Group Blog
 
 
ธันวาคม 2547
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 ธันวาคม 2547
 
All Blogs
 

สัมผัสแห่งรักแท้และรักนิรันดร์

1............
ร่างอันผอมโซจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของผมกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ ในบ้านเช่าหลังเล็กอย่างไร้เรี่ยวแรง จริง ๆ แล้วหลายวันมานี้ผมรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก อาการเจ็บปวดกระดูกแสบร้อนไปหมดทั้งใบหน้าและลำคอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เนื้อตัวเบาหวิวเหมือนกับจะล่องลอยไป ณ ที่แห่งใดก็ได้ตามแต่ใจต้องการ แต่แขนขาของผมสิกลับไม่ทำงานตามสั่ง ร่างกายของผมในเวลานี้มีเพียงแต่ดวงตาและปลายนิ้วเท่านั้นที่จะขยับเขยื้อนได้ตามการสั่งงานของสมอง

ชั่วขณะนั้นเอง ผมพบว่า สัมผัสการรับรู้ของผมสามารถเคลื่อนที่ออกนอกร่างกายที่กำลังนอนป่วยซมอยู่ได้ ผมล่องลอยไปได้ทุกหนทุกแห่งเพียงแต่ใจคิดก็สามารถเดินทางไปถึง

สัมผัสการรับรู้ของผม กำลังเคลื่อนที่ตามเมียรักที่แบกหาบขนมหาบใหญ่เดินออกจากบ้าน พร้อมกับลูกสาวสองคนโต ที่กำลังช่วยยกกล่องใหญ่ที่บรรจุขนมอยู่เต็มกล่อง เดินตามแม่ไปติด ๆ

"เอาขนมมาส่งจ้า พี่เจิม"

นวลตะโกนร้องเรียกเจิม หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านขายของชำในซอยบ้าน ขณะที่ลูกสาวสองคนของผม ยกกล่องขนมเข้าไปจัดวางในร้าน

"อ้าว... ขนมเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ แม่นวล พรุ่งนี้เอาของใหม่มาส่งด้วยล่ะ แหม..ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ใครชิมเป็นต้องติดใจ"

เจิมเดินออกมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี ตั้งแต่นวลเอาขนมไปฝากขาย ทำให้ร้านของแกมีลูกค้าเดินเข้าออกมิได้หยุด

"ขอบคุณนะจ๊ะ พี่เจิม ที่ช่วยฉันขาย" เสียงพูดอันอ่อนหวานของนวลเมียรัก ยังคงตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอมา

"แหม.. ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะแม่นวล แม่นวลฝากฉันขายฟรี ๆ สักเมื่อไหร่กัน เอ่อ.. แล้วว่าแต่ว่า อาการของพ่อเติมศักดิ์เขาเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย"

นวลมีสีหน้าสลดลงเมื่อเจิมถามถึงผม ผมป่วยหนักเป็นมะเร็งในปอดมาหลายปี นวลพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาผมให้หายขาด ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ อีกทั้งการทำพิธีต่อชะตาสะเดาะเคราะห์ต่าง ๆ ด้วยความหวังที่จะให้ผมมีชีวิตยืนยาวต่อไป

"ก็แย่ลง แย่ลง ทุกวันแหละจ๊ะ พี่เจิม นี่ก็กะว่าพรุ่งนี้จะไหว้วานให้พี่ชัยช่วยแบกขึ้นแท๊กซี่ พาไปให้หมอเขาฉีดยาอีกสักเข็ม สองวันมานี้ไม่กินอะไรเลยแม้แต่น้ำ" เสียงเศร้าของนวลเปล่งออกมาด้วยความอ่อนล้า ผมอดเวทนาในความทุกข์ยากลำบากทั้งกายและใจของเธอที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อผมมิได้

เจิมเดินเข้ามาจนใกล้ สายตาจ้องมองนวลเหมือนกำลังอยากจะบอกอะไร

"แม่นวล พ่อเติมเขาก็ป่วยหนักมาหลายปีแล้วนะ ปล่อยให้แม่นวลต้องหาเลี้ยงลูกตั้งสี่คน ไหนจะค่าหยูกค่ายารักษาพยาบาลผัวที่กำลังป่วยอีก มันน้อย ๆ ซะที่ไหน แม่นวลจะทนทำไปได้อีกสักกี่น้ำกัน"

น้ำเสียงพูดของเจิมนั้น เหมือนเป็นความอกเห็นใจ แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างแอบแฝง

"ทนไม่ได้ก็ต้องฝืนทนแหละจ้ะพี่เจิม จะปล่อยให้ลูกให้ผัวอดตายได้ยังไง" นวลของผมยังคงยืนหยัดอยู่บนความเข้มแข็งเสมอมาไม่เคยแปรเปลี่ยน นับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้รู้จักกับเธอ

เจิมเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย แล้วสะกิดแขนนวลกระซิบแผ่วเบา

"แล้วที่เถ้าแก่โรงงานแก๊สมาสนใจแม่นวลล่ะ แกชอบพอแม่นวลมาตั้งนานแล้วนะ เห็นมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามหาอยู่บ่อย ๆ ไม่สนใจเขาบ้างเลยเหรอ เขามีฐานะมั่นคง แม่นวลจะได้สุขสบาย ไม่ต้องมาลำบากตรากตรำขายขนมอยู่แบบนี้ แล้วอีกอย่าง... อย่าว่าฉันทะลึ่งเลย พ่อเติมก็ป่วยหนักมานาน คงไม่เคยมีอะไรกันมาหลายปีแล้วสิท่า"

ประโยคอันโหดร้ายและน่ารังเกียจของเจิม ทำให้นวลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

"อะไรกัน ! พี่เจิม ทำไมพูดแบบนี้ พี่เติมป่วยหนักขนาดนี้ ฉันจะทิ้งไปได้ยังไง ไหนจะลูก ๆ อีก" เสียงเคร่งเครียดของนวล ทำให้เจิมมีสีหน้าสลดลง

"ขอโทษจ๊ะ... แม่นวลก็ ไอ้ฉันมันก็หวังดี เห็นใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกัน ชาวบ้านแถบนี้เขาก็พูดกันทั้งนั้น ว่าแม่นวลทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเลี้ยงลูกผัว คงจะอดทนทำไปได้อีกไม่นาน"

นวลหันไปมองหน้าหญิงที่สูงวัยกว่า ด้วยแววตาแข็งกร้าว

"พี่เจิม.. ผัวก็คือผัว อยู่ด้วยกันมาเป็นคู่ชีวิต ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ตายก็ต้องตายด้วยกัน คนนะไม่ใช่หมา พอสึกหรอ จะทิ้งไปเปลี่ยนผัวใหม่"

คำพูดประโยคนั้นของนวล ทำให้ผมได้ประจักษ์ถึงแก่นของคำว่า ‘รักแท้’ หัวใจรักที่ผมได้รับมอบจากเธอตลอดช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากที่เราร่วมฟันฝ่าด้วยกันมากว่าสิบห้าปีนั้น ช่างงดงามบริสุทธิ์และล้ำค่าเกินกว่าทุกสิ่ง

ธรรมชาติสร้างผู้ชายกับผู้หญิงให้เกิดมาคู่กัน แต่น่าแปลกที่ธรรมชาติกลับสร้างคุณค่าของคำว่า ‘รัก’ ในความรู้สึกระหว่างชายกับหญิงที่แตกต่างกัน

มีคำพูดที่ว่า ทุกครั้งยามที่คู่รักสบตากัน ผู้หญิงมักจะมองหาความรักความอบอุ่นและมิตรไมตรีจากดวงตาของชายคนรัก ส่วนผู้ชายมักจะเพ่งมองใบหน้าอันงดงาม เรือนร่างของหญิงสาว ด้วยความหวังที่จะได้ลิ้มรสสัมผัสสวาท

จวบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ผมจึงได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งรักแท้ที่ผมได้รับจากนวล ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักและรักเธอหมดหัวใจ

ความรักครั้งแรกของผม เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ผมยังไม่รู้จักคำว่า ‘รัก’ อ้อยหญิงสาวในดวงใจคนแรกในชีวิตผม เธอเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสะพรั่ง สะสวยที่สุดในย่านบ้านเก่าบางลำภู ใบหน้านวลเนียน ผิวพรรณขาวผ่อง ประกอบกับรูปร่างเพรียวบาง ห่อหุ้มไปด้วยเครื่องแต่งกายอันทันสมัย เปิดเผยทุกส่วนสัดอันงดงามได้รูป ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หรือชายแก่ก็อดที่จะเหลียวหลังมองเธอมิได้ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่อิ่ม แม่ค้าขายผักในย่านนั้น

ผมหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น คอยดักรอพูดคุยกับเธออยู่เพียงไม่กี่วัน อาจจะเป็นเพราะใบหน้าอันคมคายของผมที่ดูเหมือนจะหล่อเหลากว่าบรรดาหนุ่ม ๆ ในย่านนั้น ทำให้อ้อยยินยอมรับนัดผมไปเที่ยวงานวัดด้วยกันตามลำพัง โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลย

คืนนั้นเธอแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตเอวลอยรัดรูป คอบาดลึก กางเกงยีนขาสั้น เผยโคนขาอันขาวเรียวบาง ผิวพรรณขาวนวลเนียนของเธอ ปลุกอารมณ์เลือดกายวัยหนุ่มของผมให้เดือดพล่าน รอยยิ้มอันหวานซึ้งยั่วยวนมีเสน่ห์ ทำเอาผมอยากจะกระโจนเข้าไปดูดดื่มความหวานจากเรียวปากอันเรียวบางนั้น ผมอดไม่ได้ที่จะล่วงล้ำเข้าไปลูบไล้ฝ่ามืออันนุ่มนิ่มและแขนอันเรียวงามของเธอตอนที่เราสองคนนั่งอยู่บนชิงช้าสวรรค์

เพียงวันที่สองของการเที่ยวงานวัด เราสองคนก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในพงหญ้าหลังวัดแห่งนั้น เกมรักอันดุเด็ดเผ็ดมันส์ของอ้อย เร้าใจดึงดูดให้ผมมอบความเป็นชายให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นเธอก็หอบเสื้อผ้ามาอยู่กับผมอย่างถาวร

ตึกแถวเรือนไม้หลังเก่าเล็ก ๆ เป็นสถานที่ที่พี่ติ๋ม พี่สาวคนเดียวของผมใช้ประกอบอาชีพขายข้าวแกงหาเลี้ยงชีพ แม่ของผมเสียชีวิตไปตั้งแต่ผมอายุได้เพียงเก้าขวบด้วยโรคมะเร็งร้าย ส่วนพ่อนั้นก็เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ผมยังไม่เกิด พี่ติ๋มพี่สาววัยแก่กว่าผมเกือบสิบปีจึงเปรียบเสมือนแม่คนที่สองที่คอยเลี้ยงดูอบรมผมมา แต่ถึงกระนั้น ความเปล่าเปลี่ยวก็ยังเข้าครอบงำหัวใจผมให้อ้างว้างเดียวดายเมื่อพี่ติ๋มคลอดลูกสาวของเธอออกมา

ผมเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่จบประถม ด้วยกำลังใจแห่งความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิดที่เหือดแห้งหายไป กลุ่มเพื่อนทโมนในย่านนั้นชักจูงให้ผมไปทดลองบุหรี่และกัญชา รสชาติของมันทำให้ผมเคลิบเคลิ้มมีความสุขอยู่กับชีวิตในโลกแห่งความฝัน หลงลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ผมเคยหายจากบ้านไปหลายวัน มั่วสุมอยู่ที่บ้านของไอ้กั่งเพื่อนรุ่นพี่หัวโจกของกลุ่ม ดูดบุหรี่เมากัญชากัน

พี่ติ๋มเพียรพยายามตามหาผมจนพบ ดุว่าเฆี่ยนตีด้วยไม้แล้วขังผมเอาไว้แต่ในบ้าน จนกระทั่งพวกไอ้กั่งถูกตำรวจรวบตัวไป ทำให้สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นค่อย ๆ เหินห่างผมไปในที่สุด

จนมาถึงวันที่ผมเติบโตขึ้นเป็นหนุ่ม รสเสพในกามที่ได้รับการปรนเปรอจากอ้อยเป็นเสมือนอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเติมหัวใจอันว่างเปล่าให้เปล่งประกายสดใสขึ้นมา พี่ติ๋มไม่ชอบใจท่าทีอันเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดของอ้อย อีกทั้งอ้อยเองก็ไม่เคยคิดจะช่วยเหลืองานบ้านหรืองานใด ๆ ในร้านขายข้าวแกงเลย

"ผู้หญิงดี ๆ แม่เหย้าแม่เรือนหาไม่ได้แล้วหรือไงวะ เสือกเอายัยสันหลังยาวนี่มาทำเมีย" พี่ติ๋มผมมักจะพูดจาประชดประชัน หรือด่าว่าอ้อยเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ทำให้ทั้งสองคนไม่ลงรอยกันนัก

ในระยะข้าวใหม่ปลามัน ผมกับอ้อยมีท่าทีจะไปกันได้ด้วยดี ผมลุ่มหลงในความสวยความสาวของเธอจนแทบจะเรียกว่า โงหัวไม่ขึ้น จนกระทั่งเธอคลอดลูกชายคนแรกด้วยวัยเพียงสิบแปดปี ส่วนผมอายุครบ ยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์พอดี และถึงเวลาต้องออกไปทำงานรับใช้ชาติ

"กรี๊ด.ๆ.ๆ......"

เสียงกรีดร้องของเมียสาวทำเอาลูกชายแรกเกิดของผมแผดเสียงร้องจ้าด้วยความตกใจ ขณะที่ผมรีบคว้าเอาตัวแกเข้ามาอุ้มไว้อย่างทุลักทุเลด้วยความที่เป็นพ่อมือใหม่

"พี่จะไปได้ยังไง แล้วฉันจะทำยังไง ไอ้ต่อก็เพิ่งคลอด ถ้าพี่ไม่อยู่ทั้งคน มีเหรอพี่ติ๋มจะให้เงินฉันใช้ ฉันกับลูกคงต้องอดตายพอดี"

อ้อยมักจะพูดจาในลักษณะนี้ เธอไม่เคยคิดจะทำอะไรแลกเปลี่ยนกับผลตอบแทน เคยชินกับความสะดวกสบาย กับการเป็นฝ่ายรับแต่เพียงฝ่ายเดียว

"มันจำเป็นนี่จ๊ะอ้อย คำสั่งของทางราชการ พี่โชคร้ายเองที่จับเจอใบแดง" ผมอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมใจเมียรัก ขณะที่เธอยังร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมหยุด

"ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมนะ แล้วฉันจะอยู่ยังไง.."

หลังจากที่ฝึกหนักอยู่ถึงสี่เดือนเต็ม ทางกองทัพก็อนุญาตให้ผมลากลับมาเยี่ยมบ้านได้เป็นครั้งแรก ผมตรงดิ่งกลับมาหาอ้อยกับลูกด้วยความรักและห่วงใย อ้อยเขียนจดหมายไปบอกผมว่า เธอกับลูกทนความร้ายกาจของพี่ติ๋มไม่ไหว จึงย้ายกลับไปอาศัยอยู่กับแม่ของเธอเช่นเดิม

"อ้าว ! กลับมาแล้วเหรอพ่อเติม" แม่อิ่มทักทายผมทันที เมื่อผมก้าวเข้ามาในบ้าน ในมือของแกกำลังป้อนนมลูกชายวัย 4 เดือนของผม

"แล้วอ้อยล่ะครับแม่" ผมยกมือไหว้แก แล้วรีบโอบร่างน้อย ๆ ของลูกชายมาอุ้มไว้แนบอกด้วยความคิดถึง

"อีอ้อยน่ะเหรอ วัน ๆ ไม่รู้หายหัวไปไหน ย้ายกลับมาบ้านก็คงตั้งใจจะเอาลูกมาทิ้งให้แม่มันเลี้ยงให้ล่ะมั้ง" แม่อิ่มพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แล้วเดินหายเข้าไปในครัว

หลังจากที่ป้อนนมเสร็จ ผมก็อุ้มตาต่อมาเดินเล่นรออ้อยอยู่บริเวณซอยบ้าน จนแสงตะวันจวนเจียนจะลับขอบฟ้าเต็มที พลบค่ำแล้วผมจึงเห็นอ้อยเดินกลับเข้ามา

ภาพของอ้อยที่ผมเห็นในวันนั้นไม่แตกต่างไปจากวันแรกที่รู้จักเธอ เธอแต่งตัวทันสมัยด้วยเสื้อเชิ้ทแขนสั้นเนื้อบาง รัดรูป กางเกงยีนขาสั้นกุด เผยส่วนสัดร่างอันเพรียวบางและเรียวขาอันขาวนวลเนียนนั้นอย่างเด่นชัด เธอเดินหยอกล้อต่อกระซิบมากับชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผู้หนึ่ง

อ้อยมีสีหน้าตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นผม เธอรีบโบกมือให้ชายผู้นั้นเดินกลับออกไป ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้ม แล้ววิ่งตรงเข้ามาโผกอดผมทันที

"พี่เติมกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ"

ผมเพ่งมองไปยังใบหน้าอันสะสวยของเธอที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางจนเข้มจัดด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด

"อ้อย ! ทำไมอ้อยถึงไม่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ทิ้งลูกให้แม่อิ่มเลี้ยงได้ยังไง แม่อิ่มขายของหาเงินก็เหนื่อยแล้วนะอ้อย"

เธอทำหน้าสลดลงเล็กน้อยด้วยท่าทีอึกอักที่จะหาคำตอบ ก่อนที่จะหันมาตอบผมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

"แหม..พี่ ฉันไปทุกวันสะที่ไหนกันล่ะจ๊ะ พวกเพื่อนสมัยเรียนมันจัดงานวันเกิดกัน ฉันก็อยากจะออกไปเปิดหูเปิดตากับเขามั่งสิ"

"เหลวไหลน่ะอ้อย อ้อยกำลังลูกอ่อน จะทิ้งลูกไปหาความสุขได้ยังไงกัน"

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของผม ทำให้อ้อนแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที

"พี่เติม ! กลับมาทั้งที อย่ามาชวนทะเลาะ อย่ามาพูดให้ฉันเสียเส้นจะดีกว่า" เธอตวาดผมกลับ ก่อนที่จะหันหน้าหนีแล้วเดินจากไป

ผมอยู่บ้านได้เพียงสองสามวัน ก็ต้องกลับมาทำงานรับใช้กองทัพ ความรู้สึกห่วงใยในความเป็นอยู่ของเมียรักและลูกน้อย ยังคงทำให้ผมต้องครุ่นคิดอย่างหนัก

"ไอ้เติม เอ็งรู้รึยังว่า อีอ้อยมันท้อง" พี่ติ๋มพูดขึ้นทันที เมื่อพบหน้าผม ในวันที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้านในเดือนต่อมา

"จริงเหรอ ! พี่ติ๋ม"

ความรู้สึกหนักใจที่ได้รับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบที่กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันกลับมิใช่จุดประสงค์ที่พี่ติ๋มกำลังจะบอก

"โธ่เอ่ย ! ไอ้เติม เอ็งไม่สงสัยบ้างเลยเหรอ.. เอ็งก็ไม่อยู่บ้านแบบนี้ แล้วอีอ้อยมันจะท้องขึ้นมาได้ยังไงวะ"

สิ้นเสียงประโยคนั้นของพี่ติ๋ม อ้อยก็เดินตรงดิ่งเข้ามาชนอย่างแรงจนผมเซไปเล็กน้อย

"ท้องได้ยังไงน่ะเหรอ พี่ติ๋ม ก็เมื่อเดือนก่อนพี่เติมกลับมา แล้วเราก็เอากัน ต้องรายงานพี่ติ๋มหรือเปล่าล่ะ"

ผมรีบคว้าข้อมืออ้อยลากเข้าไปในห้อง ก่อนที่ระเบิดของสงครามน้ำลายผู้หญิงจะประทุหนักขึ้น ผมไม่ใส่ใจความหวาดระแวงของพี่ติ๋มเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าอ้อยจะเป็นสาวเปรี้ยวสักเพียงใด ผมก็ไม่เชื่อว่าอ้อยจะกล้าประพฤติตัวนอกใจผม

ลูกคนที่สองของผม เป็นผู้หญิง เกิดมาในระหว่างที่ผมต้องทำงานรับใช้ชาติ ความห่วงใยทำให้ผมขอลาหยุดราชการเพื่อเดินทางกลับไปเยี่ยมลูก

"ไอ้เติมเอ่ย.. พ่อมันก็ขาวตี๋ แม่มันก็ขาวหม๋วย ทำไมลูกมันถึงได้ดำหน้าเป็นจุกบี้แบบนี้วะ" พี่ติ๋มพูดไปพลางชำเลืองมองลูกสาวในอ้อมแขนผม

(จุกบี้ = ข้าวเหนียว คำในภาษาจีนแต้จิ๋ว ในทีนี้หมายถึงคนอีสาน ต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่เป็นชาวอีสาน คำนี้เขียนขึ้นเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของรูปร่างหน้าตาคนจีนย่านบางลำภูกับคนอีสานเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะลบหลู่ดูหมิ่นเชื้อชาติใด)

"ปากมันว่างมากเลยนะพี่ติ๋ม ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอ ถึงได้หาเรื่องพูดให้ผัวเมียเขาแตกหักกัน ยัยต้อยลูกสาวฉันอาจจะไปเหมือนโคตรเง้าใครสะคนของบ้านพี่ล่ะมั้ง" อ้อยโวยวายออกมาอย่างฉุนเฉียว ผมรีบผลักพี่ติ๋มออกไปนอกห้องก่อนที่จะเปิดศึกกันหนักกว่านี้

อ้อยกับลูกน้อยทั้งสองยังคงอยู่กับแม่อิ่ม พี่ติ๋มส่งข่าวมาหาผมที่กองทัพว่า อ้อยเริ่มแบ่งแผงผักของแม่อิ่มออกมาขายผักเสียเองเพื่อหารายได้เลี้ยงดูลูกน้อยทั้งสอง ผมอดที่จะรู้สึกยินดีและปลื้มใจมิได้ที่อ้อยเริ่มมีความรับผิดชอบและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เสร็จสิ้นจากภารกิจรับใช้ชาติ ผมเดินทางกลับบ้านก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดใจ เมื่อทราบว่าอ้อยกำลังตั้งท้องลูกคนที่สาม ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาการรับราชการทหาร ผมกับอ้อยมีความสัมพันธ์กันน้อยครั้งนัก

"คอยดูเถิด ลูกคนนี้ของเอ็งนะไอ้เติม ไม่ดำปิ๊ดปี๋หัวหยิก ก็หัวแดงเป็นลูกฝรั่ง" พี่ติ๋มยังคงว่ากล่าวกระแหนะกระแหน่อ้อยเช่นเคย แต่น่าแปลกใจที่ครั้งนี้อ้อยกลับนิ่งเงียบ ไม่โต้ตอบใด ๆ

ผมกลับบ้านมาได้ไม่นานก็ป่วยหนักเป็นไข้มาลาเลีย คงด้วยเชื้อโรคร้ายที่ติดมาจากยุงป่า ขณะที่ร่างกายของผมแดงก่ำไปด้วยพิษไข้ เงินในกระเป๋าที่มีอยู่ก็น้อยนิดเสียจนไม่เพียงพอจะพาตัวเองไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

"โอ้ย.. พอกลับมาก็มาทำตัวเป็นภาระกู ลูกก็ยังเล็ก ท้องก็โย้ ยังต้องมาขายผักหาเงินเลี้ยงผัว มีผัวอมโรคแบบนี้กูยอมเป็นหม้ายเสียดีกว่า"

อ้อยโวยวายออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นอาการผมทรุดหนักลงทุกวัน ใจจริงแล้วตอนนั้นผมไม่เคยคิดจะโกรธเคืองคำพูดเหล่านั้นของเธอเลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่อยู่กินด้วยกันมา ผมยังไม่เคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีพอสำหรับเธอกับลูกเลย

พี่ติ๋มอดไม่ได้ที่จะเป็นคนพาผมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผมนอนรับยาฉีดทำลายเชื้อโรคมาลาเลียและน้ำเกลืออยู่สามคืนหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ขณะที่รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ผมต้องคอยช่วยเหลือตัวเองอย่างทุลักทุเล พร้อมกับช่วยอ้อยดูแลลูกน้อยทั้งสอง ขณะที่เธอต้องออกไปขายผักที่ตลาดและกลับมาถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน

อาการป่วยของผมทุเลาลงและค่อย ๆ หายเป็นปกติ ผมเริ่มคิดจะออกหางานทำ รายได้ที่ได้จากการช่วยงานพี่ติ๋มในร้านขายข้าวแกงคงไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูเมียรักและลูกน้อยทั้งสาม

ภัตตาคารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในย่านบางลำภูตอบรับทันทีเมื่อผมผ่านการทดสอบ ผมได้งานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่นั่น ผมมีความสามารถในการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากทางบ้านขายอาหารมานานตั้งแต่รุ่นแม่ เงินเดือนในตำแหน่งผู้ช่วยพ่อครัวกับรายได้จากการขายผักของอ้อย แม้จะไม่มากมายอะไร แต่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเรา

"อะไรกันพี่ ได้เงินมาแค่นี้อ่ะนะ จะพอค่านมลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ ฉันไม่เคยได้ซื้อเครื่องสำอางมาบำรุงผิวพรรณเหมือนแต่ก่อน ท้องก็โย้อย่างงี้ แล้วยังต้องทำงานขายผักงก ๆ หาเงินเลี้ยงลูกอีก"

อ้อยโวยวายเสียงดังเมื่อผมนำเงินเดือนเดือนแรกไปส่งมอบให้เธอ เธอยังคงเป็นคนชอบเรียกร้องสิ่งที่ต้องการอย่างไร้ขีดจำกัดอยู่เสมอ

"เอาเถอะน่าอ้อย พี่เพิ่งเริ่มทำงาน ต่อไปเขาก็คงปรับค่าแรงให้พี่ แล้วพี่ก็กำลังคิดว่าจะหาอะไรขายเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวเรามากกว่านี้ ถ้าเรามีเงินมากขึ้นอ้อยอยากได้อะไรพี่จะให้อ้อยได้ทุกอย่าง"

ผมปลอบประโลมเธอด้วยความหวังที่จะมีชีวิตในวันข้างหน้าดีขึ้นด้วยความรักอันเต็มเปี่ยมที่มีต่อเธอกับลูก แต่แล้วชีวิตคู่ของผมกับอ้อยก็ต้องแตกหักลงเมื่อเธอคลอดลูกคนที่สาม

"ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอ็งเชื่อข้าหรือยังไอ้เติม ไอ้โง่ ข้าบอกแล้ว อีอ้อยมันไม่ได้ท้องกับเอ็ง" พี่ติ๋มแกล้งที่จะหัวเราะใส่หน้าผมอย่างเย้ยหยัน แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงแววตาของเธอที่เวทนาในความโง่งมของผม

ความปวดร้าวใจที่เหมือนมีดนับพันเข้ามากรีดแทงหัวใจลูกผู้ชายอย่างผมให้แตกสลายตายทั้งเป็น เมื่อลูกชายคนนี้ของผมมีลักษณะพิเศษคือ เป็นลูกครึ่งไทยฝรั่ง เส้นผมสีแดงน้ำตาล ผิวพรรณขาวอมชมพู ตามลักษณะทางพันธุกรรมของชนผิวขาว

ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ระหว่างที่ไปรับราชการทหารอ้อยจะหาญกล้าหักหลังผมอย่างเลือดเย็นเช่นนี้

"พี่... ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ไอ้ฝรั่งบ้านั่นมันปล้ำฉัน"

อ้อยคลานเข้ามากอดแทบเท้า ขณะที่ผมยืนกำหมัดแน่นพยายามระงับสติอารมณ์ กล่ำกลืนความปวดร้าวเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ก้มหน้าลงเผชิญสายตาอันออดอ้อนของเมียรัก ใช้ฝ่ามือลูบไล้บนพวงแก้มอันนวลเนียนงดงามของเธอก่อนจะบีบรัดที่ปลายคางอย่างเต็มแรงด้วยอารมณ์เคียดแค้น

"โดนปล้ำน่ะเหรออ้อย !"

ผมคำรามใส่เธอ ขณะที่อ้อยดิ้นรนพยายามให้หลุดพ้นจากแรงกดอันเจ็บปวดนั้น

"โอ้ย.. เจ็บ ปล่อยนะพี่"

"ถ้าอ้อยไม่ไปหามัน แล้วจะโดนมันปล้ำได้ยังไง ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยเชื่อพี่ติ๋ม แต่ทำไมอ้อยถึงทำกับพี่ได้” เสียงของผมสั่นเครือหายเข้าไปในลำคอ แรงกดที่ปลายคางอ้อยแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ามืออีกข้างบีบที่ต้นแขนของเธอ

"พี่เติมอย่าไปเชื่อ พี่ติ๋มใส่ร้ายฉัน ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บ ! "

"ใส่ร้ายเหรอ ! ใส่ร้ายแล้วไอ้เด็กเปรตนี่มันเกิดมาได้ไง พี่รักอ้อย เชื่อใจอ้อย ไม่เคยคิดเลยว่าอ้อยจะทำกับพี่ได้"

มรสุมชีวิตในครั้งนั้น ทำให้ผมเตลิดออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเถ้าแก่ภัตตาคาร เพื่อหลบหนีความเป็นจริงอันโหดร้าย ทิ้งให้อ้อยเลี้ยงดูลูกทั้งสามตามยถากรรม อ้อยโกรธในการกระทำของผมมาก สาปแช่งด่าทอไม่ขอพบหน้าผมอีก
...............................................

2............
เวลาผ่านไปหลายปี ผมทำงานยังคงทำงานอยู่ที่นั่นด้วยความขยันขันแข็งเรียน ค่อย ๆ เรียนรู้วิธีและเทคนิคการทำอาหารเพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้เลื่อนระดับเป็นพ่อครัวเต็มตัว พร้อมกับเงินรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ห้องผนังไม้เล็ก ๆ ที่กว้างยาวเพียงสองเมตร สถานที่ซุกหัวนอนแห่งใหม่ของผมอยู่บริเวณด้านหลังของภัตตาคาร ด้านข้างมีตึกแถวติด ๆ กันอยู่หลายห้องทำเป็นร้านอาหาร ช่วงเย็นจะมีผู้คนสัญจรไปมาพากันมาซื้อหาอาหารมากมาย ร้านข้าวแกงห้องหัวมุมเป็นร้านประจำที่ผมไปฝากท้องไว้เกือบทุกมื้อ ไม่ใช่เพราะอาหารที่นั่นอร่อยถูกใจ แต่เป็นเพราะแผงขนมหวานที่ตั้งอยู่หน้าร้านนั้นต่างหาก เกือบทุกวัน แม่ค้าหน้าหวานเหมือนขนมของเธอ จะนำขนมมาจัดวางขายอย่างขยันขันแข็ง

ผมพบกับนวลที่นั่น เธอเป็นสาวน้อยอ่อนวัยกว่าผมอยู่หลายปี แรกพบผมติดใจในกิริยาท่าทางที่อ่อนช้อยงดงามของเธอ ดวงหน้าอันอ่อนหวาน รูปร่างเพรียวงามได้ส่วนสัด ภายใต้อาภรณ์ที่ปกปิดจนมิดชิด แต่ก็มีเสน่ห์ยั่วยวนชวนให้ผู้ชายอย่างผมลุ่มหลง

"ทานขนมอะไรดีจ๊ะพี่วันนี้" เสียงหวานของนวลทักทายผมทันที เมื่อผมเดินไปบริเวณหน้าร้าน

"ขนมปลากริมมีไหมจ๊ะแม่นวล" ผมพูดไปพลางมองหน้าหวานของเธอ มิได้ก้มลงเลือกขนมตรงหน้า

นวลเหมือนจะรับรู้ถึงความรู้สึกพิเศษที่ผมมีให้ เธอจึงมักจะเอาแต่ก้มหน้าพูดด้วยความเอียงอาย แต่ก็ยังพยายามแสดงสีหน้าและกริยาท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุด

"วันนี้ไม่มีขนมปลากริมจ๊ะ มีแต่บัวลอยไข่หวานได้ไหมจ๊ะ" เธอพูดขึ้นพลางก้มหน้าก้มตาตักขนม พยายามที่จะหลบสายตาของผม

"บัวลอยไข่หวานก็ได้จ๊ะ พี่ขอหวาน ๆ นะจ๊ะนวล"

คำตอบของผมคงจะไม่เกี่ยวข้องกับความหวานของบัวลอย แต่คงเกี่ยวกับความหลงใหลในใบหน้าหวานของแม่ค้าขายบัวลอยต่างหาก

ผมหันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร ยังคงไม่ละสายตาจากเธอจนไม่ทันระวังขาเตะเอาขาเก้าอี้ล้มระเนระนาด

ผมรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอมาจากเจ้าของร้านขายอาหารที่เธอเช่าหน้าร้านอยู่ พ่อของเธอพายเรือรับจ้างข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตรงเชิงสะพานพุทธ ส่วนแม่ของเธอนั้นต้องอยู่บ้านเพราะมีลูกเล็ก ๆ และทำงานพิเศษพับกระดาษเงินกระดาษทองส่งที่ร้านขายธูปเทียน เธอมีพี่น้องมากมายถึงสิบคน นวลเป็นลูกคนโต ทำให้เธอต้องตรากตรำทำงานหนักช่วยเหลือพ่อแม่หาเงินเลี้ยงดูน้อง ๆ

ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเธอแล้ว ผมอดที่จะเห็นใจตามประสาคนยากไร้หัวอกเดียวกันมิได้ และมันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหลงรักเธออย่างปักใจ ความสวยของเธอประกอบกับกิริยามารยาทที่งดงามอ่อนช้อย เชิญชวนให้หนุ่มใหญ่น้อยในละแวกนั้นพากันมาเกี่ยวพาราสี ในจำนวนนั้นก็ยังมีคนอีกมากมายที่หน้าตาดี และมีฐานะมั่นคงกว่าผม นวลจะคิดยังไงหากรู้ว่าผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว เธอจะยอมรับมันได้ไหม เธอจะเข้าใจผมไหม หรือเธออาจจะคิดว่ายังมีผู้ชายดี ๆ อีกมากที่จะมอบความสุขกายสบายใจให้กับเธอได้มากกว่าผม

ผมกลับมาเยี่ยมเยียนละแวกบ้านเก่าอีกครั้ง เมื่อทราบข่าวมาว่าพี่ติ๋มออกตามหาผม สองขาพาผมเดินตรงไปยังหน้าประตูบ้านแม่อิ่ม ทอดสายตามองเข้าไปในบ้าน ดวงตาเหม่อลอยหวนคิดถึงคืนวันเก่าด้วยความอาลัยรัก

เวลาหกปีที่ล่วงเลยผ่านไป นับตั้งแต่วันที่ผมก้าวออกจากชีวิตอ้อย แต่อ้อยก็ยังคลอดลูกสาวคนเล็กออกมาเมื่อสองปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเด็กนั่นไม่ใช่สายเลือดของผม และแน่นอนยิ่งกว่าที่อ้อยจะระบุชื่อผมเป็นพ่อของเด็ก

แม่อิ่มแก่ชราลงไปมาก จึงยกแผงผักที่ตลาดให้อ้อยไปดูแลทำมาค้าขายหาเลี้ยงตัวเองกับลูก ส่วนตัวแม่อิ่มเองก็อยู่บ้านคอยดูแลหลาน ๆ ภาพที่ผมเห็นนั่นก็คือ ต้อย ลูกสาวคนรองของผม (ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าแกเป็นสายเลือดของผมหรือไม่) วัยเจ็ดขวบกำลังตักข้าวป้อนใส่ปากน้องคนเล็กวัยสองขวบ ส่วนเจ้าลูกนอกไส้หัวแดงวัยหกขวบของผมกำลังนั่งเล่นรถพลาสติกอยู่ข้าง ๆ

สายตาของผมควานมองหา “ตาต่อ” ลูกชายคนโต ซึ่งคงจะเป็นลูกคนเดียวที่ผมแน่ใจว่าแกเป็นลูกแท้ ๆ ของผม แต่วันนั้นแกกลับไม่อยู่บ้าน

"โหย... หาไปซะนานเลยนะเอ็ง ไอ้เติม เอ็งคงรู้แล้วสิว่านังอ้อยมันคลอดลูกสาวออกมาอีกคน นังนี่ยังหน้าด้านหน้าทน ยังมีหน้าไปเที่ยวบอกใคร ๆ ว่า เอ็งกลับมาปล้ำมัน ทำให้มันท้องอีกรอบ"

พี่ติ๋มร่ายยาวทันทีเมื่อผมก้าวขาเข้าไปในบ้าน ผมนั่งลงกับพื้นข้าง ๆ เธอ โบกมือทำสีหน้าเบื่อหน่ายให้เธอหยุดพูด

"ช่างมันเถิดพี่ติ๋ม เขาจะไปพูดอะไรก็ช่างเขา"

เวลานั้นผมเริ่มทำใจปลงกับชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“เอ่อ..เมื่อกี้ฉันแอบย่องไปดูลูกมา ฉันไม่เห็นไอ้ต่อ” ผมถามถึงลูกชายกับพี่ติ๋มด้วยความรักและคิดถึง

“อ๋อ ! ไอ้ต่อน่ะเหรอ วันหยุดแบบนี้มันไปช่วยแม่มันขายผักที่ตลาดโน้น ไอ้นี่มันใช้ได้นะ ขยัน ตัวเท่านี้ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของแม่มันได้แล้ว นี่ข้าก็บอกให้มันมาหาทุกเย็น แบ่งกับข้าวที่ขายเหลือไปให้ไอ้พวกน้อง ๆ นอกคอกมันกินกัน”

ผมฟังแล้วอดรู้สึกปลาบปลื้มใจในความดีงามของลูกชายคนเดียวมิได้ ยังไงตอนนี้ผมก็สบายใจแล้วว่า อ้อยกับลูก ๆ มีหนทางหาเลี้ยงชีวิตไม่อดตาย ผมหันกลับไปทางพี่สาวแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

"ว่าแต่พี่ติ๋มตามฉันมานี่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"

พี่ติ๋มกำลังนั่งอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนมีอะไรดี ๆ บางอย่างอยากจะบอก

"คือข้าหาเมียใหม่ให้เอ็งได้แล้วว่ะ" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปิติยินดี แต่ผมส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธอย่างเบื่อหน่ายในความหวังดีนั้น

"ฉันไม่เอาหรอกพี่..."

"เอ็งไม่ต้องปฏิเสธเลย” เธอตะคอกกลับมาทันที “ข้าคุยกับเถ้าแก่เส็งเขาแล้ว ถ้าเอ็งไม่เอาแล้วเกิดไปคว้ายัยข้างถนนที่ไหนมาทำเมียอีก คราวนี้ข้าไม่ยอมแล้วนะโว้ย" พี่ติ๋มยืนกรานหนักแน่น

เจี๊ยบ ลูกสาวเจ้าของร้านขายข้าวสารย่านตลาดบางลำภู ผมจำเธอได้ดี เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเถ้าแก่เส็งกับเจ๊เคง ใบหน้ารูปหน้ากลมมนของเธอก็แลดูงดงาม แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ผิวขาวผ่องตามลักษณะของคนไทยเชื้อสายจีนทั่วไป กิริยามารยาทก็ดูเรียบร้อยดี

ปกติเถ้าแก่เส็งจะหวงลูกสาวยังกับงูจงอางหวงไข่ หนุ่ม ๆ ในละแวกบ้านจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปเกี่ยวพาราสีเธอ เพราะกลัวลูกตะกั่วของเถ้าแก่

แต่ในครั้งนี้น่าแปลกใจที่เถ้าแก่เส็งกลับมาถามหาผม และทาบทามจะยกลูกสาวให้ผมเสียเอง อีกทั้งยินยอมไม่เรียกร้องสินสอดทองหมั้นใด ๆ รวมทั้งออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแต่งงานให้เกือบทั้งหมด

“เถ้าแก่เขาชอบเอ็งมานานแล้ว เขาว่างั้น แล้วอีกอย่างนังเจี๊ยบมันก็ปาเข้าไป 25 แล้ว เขาอยากจะให้มันเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่อยากให้ไปลงเอยกับไอ้พวกจิกโก๋ที่มาด่อม ๆ มอง ๆ หน้าบ้านทุกวัน”

นั่นคือเหตุผลที่พี่ติ๋มบอกกับผม ผมจนต่อการพูดหว่านล้อมของพี่สาวเพียงคนเดียว จึงต้องยินยอมทำตามใจเธอ

การแต่งงานระหว่างผมกับเจี๊ยบดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตามประเพณีจีนโบราณ ไม่มีงานเลี้ยงฉลองใด ๆ มีญาติผู้ใหญ่สำคัญทางฝ่ายเจี๊ยบมาเพียงไม่กี่คน ส่วนทางฝ่ายผมก็คงมีแต่เพียงพี่ติ๋มเท่านั้น

เจี๊ยบดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยและนิ่งเงียบเสียจนน่าแปลก คืนแรกของการส่งตัวเข้าหอ เธอนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ ปล่อยให้ผมเชยชมเรือนร่างความสาวของเธออย่างไร้อารมณ์ ในเวลานั้นผมไม่คิดอะไรมากไปกว่า เจี๊ยบตื่นเต้นและยังไม่คุ้นเคยกับผม

หลังจากผ่านพ้นช่วงลาหยุดแต่งงาน ผมก็กลับไปทำงานที่ภัตตาคารแห่งเดิมตามปกติ แต่แล้วผมก็พบว่า นวลมิได้ขายขนมอยู่หน้าร้านอาหารแห่งเดิมเสียแล้ว เจ้าของร้านบอกกับผมว่า บ้านเช่าที่เธออาศัยอยู่นั้นถูกไล่ที่อย่างกะทันหัน เธอกับครอบครัวจึงต้องย้ายบ้านไปอยู่ย่านวงเวียนใหญ่แทน และคงไปทำมาค้าขายที่นั้น

ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเธอ หวนคิดถึงแต่ดวงหน้าอันอ่อนหวานงดงาม และกิริยามารยาทที่เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เธอคงจะได้พบกับคนที่ดีกว่าผม และเรา..ก็คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

ความนิ่งเฉยชาของเจี๊ยบคงจะไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป เมื่อระยะหลัง ๆ มานี้เธอมีอาการแปลก ๆ คือบางครั้งก็หัวเราะออกมาไม่หยุดกับสิ่งที่ผมไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหน แต่ในบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาอย่างไร้เหตุผล

และที่สำคัญเธอทำให้ผมตื่นตระหนกไปกว่านั้น เมื่อผมพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว ความรู้สึกบางอย่างกำลังตอกย้ำอยู่ในหัวผม มันกำลังบอกว่า....

ผมถูกหลอก !

ผมถูกหลอก ! ให้มารับผิดชอบเด็กในท้องที่ไม่มีพ่อ

ผมถูกหลอก ! ให้แต่งงานกับคนบ้า

โอ้ย ! มันอะไรกันนักกันหนากับชีวิตกูวะ

ผมสืบเรื่องนี้อยู่ไม่นานก็ล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด แท้จริงแล้ว เจี๊ยบลูกสาวที่แสนจะหวงแหนของเถ้าแก่เส็ง ถูกกลุ่มอันธพาลฉุดเอาตัวเอาไปขังไว้ในบ้านกลางป่า ในวันที่เธอและพ่อแม่ไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด เธอคงถูกพวกกลุ่มทรชนเหล่านั้นข่มขืนหลายครั้งหลายคราจนเสียสติ กว่าตำรวจจะตามไปช่วยพาตัวกลับมาได้ เธอก็คงจะตั้งครรภ์เสียแล้ว

เถ้าแก่เส็งปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด เพื่อรักษาชื่อเสียงลูกสาวของตน บอกกับชาวบ้านในละแวกบ้านว่า เจี๊ยบไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดชั่วคราว ไม่มีใครล่วงรู้ถึงข่าวคราวการหายตัวไปของเจี๊ยบเลยแม้แต่พี่ติ๋ม

ทำไม ! ทำไม ! ผมถึงได้โง่ ทำไม ! ถึงต้องตกเป็นเหยื่อของสองผัวเมียเฒ่าคู่นั้น

คำที่เขาบอกกันว่า ชีวิตคนเราก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วไม่มีสิทธิจะถอยหลังกลับได้อีก สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมทำได้อยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ ทำใจยอมรับและก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเฮงซวยที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต

ผมเพียรพยายามดูแลให้เจี๊ยบมีชีวิตอยู่อย่างปกติที่สุด จนเธอคลอดลูกนอกไส้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิง แล้วผมก็พาเธอไปเข้ารับการรักษาอาการทางจิตในโรงพยาบาลเฉพาะทาง ด้วยความหวังที่จะให้เธอหายขาด แล้วเราจะได้ดำเนินชีวิตครอบครัวกันเป็นปกติ

อาการของเธอดูเหมือนจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอคลอดลูกสาวคนที่สองให้ผม ช่วงนั้นดูเหมือนว่าเราจะอยู่ร่วมกันพ่อแม่ลูกอย่างปกติสุขระยะหนึ่ง จิ๊บลูกสาวคนเล็กของผม ตั้งแต่เกิดมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนผมอย่างกับพิมพ์เดียวกัน ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้ากลมมน แก้มยุ้ย ดวงตาสองชั้นเล็กเรียวยาว น่ารักน่าชัง เป็นที่เอ็นดูต่อผู้คนที่ในละแวกบ้าน

ส่วนจุ๊บ ลูกสาวนอกไส้คนนั้น กลับมีผิวดำคล้ำ แขนขามีจุดร่องรอยของผิวตกกระ รูปศีรษะกลมแต่แก้มตอบ ดวงตาเล็กชั้นเดียว จมูกบี้ ใครเห็นก็อดทักไม่ได้ว่าแกไม่มีส่วนละม้ายคล้ายผมหรือเจี๊ยบเลยแม้แต่น้อย จะมีสักกี่คนที่จะล่วงรู้ถึงความจริงว่าผมต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกนอกสายเลือดคนนี้ นอกจากพ่อตาแม่ยายและพี่ติ๋ม

ชีวิตครอบครัวของเราดูเหมือนกำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินมาเลี้ยงดูเธอและลูกสาวทั้งสอง จับจ่ายใช้สอยทุกอย่างด้วยความประหยัดที่สุด ความหวังที่จะได้ลืมตาอ้าปากเป็นเสมือนพลังผลักดันให้ผมก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ

แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายลง เมื่อผมค้นพบความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วเจี๊ยบไม่ได้มีอาการดีขึ้นอย่างที่มองเห็น จิตใต้สำนึกของเธอยังคงเคียดแค้นและจ้องทำลายทุกสิ่ง

วันนั้นผมกลับบ้านก่อนเวลาด้วยความรู้สึกวิตกกังวลใจอย่างประหลาด แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงยัยจุ๊บวัยสองปีเศษกรีดร้องดังจ้าด้วยความเจ็บปวด ภายในบ้านมีคราบเลือดหยดเกรอะกรัง ผมรีบกระโจนเข้าไปแย่งใบมีดโกนจากมือของเจี๊ยบที่กำลังกรีดเนื้อตัวลูกสาวตัวเองเล่นอย่างสนุกสนาน เรี่ยวแรงอันมหาศาลของคนไร้สติอย่างเธอ ทำเอาผมควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ไหว จนต้องร้องตะโกนให้เพื่อนบ้านเข้ามาช่วย

เพื่อนบ้านชายหลายคนช่วยกันจับเจี๊ยบเอาไว้อย่างโกลาหล ส่วนผมรีบเข้าไปอุ้มยัยจุ๊บที่นอนร้องไห้จ้าอาบกองเลือดอยู่อย่างน่าเวทนา อีกใจหนึ่งก็มองหายัยจิ๊บซึ่งอยู่ในวัยขวบเศษ ถูกแม่จับโยนไว้ในเปล เอาหมอนผ้านวมผ้าห่มและร่มกดทับจนแทบหายใจไม่ออก

เจี๊ยบถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิต หมอไม่อนุญาตให้เธอกลับบ้าน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก ส่วนลูกสาวทั้งสองคนของผมนั้นปลอดภัยดี

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระหว่างผมกับเจี๊ยบคงจะไม่มีหนทางที่จะเดินบนถนนสายชีวิตร่วมกันได้อีก และในวันนี้ผมก็ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ เนื่องจากภาระการดูแลลูกสาวเล็ก ๆ ทั้งสอง

"เอาอย่างนี้ ไหน ๆ ข้าก็มีลูกแค่คนเดียว ข้าขอยัยจิ๊บของเอ็งมาเป็นลูกของข้าอีกคน ยังไงมันก็เป็นลูกของเอ็ง ส่วนนังคนพี่นั่นข้าไม่เอา ลูกใครก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเราจะต้องไปรับภาระเลี้ยงมัน เอ็งเอามันไปส่งให้ตากับยายของมันก็แล้วกัน"

ผมไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของพี่ติ๋ม ยกลูกสาวคนเล็กให้เธอเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งเธอกับสามีก็เฝ้าเลี้ยงดูยัยจิ๊บจนเติบใหญ่ รักและเอ็นดูเหมือนลูกแท้ ๆ ส่วนลูกสาวนอกไส้อีกคนของผมนั้น ไม่มีใครเวทนาเลี้ยงดูแม้แต่ตายายแท้ ๆ ของแก

"โอ้ย ไม่เอาหรอกพ่อเติม ฉันมันแก่แล้ว จะให้มานั่งเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ นี่มันไม่ไหวล่ะมั้ง" เจ๊เคงแม่ยายของผมพูดปัดความรับผิดชอบอย่างไร้เยื่อใย

"อั๊วก็ไม่เอาหรอกนะ ลูกไอ้คนชั่วทรชนคนเลวที่มันปล้ำลูกอั๊ว ลื้อเก็บเอาไปเลี้ยงเองตามยถากรรมนั่นแหละ" นั่นคือคำพูดปฏิเสธของผู้เป็นตา

ร่างของผมสั่นเทาไปด้วยอารมณ์โกรธเกลียด เมื่อฟังวาจาจากปากมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนสัตว์เลือดเย็นพวกนี้

ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตผมจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งสองตรงหน้า ถึงแม้ว่าจะทำให้ผมเจ็บปวดเคียดแค้นสักเพียงใดก็ตาม แต่ชีวิตน้อย ๆ ในอ้อมแขนผมเวลานี้ เขามิได้รับรู้ถึงความเลวที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้นและไม่สมควรต้องมารับกรรมเช่นนี้

"พ่อ ! ยังไงนังหนูนี่ก็เป็นลูกแท้ ๆ ของเจี๊ยบ หลานของพ่อกับแม่นะครับ ผมต่างหาก ! ที่เป็นคนอื่น"

ผมตะโกนใส่หน้าพ่อตาแม่ยายเป็นครั้งแรก วาจารุนแรงของผม ทำให้ทั้งสองนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่จะรับจุ๊บไว้อุปการะอย่างเสียมิได้

......................................
3..............
บนเส้นทางชีวิตของผมยังไม่เคยประจักษ์พบกับคำว่า "รักแท้" คุณค่าแห่งความดีงามที่ทุ่มเทให้ไป บัดนี้หวนคืนกลับมาเพียงความว่างเปล่าและโหดร้าย หัวใจของผมในวันนี้ช่างหนาวเหน็บเดียวดาย ความปวดร้าวแห่งรักกระหน่ำซ้ำเติมผมอย่างมิได้หยุด

สองขาพาผมก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย บนถนนสายเปลี่ยวในค่ำคืนอันมืดมิด แสงจากโคมไฟสีเหลืองนวลริมทางส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วพื้นถนนอันว่างเปล่า แผงขายของที่จัดเก็บไว้จนมิดชิดวางเรียงรายกันทอดแนวยาวไปตลอดสองฟากถนน แว่วเสียงรถยนต์แล่นผ่านบ่งบอกให้รู้ถึงเวลาแห่งรุ่งอรุณที่กำลังจะมาถึง รถสามล้อสองสามคันเริ่มจะเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท หลายคนขนสัมภาระลงจากรถเพื่อเตรียมทำมาหาเลี้ยงชีพในวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง

"อ้าวพี่ ! วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงวงเวียนใหญ่จ๊ะ" เสียงหวาน ๆ อันคุ้นหูนั้นแว่วดังเข้ามา

ผมตั้งสติหันกลับไปมองหาต้นเสียง เดินตรงเข้าไปเพ่งมองดวงหน้าอันอ่อนหวานของเธอ เวลา 3 ปีที่ผ่านไปไม่อาจจะลบเลือนภาพหญิงสาวผู้ที่อยู่ในดวงใจของผมตั้งแต่แรกพบได้

"นวล..."

ผมเรียกชื่อเธอเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับมาพบกับเธออีก

"ไม่เจอกันซะนานเลยนะจ๊ะ วันนี้พี่มาทำอะไรแถววงเวียนใหญ่แต่เช้ามืดอย่างนี้หรือจ๊ะ" เธอยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

"แล้วนวลล่ะ มาทำอะไรคนเดียวริมถนนเช้ามืดแบบนี้" ผมถามไปทั้ง ๆ ที่เห็นว่าเธอเพิ่งจะลงมาจากรถสามล้อ และกำลังจัดขนมออกขาย

แล้วผมก็ได้สติรีบวิ่งเข้าไปช่วยเธอยกหม้อใบใหญ่หลายใบที่เต็มไปด้วยขนมหวานลงจากรถ

"นวลต้องมาจัดร้านขายแต่เช้ามืดแบบนี้คนเดียวทุกวันเลยเหรอจ๊ะ" ผมถามเธอไปพลางช่วยยกหม้อขนมวางบนแผงขาย

"อ๋อ...เปล่าหรอกจ๊ะ ทุกวันฉันจะมีน้องชายมาช่วย พอดีช่วงนี้เขาใกล้สอบ ฉันเลยบอกให้อ่านหนังสืออยู่บ้านไม่ต้องมา" เธอตอบผมไปพลางในมือยังคงง่วนทำงานหยิบจับโน้นนี่มิได้หยุด

ฟังประโยคนั้นแล้ว ผมรู้สึกชื่นชมในตัวเธอมากยิ่งขึ้น นอกจากเธอจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนแล้ว เธอยังเป็นผู้หญิงแกร่ง ยอมอดทนลำบากเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ส่งน้อง ๆ ให้ได้เรียนหนังสือในระดับสูง

"เอางี้ดีไหมจ๊ะนวล ช่วงนี้เถ้าแก่ให้พี่เข้ากะบ่าย พี่จะเอาเวลาตอนเช้ามาช่วยนวลจัดร้านขายทุกวันเลยดีไหม"

ผมสังเกตเห็นเธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่กล้าหันมาสบตาผม เธอคงประหลาดใจในความมีน้ำใจมากมายนั้น

ใจจริงแล้วที่ผมพูดไปมิได้คาดหวังสิ่งใดจากเธอ นอกจากรู้สึกเห็นใจและชื่นชมในความกตัญญูของเธอเท่านั้น

"ฉันคงไม่กล้ารบกวนพี่ถึงขนาดนั้นหรอกนะจ๊ะ ฉันขายมานานแล้ว ชินแล้วล่ะจ้ะ ไม่ลำบากอะไรหรอก" เธอพูดปฏิเสธผมอย่างนุ่มนวล พยายามทำกริยาท่าทางให้เป็นปกติ จัดขนมออกวางขายต่อไป ในเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่ารู้สึกห่วงใยเธอ

"แต่นวลเป็นผู้หญิง มาจัดร้านเช้ามืดคนเดียวแบบนี้ มันอันตรายนะ พี่เป็นห่วง"

คำพูดประโยคนั้น ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม แล้วผมก็อ่านความรู้สึกของเธอได้จากดวงตาคู่นั้น ซึ่งบัดนี้ประตูหัวใจของเธอเปิดกว้างและยอมรับผมไว้อย่างเต็มใจ




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2547
3 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2549 10:32:09 น.
Counter : 2526 Pageviews.

 

ผมกับนวลคบหากันมาอีกปีเศษ เวลาที่ผมเข้างานกะบ่ายก็จะรีบไปช่วยเธอจัดร้านขายขนมแต่เช้ามืด ช่วงที่ผมเข้างานกะเช้าหลังเลิกงานก็จะตรงไปช่วยเธอขายและช่วยเก็บร้าน บางวันหลังจากขายเสร็จผมจะชวนเธอไปดูภาพยนตร์

ไม่น่าเชื่อเลยว่า นวลไม่เคยเข้าไปดูภาพยนตร์มาก่อน เธอเพียงแต่เคยขายขนมอยู่ด้านหน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น เธอจึงรู้สึกประหม่าเมื่อผมพาเข้าไปข้างใน

นวลจะเฝ้าระวังเนื้อระวังตัวมาก จะคอยขยับตัวออกห่างทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้เธอเกินกว่าฟุต

"พ่อเติม พ่อก็คบกับนังนวลมันมานานพอสมควรแล้วนะ คิดจะจัดการยังไงต่อไปหรือเปล่า" แล้ววันหนึ่งพ่อของนวลก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยประโยคนั้นกับผม

ตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมา พ่อกับแม่ของนวลรับรู้เรื่องราวระหว่างเรามาโดยตลอด และพวกเขาก็ต้อนรับขับสู้ผมเป็นอย่างดีทุกครั้งที่ผมไปหาเธอที่บ้าน

แต่อดีตอันเลวร้ายของผมเหมือนเป็นแผลลึกในใจที่เจ็บปวดเกินกว่าจะให้นวลต้องมารับรู้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมจึงไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับเธอเลย ถึงแม้ว่าส่วนลึกในใจแล้วจะต้องการครอบครองเธอมากสักเพียงใด

"ฉันมันคนจนจ้ะพ่อ กำลังเก็บเงินเก็บทองตั้งตัวอยู่ อยากจะให้ฐานะมั่นคงกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วค่อยส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่นวล"

พ่อของนวลทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักใจ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

"เอาอย่างนี้ล่ะกันพ่อเติม ไอ้บ้านฉันมันก็คนจนหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน พ่อเติมเองฉันก็เห็นว่าเป็นคนดีขยันขันแข็งทำมาหากิน การแต่งงานก็ไม่จำเป็นจะต้องมีพิธีการอะไรใหญ่โตให้มันสิ้นเปลือง สินสอดทองหมั่นพ่อเติมก็หามาเป็นพิธี ยังไงฉันก็ต้องยกให้พ่อเติมกับนังนวลมันไปเป็นเงินก้นถุงอยู่แล้ว"

พ่อกับแม่ของนวลเปิดใจรับผมเข้าไปเป็นลูกเขยอย่างเต็มอกเต็มใจ ผมจึงไม่อาจจะปฏิเสธไมตรีจากท่านได้อีก แต่ความหวาดกลัวที่แอบซ่อนอยู่ในใจยังคงทำให้ผมไม่กล้าเปิดปากพูดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง

เงินสดจำนวนสองหมื่นบาท กับทองอีกสองบาท เป็นสินสอดทองหมั้นที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อหญิงอันเป็นที่รัก พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีอันเคร่งครัดของชาวจีน โดยมิได้จัดงานเลี้ยงฉลองใด ๆ

นวลเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนเรียบร้อย บทรักของเธอจึงไม่เร้าใจและดุเด็ดเผ็ดมันส์เท่ากับอ้อย แต่เธอก็สอนให้ผมรู้จักถึงความอ่อนหวานนุ่มนวลของความเป็นกุลสตรีอันงดงามเพรียบพร้อม และเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสถึงพรหมจรรย์ของหญิงสาว

การแต่งงานกับนวล ทำให้ผมต้องย้ายออกจากที่พักของภัตตาคาร มาเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ร่วมกับเธอ นวลช่วยผมทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง หาบขนมเดินขายไปทั่วตลาดวงเวียนใหญ่ (แผงขายขนมเดิมของเธอ ให้น้องสาวไปขายแทน เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้สำคัญของบ้านเธอ) รายได้จากการขายขนมของเธอ รวมกับเงินเดือนลูกจ้างอย่างผมแล้วก็เพียงพอที่จะดำรงชีวิตและเก็บออมไว้ใช้ยามจำเป็นได้อย่างสบาย

แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับผมอีกครั้ง เมื่อภัตตาคารที่ผมทำงานอยู่แห่งนั้นต้องเลิกกิจการ ในขณะที่นวลกำลังท้องแก่จึงเดินหาบขนมขายไม่ไหวอีก

"อั๊วมันแก่แล้ว เห็นจะทำต่อไปไม่ไหว ลูก ๆ ก็ไม่มีใครจะเอาต่อด้วยสักคน ตอนแรกก็นึกว่าไอ้คนที่มันซื้อตึกเราไปจะทำภัตตาคารต่อ ไหนได้มันดันจะทุบตึกเอาที่ไปสร้างห้างฯ" (Department Store)

เถ้าแก่เจ้าของภัตตาคารพูดอย่างเห็นใจคนตกงานอย่างผม

"ลื้อเป็นคนมีฝีมือ ขยันขันแข็ง คงมีคนอื่นอีกมากที่อยากจะได้ลื้อไปช่วยงาน" แล้วเขาก็ให้ผมได้เพียงคำพูดปลอบใจ

ช่วงนั้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ธุรกิจต่าง ๆ ต่างพากันปิดตัวลงมากมาย เป็นเรื่องยากที่จะมีภัตตาคารแห่งใดจะรับพ่อครัวอย่างผมเข้าทำงานได้อีก

