Group Blog
 
 
ธันวาคม 2547
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 ธันวาคม 2547
 
All Blogs
 
เศษชีวิตที่ไร้ค่า กับคุณหมาผู้สูงศักดิ์

ลมหายใจรวยริน กับดวงตาอันไร้เดียงสาของหนูน้อย แสนจะอิดโรยและอ่อนล้า พยายามที่จะเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า หากแต่ภาพที่มองเห็นนั้นช่างพร่ามัว มีแต่กลุ่มควันสีขาวและดำมากมาย เสียจนภาพแห่งความเป็นจริงนั้นค่อย ๆ จางหายไป คงเหลือแต่ภาพแห่งความทรงจำของจิตวิญญาณนั้น ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในจิตสำนึกของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

“บุญเรือน” เด็กหญิงวัย 3 ปี รูปร่างบอบบาง ผอมโซ ผิวสีเข้ม ผมบ็อบสั้นยกศกเล็กน้อย ดวงตาของหนูน้อยเปล่งประกาย ฉายแววแห่งความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะแบกรับสภาพความเป็นจริงของชีวิต

เธอ.... เปรียบเสมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ที่รอคอยจะได้รับการแต่งแต้มสีสันของชีวิต ด้วยความรักความอบอุ่นจากผู้ที่ให้กำเนิด เพื่อให้เธอเติบโตขึ้นอย่างงดงามและมีคุณค่า แต่... มันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น

บุญเรือน...ไม่รู้จักแม้แต่ใบหน้าของผู้ให้กำเนิด ไม่เคย...ได้สัมผัสไออุ่นแห่งความรักจากอ้อมกอดของผู้เป็นบิดามารดา

ภาพแรกในชีวิต คงมีแต่เพียง “ยายสุข” ผู้ที่แม้จะกราดเกรี้ยวใส่เธอหนักหนา แต่ยายสุขก็เป็นผู้เดียว ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูหนูน้อยมาจวบจนเธอจำความได้

“อีเรือน! ป่านนี้มึงยังไม่รู้จักไปอาบน้ำอาบท่าอีกเหรอ ต้องให้กูมาคอยจิกคอยด่าทุกวัน เดี๋ยวแม่งตบด้วยด้ามไม้กวาดสะเลย”

เสียงด่าทออันรุนแรงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของผู้ที่เธอเรียกว่า “ยายสุข” นั้น ดังกึกก้องน่ากลัว พร้อมกับไม้กวาดดอกหญ้าเก่า ๆ ที่ลอยเข้ามาเกือบจะปะทะกับร่างบอบบางนั้น

ความตกใจนำพาเอาร่างของเด็กน้อย พรวดพราดเข้าไปในประตูสังกะสีเก่า ๆ ชำระล้างร่างกายตนเองด้วยน้ำเปล่าอย่างรีบเร่ง ก่อนที่จะเดินร่างเปลือยเปล่าออกมาสวมเสื้อผ้าเองด้วยความทะลักทุเล

“เอ้า! กินข้าวสะ “

จานสังกะสีใบเก่า มีข้าวสวยอยู่เพียงหยิบมือ ถูกโยนลงตรงหน้าหนูน้อย ที่นั่งคอยอาหารมื้อนี้ด้วยความหวังที่จะมีของกินดีกว่าเดิม

“มีแต่พริกป่น กับน้ำปลานี่แหละ มึงกินได้หรือเปล่า”

ยายสุขพูดไปพลางคดข้าวใส่จานตัวเอง โรยถุงพริกป่นลงบนจานข้าว แล้วตักเข้าปากอย่างมูมมาม

“ยายสุข ก็เอาไข่มาสิ เดี๋ยวอีเรือนต้มกินเอง”

เสียงเจื้อแจ้วของเด็กน้อย บอกถึงภาษาที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยแรกเริ่มของชีวิต

“โอ้ย... กูไม่มีปัญญาหาให้มึงแดกหรอก กับไอ้แค่ข้าวสารก็แทบจะไม่มีกรอกหม้อไปวัน ๆ แล้ว”

เสียงโวยวายอันแหบแห้งของหญิงชราผ่านลำคอออกไป พร้อมกับยกขันน้ำขึ้นมาดื่ม เพื่อพยายามกลืนข้าวกับพริกป่นแห้ง ๆ นั้นผ่านลำคอลงไปด้วยความยากเย็น พลางเหลือบหันมองมาทางหนูน้อยที่กำลังยกขวดน้ำปลาขึ้นมาเยาะลงบนจานข้าวด้วยแววตาเวทนาขึ้นมาบ้าง

