|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
เจรจาเขมรยาก ผบ.ทบ.พร้อมลุย
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2011 เวลา 14:43 น. กษิตหมดปัญญาเจรจา ปมเขมรยกสู่'ระดับผู้นำ' 'ผบ.ทบ.'พร้อมจัดหนัก! 'ขอให้รัฐบาลสั่งการมา'
"คนปชป." ยอมรับคุยเขมรลำบาก "กษิต"หมดปัญญาเจรจาทางออกยุติการปะทะตามแนวชายแดนแล้ว ต้องยกปัญหาสู่ระดับผู้นำประเทศเท่านั้น ฝากความหวัง "มาร์ค" จับเข่าคุย "ฮุนเซน" 7 พ.ค.นี้ ในเวทีอาเซียน ซัมมิท ไม่เชื่อข้อมูลพันธมิตรฯบอก "แม้ว" อยู่เขมรสั่งการ
วันที่ 25 เม.ย.2554 เวลาประมาณ 14.00 น. ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านได้ยินเสียงเครื่องบินขับไล่ บินอยู่เหนือท้องฟ้า เสียงดังกึกก้อง สร้างความตกใจให้กับชาวบ้าน ต่างพากันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และจับกลุ่มพูดคุยกันต่างๆนาน ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น
จากการสอบถาม แหล่งข่าวทหาร กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า เป็นการฝึกบินตามปกติของ ทหารอากาศ กองบิน 1 นครราชสีมา โดยใช้เครื่องบินขับไล่ แบบเอฟ 5 จำนวน 1 ชุด 3 ลำ ทำการบินในระดับความสูงห่างจากภาคพื้นดินไม่น้อยกว่า 8 กิโลเมตร ซึ่งจะบินในระดับที่ต่ำกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะทำให้ผิดสนธิสัญญาการบินระหว่างประเทศได้
โดยการฝึกบินครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ยิงปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ชายแดน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พร้อมขอแจ้งให้พี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่าได้ตื่นตระหนก ให้ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นฝึกบินเท่านั้น
โฆษกทภ.2 ยันไม่ใช้กำลังทางอากาศ
ด้านพ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่ชายแดนจังหวัดสุรินทร์ว่า กรณีที่ฝ่ายกัมพูชา กล่าวอ้างว่ากองทัพไทยได้ใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศโจมตีฝ่ายกัมพูชานั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.2554 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้กำลังป้องกันชายแดนภาคพื้นดินตามปกติ ไม่เคยมีการใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศ มาสนับสนุนการปะทะ
"ทางกองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่าไม่มีการใช้กำลังทางอากาศล่วงล้ำอธิปไตยของกัมพูชาอย่างแน่นอน ส่วนสถานการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ทางกองทัพถือว่า เป็นการปฏิบัติทางทหาร เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชาเห็นว่ามีการวางกำลังเผชิญหน้ากัน จึงได้ส่งกองลาดตระเวนพยายามเข้ามาสอดแนมในเขตที่ตั้งของทหารไทย และทางทหารไทยพบเข้าจึงมีการปะทะกันเล็กน้อยด้วยอาวุธปืนเล็ก ซึ่งเหตุปะทะเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้ผู้บังคับหมวดชุดดังกล่าว ยศร้อยโทของฝ่ายไทย ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างการปะทะ แต่ได้รับการผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกเรียบร้อยและอาการล่าสุดปลอดภัยแล้ว"โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
เผยเจรจาล่ม เหตุเขมรฟังแต่"ฮุนเซน"
โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ส่วนการเจรจาระหว่างผู้นำทหารของกองทัพภาคที่ 2 กับฝ่ายกัมพูชา ทางผู้บังคับบัญชาในพื้นที่และทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กำชับให้พยายามเจรจาพูดคุยกับผู้นำทหารในทุกระดับของฝ่ายกัมพูชาทุกครั้งที่เกิดการปะทะ เพื่อไม่ให้วงสู้รบขยายวงกว้างออกไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามนโยบายที่ทางผู้บัญชาการทหารบกได้ให้ไว้ แต่จนถึงขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 มองว่า เมื่อมีการประสานงานระหว่างกันมาโดยตลอด แต่ทางกัมพูชามีเพียงสมเด็จ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา เป็นผู้ตัดสินใจได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ทำให้การประสานงานต่างๆจึงไม่สัมฤทธิ์ผล
โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการทางทหารในขณะนี้นั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้มีการส่งหน่วยลาดตระเวนออกหาข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา เช่นเดียวกันกับฝ่ายกัมพูชาก็ดำเนินการเช่นเดียวกับเรา ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทางทหาร
ส่วนกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่าทหารไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชานั้น โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบกไทยไม่เคยมีอาวุธชนิดนี้ประจำอยู่ในกองทัพ เช่นเดียวกับคลัสเตอร์บอมบ์ก็ไม่เคยมีบรรจุหรือประจำการอยู่ในกองทัพเช่นเดียวกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะใช้อาวุธชนิดนี้ในการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอการสนับสนุนเครื่องบินรบหรือกำลังทางอากาศจากกองทัพอากาศ และยืนยันว่าการสู้รบกับฝ่ายกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ความเป็นไปได้ที่ทางกองทัพไทยจะพ่ายแพ้นั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีโอกาสเลย
"พนิช" เผย "เกินระดับกษิตแล้ว" ต้องเป็นขั้น "ผู้นำประเทศ" คุยกัน
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ในฐานะอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับ "ไทยอินไซเดอร์" ถึงสถานการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาตามแนวชายแดนด้านจ.สุรินทร์ขณะนี้ว่า การพูดคุยในระดับเจ้าหน้าที่หรือรัฐมนตรีขณะนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว จะต้องยกระดับสู่การหารรือระดับผู้นำประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในระหว่างการประชุมอาเซียน ซัมมิท 7 พ.ค.นี้
"ตอนนี้อาจจะเกินระดับตัวรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว อาจจะถึงตัวระดับผู้นำประเทศเองเลย เพราะกระทรวงต่างประเทศคงทำทุกวิถีทางแล้ว เช่นเอกสารที่แสดงเรื่องการประท้วงต่างๆที่ได้ทำไปแล้ว แต่ตอนนี้คงต้องไปสู่ระดับผู้นำแล้ว"นายพนิช กล่าว
เมื่อถามว่า กระทรวงต่างประเทศ ยังสามารถใช้ช่องทางในการเจรจาได้หรือไม่ นายพนิช กล่าวว่า "ณ วันนี้ผมว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องช่องทางการพูดคุยแล้ว มันเกี่ยวกับว่าทางกัมพูชาต้องการแสดงอะไรให้กับนานาชาติเกี่ยวกับเรื่อง พรมแดน ท่านนายกฯจะไปเจอท่านฮุนเซนวันที่ 7 พ.ค.นี้ อันนี้ก็เป็นช่องทางหนึ่ง แต่วันนี้มันเป็ยปัญหาเรื่องบทบาทของกัมพูชาที่จะแสดงให้กับนานาชาติเห็นว่า มันยังมีปัญหาอยู่ในเรื่องของการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เกิดการเจรจา 2 ฝ่าย เขาต้องการให้มีประเทศที่สาม หรือองค์ที่สามเข้ามาเกี่ยว ซึ่งทางเราบอกว่าอันนั้นไม่ได้ ช่องทางมีเยอะแยะไปหมดแต่เขาไม่ต้องการใช้ช่องทางไหน"