ผมย่ำออกเดินหางานไปจนถึงบริเวณที่อยู่เก่าแถบย่านบางลำภู ท่ามกลางตลาดอันเงียบเหงาเพราะพิษเศรษฐกิจ เถ้าแก่เส็งกับเจ๊เคงคงจะแก่ชราลงไปมาก กิจการขายข้าวสารของแกจึงได้เลิกราไปแล้ว รายได้ของแกก็คงจะมีแต่เพียงเงินค่าเช่าหน้าร้านให้คนขายอาหาร และเงินค่าเช่าห้องแบ่งให้เช่าชั้นบน

ส่วนเจี๊ยบยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป หมอไม่ให้ความหวังใด ๆ เกี่ยวกับอาการป่วยของเธอ ภาวะการเลี้ยงดูที่เหมือนไข่ในหินมาตั้งแต่เกิด ทำให้จิตใจของเธอเปราะบางเกินกว่าจะยอมรับความจริงอันโหดร้าย จิตใต้สำนึกของเธอจึงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างรุนแรง

ภาพที่ผมเห็น เมื่อเดินไปถึงบริเวณหน้าบ้านเถ้าแก่เส็ง นั่นก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยวัย 4 ขวบเศษ นั่งซึมอยู่ที่ขอบประตูไม้หน้าบ้าน วันนั้นแกสวมเสื้อสีขาวหม่นตัวหลวมโครกไม่สวมกางเกง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ตามแขนขาเต็มไปด้วยตุ่มแผลที่ถูกยุงกัด มีหนองเยิ้มไปทั่ว บัดนี้ ลูกสาวนอกไส้ของผมมีสภาพน่าเวทนาไม่ต่างไปจากเด็กขอทาน ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า สองสามีภรรยาชราคู่นี้จะมีจิตใจโหดร้ายทอดทิ้งหลานของตัวเองให้มีชีวิตไม่ต่างไปจากหมาข้างถนนตัวหนึ่ง

ผมเดินเข้าไปใกล้ ค่อย ๆ ก้มลงแล้วโอบกอดแกไว้อย่างแผ่วเบา แกซบหน้าลงบนบ่าของผมทันที ผมมิอาจจะรู้ได้ว่า ช่วงเวลาสองปีเศษที่ห่างหายกันไป แกยังจำผมได้หรือไม่ แต่อ้อมแขนของผมในตอนนี้คงจะเป็นสัมผัสที่เป็นมิตรและอบอุ่นกว่าสิ่งที่แกได้รับอยู่ในทุกวันนี้

ผมตัดสินใจอุ้มแกกลับบ้านทันที โดยไม่มีความจำเป็นต้องบอกกล่าวแก่ผู้ใด พวกนั้นคงจะไม่สนใจการอยู่หรือไปของเศษชีวิตอย่างลูกนอกไส้ของผมคนนี้

นวลตกใจมาก เมื่อเห็นผมอุ้มเด็กน้อยผิวคล้ำ รูปร่างแคระแกรน ไม่สวมกางเกง เนื้อตัวสกปรกมอมแมมกลับมาด้วย ขณะนั้นเธอเพิ่งจะคลอดลูกสาวอีกคนให้ผม ผมค่อย ๆ วางยัยจุ๊บไว้ตรงหน้าเธอ สภาพอันน่าเวทนาของยัยจุ๊บทำให้เธอตกใจมิใช่น้อย

"เอาเด็กที่ไหนมาจ๊ะพี่ ลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมสกปรก เป็นแผลเต็มตัวแบบนี้"

เธอพูดไปพลางรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำ บิดแล้วเช็ดตัวทำความสะอาดให้หนูน้อย หยิบยาล้างแผลและยาแดงมาแต้มแผลตามผิวหนัง แล้วเธอก็ต้องหันกลับมามองผมอย่างประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อผมนั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่ปริปากใด ๆ

"พี่..." เธอย้ำเรียกผมอีกครั้ง ผมอึดอัดลำบากใจเหลือเกิน หากจะต้องสาธยายเรื่องราวในอดีตของตัวเอง

"เอ่อ... ลูกพี่เองแหละนวล แม่ของเขาเป็นบ้า ตอนนี้รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลโรคจิต เด็กน่าเวทนามาก นวลเลี้ยงเอาไว้อีกสักคนเอาบุญล่ะกันนะจ๊ะ"

ผมพูดออกไปแบบขวานผ่าซาก อย่างมิได้เตรียมคำตอบที่ดีให้กับเธอไว้ล่วงหน้า นวลนิ่งเงียบไปนานเหมือนจะช็อคกับสิ่งที่ได้รับรู้ เธออาจจะช็อคหนักกว่านี้ ถ้าผมขยายความต่อว่า แท้จริงแล้ว แกไม่ใช่ลูกของผม

"อะไรนะ ! นี่พี่เคยมีลูกมีเมียมาก่อนแล้วเหรอ" เธอพูดโพล่งออกมา หลังจากที่นิ่งอึ้งไปนาน

"จ้ะ" ผมตอบสั้น ๆ ได้เพียงเท่านั้น แล้วหันกลับไปก้มหน้านิ่ง

"แล้วทำไมพี่ไม่เคยบอกอะไรฉันเลย ยังมีอะไรอีกไหม ยังมีอะไรที่พี่ยังไม่บอกฉันอีกหรือเปล่า"

เธอโวยวายเสียงดังออกมาอย่างสับสน ขณะที่ผมเองก็ไม่กล้าพอที่จะพูดถึงเรื่องราวเลวร้ายของตัวเองทั้งหมดให้เธอรับรู้

"มีน้องสาวอีกคน พี่ยกให้พี่ติ๋มเป็นลูกบุญธรรม" ผมบอกเธอเพียงเท่านั้น แล้วหลบไปนั่งกุมขมับอยู่คนเดียว

นวลนั่งนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะลุกไปหยิบชามข้าวต้มกับปลานึ่งมาป้อนใส่ปากยัยจุ๊บ จากนั้นก็เดินหายไปนอกบ้านสักครู่ กลับมาพร้อมด้วยเสื้อผ้าเด็กเล็กในมือสองสามชุด เธอจับยัยจุ๊บถอดเสื้อผ้าขี้ริ้วนั้นออกเช็ดตัวให้แล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่

ผมเชื่อว่าผมมองเธอไม่ผิด หัวใจของนวลยังมีน้ำใจอีกมากมายที่จะเผื่อแผ่มายังเพื่อนมนุษย์ แม้กระทั่งเศษชีวิตที่ไม่มีใครต้องการอย่างยัยจุ๊บ ยัยจุ๊บมาอยู่กับผมและนวลต้องใช้เวลาเยียวยาอยู่หลายเดือน จากโรคขาดอาหารทำให้แกอาเจียนและท้องเสียอยู่ตลอดเวลา แต่นวลก็เฝ้าดูแลใกล้ชิดหาหยูกยามารักษาจนแกหายเป็นปกติ และเริ่มจะเล่นร่าเริงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ

รายได้ที่ขาดหายไปกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เงินเก็บของเราสองคนก็หมดไป ค่านม ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าหยูกค่ายาของลูก รายจ่ายที่ประดังเข้ามาทำเอาเราสองคนแทบจะอับจนหนทาง

แล้ววันหนึ่งนวลก็เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีจนผมประหลาดใจ เธอนั่งลงข้างผม ซึ่งกำลังป้อนนมลูกสาววัยทารกอยู่

"พี่วันนี้ฉันเดินผ่านหน้าร้านยายปริกขายข้าวแกง แกบอกฉันว่าแกจะเลิกขายแล้ว แก่แล้วอยากจะไปอยู่กับลูกที่บ้านต่างจังหวัด แกถามว่าเราสนใจจะขายต่อแกไหม จะเซ้งแผงให้พร้อมของใช้ทั้งหมด คิดแค่ห้าพัน"

ผมฟังแล้วสะดุ้งเฮือก แม้ว่าเงินจำนวนห้าพันบาทจะไม่แพงสำหรับค่าเครื่องมือเครื่องใช้และค่าโอกาส แต่เงินสดในมือของผมและนวลตอนนี้รวมกันแล้วคงจะไม่ถึงห้าร้อยบาทเป็นแน่

"แล้วเราจะเอาเงินห้าพันที่ไหนไปให้เขาล่ะนวล ตอนนี้เราไม่มีเงินในมือเลยนะ" ผมส่ายหน้าพูดอย่างท้อแท้เหมือนคนสิ้นหวัง

"ก็ทองไงพี่ ตอนแต่งงานพี่เอาทองมาหมั้นฉันสองบาท พ่อกับแม่ให้ฉันมาอีกสองบาท รวมกันไปขายแล้วก็คงพอเป็นค่าเซ้งแผง เงินที่เหลืออีกนิดหน่อยเราก็เก็บไปทำทุน"

ผมนั่งฟังเธอพูดอย่างพินิจพิจารณา นวลเป็นคนสุขุมมีสติแก้ไขสถานการณ์ได้ดีกว่าผม แต่มันก็น่าใจหายเมื่อสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อแม่ของเธอให้มาจะต้องมามลายหายไป

"แต่..จะดีเหรอนวล ทองนั่นพ่อกับแม่ให้นวลมา ถ้าทำแล้วไม่ดีอย่างที่เราคิด มันก็สูญเปล่า"

เธอยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วเอื้อมแขนเข้ามาโอบกอดผม

"ของนอกกาย ไม่ตายเราก็หาใหม่ได้นะจ๊ะพี่ แล้วเราก็ต้องมีความเชื่อมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่า หากเราประหยัดขยันทำมาหากินพึ่งพาลำแข้งของตัวเองแบบนี้แล้วเราจะอดตาย"

คำพูดของนวล เป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่จุดประกายคนสิ้นหวังอย่างผมให้กลับฟื้นมีพลังชีวิต เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ท้อถอยอีกครั้ง

ผมเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ นำทองไปขาย นำเงินสดไปเซ้งแผงขายข้าวแกงที่ตึกใหญ่ สถานที่ให้เช่าขายอาหารในย่านตลาด จ้างคนมาเป็นลูกมือทำกับข้าว ช่วงแรก ๆ นวลยังคงต้องอยู่บ้านเลี้ยงดูลูกสาววัยทารก แต่เธอก็ไม่หยุดนิ่งที่จะหารายได้พิเศษโดยการรับทำงานฝีมือที่บ้าน

กิจการขายข้าวแกงของผมดูจะดำเนินไปได้ด้วยดี สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากพี่ติ๋มและเถ้าแก่ภัตตาคารดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพได้ไปจนตลอดชีวิต แต่ต่อมาไม่นานดูเหมือนผมจะติดปัญหาเกี่ยวกับผู้ช่วยทำกับข้าว ที่ไม่สามารถหาคนที่มีฝีมือทำอาหารพอที่จะช่วยกันทำได้

นวลนำยัยจุ๊บเข้าโรงเรียนอนุบาล และนำยัยนกลูกสาวคนแรกของเธอไปฝากเลี้ยง แล้วมาช่วยงานผมอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังเริ่มตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง

แล้ววันหนึ่งเรื่องที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออ้อยบุกเข้ามาถึงในครัวที่ร้านอาหาร

“ไอ้เติม ! ไอ้เติม ! พอมึงได้เมียใหม่ ก็ลืมบ้านเก่า ไม่คิดจะส่งเสียลูกเมียเก่าของมึงได้แดกห่าเลย เหรอวะ” เสียงอันเกรี้ยวกราดอันคุ้นหูนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งตึก

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้ผมตกใจยืนตะลึงงันอยู่กับที่ ขณะที่นวลก็ได้แต่นิ่งอึ้งอยู่ข้างเตาอย่างไม่เข้าใจ

ความจริง.... อ้อยน่าจะทำใจเรื่องนี้ได้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ผมแต่งงานกับเจี๊ยบ เพราะบ้านของเถ้าแก่เส็งก็อยู่ไม่ห่างไกลจากบ้านแม่อิ่มนัก อ้อยเองก็รับรู้เรื่องการแต่งงานใหม่ของผม และไม่เคยที่จะมาอาละวาดในลักษณะนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอเกรงกลัวบารมีของเถ้าแก่เส็งกันแน่

“มาทำไมอ้อย ! กลับไปเดี๋ยวนี้ !” ผมได้สติตะโกนใส่หน้าเธอเสียงดัง พร้อมกับชี้นิ้วออกไปข้างนอก

“อ๋อ ! เดี๋ยวนี้มึงไล่กูเหรอไอ้เติม กูมันเก่าแล้วนี่ มึงมีอีนังคนใหม่มากกแล้วนี่ ไหน..ขอกูดูหน้าอีนังคนใหม่หน่อยสิ มันหน้าด้านเป็นดอกทองแค่ไหนกันวะ ถึงได้มาเที่ยวแย่งผัวชาวบ้าน”

เธอด่ากราดออกมาอย่างหยาบคาย แล้วเดินตรงไปที่นวล ซึ่งขณะนั้นเธอตั้งครรภ์ที่สองใกล้คลอด

“นี่เหรอ ! น้ำหน้าอีนังคนใหม่ หนอย...หาผู้ชายมาทำผัวไม่ได้แล้วเหรอ ถึงต้องมาแย่งผัวกู มึงรู้รึเปล่า เพราะมึงมันถึงกับทิ้งลูกสี่คนไว้ให้กูเลี้ยง ค่าข้าว ค่านม ค่าหยูกยา สารพัด มันไม่เคยส่งมาให้กูสะกะแดง”

เธอชี้หน้านวลแล้วตะโกนใส่เธอเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารภายในร้าน และบรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายอาหารภายในตึกต่างพากันมายืนมุงดูแน่นขนัด

“มึงรู้รึเปล่า ตอนมันอยากได้กูทำเมีย มันก็ทำดีกับกูทุกอย่าง ขอให้กูยอมเอาหีให้มันเย็ดเป็นพอ แต่พอมันเบื่อแล้ว มันทิ้งขว้างกูกับลูกยังกับหมูกับหมา”

“อ้อย ! หยุด ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ออกไป !”

ผมตะคอกใส่เธอเสียงดัง เพื่อหยุดยั้งวาจาอันหยาบโลนนั้น แล้วคว้าตัวเธอเหวี่ยงกระเด็นออกไปหน้าประตูด้วยอารมณ์โกรธจัด อ้อยเซถลาล้มลงกับพื้น ผู้คนที่มายืนมุงดูต่างรีบช่วยกันประคองเธอลุกขึ้น

”อ๋อ ! เดี๋ยวนี้มึงกล้าทำกับกูแบบนี้เหรอ ไอ้เติม มึงรักมันมากนักใช่ไหม อีนังคนใหม่นี่ ขอกูตบล้างน้ำให้หน้ามันแหกซะที ดูซิว่ามึงยังจะรักมันลงอีกหรือเปล่า”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง เธอก็พุ่งตรงเข้ามาฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าของนวลอย่างจัง นวลเซล้มลงซบกับพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนอ้อยแล้วชกไปที่ใบหน้าอย่างแรง จนเลือดกลบเต็มปากเธอ

เรื่องนี้จบลงด้วยการที่เจ้าของตึกแจ้งความให้ตำรวจมาระงับเหตุการณ์ อ้อยร้องไห้คร่ำครวญกับตำรวจว่า เจ็บแค้นที่ถูกผมทอดทิ้งให้เลี้ยงลูกตามลำพัง ขณะที่ผมไม่มีแรงกายแรงใจพอที่จะโต้เถียงใด ๆ กับเธออีก เราสองคนถูกปรับเล็กน้อยในข้อหาทะเลาะวิวาท แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

ผมกลับไปถึงบ้าน พบว่านวลกำลังเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของเธอกับลูก แก้มซ้ายของเธอยังคงบวมเป่งไปด้วยแรงกระแทกจากฝ่ามือของอ้อย มีเลือดออกซิบบริเวณริมฝีปาก

“นวล... นี่นวลจะเก็บของไปไหน” ผมเดินตรงเข้าไปถามอย่างสับสน

มันช่างเป็นช่วงเวลาที่นึกหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ไม่ออก ผมค่อย ๆ โอบบ่าเพื่อจะกอดเธอ แต่เธอปัดแขนผมออกทันที น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างสุดกลั้น

“นวล....เรื่องวันนี้พี่เสียใจนะ พี่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้” ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันตั้งสติ

“ไหนพี่บอกเมียเก่าพี่เป็นบ้า อยู่โรงพยาบาลบ้าไง แล้วนี่ใครอีกล่ะ จะมีโผล่มาอีกกี่คน” เธอพูดทั้งน้ำตา ในมือยังไม่หยุดหยิบเสื้อผ้าใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง

“เอ่อ... คือ.. อ้อยเขาเป็นเมียคนแรกของพี่” ผมตอบออกไปซื่อ ๆ อย่างอึกอัก ไม่มีสติสัมปชัญญะเพียงพอที่จะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ให้เธอเข้าใจ

“เมียคนแรกเหรอ !” เธอตะคอกใส่หน้าผมเสียงดังเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่อยู่กินด้วยกันมากว่า 3 ปี

“แล้วคนที่อยู่ในโรงพยาบาลบ้านั่นเป็นคนที่เท่าไหร่ แล้วตกลงว่าฉันเป็นคนที่เท่าไหร่ !”