“อีเรือนเอ่ย สงสัยถ้ายังอยู่แบบนี้ต่อไป เราคงต้องอดตายกันทั้งคู่ ลำพังไอ้แค่ปะถุงกระดาษคงจะไม่พอยาไส้ แถมตอนนี้เค้ายังบอกห้ามใช้ มันพดมีพิษสารตะกั่วอะไรอีก”

เสียงบ่นอันท้อแท้ของหญิงชรา กับดวงตาที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสังกะสีเก่า ๆ ด้วยความหวังอันเลือนลาง วัยที่ล่วงเลยมากว่า 60 ปีของตนเองนั้น ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดูแลเด็กน้อยผู้นี้ได้อีกนานเท่าใด

“แม่มึงก็หายไปเลย บอกว่าจะส่งเงินมาให้ นี่ก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว ไม่รู้ไปตายห่าที่ไหนหรือเปล่า”

เบื้องหลังแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของยายสุข เห็นภาพของเด็กสาวน้ำตานองหน้า นำร่างของหนูน้อยวัยแรกเกิดมาส่งมอบให้ ฝากฝังให้ช่วยเลี้ยงดู เพื่อตนเองจะได้ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งคนไม่มีการศึกษาอย่างเธอ คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า การขายบริการทางเพศ เพื่อประทังชีวิตของตัวเองและเลือดในอก

เด็กสาวส่งเงินมาให้เพียงสองเดือน ก็หายเงียบไปอย่างไร้ร่องรอย วันเวลาผ่านไปหลายปี ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2541 ทำให้บรรดาพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่ว่าจ้างให้ยายสุขเลี้ยงดูพากันตกงาน กลับมารับลูกกลับไปดูแลเอง

รายได้ส่วนใหญ่ที่เคยเป็นของยายสุขจึงขาดหายไป ความอดอยากหิวโหยก็เข้ามาแทนที่ บุญเกิด ลูกชายเพียงคนเดียวที่จะเป็นความหวังของยายสุข ก็พาต้องมาติดคุกตารางเพราะถูกหลอกให้ไปค้ายาบ้า

สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าก็ไม่อาจรับเลี้ยงเด็กน้อยไว้ได้ในเวลานั้น เนื่องจากจำนวนเด็กที่ถูกทอดทิ้งนั้นมีมากเกินกว่าจะรองรับไว้ได้ ในฐานะที่ยายสุขเป็นน้าแท้ ๆ ของแม่หนูน้อย คงต้องรับภาระเลี้ยงดูหนูน้อยไว้ก่อน

“กูคงต้องออกไปทำงานขนปูนขนทราย ตรงตึกที่กำลังสร้างฝั่งโน้น แต่มันไม่ยอมให้เอาเด็กไป มันบอกว่าอันตรายเดี๋ยวอะไรหล่นใส่หัวเกิดตายขึ้นมา มันจะเดือดร้อน”

หญิงชราตัดสินใจที่จะดิ้นรนอีกครั้ง เพื่อความอยู่รอดของทั้งสองชีวิต

“ไม่เอา.... ๆ..... ยายสุข แล้วอีเรือนจะอยู่กับใคร”

ร่างอันผอมโซของหนูน้อย โผเข้าไปกอดผู้ที่เป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวของตัวเอง

“มึงก็อยู่ที่นี่แหละ ! เดี๋ยวเย็นกูก็กลับมา”

น้ำเสียงอันดุดันของยายสุข คล้ายกับจะตวาดกลบเกลื่อนความเวทนาหนูน้อย แขนทั้งสองข้างพยายามผลักดันเอาร่างของเด็กน้อยกลับออกไป

“กูจะหุงข้าวเอาไว้ให้ แล้วก็หาน้ำปลากินไปก่อน ถ้าได้ค่าแรงมา กูจะซื้อไข่มาให้”

“ฮือ.. ๆ..ๆ..ๆ.. ไม่เอา ๆ อีเรือนไม่อยากอยู่คนเดียว....”

เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยปิ่มใจจะขาด แขนเรียวบางทั้งสองพยายามกอดรัดเข้ามา ด้วยความรู้สึกที่เยาว์วัยเกินกว่าจะถูกทอดทิ้งให้อยู่โดยลำพัง

วงแขนอันเหี่ยวย่นของหญิงชรา ผู้เป็นยิ่งกว่าบุพาการีของหนูน้อย ค่อย ๆ โอบกอดร่างน้อย ๆ นั้นไว้ในอ้อมแขนด้วยความเวทนายิ่งนัก น้อยครั้งนักที่หนูน้อยจะได้รับสัมผัสอันอบอุ่นเช่นนี้

“มันจำเป็นนะอีเรือน.....”

