะได้ออกไปสู่โลกภายนอกอีก

ซีรีส์พยายามเล่าถึงเมืองที่ถูกปกครองจากผู้มีอำนาจ(ที่ชาวเมืองไม่รู้ว่าเป็นใคร) คอยควบคุมดูแล มีกล้องวงจรปิด มีเครื่องดักฟังมีไมโครชิปฝังอยู่ในร่างกายของทุกคน เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขนอกจากนี้ ยังมีรั้วที่กั้นด้วยกระแสไฟฟ้าดักเอาไว้ ไม่ให้หนีออกไปได้(และเรายังไม่รู้ด้วยว่าข้างนอกรั้วนั้นมีอะไรอาศัยอยู่) ที่สำคัญใครที่พยายามจะหนี หรือคิดที่จะหนีก็จะถูกจับมาเชือดคอต่อหน้าชาวเมืองทุกคนเป็นการลงโทษแค่ฟังเท่านี้ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นดิสโทเปียจ๋าๆ แล้ว

นอกจากนี้ การล้างสมอง หรือเปลี่ยนความคิดและการใช้พรอพากันด้าก็ยังเป็นส่วนสำคัญของเรื่องแนวนี้ ใน Wayward Pines ก็มีการปลูกฝังเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยการเปิดสถาบันสอน และค่อยๆ หลอมความคิดเด็กๆให้เชื่อในสิ่งที่ผู้นำอยากให้เชื่อ ให้คิดตรงข้ามกับพ่อแม่ (เพราะว่าพวกเขาเป็นคนหัวเก่า)รวมไปถึงการเน้นย้ำเสมอว่าพวกเขาคือผู้ที่จะเป็นผู้น้ำความเปลี่ยนแปลงของเวย์เวิร์ดไพน์ในอนาคต(ในหนังเรียกพวกเขาว่า First Generation) นั่นยิ่งทำให้เด็กๆเห็นความสำคัญของเมืองนี้ และอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาอนาคตของเมืองนี้ต่อไปอีกด้วย

เป็นธรรมดาของผู้สร้างกฎกับผู้อยู่ในกฎว่าจะต้องคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้วผู้ถูกกด (ฎ) ขี่ก็ย่อมไม่พอใจ ในเสรีภาพของตัวเอง อยากจะออกก็ออกไปไม่ได้คนที่สร้างกฎก็อยากจะให้ทุกคนอยู่ในความเป็นระเบียบ(แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าออกไปแล้วจะเป็นอย่างไร – ซึ่งในที่นี้ผมขอให้ทุกคนไปดูเองแล้วกันครับเพราะว่ามันจะมีจุดเซอร์ไพรซ์มากกว่าการเขียนถึงความเป็นดิสโทเปียอีกมากพอสมควรไม่อยากจะสปอล์ยให้เสียอรรถรสไปมากกว่านี้ครับ :D) มันเลยมาสู่คำถามที่เราคุยกันในค่ายว่าดิสโทเปียเนี่ย เป็นดิสโทเปียของใครกันแน่ ของผู้ถูกกดขี่ใช่ไหม แต่ในขณะเดียวกันมันก็อาจจะเป็นยูโทเปีย (โลกในอุดมคติ) ของผู้ออกกฎก็ได้ซึ่งการต่อสู้กันของสองแนวความคิดนี้แหละ ที่จะพาให้เรื่องสนุกและนำไปสู่ไคลแมกซ์ที่ชวนให้ลุ้นกันจนหัวใจจะวาย

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพล็อตของแนวดิสโทเปียจะเป็นยังไง ดำเนินยังไงจบแบบไหน แต่กับเรื่องนี้ผมก็ยังไม่สามารถเดา หรือคาดการณ์อะไรได้เลย ว่าจะออกมาเป็นยังไงเพราะหักมุมแล้วหักมุมอีก และที่ทำให้น่าสนใจไปกว่านั้น คือความบิดเบี้ยวของเมืองและความเข้มข้นซับซ้อนของเรื่องจะยิ่งทยอยเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆจนต้องกดดูต่อไปอย่างหยุดไม่ได้

ยิ่งดู ยิ่งช็อค ยิ่งตะลึงพรึงเพริด คิดได้ยังไงทำไมถึงได้สนุกขนาดนี้ และยิ่งได้ข่าวว่าซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายความยาวสามเล่ม (ซึ่งตอนนี้ในไทยแปลเล่ม 1 ออกมาแล้ว)ก็ยิ่งเคารพความสามารถในการย่อยเรื่อง และถ่ายทอดมันออกมาอย่างสนุก เข้มข้น กระชับและน่าติดตามมากขนาดนี้ ปกติผมไม่ค่อยติดซีรีส์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า WaywardPines เปิดพรหมแดนความสนุกและกระหายในการหาซีรีส์ดีๆแบบนี้มาดูต่อไปอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว

อย่างที่ว่านั่นแหละครับผมคิดเสมอว่าโลกดิสโทเปียนั้นมันค่อนข้างจะอึดอัดไปหน่อย อยากพูด แต่ก็ไม่พูดอยากแสดงออก แต่ก็ถูกกดขี่เอาไว้ (ในทุกๆ รูปแบบ) มาตรฐานของคนเราไม่เหมือนกันจะให้เป็นดั่งอุดมคติของใครคนใดคนหนึ่งคงไม่ได้สักวันก็คงมีคนลุกขึ้นมาแสดงความไม่พอใจอย่างแน่นอน สัญลักษณ์ที่พูดกันบ่อยๆในเรื่องก็คือเรือโนอาห์ อาร์คที่เลือกสิ่งมีชีวิตขึ้นเรือมาจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาแต่ลืมถามไปหรือเปล่า

ว่าเขาอยากขึ้นเรือมากับเราไหม?




Create Date : 13 สิงหาคม 2558
Last Update : 13 สิงหาคม 2558 12:51:44 น.
Counter : 3188 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 735183
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สิงหาคม 2558

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
14
15
16
17
18
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog