มหาปรินิพพาน-พุทธโคดม
ภุมวารสิริสวัสดิ์-โสมนัสสวัสดิ์สิริที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ ค่ะ
เหตุที่พุทธโคดมทรงเลือกที่จะปรินิพพานที่กุสินาราเมืองเล็กๆ แทนที่จะเลือกราชคฤห์ สาวัตถี โกสัมพี หรือพาราณสีที่เป็นเมืองใหญ่
พระองค์ทรงตอบพระอานนท์ว่า แม้กุสินาราเป็นเมืองเล็กก็จริง แต่ในปางก่อนนั้นเป็นเมืองใหญ่ที่มั่งคั่งรุ่งเรือง เป็นเมืองที่ไม่เคยเงียบจากเสียงทั้งสิบ ตือเสียงช้าง ม้า รถ กลอง ตะโพน พิณ ขับร้อง กังสดาล ประโคม และเสียงชวนเชิญที่ว่า ท่านทั้งหลายจงบริโภค จงดื่ม และจงเคี้ยวกิน กระนั้นก็ตาม
สิ่งที่ควรกล่าวก็คือว่า กุสินาราแห่งมัลละนี้ ถือเป็นรัฐที่ปกครองโดยระบอบสามัคคีธรรม เช่นเดียวกับสักกะ หรือวัชชี มัลละจึงปลอดพ้นจากความขัดแย้ง และทำให้สะดวกต่อการทำกิจต่างๆ
พุทธโคดมเสด็จต่อไปจนข้ามแม่น้ำหิรัญวดี แล้วจึงเสด็จไปยังสาลวัน ทรงให้ภิกษุอานนท์จัดที่ประทับให้ระหว่างไม้สาละคู่หนึ่ง แล้วทรงหันเศียรไปยังทิศอุดร พร้อมกับตรัสว่า พระองค์เหนื่อยและจักนอน สิ้นคำตรัส พระองค์จึงบรรทม "อนุฏฐานไสยา" คือนอนแล้วไม่ลุกอีกเลย
เวลานั้นข่าวพุทธโคดมทรงปลงพระชนมายุสังขารและใกล้ที่จะปรินิพพาน ทรงให้พภิกษุอานนท์ไปแจ้งเรื่องที่พระองค์จักเสด็จปรินิพพานแก่เหล่าราชาแห่งมัลละ เพื่อให้ราชาเหล่านี้ได้เฝ้าก่อนปรินิพพาน และจะได้ไม่ร้อนใจที่พระองค์ทรงปรินิพพานในเขตแดนของตน
มีปริพาชกชาวกุสินาราคนหนึ่งชื่อ สุภัททะ ที่จะเฝ้าพุทธโคดมเพื่อถามปัญหาที่ตนสงสัย แต่ถูกกีดกันถึง 3 ครั้งด้วยเกรงว่าจะรบกวนพระองค์ แต่เมื่อทรงได้ยิน จึงทรงอนุญาตให้สุภัททะได้มาเฝ้า และฟังหลักธรรมคำสอนของพระองค์จนเลื่อมใสและได้อุปสมบทเป็นภิกษุ และสำเร็จอรหันต์ในคืนนั้น จึงกลายเป็นอรหันต์สาวกองค์สุดท้าย
กรณีนี้จะเห็นว่าพุทธโคดมทรงมีสติมั่นคงจนสามารถเทศน์ได้ แล้วทรงตรัสกับภิกษุอานนท์และบรรดาภิกษุทั้งหลาย ได้ทูลถามถึงเรื่องที่ยังสงสัยอยู่ ตรัสถามถึง 3 ครั้ง ไม่มีภิกษุรูปใดถาม พระองค์จึงทรงกล่าวปัจฉิมวาจาว่า "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
ครั้นถึงปัจฉิมยามของคืนวันเพ็ญ เดือนหก พุทธโคดมก็ทรงปรินิพพาน อันเป็นการยุติบทบาททางธรรมที่ดำรงมาเป็นเวลา 45 พรรษา ในขณะนั้นพระชนมายุ 80 ชันษา
เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว คัมภีร์พุทธได้กล่าวถึงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ อย่างพิสดาร ไม่ต่างกับที่ได้กล่าวไว้ตอนก่อนประสูติ เมื่อประสูติ ระหว่างตรัสรู้ และหลังตรัสรู้ โดยจุดร่วมประการหนึ่งในปรากฎการณ์นี้คือ เรื่องในเชิงอภินิหาร ซึ่งต่างก็บรรยายแตกต่างกันออกไป