เสียงสะอื้นอันแหบแห้งของหญิงชรา หายไปในลำคอด้วยความรู้สึกที่กล่ำกลืนเกินกว่าจะออกมาเป็นคำพูดได้

“แล้วกูจะรีบกลับ... กูก็ห่วงมึง... แต่ถ้าไม่ทำ เราจะอดตายกันทั้งคู่ แล้วไอ้บ้านสลัมเฮงซวยนี้มันก็ไล่ที่ ชาวบ้านเค้าไปกันหมดแล้ว เหลือแต่มึงกับกูนี่แหละที่ยังไม่มีที่ไป”

น้ำตาของหญิงชราร่วงรินอาบพวงแก้มเหี่ยวย่น ความวิตกกังวลในชะตากรรมอันยากลำบากของตัวเองในวันข้างหน้า ยังไม่เท่ากับความห่วงใยและเวทนาในความโดดเดี่ยวของชีวิตน้อย ๆ นั้น

“ยังไงกูต้องหาเงินสักห้าหกร้อย เก็บไว้หาเช่าที่อยู่ใหม่”

ฝ่ามืออันเหี่ยวย่นค่อย ๆ ลูบไล้ลงบนศีรษะของเด็กน้อย ราวกับจะใช้สัมผัสนั้นปลอบประโลมใจหัวใจดวงน้อยแทนคำพูด

“มึงต้องอดทนนะโว้ย...อีเรือน แล้วกูจะเอาไข่ต้มมาฝากมึงทุกวันนะ”

“ไม่เอา... ๆ... ยายสุข... ไม่เอา.... อีเรือนไม่กินไข่ก็ได้....”

คำปลอบใจกับรางวัลที่เป็นอาหารอันแสนวิเศษ คงจะเป็นสิ่งเดียวที่หญิงชราจะทดแทนให้กับหนูน้อยได้ในเวลานี้

.................................

เวลาแห่งรุ่งอรุณ แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องไปทั่วผืนฟ้า มันคงจ้ะเป็นวันใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของคนอีกหลายคน แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เจ้าของหัวใจดวงน้อยนี้ หวาดกลัวอยู่กับความโดดเดี่ยว นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ยายสุขก้าวพ้นประตูบ้านออกไป

เกือบตลอดทั้งวัน ร่างน้อย ๆ อันผอมโซ เฝ้าแต่นั่งพิงขอบบานประตูสังกะสี รอคอยผู้เดียวที่จะนำพาเอาความอบอุ่นและปลอดภัยกลับมามอบให้เธอ พร้อมกับอาหารแสนจะวิเศษ ที่ตบปากรับคำเป็นหนักหนาว่าจะนำกลับมาฝาก

ทุกเย็น หญิงชราจะกลับมาพร้อมกับไข่ไก่สองฟอง และข้าวสารที่ซื้อหามาเพียงพอจะกรอกหม้อในแต่ละวันเท่านั้น ขณะที่ บุญเรือน วัยเพียง 3 ปี ต้องตระเตรียมภาชนะ ล้างถ้วยชาม หม้อไห ใส่ถ่านไม้ลงในเตาไฟไว้ เพื่อรอคอยให้ยายสุขกลับมาหุงหาอาหารในมื้อเย็นนั้น

ถึงแม้ว่า สังขารอันร่วงโรยของยายสุขจะไม่เอื้ออำนวยกับการตรากตรำทำงานหนักเช่นนี้ แต่รายได้ที่ได้มาก็พอเพียงที่จะประทังความหิวของทั้งสองชีวิตในแต่ละวัน มันจึงเป็นกำลังใจให้หญิงชราต่อสู้อย่างไม่ท้อแท้

......................................