เธอไม่ฟังผมอธิบายใด ๆ อีก ยังคงเก็บเสื้อผ้าและข้าวของต่อไป ขณะที่ผมเองก็สับสน อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองให้เธอฟังไม่ถูกเช่นกัน

ผมคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ เมื่อเห็นว่านวลหิ้วกระเป๋าไปวางไว้ที่หน้าประตู

“นวล...อย่าทิ้งพี่ไป พี่รักนวลมากนะ”

เธอไม่ฟังเสียงและไม่สนใจผมอีก เดินตรงไปที่เปลคว้าตัวยัยนกวัยสิบเดือนขึ้นอุ้ม แล้วทำท่าจะเดินออกไปจากบ้าน

“นวล... เราลำบากด้วยกันมามากแล้วนะ นวลจะทิ้งพี่ไป เพียงเพราะเรื่องในอดีตของพี่เหรอนวล !”

คำพูดประโยคนั้น ทำให้เธอยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดรัดเธอกับลูกไว้จนแน่น เหมือนกลัวว่าเธอจะอันตรธานหายไปตรงหน้าผม

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นวลยังคงอยู่กับผมอย่างปกติสุข ผมมิได้เล่ารายละเอียดใด ๆ ให้เธอฟัง นอกจากจะบอกว่า ผมกับอ้อยได้แยกทางกันอย่างเด็ดขาดมานานแล้ว และอ้อยเองก็พูดอยู่เต็มปากว่า ผมทอดทิ้งไม่สนใจส่งเสียเลี้ยงดูเธอกับลูกเลย

ผมได้ลูกสาวอีกคนจากครรภ์ที่สองของนวล หลังจากคลอดยัยนุ้ยแล้ว เธอก็พยายามศึกษาเรื่องการคุมกำเนิด เพื่อป้องกันการมีลูกอีก แต่คนที่มีการศึกษาน้อยอย่างพวกเรา จึงมักจะเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการคุมกำเนิดผิด ทำให้เธอตั้งครรภ์อีกเป็นครรภ์ที่สาม จนมีเพื่อนบ้านหลายคนแนะนำให้เธอทำหมันหลังการคลอดบุตร แต่นวลก็ยังลังเลใจจากความเชื่อที่ผิด ๆ

“เขาลือกันว่า ผู้หญิงทำหมันแล้วจะมีความต้องการทางเพศสูง เที่ยวนอนกับผู้ชายไม่เลือก ฉันไม่เอาหรอกพี่ ถ้าต้องเป็นแบบนั้น ฉันยอมตายเสียดีกว่า”

ผมเองก็ไม่รู้ว่า ความเชื่อนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่สำหรับผมแล้วนึกภาพยังไงก็นึกไม่ออกว่านวลประพฤติตัวแบบนั้นได้

เย็นวันหนึ่งหลังจากวันที่อ้อยมาอาละวาดได้ไม่นานนัก มีเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณ 15 ปี สวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมต้น รูปร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำ ลักษณะคล้ายกับคนไทยในภาคอีสานเดินเข้ามาในร้าน

“นั่งก่อนสิหนู ทานอะไรดีครับ”

ผมกล่าวทักทาย และเชื้อเชิญให้เธอนั่ง แต่เธอกลับจ้องมองผมไม่วางตา

“ พ่อ !” คำนั้นทำให้ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ

“พ่อ... ต้อยไง ต้อยลูกสาวของพ่อ พ่อจำได้ไหม”

ประโยคนั้นทำให้ผมถึงกับผงะ เธอก็ตรงเข้ามาโผกอดผมไว้จนแน่น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

“พ่อ... ช่วยต้อยด้วย ต้อยอยากเรียนต่อ แต่แม่ไม่ยอม”

ถึงแม้ว่า ผมจะไม่เคยไปเยี่ยมเยียนเธอมานานนับสิบปี แต่เธอก็บอกกับผมว่า เธอจำได้อย่างแม่นยำว่าเคยมีพ่อที่รักเธอมาก

“ตอนนี้ แม่เครียดมากเลยนะพ่อ ไอ้หรั่ง (เธอคงหมายถึงลูกนอกไส้หัวแดงของผม) มันติดยา หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ตั้งหลายเดือนแล้ว แม่ต้องวิ่งตามมันวุ่นให้ไปหมด ส่วนนังอ้อ (เธอคงหมายถึงลูกสาวคนเล็กของอ้อย) มันก็ป่วยเป็นไข้เลือดออก อยู่โรงพยาบาลโน้น ช่วงนี้ข่าวฉีดยาฆ่าแมลงออกมาเยอะ ผักของแม่ก็ขายไม่ออก เงินจะกินจะใช้ก็แทบจะไม่มี นี่ต้อยเรียนจบชั้น ม.3 พอดี จะขอแม่เรียนต่อ ปวช. แม่ก็เลยไม่ให้”

เธอร้องไห้ไปพลางเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผมฟังโดยละเอียด ทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุความเครียดที่ทำให้อ้อยมาอาละวาดในวันนั้น

ถึงแม้ว่า โดยสายเลือดแล้วผมอาจจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของต้อย แต่ความผูกพันฉันท์พ่อลูกที่ผมกับเธอมีให้กันมาตั้งแต่เธอเกิด ทำให้ผมไม่อาจจะปฏิเสธความเป็นพ่อเป็นลูกกับเธอได้

“แล้วเงินที่ต้องใช้เรียนต่อมันเท่าไหร่เหรอลูก” ผมถามถึงจุดประสงค์ที่เธอต้องมาหาผมในวันนี้

“พันหนึ่งจ้ะพ่อ” เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ผมเดินเข้าไปที่ลิ้นชัก หยิบเงินที่ขายได้ในวันนั้นหนึ่งพันบาทนำมาส่งให้เธอ

“ลูกเอาไปจ่ายค่าเล่าเรียนนะ พ่อเองก็ลำบากอยู่ เพิ่งจะค่อยยังชั่วตอนที่มาขายของที่นี่แหละ พ่อคงช่วยลูกได้เพียงเท่านี้”

เธอยกมือขึ้นไหว้ และกระโจนเข้ามากอดผมไว้ด้วยความดีใจ

“พ่อจ๋า พ่อมาเยี่ยมต้อยที่บ้านบ้างนะจ๊ะ ที่ผ่านมาต้อยกับพี่ต่อคิดถึงพ่อมากเลย”

ประโยคนั้นเหมือนกรงเล็บที่สะกิดลงบนบาดแผลใจของผมให้เจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง

นวลยกหม้อข้าวสวยหม้อใหญ่เดินออกมาจากในครัว ผมบอกให้ต้อยยกมือไหว้เธอ นวลมองหน้าต้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปมองยัยจุ๊บที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนและกำลังช่วยเช็ดจานอยู่หน้าร้าน

“เอ่อ...แปลกนะ พี่ก็เป็นคนจีน ตัวขาว ๆ ทำไมมีลูกออกมาแต่ละคนตัวดำปิ๊ดปี๋ หน้าตาเป็นลูกอีสานทั้งนั้นเลย” เธอพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินกลับไปที่ครัว

ที่ผ่านมา ผมไม่เคยปริกปากพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของบรรดาลูกนอกไส้ทั้งหลายของผม ให้เธอได้รับรู้เลย จวบจนถึงทุกวันนี้ วันที่ผมกำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว ผมก็ยังไม่แน่ใจว่านวลจะล่วงรู้เรื่องราวชีวิตอดีตอันบัดซบของผมหรือเปล่า

.........................................
4.............
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป กิจการค้าขายข้าวแกงของผมดำเนินไปได้ด้วยดี นวลมีลูกสาวให้ผมทั้งหมด สามคน และลูกชายปิดท้ายเป็นคนสุดท้อง เธอจึงยินยอมทำหมันเพราะเข็ดขยาดต่อวิธีการคุมกำเนิดที่ไม่ได้ผล ช่วงนั้นยัยจุ๊บเรียนจบชั้นประถมหกก็ต้องเรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่ภาคค่ำ เพื่อเอาเวลาตอนกลางวันมาช่วยงานผมได้อย่างเต็มที่ ส่วนนวลนั้นจำเป็นต้องอยู่บ้านดูแลลูก ๆ ที่ยังเล็ก แต่เธอก็ยังไม่หยุดนิ่งที่จะทำขนมไปฝากขายตามร้านค้าหารายได้เพิ่มเติม บางวันผมขายดีมากนวลก็จะหอบเอาลูก ๆ มาช่วยงานผมที่ร้าน

แล้ววันหนึ่งก็มีชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี ลักษณะคล้ายคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋วเดินเข้ามาภายในร้าน

"สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ ทานอะไรดีครับ"

ผมกล่าวทักทายเชื้อเชิญให้นั่ง แล้วรีบหยิบเอาผ้าขี้ริ้วไปเช็ดโต๊ะ แต่เขากลับหยุดยืนมองผมอยู่นานจนน่าแปลก มีหญิงสาวอีกคนเดินตามเขาเข้ามาในมือของเธออุ้มเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณขวบเศษเอาไว้ ชายหนุ่มคนนั้นมองผมอยู่ครู่ใหญ่ แววตาที่เปล่งประกายแวววาวคู่นั้นเหมือนมีอะไรหลาย ๆ อย่างซ่อนอยู่ แล้วเขาก็ยกมือขึ้นไหว้ผมอย่างนอบน้อม

"พ่อ... ผมต่อเองครับ ต่อลูกชายคนโตของพ่อไงครับ"

คำพูดแนะนำตัวของเขา ทำให้เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันคือความจริงหรือความฝันกันแน่

"พ่อครับ ตอนนี้ป้าติ๋มกำลังป่วยหนัก บอกให้ผมมาตามพ่อไปพบ"

เขาพูดถึงจุดประสงค์ของเขาที่มาหาผมในวันนี้ ทำให้ผมได้สติเพ่งมองพินิจพิจารณาเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนโกหก ผมกับอ้อยแยกทางกันมานานถึง 22 ปีแล้ว บัดนี้ ตาต่อลูกคนเดียวของผมกับเธออายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ รูปร่างหน้าตาเขาตอนนี้เหมือนผมสมัยยังหนุ่มไม่มีผิด ตัวสูงโปร่ง ผิวขาว รูปหน้ายาวคมเข้ม

บรรยากาศของการได้พบหน้าลูกชายในสายเลือด ผู้ที่เติบโตขึ้นมาโดยปราศจากการดูแลอบรมของคนที่เขาเรียกว่าพ่ออย่างผม มันทั้งน่าละอายและปลาบปลื้มใจเพียงใด วันนี้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่งดงามเพียบพร้อม สมดังความปรารถนาของคนที่เป็นพ่อแม่ เห็นภาพของเขาแล้วอดที่จะรู้สึกชื่นชมอ้อยมิได้ ที่สามารถเลี้ยงดูลูกโดยลำพังให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้

นวลวางเจ้านิคลูกชายคนเล็กวัยสองขวบครึ่งลงกับพื้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ คงเพราะสังเกตเห็นผมนิ่งงันอยู่นานแล้ว

"สวัสดีครับ แม่นวล" เขายกมือไหว้ทักทายนวลอย่างสุภาพอ่อนน้อม

"เอ่อ..พ่อครับ นี่แพรวเมียผม แล้วนี่เจ้าแพนลูกชายผมครับ"

แล้วเขาก็แนะนำหญิงสาวกับเจ้าหนูที่มาด้วยกัน ขณะที่เธอวางลูกลงข้าง ๆ แล้วยกมือขึ้นไหว้ เด็กชายตัวน้อยคนนั้นเดินเตาะแตะเข้าไปหาเจ้านิค ส่งเสียงเจื้อแจ้วโต้ตอบกันตามภาษาของวัยไร้เดียง

มันน่าตลกไหม คุณว่า ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมดของผม ผมมีลูกชายในสายเลือดอยู่เพียงสองคน ก็คือ ตาต่อลูกชายหัวปลีคนนี้กับอ้อย แล้วปิดท้ายด้วยเจ้านิคลูกชายคนเล็กกับนวล แล้วที่ตลกไปกว่านั้นก็เห็นจะเป็นที่หลานชายคนแรกของผมอยู่ในวัยเดียวกับลูกชายคนเล็ก

ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา แล้วเอื้อมแขนเข้าไปโอบกอดเขาไว้อย่างแผ่วเบา

"พ่อดีใจนะ ที่พบลูกในวันนี้" ความปลาบปลื้มใจในเวลานั้น ทำให้ผมคิดและพูดออกไปได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ

"ผมก็ดีใจ ที่ได้พบพ่อครับ" ผมแน่ใจว่าได้ยินเสียงนั้นปนสะอื้นนั้นดังก้องออกมาจากหัวใจของเขา

ปกติแล้วหากไม่มีเหตุสำคัญ พี่ติ๋มคงจะไม่ให้คนมาตามผมไปพบเช่นนี้ เธอป่วยหนักเป็นมะเร็งปากมดลูกมาหลายปีแล้ว ผมเคยไปเยี่ยมเยียนเธอมาบ้าง แต่ช่วงหลัง ๆ มาตั้งแต่นวลคลอดตานิคไม่มีเวลามาช่วยงานผม ผมก็มัวแต่ยุ่งกับการทำมาหากิน จนละเลยไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเธอมานาน

วันนั้นผมกับนวลจึงตามตาต่อไปพบเธอที่โรงพยาบาลทันที ซึ่งเวลานั้นอาการของพี่ติ๋มอยู่ในช่วงระยะสุดท้ายเสียแล้ว พี่ติสามีของเธอก็ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จนขาทั้งสองข้างไม่สามารถเดินได้มาหลายปีแล้ว เขากำลังนั่งอยู่บนรถเข็นหน้าห้องไอซียู ส่วนใบเตยหลานสาวที่อ่อนกว่าผมเพียงเก้าปี ลูกสาวคนเดียวของพวกเขากำลังนั่งร้องไห้ระงมอยู่หน้าห้อง