ดังใน "กามนิต" (The Pilgrim Kamanita) ของคาร์ล อดอล์ฟ เจลลิรูป (Karl Adolph Gjellerup, 1857-1919) ที่ถอดความโดย เสฐียรโกเศศและนาคะประทีป ดังนี้
"ขณะนั้น อันว่า ปฐวีกัมปนาทก็บังเกิดปรากฎพิลึกพึงกลัวทั่วโลกธาตุทั้งปวง อีกทั้งห้วงมหรรณพก็กำเริบตีฟองคะนองคลื่นครืนครั่นนฤนาทสนั่นในมหาสมุทรสาคร ทั้งหมู่มัจฉาชาติมังกรผุดดำกระทำให้ศัพท์สำนานนฤโฆษครุวนา ดุจเสียงปริเทวกถาแซ่ซ้องโศกาดูรกำสรด ทั้งขุนเขาสิเนรุราชบรรพตก็น้อมยอดโอนอ่อน มีอาการปานประหนึ่งว่ายอดหวายถูกอัคคีลน อเนกมหัศจรรย์ก็บันดาลทั่วเมทนีดลสกลนภากาศ ปางเมื่อพระบรมโลกนาถเข้าสู่พระปรินิพพาน นั้นแล"
เมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว สรีระของพุทธโคดมทรงได้รับการถวายเพลิงโดยพุทธสาวกที่มาจากทั่สารทิศโดยพร้อมเพรียงกัน โดยมีภิกษุมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ที่จาริกมาด้วยกันเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาถึง
เหล่าราชาแห่งมัลละก็ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดมาประกอบพิธีเพื่อการถวายพระเกียรติแก่พุทธโคดมเป็นเวลา 7 วัน
หลังจากหมายจะทำศึกแก่งแย่งพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งตกลงกันได้ โดยถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วนเท่าๆ กัน เพื่อมอบให้แก่ 8 รัฐนำไปสักการะบูชา
รัฐทั้งแปดคือ ราชคฤห์แห่งมคธ เวสาลีแห่งวัชชี (ราชาลิจฉวี) กบิลพัศดุ์แห่งสักกะ (ศากยวงศ์) อัลลกัปปะแห่งถูลี รามคามแห่งเทวทหะ (โกลิยวงศ์) ปาวาแห่งมัลละ (วงศ์ในปาวา) และเวฏฐทีปะของราชาเวฏฐทีปะ
ส่วนราชาโมริยะแห่งปิปผลิวัน ซึ่งส่งทูตมาหลังจากที่แบ่งกันเรียบร้อยแล้วนั้น ได้อังคารของพุทธโคดมไปบูชา และโทณพราหมณ์ในฐานะตัวกลางในการไกล่เกลี่ย ได้ขอทะนานที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุไปบูชา
(แต่ในหนังสือ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐ ของกรมการศาสนา มีรูปโทณพราหมณ์ขโมยพระทันตเขี้ยวแก้วแอบใส่มวยผม...วินิติ์ศิริ)
คัดตัดตอนมาจากคอลัมน์ เงาตะวันออก โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล มติชนสุดสัปดาห์ หน้า 68 ฉบับที่ 1512 วันที่ 7-13 สิงหาคม 2552 ขอขอบคุณ
Create Date : 25 สิงหาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 25 สิงหาคม 2552 23:02:11 น. |
Counter : 786 Pageviews. |
|
|
|