เย็นวันหนึ่ง ยายสุขกลับมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบเป็นพิเศษ มันเป็นภาพที่บุญเรือนแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตั้งแต่จำความได้

“อีเรือน... เรารอดตายแล้วโว้ย มีคนเขาชวนกูไปทำงานซักผ้าปูที่นอนในโรงแรม เขาให้ไปทำได้พรุ่งนี้เลย งานมันไม่หนักเท่าที่เดิม แถมยังได้ค่าแรงอีกวันละตั้ง 200 บาท ได้มากกว่าที่เดิมตั้ง 80 บาทแหนะ”

บุญเรือนฟังถ้อยคำของยายสุขด้วยรอยยิ้ม ความเยาว์วัยนั้น ยังไม่เดียงสาพอที่จะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดได้ หากแต่เด็กน้อยสุขใจเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอิ่มเอิบของผู้ที่เป็นยิ่งกว่าบุพาการี

“แล้วที่สำคัญนะโว้ย มันยอมให้กูเอาเด็กไปได้”

บุญเรือนได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหู รอยยิ้มที่เบิกกว้าง ดวงตาเปล่งประกายแจ่มใส แสดงถึงความปิติดีใจของหัวใจดวงน้อยนั้นยิ่งกว่าการได้กินไข่ต้มสักร้อยฟอง ฝ่ามืออันเหี่ยวย่นของหญิงชราจับลงบนเส้นผมแล้วโยกศีรษะของหนูน้อยไปมาอย่างลืมตัว

“แต่มึงต้องสัญญานะโว้ย ว่าจะไม่ซน เถล่ไถลไปไหน ต้องอยู่แต่ในห้องแม่บ้านนะโว้ย”

“จ๊ะยาย” หนูน้อยกระโจนเข้ากอดผู้เป็นยายด้วยความสุขใจ

................................................

หนึ่งเดือนผ่านไป กับความรู้สึกที่อบอุ่นใจของเด็กน้อย ถึงแม้ว่าตลอดทั้งวัน บุญเรือนแทบจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ายายสุข แต่สภาพแวดล้อมและผู้คนในห้องแม่บ้านโรงแรม ก็ทำให้เด็กน้อยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวดังเช่นช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่สำคัญที่สุดบุญเรือนมิต้องอดทนหิวโหยอีกต่อไป เพราะภายในแผนกแม่บ้านนั้น มีอาหารและขนมแม้จะไม่มามายอะไร แต่ก็จัดว่าเป็นของกินที่วิเศษสุดตั้งแต่เธอเกิดมาเลยทีเดียว

“อีเรือน เรามีที่อยู่ใหม่แล้วนะโว้ย มันเป็นห้องเช่าเปิดใหม่ ห้องตึกนะโว้ย ไม่ใช่ไม้เหมือนบ้านเดิม ถึงมันจะเล็กไปหน่อย แต่แค่มึงกับกูสองคน อยู่สบาย”

น้ำเสียงอันอิ่มเอมของยายสุขพูดออกมาอย่างดีใจ จนลืมวัยของผู้ฟังที่ยังเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจความหมาย วงแขนข้างหนึ่งโอบบ่าบุญเรือนไว้ สายตามองไปข้างหน้าด้วยประกายความหวังใหม่อันงดงาม

“พรุ่งนี้ พอเงินออก กูก็จะไปวางเงินล่วงหน้าเอาไว้ แล้วอีกสองวันเราก็ย้ายไปอยู่ได้เลย”

แม้บุญเรือนจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ผ่านเข้ามาในประสาทหูของเธอได้ทั้งหมด แต่เธอก็พลอยยิ้มอย่างสุขใจไปกับท่าทีที่มีความสุขของผู้เป็นยาย

บ่ายวันนั้น ยายสุขกลับขึ้นไปทำงาน ปล่อยให้บุญเรือนวิ่งเล่นไปมาในห้องพักแม่บ้าน ตู้ล็อกเกอร์เก็บของใช้ส่วนตัวของพนักงานโรงแรม ถูกจัดวางเรียงกันไว้เป็นแถว ๆ ยาวเรียงรายกันไป โดยเว้นช่องทางเดินไว้ประมาณหนึ่งเมตร เด็กน้อยวิ่งไปมาระหว่างตู้ล็อกเกอร์นั้นอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็พยายามที่จะเปิดประตูของตู้แต่ละช่องออก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย

บุญเรือนวิ่งสลับกับเดินไปมา และเธอก็หยุดมองไปที่ประตูตู้ช่องหนึ่งซึ่งเปิดแง้มอยู่ เธอจึงเอื้อมมือไปดึงประตูบานนั้นให้เปิดออกมาจนกว้างสุด สายตาเพ่งมองเข้าไป ภายในนั้นคับแคบและว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใด ๆ บรรจุอยู่ภายในช่องเล็ก ๆ นั้น