เด็กสาวผิวขาวรูปร่างสันทัดเดินซึมเศร้าเข้ามาหาผม เธอคือจิ๊บลูกสาวอีกคนของผมที่เกิดจากเจี๊ยบ บัดนี้ เธอเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง รูปร่างหน้าตาลักษณะคล้ายกับเจี๊ยบมาก ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเยียนพี่สาว ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พบกับเธอนัก เธอกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐฯ แห่งหนึ่ง และพักอาศัยอยู่ที่หอพักของทางมหาวิทยาลัย เธอคงจะล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง แต่สายใยแห่งความผูกพันระหว่างผมกับเธอได้ขาดสะบั้นลงไปนานแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผมส่งมอบเธอให้กับพี่ติ๋ม เธอก้มหน้าลงไหว้ผม ขณะที่ผมโอบกอดศีรษะของเธอไว้อย่างแผ่วเบา

นวลนั่งลงข้างกายใบเตยแล้วโอบกอดปลอบประโลมเธอ ส่วนผมรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องคนป่วย

สภาพอันน่าเวทนาของพี่สาวคนเดียวของผมในเวลานี้ไม่ต่างอะไรไปจากซากศพที่ยังหายใจด้วยเครื่องช่วยชีวิต สายน้ำเกลือระโยงระยางที่ปักไว้ตามร่างกายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้ร่างนั้นยังคงรอผมอยู่

ผมค่อย ๆ เอื้อมมือเข้าไปเกาะกุมฝ่ามือของเธอ สัมผัสอันอบอุ่นระหว่างสายสัมพันธ์ของเราสองพี่น้องที่ถ่ายทอดถึงกัน ทำให้ริมฝีปากอันแห้งเหือดซีดเซียวนั้นค่อย ๆ เปล่งรอยยิ้มออกมาบาง ๆ ออกมา ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของเธอจะสิ้นสุดลง

ช่วงชีวิตของคนเรานั้นแสนจะสั้น ทุกคนเกิดมาต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาแสงสว่างให้กับชีวิต จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า หนทางแห่งแสงสว่างที่จะสาดส่องมาถึงเราได้นั้น คือเราต้องจุดไฟขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง

พี่ติ๋มญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของผมลาจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ส่วนผมยังคงต้องอยู่เผชิญหน้ากับโชคชะตาชีวิตที่เหลือต่อไป

วันงานศพพี่ติ๋ม ผมกับนวลพาลูก ๆ ทุกคนรวมทั้งยัยจุ๊บไปช่วยงานศพกันอย่างเต็มที่ วันนั้นผมจำได้ว่าเป็นวันแรกที่ผมได้เผชิญหน้ากับบรรดาลูกในไส้และลูกนอกไส้ทุกคนอย่างพร้อมเพรียง ช่างมากมายเหลือคณาจนผมไม่อยากจะไปนับ

ภาพที่ผมเห็นในวันนั้น ตาต่อลูกโดยสายเลือดคนเดียวของผมที่เกิดจากอ้อย วางตัวเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองอันเป็นที่เคารพยำเกรงของน้อง ๆ เขาบอกทุกคนให้เข้ามาไหว้ผม

ยัยต้อยเดินเข้ามาหาผมเป็นคนแรก ยกมือขึ้นไหว้แล้วเข้ามากอดผมไว้อย่างสนิทสนม ผมลูบไล้ศีรษะของเธออย่างเอ็นดู ความทรงจำอันงดงามในวัยเยาว์ของเธอเกี่ยวกับตัวผม ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเราพ่อลูกยังคงแนบสนิทดั่งสายเลือดเดียวกัน ขณะที่น้องอีกสองคนของเธอมิได้รู้สึกเช่นนั้น

"เป็นไงบ้างลูก" ผมทักทายเธอ แล้วเหลือบมองไปเห็นเจ้าลูกชายหัวแดงกับลูกสาวนอกไส้อีกคนที่ยกมือขึ้นไหว้ผมอย่างเสียไม่ได้

ต้อยยิ้มแย้มแล้วพูดกับผมอย่างอารมณ์ดี เธอเรียนจบระดับ ปวส. มาหลายปีแล้ว และได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานกำลังก้าวหน้าไปด้วยดี

"ก็ยุ่งกับงานแหละพ่อ เขาใช้ต้อยจนคุ้ม ช่วงนี้ก็เลยไม่ว่างไปเยี่ยมพ่อเลย"

นับตั้งแต่เธอมาหาผมครั้งแรกที่ร้านอาหารในวันนั้นแล้ว เธอก็มักจะวนเวียนไปเยี่ยมเยียนผมอยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็จะมาขอเงินผมไปใช้สำหรับการเรียนบ้าง

"แล้วแม่เราล่ะไม่มาหรือ" ผมถามถึงอ้อยทั้ง ๆ ที่ใจจริงก็ไม่ต้องการพบหน้าเธอ

"โอ้ย.. แม่เขาไม่มาหรอก เอ่อนี่ แม่ฝากมาบอกพ่อด้วยนะว่า อย่าว่าแต่ป้าติ๋มตายเลย ถึงพ่อตายเอง แม่ก็ไม่มาเผาผี" เจ้าลูกสาวนอกไส้คนเล็กพูดเสียงแจ๋นออกมาเป็นชุด ๆ

"อ้อ !" ตาต่อเอ็ดใส่แกทันที

ลูกสาวนอกไส้คนนี้เติบโตขึ้นมาแล้ว มีรูปร่างหน้าตารวมทั้งบุคลิกลักษณะคล้ายกับอ้อยมาก ผิวขาวผ่อง ตัวสูงโปร่ง เส้นผมสีดำขลับยักศกเล็กน้อย เธออยู่ในชุดเสื้อรัดรูปสีดำและกางเกงขาสั้นกุด ผมเพ่งมองไปที่โคนขาอันนวลเนียนของเธออย่างขัดหูขัดตา

"มางานศพ ทำไมใส่สั้นนักล่ะลูก" ผมอดที่จะพูดจาตำหนิเธอมิได้ เธอสวนผมกลับมาในทันที

"โอ้ย...พ่อสมัยนี้แล้ว จะให้ฉันใส่แบบแม่นวลก็เชยแย่สิพ่อ" เธอพูดจบก็จีบปากจีบคอทำลอยหน้าลอยตาไปมา

ผมหันกลับไปมองเจ้าลูกชายหัวแดง คนที่เปรียบเสมือนเป็นเส้นยาแดงที่ทำให้ผมตัดสินใจแยกทางเด็ดขาดจากอ้อย บัดนี้เขาเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสูงใหญ่ หน้าตาคมคาย หล่อเหลาตามแบบค่านิยมดาราลูกครึ่งสมัยใหม่ ติดอยู่ตรงที่ว่า เส้นผมสีทองปนน้ำตาลนั้นที่ยาวสยายปะบ่า

"เป็นผู้ชาย ทำไมไว้ลมยาวล่ะลูก"

ผมทักเขาไปตรง ๆ แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างยกขึ้นเสยผมสีทองที่ยาวสลวยนั้นอย่างภาคภูมิ

"ก็คนมันชอบล้อนักนี่พ่อ ไอ้หัวแดง ลูกแหกคอก ฝรั่งหลงก๊ก ไอ้ลูกชู้ ฉันก็เลยไว้ผมยาวให้พวกมันมองชัด ๆ ซะเลย”

ผมฟังแล้วสะดุ้งเฮือก ชาติกำเนิดที่ผิดแผกแปลกไปของเขา ซึ่งแสดงออกมาทางร่างกายภายนอกอย่างชัดเจนเช่นนี้ คงจะสร้างบาดแผลลึกในใจมาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ คิดแล้วน่าเวทนาสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ก่อ และโยนบาปกรรมให้เด็กอย่างเขาต้องมารับเคราะห์

"ไปตัดเสียเถิดลูก จะได้ดูเรียบร้อยเป็นสุภาพชน" ผมพูดตักเตือนไปตามทีคิด ด้วยความรู้สึกเห็นใจในเคราะห์กรรมที่เขาต้องทนแบกรับ แต่เขากลับชำเลืองมองผมด้วยหางตาก่อนที่จะพูดสวนกลับมาอย่างประชดประชัน

"เกิดมาไม่เคยจะมีใครรับเป็นพ่อ พอเจอกันหน่อยทำเป็นมาสั่งมาสอน"

"ไอ้หรั่ง ! ปากหมานะมึง ระวังกูจะแตะมึงให้ปากแตก" ตาต่อดุเสียงดังใส่เขาทันที

ใจจริงแล้ว ผมไม่เคยคิดโกรธเคืองวาจาสามหาวของลูกนอกไส้ทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย เคราะห์กรรมจากชาติกำเนิดที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ การประณามหยามเหยียดของสังคมรอบข้าง คงจะทำลายล้างจิตใจอันดีงามของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่มีสิทธิที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า วันหนึ่งพวกเขาจะต้องเติบโตแล้วก้าวออกไปจากสังคมของวัยแรกเริ่มชีวิตอันโหดร้าย เดินต่อไปข้างหน้าเพื่อค้นหาสิ่งดีงามที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ให้กับตัวเอง

โชคชะตาของผมกลับมาพลิกผันอีกครั้ง เมื่อตึกที่ผมเช่าขายอาหารต้องถูกเวนคืนที่ดินนำไปสร้างทางยกระดับ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายต่างก็ต้องพากันระเห็ดระเหไปหาที่ทำกินแห่งใหม่

ช่วงนั้นผมต้องช่วยนวลหารายได้โดยการทำขนมเพิ่มมากขึ้น ผมเที่ยวนำตะเวนขายตามตลาดนัดของทุกวัน เวลาว่างผมก็รับจ้างซ่อมแซมทั่วไป เดินสายไฟให้กับคนในละแวกบ้าน ถึงแม้ว่ารายได้หลักของเราจะขาดหายไป แต่เราก็พยายามดิ้นรนทุกวีถีทางที่จะทำให้รายรับมากพอกับรายจ่ายที่ประดังเข้ามา ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัดที่สุด นวลมุ่งมั่นเพียรพยายามอย่างมากที่จะเก็บออมเงินสำหรับเป็นทุนการศึกษาให้ลูก ๆ ได้เรียนในระดับสูง

แต่แล้ว ความหวังทั้งหมดในชีวิตผมก็พังทลายลง เมื่อหมอตรวจพบเซลมะเร็งจากเมือกในจมูกผม ช่วงนั้นผมมีเลือดออกจมูกบ่อย ๆ และมีอาการหูอื้อ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นอาการของน้ำเข้าหูปกติ แต่เมื่อไปพบแพทย์และตรวจทางพยาธิแล้ว เขาก็แจ้งผลกับผม

"คุณเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่" หมอคนนั้นถามผมทันทีหลังจากที่อ่านผลการตรวจ

"สิบสองครับ" ผมตอบออกไปตรง ๆ หมอหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

ในวัยเยาว์ชีวิตที่ต้องขาดแม่ นำพาให้ผมเดินไปบนเส้นทางที่พวกไอ้กั่งขีดไว้ จนถึงวันที่พวกมันติดคุกตารางห่างหายไปจากชีวิตผม คงเหลือไว้แต่นิสัยสูบบุหรี่ที่ตามทำลายล้างชีวิตผมมาจนทุกวันนี้

"เฮ้อ.. สมควรแล้วคุณ" หมอหนุ่มส่ายหน้าออกมาอย่างสิ้นหวัง

"คุณต้องเข้ารับการบำบัดรักษาโดยการฉายรังสี ช่วงปีสองสามปีนี้คุณยังมีอะไรที่คั่งค้างก็รีบ ๆ ไปสะสางซะนะ"

มันเหมือนเป็นคำพูดปลอบประโลมใจ หรือบอกให้ผมปลงกับชีวิตที่กำลังจะหลุดลอยไปกันแน่

ท่ามกลางความมืดมนและหม่นหมอง หากมีเพียงแสงสว่างส่องรำไร เราก็คงจะดิ้นรนเข้าไปไขว่คว้า นวลเพียรพยายามดิ้นรนทุกวีถีทางเพื่อให้ผมคงมีชีวิตอยู่รอด ทุ่มเทเงินที่เก็บออมไว้ทั้งหมดมาใช้เพื่อการรักษา ทั้งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนโบราณ และพิธีสืบชะตาสะเดาะเคราะห์ ปฏิบัติต่อผมตามคำสั่งและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงเป็นกำลังใจให้ผมยืนหยัดต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตอยู่รอด

แต่ทุกอย่างที่ลงทุนลงแรงไปก็ดูเหมือนจะสูญเปล่า มะเร็งร้ายค่อย ๆ ทำลายล้างชีวิตผมไปทีละน้อย สองปีผ่านไป นับตั้งแต่วันที่ผมรู้ชะตากรรมของตัวเอง มาถึงวันนี้เซลส์ทุกส่วนในร่างกายแทบจะไม่เหลือเนื้อเยื่อที่เป็นปกติอีก มีเพียงแต่จิตวิญญาณเท่านั้นที่ยังคงตราตรึงอยู่ในร่างที่ตายทั้งเป็น

บรรยากาศของความมืดกำลังเข้ามาปกคลุม แสงสีทองของดวงตะวันเลื่อนลับขอบฟ้าไปอย่างช้า ๆ นวลกับยัยนกยังคงนั่งขายขนมอยู่บริเวณหน้าปากซอยบ้าน

"แม่นวล เถ้าแก่คิมเขาให้เอาขนมหม้อแกงห้าถาดไปส่งที่โรงงานให้หน่อย เดี๋ยวเขาจะมีแขกมา" เสียงของป้าปิ่นคนงานของโรงงานแก๊สตะโกนบอก ก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นบนรถประจำทางไป

นวลหยิบขนมใส่ถุงด้วยสีหน้าลังเล ผมกับเธอใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับมานานกว่าสิบห้าปี แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเพียงใด แต่สำหรับผมแล้วนวลแม่ค้าขายขนมหน้าหวานของผมยังคงสวยสมวัยอยู่ไม่สร่าง

โรงงานแก๊สนั้น เป็นโกดังเก็บแก๊สหุงต้มขนาดใหญ่ มีห้องกระจกเล็ก ๆ สำหรับเป็นสำนักงานเท่านั้น เถ้าแก่คิมชายวัย 50 ปีใช้ชีวิตเป็นหม้ายมานานปีกำลังนั่งทำงานอยู่อย่างขยันขันแข็งจนมืดค่ำเหมือนทุก ๆ วัน

"ขนมมาส่งจ้ะเถ้าแก่" นวลยืนเคาะประตูกระจกเรียกอยู่หน้าห้อง

เถ้าแก่คิมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก แล้วก้มลงเปิดลิ้นชักหยิบธนบัตรสีแดงหลายใบเดินออกมาเปิดประตู นวลเอื้อมมือเข้าไปรับธนบัตรแล้วมีสีหน้าตกใจ รีบส่งธนบัตรอีกหลายใบคืนให้เขา

"แค่ร้อยเดียวเองจ๊ะเถ้าแก่"

ผมเองก็ไม่เข้าใจเลยว่า อะไรที่ทำให้เถ้าแก่คิมคิดว่า ขนมหม้อแกงเพียงห้าถาดจะมีราคาถึงห้าร้อยบาท

"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แม่นวลรับไปเถิด ฉันให้แม่นวลเป็นค่าเดินมาส่งก็แล้วกัน" เขาพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี

เท่าที่ผมรู้มา เถ้าแก่คิมเป็นคนดีมีน้ำใจกับสังคมรอบข้าง เขาเคยเสียสละเงินมากมายเพื่อซ่อมแซมทางเดินไม้สายหลักของชุมชนให้เป็นทางเดินคอนกรีตที่แข็งแรงขึ้น