ไม่เชื่อข้อมูลพันธมิตรฯบอก "แม้ว" อยู่เขมรสั่งการ
เมื่อถามว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่าทางหทารจะไม่มีการพูดคุยกันแล้ว ปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลดำเนินการกันเอง นายพนิช กล่าวว่า ระดับกระทรวงต่างประเทศคุยได้ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวผู้นำของทั้งสองฝ่ายเองว่าต้องการอะไร ฝั่งเราต้องการหยุดการปะทะ ต้องการเจรจาตามช่องทางต่างๆ ฝั่งเขาต้องการยกระดับการเผชิญหน้าให้เวทีโลกเห็น อันนี้มันก็คุยกันคนละธงอยู่แล้ว ดังนั้นในช่วงนี้ก็จะเกิดสถานการณ์ตรึงเครียดแบบนี้
เมื่อถามว่า การเลื่อนเดินทางมาไทยและกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดฯ ในฐานะประธานอาเซียน มันสะท้อนถึงอะไร นายพนิช กล่าวว่า "เขาอาจจะปล่อยให้คุยกันเองมากกว่า เพราะเขาคงไม่อยากเข้ามาในช่วงที่มันมีปัญหา ผมไม่แน่ใจว่าเลื่อนเพราะอะไร อาจจะเจอกันวันที่ 7-8 พ.ค.นี้"
เมื่อถามถึง กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯกล่าวหาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางมายังประเทศกัมพูชา ในช่วงที่มีการปะทะกัน นายพนิช กล่าวว่า "ผมว่าไม่น่าเกี่ยว ซึ่งมันโยงไปได้ทั้งการเมืองในไทยและในกัมพูชา แต่ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับคุณทักษิณโดยตรง และผมไม่เชื่อว่าแกอยู่กัมพูชา"
ผบ.ทบ.พร้อมยึดพื้นที่เขมร ขอแค่รัฐบาลสั่งมา
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การรักษาอธิปไตยตามแนวเส้นเขตแดนได้กำหนดไว้ชัดเจน ทหารไทยไม่ได้ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ดังนั้นอย่าไปพูดและลือว่า ทหารไทยตั้งรับและถอยไปเรื่อยๆ ทหารไทยไม่เคยถอยอยู่แล้ว ที่ทหารไทยไปอยู่นั้นตามพันธะสัญญาและกติกาที่มีอยู่ ถ้าจะยกเลิกสัญญาก็ว่ากัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังพูดคุยเจรจากันในเรื่องการประชุมทวิภาคีให้ได้เสีย ก่อน ถ้าจะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดรัฐบาลก็หารือมา กองทัพพร้อมจะให้ความเห็นในการแก้ปัญหา
"ถ้ารัฐบาลสั่งมา ผมจะเข้าตีให้ รัฐบาลจะสั่งได้หรือไม่ได้ต้องดูว่าเราอยู่ในสัญญาทวิภาคีหรือไม่ ดังนั้นการจะทำอะไรก็ตาม ผมรู้ดีว่าทุกคนใจร้อนอยากจะให้เป็นอย่างที่ต้องการ วันนี้ความเห็นผมก็ไม่ต่างกับทุกคน เราก็อยากทำให้เรียบร้อย ดังนั้นต้องดูให้ดีว่าการกระทำอะไรต่างๆจะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นหรือไม่ เรื่องรบกันไม่ยากหรอก ผมยืนยันว่าถ้าสั่งวันนี้ พรุ่งนี้ผมก็ต้องยึดให้ได้"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ชี้ไทยยิงกลับหนักกว่าที่เขมรยิงมาหลายเท่า
เมื่อถามว่ารัฐบาลอ่อนข้อมากเกินไปหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้อ่อนแต่ต้องดูกติกาสัญญา ถ้าจะยกเลิกก็ต้องยกเลิกทั้ง 2 ฝ่าย ให้คณะรัฐมนตรีไปว่ากันมา เมื่อไม่มีการรักษาสัญญาเขายิงมาเราก็ตอบโต้ไป เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้มากกว่านี้
"เรายิงมากกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า ก็ต้องตอบโต้ไปจนกว่าเขาจะหยุด ถ้าเขายิงมาเราตอบโต้ไปแล้วเขายังไม่หยุด ก็ต้องยิงมากกว่าเดิม ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติอย่างนั้นมาโดยตลอดจนทำให้เขาหยุดการยิง ถ้าจะเอากำลังเข้าไปยึดก็หมายความว่าจะต้องรบกันทั้ง 2 ประเทศ ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศไทยต้องช่วยกันรบ"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรามีการเจรจาในระดับบน เมื่อมีการคุยกันแล้วก็ยังมีการยิงกันอยู่ เมื่อยิงมาก็ยิงไป การจะรบหรือไม่รบขึ้นอยู่กับรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ จะเปิดสงครามจะต้องมีครม.ประกาศสงคราม ขณะนี้ยังไม่ประกาศสงคราม เป็นเพียงการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดน
ลั่นถ้าจะรุกก็ต้องตีกันให้หงายท้องไป
ดังนั้นเราพยายามไม่มุ่งไปสู่สงครามระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่ากล้าหรือไม่กล้า กลัวหรือไม่กลัว ไม่ใช่ตั้งรับจนเกินไป วันนี้กำลังทหารไทยจ่อชายแดนไทยทุกวัน ทั้ง 2 ฝ่ายยังเผชิญหน้ากันอยู่ในเขตแดนของตนเอง ห่างกัน 100 เมตร ถ้าจะรุกก็ต้องรบกัน ตีกันหงายท้องลงไป วันนี้ถือว่าเป็นการกระทบกระทั่งกันและอันตราย ไม่รู้ว่ากระสุนที่ยิงมาตกตรงไหน ต้องดูแลกำลังพลและชาวบ้านให้อยู่ในที่ปลอดภัย
"ผมอยากให้ช่วยกันสื่อออกไปยังประชาชนโดยรวมว่าเราไม่ได้แพ้ใคร เราไม่ได้ถอยไปที่ไหน ยังอยู่ในที่เดิมทุกประการเว้นในพื้นที่ที่มีปัญหาที่จะต้องมีการพูดคุยในระดับทวิภาคี ถ้าพูดไม่ได้ก็ไปตกลงกันมา แต่ถ้าจะเอาประเทศใดเข้ามาดูแลก็ต้องถอนกำลังออกไป"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
มาร์ค ตอกย้ำไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
เวลา 17.15 น. ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ดอนเมือง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากจ.แม่ฮ่องสอน ถึงกรณีที่นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศของอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เลื่อนการเดินทางมายังประเทศไทยและกัมพูชาว่า คงไม่ส่งผลกระทบ เพราะยังมีการติดต่อกันอยู่ตลอด แต่คงกังวลเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งรมว.ต่างประเทศ คงได้พบกันอยู่แล้วในวันที่ 28 เม.ย.นี้ แต่ยอมรับว่าปัญหาการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชายังมีอยู่ แต่ขอย้ำว่าฝ่ายไทยไม่ได้เริ่มก่อน เราพยายามทำให้ข้อเท็จจริงปรากฎออกไปว่ามีความพยายามยกระดับเรื่องนี้ไปสู่นานาชาติ ดังนั้นหากทุกฝ่ายเข้าใจข้อเท็จจริง จะไม่กลายเป็นเครื่องมือและปัญหาต่างๆจะจบ
เมื่อถามว่า ทำอย่างไรจะทำให้นานาชาติเข้าใจและร่วมกดดันกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจา นายกฯ กล่าวว่า ต้องเดินหน้าทำความเข้าใจ ซึ่งขณะนี้ทำมาตลอด ตนได้พูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เพื่อพูดคุยกับประเทศต่างๆโดยเฉพาะมิตรประเทศที่ห่วงใย อย่างน้อยที่สุดในครอบครัวอาเซียนด้วยกันต้องมาช่วยกันเพื่อให้ตรงนี้จบ
เมื่อถามว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ในวันที่ 7-8 พ.ค.นี้ กัมพูชาจะยกระดับปัญหาเข้าสู่ที่ประชุมอาเซียนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อาเซียนคงเข้ามาดูแลในระดับหนึ่งในแง่ให้ทั้งสองฝ่ายคุยกัน คิดว่าถ้าอาเซียนย้ำให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกันจะเป็นเรื่องดี
เผยกำหนดพื้นที่ให้ผู้สังเกตการณ์จากอินโดฯโดยไม่ลงไปในพื้นที่ 46 ตร.กม.
ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยยอมรับผู้สังเกตการณ์เข้ามาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหานี้แล้วเพราะในส่วนรายละเอียดมีการปรับจนน่าจะยอมรับกันได้ เหลือเพียงถ้อยคำเล็กน้อยเท่านั้น และยืนยันไม่มีเรื่องที่จะเดินทางเข้ามา กัมพูชาเองไม่ได้กำหนดพื้นที่ให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามา
เมื่อถามว่า การกำหนดพื้นที่ให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามาทำในลักษณะใด นายกฯ กล่าวว่า ได้แยกออกจากพื้นที่ที่เป็นปัญหาอยู่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในส่วนทีโออาร์น่าจะจบในเร็วๆนี้ ช่วงเช้าตนได้ตรวจสอบเหลือเพียงถ้อยคำและรายละเอียด ซึ่งจะไม่มีข้อกังวลในเรื่องทหารในพื้นที่ โดยกระทรวงกลาโหมได้ดูในรายละเอียดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เสนอให้ไปตรวจดูพื้นที่ที่มีการโจมตีในจ.สุรินทร์ ครั้งล่าสุดนี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ส่วนหลักฐานที่กัมพูชาโจมตีเราก่อนนั้น สามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของกองกำลังด้วย
หวังจะมีพัฒนาการไปในทางที่ดีก่อนพูดคุย "ฮุนเซน"
เมื่อถามว่า ดูเหมือนตอนนี้ขยายวงกว้างออกไปตามแนวชายแดนมากขึ้น นายกฯ กล่าวว่า เราเตรียมพร้อม แต่ตนยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชา เพราะถ้ามา ก็ต้องถูกตอบโต้ โดยเราต้องปกป้องอธิปไตยของไทย ส่วนการพยายามทำให้เกิดภาพว่ามันเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตนั้นเป็นการดำเนินการของกัมพูชาฝ่ายเดียว ไทยไม่ต้องการทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงและต้องการให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติ เนื่องจากต้องเห็นแก่ประชาชนตลอดแนวชายแดนทั้งสองประเทศ กัมพูชาควรคิดถึงสิ่งนี้ด้วย
เมื่อถามว่า โอกาสพูดคุยกับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา น่าจะได้ข้อยุติหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กว่าจะถึงวันนั้นคงมีพัฒนาการไปอีก หวังว่าจะไปในทางที่ดี
บุกโรงพยาบาลเยี่ยมอาสาทหารพรานเจ็บจากเหตุทหารไทย-เขมรปะทะกัน
จากนั้นในเวลา 17.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมทหารที่ศูนย์รับผู้ป่วยราชการสนาม ชั้น 2 อาคารประภาศรี กำลังเอก โรงพยาบาลพระมงกุฎ เพื่อเยี่ยมอส.ทพ.จักรี ลอยหา วัย 39 ปี และอส.ทพ.บุญญาฤทธิ์ บัวงาม วัย 46 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาการของทั้ง 2 คนได้พ้นขีดอันตรายแล้ว
โดยนายอภิสิทธิ์ได้มอบแจกันดอกไม้พร้อมเงินช่วยเหลือ รวมถึงสอบถามอาการจากแพทย์ประจำตัวและสอบถามความเป็นอยู่ พร้อมจับมือให้กำลังใจผู้ป่วย ใช้เวลาราว 15 นาที ก่อนเดินทางกลับบ้านพัก
เขมรเปิดฉากปะทะทหารไทยอีกรอบ
เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุอีกระลอกระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ตลอดแนวชายแดนหลังหยุดยิงเมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 เม.ย. ที่บริเวณทิศตะวันออก ปราสาทตาควาย บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยมีเสียงปืนกลเล็ก และปืนใหญ่ ดังอยู่ต่อเนื่อง
โดยพ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าวอีกครั้งว่า เมื่อช่วงเวลา 18.00 น. ทหารกัมพูชาได้ยิงปืนเข้าใส่กองกำลังทหารไทย บริเวณปราสาทตาควาย บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เรียบชายแดนมาจนถึงบริเวณทิศตะวันตก ปราสาทตาเมือนธม บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก โดยการปะทะกันบริเวณปราสาทตาควายทหารกัมพูชา ได้เริ่มจากการใช้อาวุธปืนเล็ก ลูกระเบิดมือ จากนั้นมีการปรับกระบวนการโจมตี โดยเริ่มใช้อาวุธหนัก อาธิอาพีจี ปืนใหญ่ ส่วนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ทหารกัมพูชาเริ่มยิงเข้าใส่ด้วยปืนกลเล็ก จากนั้นเริ่มใช้เครื่องยิงลูกระเบิด และตามมาด้วยปืนใหญ่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ เพราะยังคงมีเสียงปืนปะทะกันอยู่ต่อเนื่อง
"ทั้งนี้ทางกองทัพภาค 2 ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาที่อยู่ในพื้นที่ และทหารที่อยู่หน้าแนว ให้ปกป้องอธิปไตยในดินแดนของประเทศไทยอย่างเต็มที่ และตอบโต้ตามกรอบที่ควรปฏิบัติ"พ.อ.ประวิทย์กล่าว
Create Date : 25 เมษายน 2554 |
Last Update : 25 เมษายน 2554 23:56:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 894 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|