และแล้ว....ความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมาในสมองของเด็กน้อยทันที เธอคิดว่า มันคงเป็นที่เล่นซ่อนแอบได้ดีทีเดียว ความคิดของหนูน้อยมีเพียงแต่จะสร้างความตระหนกตกใจกับยายสุขเมื่อกลับลงมาจากทำงาน เธอค่อย ๆ มุดตัวเข้าไปในซอกตู้ล็อกเกอร์ แล้วค่อย ๆ ดึงประตูบานเล็กนั้นให้ปิดลง

ประตูเหล็กบานเล็กนั้นค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ จนกระทั่งแนบสนิท ภายในช่องนั้นช่างมืดมิด ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ลอดผ่านเข้ามาข้างในได้ บุญเรือนไม่สามารถมองอะไรได้แม้แต่ร่างกายของตัวเอง เธอเริ่มรู้สึกจะไม่สนุกอย่างที่คิดไว้ จึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วออกแรงดันบานประตูเหล็กเบื้องหน้านั้น แต่แล้ว....บานประตูนั้นไม่ขยับตามแรงดันของหนูน้อยเลยแม้แต่น้อย

ขณะสองแขนพยายามออกแรงดันประตูนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ หูของเธอก็ได้ยินเสียงเอะอะจากผู้คนที่อยู่ภายนอก

“ไฟไหม้! ไฟไหม้! แก๊สในห้องครัวระเบิด.....”

“ใครอยู่ในห้อง! รีบออกทางประตูหนีไฟเร็ว ….”

“ว๊าย! ควันโขมง หายใจไม่ออก…..”

“ตายแล้ว! รีบหนีตายก่อน ไม่ต้องไปห่วงข้าวของมัน”

เสียงอึกทึกนั้นดังกึกก้องและรวดเร็ว จนเหมือนดั่งเสียงนั้นรัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจหนูน้อย แม้ความเยาว์วัยจะยังไม่อาจรู้ถึงความหมายของเสียงที่ได้ยินนั้น แต่สติสัมปชัญญะที่ยังเหลืออยู่ พอจะคาดคะเนได้ว่ามีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ท่อนแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างยังคงพยายามผลักดันประตูล็อกเกอร์นั้นออกไป หูพลางแว่วได้ยินเสียงของคนที่คุ้นหู

“อีเรือน! อีเรือน! มึงหายไปไหน ไฟไหม้ รีบออกมา....”

เสียงของยายสุขดังขึ้น แล้วค่อย ๆ แผ่วเบาลง จนไกลออกไปทุกที ๆ บุญเรือนตะโกนร้องตอบแต่มิอาจจะกลบเสียงเอะอะโวยวายของคนจำนวนมากได้

“ยายสุข ! อีเรือนอยู่นี่... ยายสุข....”

เสียงร้องดังปนสะอื้นไห้ กับเสียงทุบประตูเหล็กบานเล็ก ๆ นั้นไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้คนที่กำลังตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ร้ายแรงภายนอกได้ จนกระทั่งเสียงเอะอะของผู้คนไกลเงียบหายและไกลออกไปทุกที ๆ

ความร้อนระอุแผดเผาไปทั่วร่างของหนูน้อย โดยเจ้าตัวมิอาจคาดเดาได้ว่า ความร้อนนั้น มันเกิดจากพลังงานจากภายนอกหรือเกิดขึ้นจากร่ายกายของตนเอง แต่มันก็กลับทำให้ประตูเหล็กบานเล็กนั้นเปิดอ้าออก

สิ่งที่ผ่านเข้ามาจากการเปิดประตูบานนั้นก็คือ กลุ่มควันสีดำมากมาย ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุม จนผ่านเข้าไปในดวงตาและระบบทางเดินหายใจของเด็กน้อย สัญชาติญาณบอกให้เธอหมอบลงกับพื้นที่มีอากาศมากกว่า

“แค๊ก ๆ ๆ ยาย….“ เสียงของหนูน้อยแหบหายไปกับลมหายใจที่ติดขัด

การไอที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อผลักดันเอาสิ่งแปลกปลอมและสิ่งที่เป็นภัยออกมาจากร่ายกาย ช่วยประทังชีวิตของบุญเรือนให้อยู่รอดได้ในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ดวงตาอันแสบร้อนไปด้วยพิษของควันไฟจะมืดมิดลง เธอมองไปข้างหน้าเห็นร่างสูงใหญ่วิ่งตรงเข้ามาใกล้ ความรู้สึกที่เปรียบเสมือนเป็นความหวังของลมหายใจเฮือกสุดท้ายทำให้หนูน้อยกลับมีสติขึ้นมาอีกครั้ง