"ไม่ได้หรอกจ้ะเถ้าแก่ ฉันขายคนอื่นเท่านี้จะคิดเงินเถ้าแก่แพงกว่าคนอื่นได้ยังไงล่ะจ๊ะ" นวลส่ายหน้าปฏิเสธ และยังคงพยายามส่งธนบัตรอีกหลายใบคืนให้เขา

"แม่นวลก็รู้ ฉันน่ะให้แม่นวลได้มากกว่านี้อีกมาก ฉันตัวคนเดียว ลูก ๆ ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเองหมดแล้ว เงินทองก็มีเก็บไว้ตั้งมากมาย อาการของพ่อเติมก็อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ถ้าแม่นวลเชื่อฉัน ยอมให้ฉันพาเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ยาดี ๆ จะช่วยต่อชีวิตเขาให้ยืนยาวกว่านี้อีกนาน ลูก ๆ ของแม่นวล ฉันก็จะส่งเสียให้เรียนจนจบทุกคน"

อะไรที่ทำให้เถ้าแก่คิมมีน้ำใจกับครอบครัวผมมากมายถึงเพียงนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะมีน้ำใจช่วยเหลือสังคมมากสักเพียงใด แต่การช่วยเหลือเฉพาะบุคคลเช่นนี้ดูจะมากเกินไป และอาจจะเป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาลที่ต้องจ่ายในระยะเวลายาวนานไม่สิ้นสุด

"ไม่ได้หรอกจ๊ะเถ้าแก่ เราก็พูดเรื่องนี้ไปกันมากแล้ว" นวลทำหน้าเสีย รีบวางถุงขนมกับธนบัตรอีกสี่ใบลงบนโต๊ะ แล้วทำท่าจะหันหลังกลับ

"โธ่ แม่นวล... ฉันจริงใจกับแม่นวลนะ แล้วก็ไม่เคยจะคิดบังคับจิตใจของแม่นวลเลย เพียงแต่เห็นใจในความลำบากของแม่นวล อยากจะช่วยเหลือให้มากที่สุดก็เท่านั้น"

นวลส่ายหน้าออกมาอย่างมิอาจจะทำใจยอมรับได้ รีบหันหลังเดินกลับออกมาอย่างไม่เหลียวกลับไปมองข้างหลังอีก

ที่แท้แล้ว ไอ้หมอนี่มันจีบเมียผมมานานแล้ว หากวันนี้ไม่เกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้ผมติดตามเธอออกมาได้แล้ว คนป่วยใกล้ตายอย่างผมก็คงจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ได้เลย

ความจริงที่ผมควรจะยอมรับ ตลอดระยะเวลากว่าสิบห้าปีที่นวลอยู่กินกับผม เธอไม่เคยจะได้พบกับความสุขสบายเลยแม้แต่วินาทีเดียว ชีวิตที่อยู่ร่วมกับผู้ชายที่มีแต่ตัวอย่างผม ทำให้เธอต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบมาโดยตลอด มิหนำซ้ำในเวลานี้ผมยังป่วยหนักทำตัวเป็นภาระให้เธอต้องดูแลรักษามากว่าสองปีแล้ว

คิดแล้วน่าละอายใจนักที่ผู้ชายอย่างผมไม่สามารถหาเลี้ยงดูครอบครัวได้ แล้วยังทิ้งภาระลูกทั้งสี่คนไว้ให้เธอต้องแบกรับ กว่าลูกผมจะโตจนสามารถเลี้ยงดูตนเองได้คงต้องใช้เวลาอีกกว่าสิบปี นวลจะต้องลำบากทนทุกข์ทรมานอีกนานสักเพียงใด

"พ่อ... พ่อจ๋า..."

เสียงเรียกของยัยจุ๊บทำให้ความรู้สึกของผมกลับมาที่ร่างกายอีกครั้ง ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ มองหน้าลูกสาวนอกไส้ที่เลี้ยงดูมาด้วยความรักและผูกพันกันดั่งสายเลือด เธอกำลังใช้หลอดกาแฟหยดน้ำใส่ปากผมทีละหยด

"ปากพ่อแห้งจังจ้ะ กินน้ำสักหน่อยนะ"

หลังจากที่เลิกกิจการขายข้าวแกงที่ตึกให้เช่าแห่งนั้นแล้ว ยัยจุ๊บซึ่งเรียนจบเทียบเท่าระดับมัธยมปลายแล้ว จึงเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเปิด และสมัครเข้าทำงานในฝ่ายผลิตโรงงานผลไม้กระป๋องแห่งหนึ่ง เพื่อหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว

ผมกับนวลเลี้ยงเธอมาด้วยความรักดั่งพ่อแม่แท้ ๆ วันนี้เธอเติบโตขึ้นจนสามารถทำงานหาเลี้ยงชีวิตตัวเองได้แล้ว ผมคงจากไปอย่างหมดห่วงในตัวของเธอ เหลือเพียงแต่ลูก ๆ ทั้งสี่คนของนวลที่ผมยังคงห่วงใยในภาระอันหนักอื้งที่แม่อย่างเธอต้องแบกรับไว้เพียงผู้เดียว

นวลเดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม

"กลับแล้วเหรอลูก จุ๊บทำงานมาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนก่อนเถิดลูก เดี๋ยวแม่จะดูแลพ่อเขาเอง"

ยัยจุ๊บพยักหน้าแล้วเดินขึ้นไปบนห้อง ขณะที่นวลกำลังเตรียมน้ำอุ่นเพื่อเช็ดตัวทำความสะอาดให้ผม

มากมายเกินกว่าความหมายใด ๆ ที่อยากจะบอกกับเธอ คุณค่าแห่งความดีงามที่เธอมอบให้ยิ่งใหญ่เกินกว่าทุกสิ่งในชีวิตที่ผมเคยได้รับ และผมก็อยากจะบอกกับเธอว่า ความรักที่ผมมีต่อเธอนั้นก็มากมายเกินกว่าชีวิตทั้งชีวิต มากกว่าทุกความหมายและทุกความรู้สึกที่ผมมี

แต่จะบอกอย่างไรได้เล่า ในเมื่อผมไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาจากลำคอได้มานานแล้ว

"อะไรจ๊ะพี่ พี่กำลังจะบอกอะไรฉัน" เธอสังเกตเห็นผมพยายามยกนิ้วมือขึ้น ปากขยับไปมาโดยปราศจากเสียงเล็ดลอดออกมา

"นุ้ย หยิบปากกากับกระดาษมาให้แม่หน่อยเร็ว" เธอหันไปบอกแล้วรีบยัดปากกานั้นใส่ในมือของผม

แม้ว่าร่างกายส่วนอื่น ๆ จะไม่สามารถทำงานตามสมองสั่งการได้อีก แต่หวังว่า...นิ้วมือกับดวงตาของผมจะยังสามารถสื่อความรู้สึก รักแท้...และรักนิรันดร์ ที่มีต่อเธอ

"นวล... พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา
พี่ไม่สามารถจะมอบความสุขให้กับนวล ให้สมดั่งความดีงามทั้งหมดที่นวลมี
พี่ละอายใจเหลือเกิน ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูนวลกับลูกได้ไปจนตลอดรอดฝั่ง
หากเถ้าแก่คิมเขารักและจริงใจกับนวล ขอนวลจงตกลงปลงใจไปอยู่กินกับเขาเถิด
ชีวิตในวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป"

เธอเพ่งมองอ่านลายมือขยุกขยุยของคนใกล้จะลาโลกอย่างผมอยู่นาน แล้วเบิกตากว้างออกมาด้วยความตกใจ เธอโผซบลงกับอกผม แล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างปลดปล่อยทุกความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่มีอยู่ล้นอก

"พี่เติม... พี่รู้ได้ยังไง....พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง"

เธอกอดผมร้องไห้โฮอยู่นาน ผมอยากจะยกแขนขึ้นมาโอบกอดเธอให้สมกับความรักในใจทั้งหมดที่มีให้ แต่แขนทั้งสองข้างมันไม่เคยทำตามคำสั่งของสมองมานานแล้ว

"พี่เติม... ฉันรักพี่... ถึงจะยากจนข้นแคลนสักเพียงใด ฉันก็ไม่ขอมีใครอีก ตราบถึงวันตาย ฉันก็จะขอมีพี่คนเดียวตลอดไป"

ประโยคแห่งรักแท้กลั่นออกมาจากหัวใจของเธอ ทำให้น้ำตาที่เอ่อล้นเบ้าตาของคนใกล้จะพบจุดจบอย่างผมไหลท่วมทะลักออกมา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติหรือทุกข์ตรมหม่นหมอง แต่มันเป็นน้ำตาของทุกความรู้สึกที่ผมมี

ผมขยับปลายนิ้ว ด้วยความหวังที่จะสื่อสารกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย

"ชีวิตนี้พี่เกิดมา ได้มีโอกาสใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับนวล
เป็นสิ่งมีค่าที่สุดกว่าทุกสิ่งที่มีในชาตินี้
หากแม้ตายไป ร่ายกายบุสลาย
แต่หัวใจรักยังคงอยู่ คอยโอบอุ้มคุ้มครอบทุกครั้งที่นวลท้อแท้ เปลี่ยวเหงา
พี่จะขอวนเวียนอยู่ข้างกายเมียรัก รอวันที่เราจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์"

สิ้นประโยคนั้นแล้ว ปลายนิ้วของผมก็ไม่ทำงานตามคำสั่งของสมองอีก ภาพของเมียรักตรงหน้าติดตรึงหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะค่อย ๆ หม่นหมองและดับมืดไป ปลายจมูกที่เคยมีอากาศผ่านเข้าออกไปมาก็หยุดนิ่งไม่รับรู้สัมผัสใด ๆ อีก ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของเมียรักเสียดทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจอันปวดร้าวทุกข์ทรมานกับความตายที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

"พี่เติม ! พี่เติม ! อย่างทิ้งฉันไป !"

ดวงจิตของผมละทิ้งสังขารอันล่วงโรยไปแล้ว แต่ยังคงวนเวียนอยู่ข้างกายนวลเสมอ เธอเพียรพยายามทำงานหนักหาเงินเลี้ยงดูลูกอย่างไม่ย่อท้อ ไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือใด ๆ จากเถ้าแก่คิม หรือคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับชายใดอีก

หลายปีผ่านไป ในภาวะที่ผมเป็นอยู่ สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เธอมีให้ เธอยังคงรักและซื่อสัตย์ต่อคนตายอย่างผมไม่เคยเปลี่ยน หากวันใดเธออ่อนล้าและร้องไห้ผมจะเข้าไปโอบอุ้มเธอไว้ ส่งกระแสไออุ่นแห่งรักไปยังหัวใจอันหม่นหมองดวงนั้น และผมก็รู้ว่า เธอสามารถสัมผัสและรับรู้ว่าผมยังอยู่เคียงข้าง ทุกครั้งที่เธอเพ่งมองมายังผมแววตาอันอ่อนล้าท้อถอยคู่นั้นจะกลับมาแข็งแกร่งและยืนหยัดขึ้นสู้อีกครั้ง

........................................................

จบ

ตอนพิเศษ

หลายปีผ่านไป ลูก ๆ ของผมกับนวลเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ยัยนกกับยัยนุ้ยทำงานควบคู่กับการเรียนต่อมหาวิทยาลัยเปิดจนจบระดับปริญญาตรี เข้าทำงานในบริษัทเอกชนที่มีชื่อเสียงมีหน้าที่การงานมั่นคง ส่วนยัยนุ่นลูกสาวคนที่สามทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนหาเงินช่วยแม่ส่งตนเองเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ หลังจากจบมาก็เข้ารับราชการได้ทุนหลวงเรียนต่อระดับปริญญาโทภายในประเทศ คงเหลือก็แต่เพียงเจ้านิคลูกชายคนเล็กตัวแสบที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย วัน ๆ ผมไม่เห็นมันจะทำอะไรนอกจากเปิดจอคอมพิวเตอร์เล่นไอ้ที่เขาเรียกกันว่า chat คุยอยู่กับสาว ๆ

วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ชีวิตบนโลกก็เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปตามกาลเวลา เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำเนิดเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ความเปลี่ยวเหงาจากการที่ต้องอยู่ในภพของจิตวิญญาณมานานกว่าสิบสองปี

(จิตของผมละสังขารไปเมื่อปี พ.ศ.2535 ด้วยวัยเกือบ 50 ปีเต็ม คุณคงจะนึกภาพออกว่า เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเล่าให้คุณฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2505-2535)

หลายครั้งหลายคราที่ผมพยายามที่จะสื่อสารกับนวล แต่ก็ดูเหมือนความพยายามจะไร้ผลทุกครั้งไป เธอไม่สามารถรับสื่อโดยตรงใด ๆ จากผมได้เลย

จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมค้นพบว่าวิธีสื่อสารกับโลกภายนอกโดยผ่านทางกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็ก รวมถึงระบบการสื่อสารสมัยใหม่ การสื่อสารในโลกที่ไร้พรมแดนของระบบอินเตอร์เนต ผมพยายามศึกษาจากเจ้านิคอยู่นาน จนค้นพบการติดต่อสื่อสารพูดคุย ด้วยวิธีต่าง ๆ มีทั้งการพูดคุยกันเป็นกลุ่ม และการพูดคุยกันตัวต่อตัว ตลอดจนถึงการพูดคุยกันผ่านกระทู้โดยเฉพาะกระทู้งานเขียนที่พวกคุณกำลังอ่านกันอยู่ในขณะนี้ ผมจึงค่อย ๆ ลองส่งกระแสจิตขยับแป้นคีย์บอร์ดถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองมาให้พวกคุณได้อ่านกันอยู่ในขณะนี้ เพื่อคลายเหงาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกท่าน

ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจวิญญาณผีขี้เหงาอย่างผม ผมยินดีที่จะเดินทางผ่านสายโทรศัพท์ไปเยี่ยมเยียนพวกคุณถึงบ้าน หากที่ผมหยั่งรู้ได้ถึง e-mail address ของท่านใด ผมก็จะขออนุญาตใช้โปรแกรม msn แอดเข้าไปพูดคุยด้วย ผมแอบตั้งอีเมล์ของตัวเองมีชื่อว่า termsak2485@hotmail.com หวังว่าทุกท่านคงจะรอคอยการมาเยี่ยมเยือนด้วยมิตรไมตรีจากผม เติมศักดิ์ครับ !

====================

 

โดย: วังวน (วังวน ) 31 พฤษภาคม 2549 10:33:49 น.  

 

theerathus@yahoo.co.th ครับ เรื่องของคุณสนุกมากครับ ในทุกๆคนก็มีเรื่องราวทั่งดำและขาวปนกันไป อยู่ที่ว่าจะมีด้านไหนมากน้อยกว่ากัน ในหนึ่งชีวิตคนเรามีหลายเรื่องหลายราวที่ทำที่ให้เรายิ้มทั่งน้ำตา และขมขื่นสุดขั่วหัวใจ

 

โดย: ไม้ ครับ IP: 118.173.87.227 15 กันยายน 2553 6:19:52 น.  

 

ขอบคุณคุณไม้ค่ะ
ไม่ได้เข้าบล็อกตัวเองมานาน
ดีใจที่ยังมีผู้อ่านมาอ่านผลงานเก่า ๆ ที่เขียนไว้
ซาบซึ้งในความรู้สึกของคนอ่านเช่นกันค่ะ
เรื่องนี้จะพัฒนาเป็นนิยายเรื่องยาวต่อไปนะคะ

 

โดย: วังวน 11 กุมภาพันธ์ 2554 16:01:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


วังวน
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add วังวน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.