เขาวิ่งตรงเข้ามาประคองร่างสีขาวจุดดำตรงข้างหน้าบุญเรือน ที่เธอยังมิอาจจะสังเกตเห็นเนื่องจากกลุ่มควันไฟที่หนากรุ่นรอบด้าน

“ทอม เป็นยังไงบ้างลูก ลงมาอยู่ข้างล่างได้ไง พ่อมาช่วยแล้วไม่ต้องกลัวนะ”

สิ่งมีชีวิตที่เขาประคองขึ้นมา คือ ‘สุนัข ’ พันธ์ดัชเมเชี่ยน ตัวโตเต็มที่ สุนัขขาวลายจุดสีดำที่บุญเรือนเคยเห็นจากภาพการ์ตูนในทีวี ตามร้านขายของชำแถวบ้าน

เธอพยายามเงยหน้าขึ้น เพื่อมองไปที่ชายผู้ซึ่งอยู่เบื้องหน้า คล้ายกับจะใช้สายตาวิงวอนให้ช่วยชีวิต เธอสังเกตเห็นสีหน้าแสดงความตกใจของเขา เมื่อก้มลงมองกลับมาที่เธอ

“ยังมีคนอยู่ในนี้ !”

เขาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะวางสุนัขลง แล้วรีบลูบคลำตัวของหนูน้อย

“ไม่ตายนี่ หนูทำใจดี ๆ ไว้ ไอ้ทอมมันตัวโต ฉันเอาหนูไปอีกคนไม่ไหว แข็งใจไว้จะรีบบอกให้คนเข้ามาช่วยหนู”

เสียงของเขาเหมือนดังเสียงกระซิบ แผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน สำหรับคนที่ลมหายใจจวนเจียนจะขาด

“ช่วยด้วยครับ ! ช่วยด้วย ! ยังมีเด็กติดอยู่ข้างใน.....”

เสียงนั้นหายเงียบไปกับระยะทางที่ไกลออกไปทุกที ๆ

อากาศเบื้องล่างที่ยังเหลืออยู่มันถูกกลืนกินไปกับกลุ่มควันดำนั้นเสียแล้ว จนก๊าซออกซิเจนไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายน้อย ๆ นั้นอีกต่อไป ความรู้สึกอันเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งร่ายกายและหัวใจของหนูน้อยกำลังจบสิ้นลงอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับภาพอันพร่ามัวเบื้องหน้าที่ค่อย ๆ มลายหายไปกลายเป็นความมืดมิด สัมผัสรอบกายดูเบาบางจนล่องลอยขึ้นเหนือกลุ่มหมอกควันทั้งปวง และสัมผัสถึงเสียงสุดท้ายที่ยังตราตรึงอยู่ในประสาทของร่างอันไร้วิญญาณ นั้น

“ช่วยด้วยครับ ! ช่วยด้วย ! ขอออกซิเจนให้ไอ้ทอมลูกผมหน่อย มันไม่หายใจแล้ว พระเจ้า ! ช่วยไอ้ทอมลูกผมด้วย”

ความมืดมิดเข้ามาครอบงำนานเท่าไหร่ บุญเรือนมิอาจทราบได้ จนมองเห็นภาพอีกภาพอยู่ตรงเบื้องหน้า

ภาพของหญิงสาวร่างเล็ก หน้าตาเรียวยาวสะสวย ผมยาวปะบ่า ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า แขนทั้งสองข้างของเธอนั้นกางออก เหมือนดั่งจะโอบอุ้มชีวิตน้อย ๆ ที่แสนจะโดดเดี่ยวนั้นไว้

“บุญเรือน... มาหาแม่สิลูก แม่มารอลูกอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่บอกลูกไม่ได้สักทีว่าแม่อยู่ที่ไหน แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”

ข้อความนั้น มันมิได้เป็นคลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในโสตประสาทของการรับฟัง แต่ความหมายของมันผ่านเข้าไปถึงในจิตใจส่วนลึกของเด็กน้อยโดยไร้เหตุผล พร้อมกับสัมผัสอันอบอุ่นของผู้ให้กำเนิดที่โอบกอดร่างกายน้อย ๆ นั้นไว้ อย่างที่เธอมิเคยได้สัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต


------------จบ-------------


Create Date : 30 ธันวาคม 2547
Last Update : 30 ธันวาคม 2547 16:36:11 น. 0 comments
Counter : 378 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วังวน
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add วังวน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.